“นอร์ติสกรุ๊ป” รวมตัวผู้นำพลังงานระดับเอเชีย หารืออนาคตอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน

‘ดร.ณอคุณ สิทธิพงศ์’ ประธานกรรมการ บริษัท นอร์ติส เอนเนอร์ยี่ จำกัด

alivesonline.com : บริษัท นอร์ติส เอนเนอร์ยี่ จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานทดแทนในประเทศไทย โดย ‘ดร.ณอคุณ สิทธิพงศ์’ ประธานกรรมการ (ที่ 3 จากขวา) เป็นประธานงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าผู้นำในอุตสาหกรรมด้านพลังงานทดแทนจากไทยและเอเชีย ณ ห้องอาหารพลู กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

การเลี้ยงรับรองดังกล่าวได้รับเกียรติจาก ‘ชิเกกิ คอนโด’ ผู้บริหารบริษัทแอมป์ เจแปน, ‘จอห์น คิม’ ประธานกรรมการ อาร์อีซี สิงคโปร์ และ ‘อิคนาชิโอ มิราเอล เดอ อิมพีเรียล’ จากแคนนาเดียนโซลาร์ ร่วมงาน เพื่อแสดงความขอบคุณในฐานะเป็นพันธมิตรกับ บริษัท นอร์ติส เอนเนอร์ยี่ จำกัด ในการร่วมผลักดันและพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.ณอคุณ สิทธิพงศ์​ (ซ้าย) และจอห์น คิม (ขวา) ประธานกรรมการ อาร์อีซี สิงคโปร์

สำหรับ บริษัท นอร์ติส เอนเนอร์ยี่ จำกัด ถือเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงานทดแทนรายแรก ๆ ของประเทศไทย โดยได้สร้างผลงานที่โดดเด่นมานับไม่ถ้วน อาทิ เป็นผู้คิดค้นระบบ “โซลาร์ลา” (SOLARLAA) แอปพลิเคชั่นที่ช่วยวิเคราะห์และให้คำแนะนำในการตัดสินใจลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์และการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านซึ่งมีผู้ใช้งานแล้วกว่า 520 อำเภอในประเทศไทย โดยสามารถช่วยคนไทยทั้งประเทศประหยัดค่าไฟได้กว่าเดือนละ 30% อีกทั้งยังเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม “ดิจิมินต์” (DigiMint) สื่อกลางการซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนด้านพลังงานในอนาคต รวมไปถึงการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง “เอนเนอร์โก แลบส์” (Energo Labs) ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) จากประเทศจีน เพื่อร่วมมือกันพัฒนาระบบบล็อกเชนพลังงานหมุนเวียนและระบบ “ไมโครกริด” (Microgrid) เข้าสู่ตลาดไทย

ในอนาคต บริษัท นอร์ติส เอนเนอร์ยี่ จำกัด มีแผนการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ เช่น โซลาลาร์บ็อกซ์ (Solarlaa Box) เทคโนโลยีช่วยประหยัดการใช้พลังงาน (Energy Detective Device) ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้อย่างแพร่หลายในสังคมไทยในอนาคตจนส่งผลให้เกิด “สังคมสีเขียว” (Green Community) อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังช่วยให้สังคมตระหนักถึงการประหยัดพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ด้วยแคมเปญ “การติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับบ้านเรือน สถานศึกษา และสถานประกอบการ” โดยคาดหมายการจำหน่ายและติดตั้งจำนวน 100 เมกะวัตต์ภายในปี 2562 ซึ่งจะสามารถช่วยประเทศประหยัดพลังงานจากการผลิตไฟฟ้าประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 15 ล้านหน่วย คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท

 

 

สถาบันการศึกษาเร่งปั้น “คนพันธุ์ไมซ์” หนุนไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาไมซ์อาเซียน

alivesonline.com : “ทีเส็บ” ประสานหน่วยงานรัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา จัดตั้งคลัสเตอร์เครือข่ายการศึกษาภูมิภาค 5 เขตทั่วประเทศ เร่งแผนงาน 5 ปี “สร้างคน สร้างมาตรฐาน สร้างรายได้ สร้างการรับรู้” หวังพัฒนาสังคมในพื้นที่และชุมชนผ่านการฟูมฟักองค์ความรู้ไมซ์ เพื่อก้าวสู่ศูนย์กลางการศึกษาไมซ์ของอาเซียน

นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมไมซ์มีโอกาสต้อนรับนักเดินทางไมซ์ทั่วประเทศและนานาชาติประมาณ 35 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้กว่า 2 แสนล้านบาท ถือเป็นการกระจายรายได้สู่ภูมิภาคเพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างได้ผล “ทีเส็บ” จึงมีแผนงานขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพไมซ์ระดับภูมิภาค ด้วยการตั้งคลัสเตอร์เครือข่ายการศึกษาเชื่อมศูนย์กลางองค์ความรู้ไมซ์ประจำภูมิภาค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงผลงาน สร้างคน สร้างมาตรฐาน สร้างรายได้ และสร้างการรับรู้ไมซ์ ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อให้อุตสาหกรรมไมซ์ไทยก้าวสู่เป้าหมายศูนย์กลางไมซ์ในอาเซียน

จากการเติบโตของอุตสาหกรรมไมซ์ในเอเชียอย่างก้าวกระโดด ทำให้หลายประเทศยังขาดแคนบุคลากรไมซ์อีกจำนวนมาก โดยในส่วนของประเทศไทย “ทีเส็บ” ได้ริเริ่มโครงการ “ศูนย์เครือข่ายด้านการศึกษาไมซ์ในภูมิภาค” หรือ “MICE Academic Cluster” โดยเป็นการร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาผ่านกลยุทธ์การสร้าง “ไมซ์ อีโคซิสเต็ม” (MICE Ecosystem) เพื่อสร้างบุคลากรไมซ์มืออาชีพเข้าสู่ตลาด พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์อย่างยั่งยืน เนื่องจากการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมไมซ์ถือเป็นหนึ่งยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่สำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์

ความร่วมมือดังกล่าวจะดำเนินงานทั้งระดับส่วนกลางและพื้นที่ เพื่อพัฒนาบุคลากรตามยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ไมซ์ระดับภูมิภาคทั้ง 5 เขต ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกและตะวันตก เพื่อเชื่อมโยงกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากร เอื้อประโยชน์ในภูมิภาคและท้องถิ่นในเชิงเศรษฐกิจมหภาคโดยรวม ดูแลพื้นที่ที่เหมาะสมในเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศตามภูมิภาค และมีเครือข่ายการศึกษาไมซ์ประจำอย่างชัดเจนเพื่อเป็นตัวกลางที่จะเชื่อมโยงเครือข่ายห่วงโซ่ธุรกิจไมซ์ทั้งระบบ (MICE Value Chain) เพื่อสร้างความเข็มแข็งร่วมกันตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

โครงการศูนย์เครือข่ายด้านการศึกษาไมซ์ในภูมิภาค ดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีผลงานเด่นแยกเป็น 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ 1.การสร้างคน เช่น การฝึกอบรมความรู้ภายใต้กิจกรรม “โค้ชความรู้ธุรกิจไมซ์จากมืออาชีพให้แก่คณาจารย์” (Coach the Coaches) เพื่อเพิ่มจำนวนคณาจารย์ที่มีองค์ความรู้ด้านไมซ์ระดับนานาชาติ สามารถสอนนิสิตนักศึกษาไมซ์ในสถาบันการศึกษาแต่ละภูมิภาคให้มีมาตรฐานเท่าเทียมกันทั่วประเทศ รวมถึงสร้างวิทยากรไมซ์รายใหม่และยกระดับวิทยากรไมซ์รายเดิมซึ่งเป็นผู้ประกอบการวิชาชีพไมซ์ในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนสร้างชุมชนนิสิตนักศึกษาใหม่ในแต่ละสถาบันการศึกษาทุกภูมิภาค หรือ “ชมรมเยาวชนไมซ์” (MICE Student Chapter) พร้อมร่วมแชร์องค์ความรู้และทำกิจกรรมไมซ์ สร้างโอกาสและประสบการณ์ใหม่ในการลงสนามจริงร่วมงานและฝึกงานไมซ์กับผู้ประกอบการ เป็นต้น

2.การสร้างมาตรฐาน เช่น การสร้างประสบการณ์ในการเป็นทีมงานร่วมทำงานและจัดงานไมซ์ โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาที่กำลังพัฒนาศักยภาพตัวเองเพื่อให้เป็นบุคลากรไมซ์ที่มีคุณภาพ เรียนรู้การทำงานร่วมพัฒนาพื้นที่และการจัดงานไมซ์ในท้องถิ่นและส่วนกลางอย่างมืออาชีพ ตั้งแต่ขั้นตอนการศึกษาให้ความรู้กระบวนการจัดงาน การต้อนรับ การจัดการ การบริหารต้นทุน เพื่อยกระดับการจัดงานให้มีมาตรฐานอย่างมืออาชีพ เป็นต้น

3.การสร้างรายได้ โดยส่งเสริมการจัดงานไมซ์ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรไมซ์ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ซึ่งผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมไมซ์ทั้งหมดจะมีรายได้จากการจัดงานทั้งในทางตรงและทางอ้อม กระจายรายได้ในระดับจังหวัดและสู่ภูมิภาคในทุกภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการสถานที่จัดงาน บริษัทผู้จัดงาน ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม ที่พัก และการคมนาคมขนส่ง ตลอดจนสถาบันการศึกษา

4.การสร้างการรับรู้ไมซ์ คือ การส่งเสริมการตลาดและการสร้างการรับรู้ให้กับการจัดงานเพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานพึงพอใจ ส่งเสริมให้ชุมชนและสังคมเข้าใจถึงประโยชน์ของอุตสาหกรรมไมซ์ เนื่องจากการจัดงานไมซ์ถือเป็นการเปิดโอกาสสร้างการรับรู้ให้กับคนในจังหวัดได้เข้าใจบทบาทของ “ทีเส็บ” ในฐานะผู้พัฒนาด้านการศึกษาและการพัฒนาศักยภาพธุรกิจไมซ์ร่วมกับทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาไมซ์ของอาเซียนในระดับภูมิภาค หรือ ASEAN MICE Education Hub ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสังคมในพื้นที่และชุมชน ผ่านการฟูมฟักองค์ความรู้ไมซ์ให้บุคลากรในพื้นที่เพื่อพัฒนาไมซ์ในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

นางศุภวรรณ กล่าวด้วยว่า โครงการศูนย์เครือข่ายด้านการศึกษาไมซ์ในภูมิภาค เป็นเสมือนเครือข่ายเสาหลักด้านการศึกษาและพัฒนาไมซ์ร่วมกับจังหวัดและภูมิภาคอย่างแข็งแกร่ง สร้างการพัฒนาให้อุตสาหกรรมไมซ์ ทั้งในด้านบุคลากรและพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตลอดจนร่วมผลักดันและส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางไมซ์ของอาเซียนได้อย่างยั่งยืน

อนึ่ง “ทีเส็บ” มีการวางแผนนโยบายการดำเนินงานศูนย์เครือข่ายคลัสเตอร์ด้านการศึกษาไมซ์ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2561-2565) โดยมีตัวชี้วัดความสำเร็จด้านการกระจายความร่วมมือไปสู่ภูมิภาค ดังนี้

1.พัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศ เพื่อตอบสนองแผนยุทธ์ศาสตร์ Thailand 4.0 สร้างแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมโยงต่อยอด Supplier Side และ Demand Side และสร้าง Career Job Opportunity Center ให้อุตสาหกรรมไมซ์

2.กำหนดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมยกระดับองค์ความรู้เจาะลึกความต้องการของแต่ละพื้นที่ เพื่อยกระดับมาตรฐาน ศักยภาพของบุคลากร โดยกำหนดกิจกรรมให้สอดคล้องถึงความต้องการอย่างแท้จริง อาทิ ยกระดับชุมชน พัฒนาสินค้า เชื่อมผลผลิตสู่ตลาดไมซ์คุณภาพ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเจาะลึกการดึงงาน (Bidding Workshop) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการจัดงานแสดงสินค้าอย่างไรไม่ขาดทุน (Exhibition Management Program) เป็นต้น

3.เพิ่มจำนวนบุคลากรที่ผ่าน Certified ระดับนานาชาติและผ่านการรับรองของ “ทีเส็บ” พัฒนาหลักสูตรเพื่อเพิ่มจำนวนบุคลากรที่ผ่านการรับรองมาตรฐานวิชาชีพด้านต่าง ๆ และเป็นศูนย์กลางในการจัดตั้งและศูนย์สอบเทียบมาตรฐานวิชาชีพไมซ์ เพิ่มเป้าหมายในการยกระดับงานเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศ CLMV ให้มาเรียนในประเทศไทย ตอกย้ำในฐานะประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาไมซ์ของอาเซียนในระดับภูมิภาค

4.ด้านโครงสร้าง ทีเส็บตั้งเป้าหมายในการจัดตั้งเป็นศูนย์สอบเทียบมาตรฐานวิชาชีพไมซ์ในแต่ละภูมิภาค เพื่อเตรียมความพร้อมสู่เส้นทางความเป็นมืออาชีพคนพันธุ์ไมซ์ของประเทศไทย

 

 

ETDA สานต่อแผนพัฒนา e-Commerce Park ชู มศว ต้นแบบพัฒนากำลังคน


alivesonline.com :
พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง เปิดงาน
“Thailand e-Commerce Week 2019” ปีที่ 4 ชู “YOUNG TALENT Platform” ครั้งแรกในไทย ต่อยอดสู่ e-Commerce Park ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประกาศใช้ มศว เป็นต้นแบบ เตรียมขยายความร่วมมือสู่สถาบันการศึกษาชั้นนำอื่น ๆ เพื่อสร้างกำลังคนรุ่นใหม่สายอี-คอมเมิร์ซไทยให้เข้มแข็ง

พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงาน “Thailand e-Commerce Week 2019” ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ประสานมิตร ซึ่งจัดโดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA ว่า การจัดงานครั้งนี้แสดงถึงความพยายามของ ETDA ที่มีภารกิจในการผลักดันสนับสนุน ส่งเสริมการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้ประกอบการในทุกขนาด โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันและขยายตลาดทางออนไลน์ การการลดความเหลื่อมล้ำให้กับคนในสังคม ทั้งยังถือเป็นการติดอาวุธความรู้ให้เยาวชนและผู้สูงอายุได้มีความรู้เท่าทัน สามารถใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตได้อย่างสร้างสรรค์และคุ้มค่า

ในส่วนของการส่งเสริมเยาวชนที่ผ่านมา ETDA ได้ทำความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นสร้างสรรค์นวัตกรรมสู่สากล ในการสร้างบุคลากรเพื่อเป็น  Workforce สำหรับรองรับการทำอี-คอมเมิร์ซ และพัฒนาไปสู่ “อี-คอมเมิร์ซ พาร์ค” (e-Commerce Park) ตลอดจนการวางแผนที่จะริเริ่มให้เกิด “ซิลิคอน วัลเล่ย์” (Silicon Valley) ด้านอี-คอมเมิร์ซอย่างครบวงจรของประเทศไทยอีกด้วย

“การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นจุดของการเริ่มต้นที่ดีที่ไม่ใช่เพียงการส่งเสริมผู้ประกอบการไทย แต่ยังรวมไปถึงนักศึกษารุ่นใหม่ที่จะเป็น Young Talent ซึ่งเต็มไปด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์ และพร้อมพัฒนาศักยภาพ ในทุก ๆ ด้าน ทั้งยังมีโอกาสรับฟังแนวคิดในการพัฒนาธุรกิจจากผู้ประกอบการตัวจริงที่สามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้ในยุคดิจิทัล เพื่อสร้างแรงบันดาลใจจากผู้มีประสบการณ์จริง อันจะเป็นประโยชน์กับการต่อยอดในการศึกษาและการทำงานในอนาคตต่อไป” พลอากาศเอกประจิน กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “e-Commerce In The Park”โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดว่าตลอดการจัดงานระหว่างวันที่ 1-3 ก.พ.ที่ผ่านมา จะมีผู้เข้าชมไม่ต่ำกว่า 4.5 พันคน

การจัดงาน “Thailand e-Commerce Week 2019” นับเป็นงานที่รวบรวมทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอี-คอมเมิร์ซแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ อาทิ Shopee Thailand, LNW ผู้ให้บริการรับชำระเงิน เช่น ธนาคารกรุงเทพ ผู้ให้บริการจัดส่งสินค้า อาทิ Kerry, ไปรษณีย์ไทย ผู้ให้บริการด้านการทำการตลาดดิจิทัลผู้ให้บริการหีบห่อสำหรับบรรจุสินค้าเพื่อจัดส่งสินค้า-อีคอมเมิร์ซ ผู้ให้บริการบริหารจัดการคลังสินค้าแบบครบวงจร หรือแม้กระทั่งผู้ให้บริการด้านการถ่ายภาพสินค้า นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงโชว์เคสสำหรับร้านค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งมีพื้นที่สำหรับขายสินค้าของธุรกิจเอสเอ็มอีที่เน้นทำตลาดออนไลน์มาจัดแสดงสินค้าและจำหน่ายภายในงาน

นางสุรางคณา กล่าวด้วยว่า ความน่าสนใจของการจัดงานในปีนี้คือการเปิดตัว “YOUNG TALENT Platform” ครั้งแรกของประเทศไทยที่ เพื่อเป็นศูนย์กลางทางด้าน e-Commerce อย่างครบวงจรในการพัฒนาศักยภาพสร้างองค์ความรู้สำหรับ Workforce และเป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่จะรองรับการเกิดขึ้นของ e-Commerce Park ในอนาคต โดยได้ระดมสมองจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจสตาร์ทอัปให้คำปรึกษาในการทำธุรกิจ e-Commerce หางาน หาเงินทุน จับคู่ธุรกิจ สื่อการเรียนรู้ออนไลน์ e-Leaning พร้อมกับเชื่อมต่อกับ e-Marketplace รวมทั้งให้บริการจดทะเบียนธุรกิจของภาครัฐ สร้าง Community ให้ Young Talent ได้มาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันก็ให้บริการด้าน e-Commerce อาทิ Logistics, Payment, Online Marketing

“ภายในงานมีการขยายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาอื่นในระดับอุดมศึกษา เพื่อรับรองการสร้างกำลังคนสำหรับอี-คอมเมิร์ซของประเทศไทยซึ่งมี มศว เป็นต้นแบบ นอกจากนี้ยังจำลองบรรยากาศ e-Commerce Park ที่จะเป็นศูนย์กลางในสนับสนุนอุตสาหกรรมอี-คอมเมิร์ซ ตลอดจนธุรกิจเอสเอ็มอี และอำนวยความสะดวกต่อผู้ประกอบการ ผู้ผลิตสินค้า ผู้ให้บริการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการสร้างองค์ความรู้และเครือข่ายธุรกิจ อันจะช่วยยกระดับการแข่งขันให้มีมาตรฐานและทัดเทียมระดับสากล ทั้งยังเป็นการสร้างแรงจูงใจในการรวมตัวกันของผู้ประกอบการในการติดต่อค้าขายระหว่างกันด้วย”

 

ทั้งนี้ ETDA มีแนวคิดในการสร้าง e-Commerce Park ของไทยโดยมีต้นแบบจากจีนที่มี e-Commerce Park กว่า 2 พันแห่ง โดยในปีที่ผ่านมา ETDA ได้ทำ MOU กับ “ตงกวน” เมืองอี-คอมเมิร์ซอันดับ 1 ของจีน เพื่อแลกเปลี่ยนบุคลากรและประสบการณ์ระหว่างกัน โดยการจัดทำ e-Commerce Park ที่ มศว นั้น นอกจากจะมีเป้าหมายเพื่อเป็นศูนย์รวมการเรียนรู้ ฝึกอบรม จัดทำโครงการต่าง ๆ และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถส่งออกไปยังตลาดโลกได้แล้ว ETDA ยังให้ความสำคัญในเรื่องของตลาดแรงงาน โดยจะขยายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในประเทศหลายแห่งให้จัดส่งนักศึกษาที่จบใหม่ หรือนักศึกษาที่ต้องการหารายได้ระหว่างเรียน เข้ามาร่วมกับ e-Commerce Park เพื่อพัฒนาศักยภาพของคนรุ่นใหม่และให้คำแนะนำกับผู้ผลิตหรือประชาชนทั่วไปได้มีความรู้และความเข้าใจในการขายสินค้าออนไลน์อย่างถูกต้องและมั่นคงปลอดภัยต่อไป ถือเป็นการสร้าง Ecosystem ให้กับ e-Commerceของประเทศไทย

 

สสว. ติดอาวุธความรู้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวร่วมขับเคลื่อนธุรกิจเอสเอ็มอี


alivesonline.com : สสว
.ปลื้ม “โครงการ SME Provincial Champions” ประสบผลสำเร็จต่อเนื่อง สร้าง SMEs 4.0 มากกว่า 1 พันราย เป็นต้นแบบธุรกิจที่มีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับจังหวัด สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมากถึง 680 ล้านบาท เผยปี 62 เดินหน้าไม่หยุด เปิดรับผู้ประกอบการภาคบริการและภาคการผลิตในธุรกิจการท่องเที่ยว พัฒนาสู่สุดยอด SMEs จังหวัด สมัครได้จนถึงวันที่ 10 ก.พ.62

นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า โครงการ “SME Provincial Champions” เป็นโครงการที่เกิดจากนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อเป็นแรงผลักดันเศรษฐกิจให้เกิดการเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน สสว.จึงได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ จัดทำโครงการนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2558

ปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีในกลุ่มธุรกิจภาคการผลิตและภาคบริการ ผ่านเข้าร่วมโครงการ 1,155 ราย ครอบคลุมผู้ประกอบการ ธุรกิจเอสเอ็มอี ทั้ง 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจ (Start Up) กลุ่มผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในตลาด (Rising Star) และกลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว (Turn Around) โดยผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีเหล่านั้นได้กลายเป็นธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็งทางธุรกิจ สามารถเข้าสู่กลไกการส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้มีความมั่นคง ทั้งยังเป็นธุรกิจที่มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถสร้าง หรือใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าและบริการ ให้มีศักยภาพเติบโตเป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจประเทศได้อย่างมั่นคงตามนโยบาย Thailand 4.0

นายสุวรรณชัย กล่าวอีกว่า ในปี 2561 โครงการ SME Provincial Champions ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีผู้สมัครร่วมโครงการ 1,063 ราย ในจำนวนนี้ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการให้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 462 ราย เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมากถึง 680 ล้านบาท โดยธุรกิจเอสเอ็มอีที่เข้ารอบได้ผ่านกระบวนการพัฒนาด้านการบริหารและการตลาดที่เข้มข้นต่อเนื่อง เพื่อเน้นปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการตามแผนการพัฒนาของผู้ประกอบการเฉพาะราย ทั้งด้านการตลาด การผลิต การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ โดยประยุกต์ใช้นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์และอัตลักษณ์ท้องถิ่น ประการสำคัญ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการยังได้รับการโค้ชชิ่ง (Coaching) จากที่ปรึกษาระดับมืออาชีพซึ่งเป็นนักธุรกิจผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแนะนำการปลดล็อกข้อจำกัดและผลักดันตัวเองเข้าสู่เป้าหมายที่ต้องการนำพาธุรกิจเข้าสู่โมเดลเทรดและเปิดประตูการค้าสู่ตลาดต่างประเทศ

ในปี 2562 สสว.ยังคงเดินหน้าโครงการ SME Provincial Champions เป็นปีที่ 4 โดยมอบหมายให้ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการ กำหนดเปิดรับสมัคร ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีทุกประเภท ทั้งธุรกิจชุมชน วิสาหกิจชุมชนบุคคลทั่วไป นิติบุคคล ทั้งภาคการบริการและภาคการผลิตในซัปพลายเชนของธุรกิจการท่องเที่ยว อาทิ โฮมสเตย์, โรงแรมที่พักขนาดเล็ก, ร้านอาหาร, สถานบริการสุขภาพ, สปา, ฟาร์มสเตย์, ศูนย์การเรียนรู้ ฯลฯ รวมถึงธุรกิจผลิตของฝากและของที่ระลึกจากทั่วประเทศ สมัครเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2562

“ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถให้เกิดความเข้มแข็ง เพื่อเป็นต้นแบบให้กับ ธุรกิจเอสเอ็มอีในจังหวัดของตนเอง นอกจากนี้ ผู้ผ่านการคัดเลือกยังมีโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมทดสอบตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือรูปแบบการให้บริการใหม่ ๆ หรือสื่อการตลาด และการประชาสัมพันธ์ผ่านแพลทฟอร์ม (Platform) ของโครงการอย่างต่อเนื่อง”

ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้หลากหลายช่องทาง เช่น โครงการผ่านแอปพลิเคชั่น SME Connext หรือดาวน์โหลดใบสมัคร ได้ที่ m.smeconnext.com รวมทั้งสมัครผ่านเว็บไซต์  https://goo.gl/LV7MBZ กรอกใบสมัครออนไลน์ และยังสามารถสแกน QR Code ในโบชัวร์เข้าสู่หน้าใบสมัครได้ทันที นอกจากนี้ ยังสามารถติดตามข่าวสารโครงการอย่างฉับไวได้ทาง Facebook : SME Provincial Champions และใน Application SME.Connext ของ สสว.

The Original SOL สร้างโมเดลการตลาดยุคใหม่ T.H.E.M. ต่อยอดสู่ e-Market Place สัญชาติไทย

alivesonline : The Original SOL สร้างโมเดลการตลาดยุคใหม่ “T.H.E.M.” รองรับผู้บริโภคศตวรรษที่ 21 ทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท พัฒนาแพลตฟอร์มการตลาด O2O SOLutions ตั้งเป้าเติบโต 3 เท่าในปี 62 ชี้ปัจจัยขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้ทุกเพศทุกวัยและเทคโนโลยีช่วยสนับสนุนนักธุรกิจ เตรียมต่อยอดปั้น e-Market Place สัญชาติไทย เป็นเครื่องมือสำหรับกลุ่มสินค้าไทยให้เติบโตและขยายสู่ตลาดโลก พร้อมลงทุนสร้าง iSpace ต้นแบบศูนย์การเรียนรู้และสร้างอาชีพยุคดิจิทัลกลางใจเมือง

นายเอื้ออารี ต่อเนื่อง CEO The Original SOL องค์กรแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี ผู้นำด้านนวัตกรรมการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านความงามและการดูแลสุขภาพ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจที่เข้มข้นและรูปแบบการทำตลาดในยุคดิจิทัลที่ต้องตอบโจทย์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้า The Original SOL หนึ่งองค์กรที่ให้ความสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และการทำตลาด ล่าสุดได้สร้างโมเดลการตลาดยุคใหม่ เรียกว่า T.H.E.M. (The Harmonized & Empowered Marketing) ที่ผสมผสานจุดแข็งของการตลาดทุกรูปแบบ เช่น การตลาดออนไลน์ การตลาดแบบตัวแทน หรือ Affiliate การตลาดแบบ Word of Mouths Marketing หรือ Viral Marketing โดยในอนาคตมีแผนขยายสู่โมเดิร์นเทรด พร้อมเปิดตลาดกลุ่มธุรกิจสปาและกลุ่มรักสุขภาพ

นอกจากนี้ยั งมี O2O Super System เป็นระบบขับเคลื่อนและช่วยพัฒนาองค์กรทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้ง O2OSOLutions  ซึ่งเป็น Digital Marketing Intelligence Platform โดยใช้งบพัฒนาประมาณกว่า 10 ล้านบาท ที่จะเป็นมีเครื่องมือสำคัญบุกตลาดออนไลน์ที่มีกว่า 50 เครื่องมือให้ใช้ฟรี เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ e-Market Place และยังเป็น Super Affliliate ที่กระจายรายได้ให้ตัวแทนหลายระดับได้ทั่วโลกและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคยุคศตวรรษที่ 21 ที่มีไลฟ์สไตล์และรับการสื่อสารผ่านออนไลน์

นายเอื้ออารี กล่าวด้วยว่า แพลตฟอร์ม O2O เป็นเว็บอี-คอมเมิร์ซที่มีระบบการสั่งซื้อสินค้าและจัดส่งอัตโนมัติให้ตัวแทนขยายตลาดออนไลน์ได้ทันที โดยไม่ต้องสต็อกสินค้า มีหน้าร้านออนไลน์อัจฉริยะให้ใช้ฟรี และยังมีระบบในการควบคุม และTracking การเข้าเยี่ยมชมร้านค้าและสั่งซื้อสินค้าไปว่ามีจำนวนเท่าใด อีกทั้งระบบซัปพอร์ทที่รวบรวมรีวิวของผู้ใช้สินค้าจริงอีกด้วย นอกจากนั้นยังนำ AI  เสริมทัพให้เป็นเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์แบบอัตโนมัติและสามารถค้นหาลูกค้าจากเฟซบุ๊ก เสมือนเป็นผู้ช่วยในการพัฒนาและดูแลธุรกิจแบบ 24 ชั่วโมง พร้อมนำไปวิเคราะห์ข้อมูลจาก Big Data ออกมาเป็นรีพอร์ต เพื่อนำไปใช้ต่อยอดในการทำตลาดต่อไป

“เรายังเตรียมนำ Digital Marketing Intelligent Platform มาต่อยอดขยายการทำตลาดสร้าง e-Market Place สัญชาติไทยที่สามารถนำสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์เข้ามาจำหน่ายในแพลตฟอร์มนี้ซึ่งได้เตรียมโครงสร้างพื้นฐานไว้เสร็จหมดแล้ว อาทิ e-Commerce Web และ ระบบ Super Affliliate ซึ่งระบบนี้จะเป็นเหมือนตัวแทนการขายจากอีเบย์หรืออะเมซอน แต่จะมีความพิเศษคือจะเครื่องมือที่สมาชิกเป็นตัวแทนการขายได้ โดยมีการทำเว็บไซต์ให้กับสมาชิกแต่ละคนและยังสามารถสร้างเพิ่มต่อ ๆ กันไป เพื่อเป็นหน้าร้านของแต่ละสมาชิก โดยมีเครื่องมือ Ai เป็นตัวช่วยทำการตลาด”

ในปี 2561 The Original SOL  มีการเติบโตประมาณ 300% และตั้งเป้าโตขึ้นอีก 3 เท่าในปี 2562 โดยปัจจัยสำคัญที่เป็นส่วนขับเคลื่อนธุรกิจของ The Original SOL คือ การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้ทุกเพศทุกวัยและเทคโนโลยีช่วยสนับสนุนนักธุรกิจโดยสร้างเครื่องมือทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่จะช่วยสนับสนุนให้นักธุรกิจประสบความสำเร็จถึง 1 พันคน นอกจากนี้ยังลงทุนสร้าง iSpace ต้นแบบศูนย์การเรียนรู้และสร้างอาชีพยุคดิจิทัล ได้แก่ หลักสูตรออนไลน์ Digital Marketing, หลักสูตรสวยสั่งได้ด้วยปลายนิ้ว Beauty Workshop, หลักสูตรกดจุดสะท้อนเท้าสแกนสุขภาพ Healthy Scanner เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถชำระค่าสินค้าผ่านระบบ QR Payment และจองหลักสูตรการเรียนรู้ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งยังเตรียมขยายเป็นศูนย์การเรียนรู้ประจำจังหวัดและเปิดตัว LifeX Shop ศูนย์สุขภาพประจำอำเภอทั่วประเทศ

 

 

“เจ้าพระยามหานคร” เผยครึ่งปีแรกพร้อมผุด 5 โครงการใหม่ เจาะตลาดแคมปัสคอนโดฯ

alivesonline.com : “เจ้าพระยามหานคร” ชูจุดเด่น หุ้นอสังหาฯ ไซส์เล็ก โตแรง ปันผลสูง เปิดเกมรุกบุกแคมปัสคอนโดมิเนียม เจาะตลาดบลูโอเชียน พร้อมเปิด 5 โครงการใหม่มูลค่ากว่า 4 พันล้านบาทในครึ่งปีแรก และอีก 4 โครงการมูลค่ากว่า 5  พันล้านบาทในครึ่งปีหลัง

นายแพทย์วิเชียร แพทยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC เปิดเผยว่า CMC เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ขนาดที่มีการเติบโตสูง โดยบริษัทฯ ได้ปรับแผนธุรกิจเพื่อรองรับกับสภาพเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน ด้วยการเปิดตัวแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่พร้อมกัน 3 แบรนด์ภายในครึ่งปีแรก มูลค่ารวมกว่า 4 พันล้านบาท ได้แก่ CUVEE, CLEV และ CYBIQ พร้อมการออกแบบภายใต้แนวคิดใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ตอบโจทย์และสะท้อนไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ได้ชัดเจนขึ้น แต่ยังคงเน้นการพัฒนาโครงการที่สมบูรณ์แบบ คุ้มค่า ในทำเลที่โดดเด่น รวมถึงมีแผนเปิดกลยุทธ์ใหม่ “Campus Condo” ในทำเลใกล้กับมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่คือ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) สถาบันราชภัฏจันทรเกษม และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เจาะกลุ่มเป้าหมายนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่าให้นักศึกษาและกลุ่มครอบครัวนักศึกษา โดยมั่นใจว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตได้ตามเป้าหมายและสร้างผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่คุ้มค่าให้แก่นักลงทุนได้อย่างแน่นอน

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 บริษัทฯ มีแผนเตรียมเปิดตัว 5 โครงการใหม่ มูลค่ารวมมากกว่า 4 พันล้านบาท ได้แก่ “CLEV วงศ์สว่าง” เป็นโครงการ High Rise จำนวน 615 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1.6 พันล้านบาท “CUVEE ติวานนท์” โครงการ High Rise จำนวน 422 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท เป็นโครงการที่ให้ความสำคัญกับสมาร์ทเทคโนโลยีและดิจิทัลไลฟ์สไตล์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งด้านความสะดวกสบายและทันสมัย ตั้งแต่การมี Video Door Phone, Digital Door Lock, Keyless Lifestyle เป็นต้น และยังเป็นโครงการที่ได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมและการตกแต่งภายในยอดเยี่ยมระดับประเทศ และรางวัลการออกแบบสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมในระดับเอเชีย นอกจากนั้นยังมีโครงการ “CYBIQ รามคำแหง แคมปัส” โครงการ Low Rise จำนวน 126 ยูนิต มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท จุดเด่นคือ ทำเลใกล้มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) และมหาวิทยาลัยรามคำแหง และ “CYBIQ รัชดา-จันทรเกษม แคมปัส” โครงการ Low Rise จำนวน 329 ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้กับสถาบันราชภัฏจันทรเกษม และ โครงการทาวน์โฮม “Kasa Deva” มูลค่าโครงการรวม 80 ล้านบาท เน้นกลุ่มฐานลูกค้าเดิมของบริษัทฯ ที่มีความต้องการทาวน์โฮม หรือโฮมออฟฟิศ

นายแพทย์วิเชียร กล่าวเสริมว่า CMC ตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้เติบโต 50% มาจากการรับรู้รายได้ของโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ 2.2 พันล้านบาท โครงการใหม่ที่พร้อมจะโอนได้ภายในปีนี้ 500 ล้านบาท และรายได้จากงานรับเหมาก่อสร้างและอื่น ๆ ภายใต้บริษัทย่อย 300 ล้านบาท โดยบริษัทฯ เตรียมออกแคมเปญการตลาดเพื่อจูงใจและกระตุ้นการขายต่อเนื่องตลอดทั้งปี และเร่งเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านกลุ่มเอเย่นต์มากขึ้น ทั้งเอเย่นต์องค์กรและเอเย่นต์อิสระ ขณะที่บริษัทฯ มีภาระหนี้สินลดลงจากการชำระคืนเงินกู้บางส่วนจากเงินที่ระดมทุนได้ ทำให้สามารถลดต้นทุนทางการเงินลงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยล่าสุดอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (IBD/E) ลดลงเหลือเพียง 0.9 เท่า

“บริษัทฯ ยังมีอีก 4 โครงการในไปป์ไลน์ที่พร้อมจะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง มูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมและคาดว่าจะเปิดขายได้ภายในปีนี้ นอกจากนั้น ยังมีแผนรุกธุรกิจให้บริการงานรับเหมาก่อสร้างภายใต้การบริหารงานของบริษัทลูก โดยจะเน้นเข้าร่วมประมูลงานจากภาครัฐ พร้อมตั้งเป้ารับงานได้ไม่น้อยกว่า 1 พันล้านบาทภายในปี 2562 โดยปัจจุบันมีงานในมือ หรือ Backlog แล้ว 200 ล้านบาท นายแพทย์วิเชียร กล่าวในตอนท้าย

อนึ่ง CMC ประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยมากว่า 24 ปี มีการดำเนินการที่ครบวงจรครอบคลุมถึงงานก่อสร้าง การผลิตวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างต่าง ๆ อาทิ แผ่นอาคารสำเร็จรูปภายนอก เฟรมกระจกและประตูอลูมิเนียม และผนัง EPS ที่ใช้ภายในอาคาร การผลิตเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน และการให้เช่าเครื่องจักรที่ใช้ในงานก่อสร้าง รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์เพื่อใช้และสร้างมูลค่าเพิ่มในโครงการ

 

 

 

 

 

 

 

 

อนึ่ง บริษัทฯ มีผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2561 ที่น่าพอใจอย่างมาก มีรายได้รวม 1,510  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% และมีกำไรขั้นต้น 633 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 42% และมีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 165%  ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (เน็ตมาร์จิ้น) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ คือเพิ่มกว่าเท่าตัวเป็น 12.0% จาก 5.8%

 

 

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

 

 

 

 

 

 

 

สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม :

ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ บจ.แบรนด์ เวลท์

โทร 02 – 681 – 5305 – 7 / brandwealth.pr@gmail.com

กรัณฑฤทธิ  เกตุสัมพันธ์  081 – 874 – 7475 / grantarit@brandwealth.net

พอลลีน เพิ่มพูนพระพร  064-235-6245 / paulin@brandwealth.net

ศุภิสรา  เนตรคุณ  084-868-1537 / supisara@brandwealth.net

MBK GROUP แก้ปัญหา PM 2.5 ให้พนักงาน “ตั้งครรภ์-มีโรคประจำตัว” ทำงานที่บ้าน

 

alivesonline.com : MBK GROUP ออกมาตรการดูแลสุขภาพของพนักงาน “ไฟเขียวพนักงานกลุ่มเสี่ยง” ลาหยุดงานเป็นกรณีพิเศษ โดยไม่มีผลกระทบกับวันลาประจำปี พร้อมช่วยชาวบ้านย่านปทุมวัน ฉีดพ่นหมอกน้ำในอากาศจากหัวฉีด 4 หัว วัน เวลา 09.00 น. และ 15.00 น.

นายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับผลกระทบด้านสุขภาพและการดำเนินชีวิตในวงกว้าง MBK GROUP ออกมาตรการดูแลสุขภาพของพนักงานออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การแจกหน้ากากอนามัย N95 การรณรงค์ Car Pool ลดการใช้รถยนต์, ไป-กลับเส้นทางเดียวกันเดินทางร่วมกัน เป็นต้น

นอกจากนั้น ยังได้มีนโยบายอนุญาตให้พนักงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสามารถลาหยุดงานได้เป็นกรณีพิเศษ อาทิ พนักงานที่กำลังตั้งครรภ์ พนักงานที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ หรือโรคประจำตัวที่เกี่ยวเนื่องมาจากฝุ่นละอองเป็นพิษ รวมถึงพนักงานที่มีอาการไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ สามารถลาหยุดงานเป็นกรณีพิเศษ โดยไม่มีผลกระทบกับวันลาประจำปี

ในส่วนของ อาคารเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ยังได้ทำการฉีดพ่นหมอกน้ำในอากาศจากหัวฉีดจำนวน 4 หัว บริเวณชั้น 29 โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส วันละ 2 รอบ คือ รอบเช้า เวลา 09.00 น. และ รอบบ่าย เวลา 15.00 น. โดยฉีดพ่นครั้งละอย่างน้อย 30 นาทีทุกวันและจะดำเนินการไปจนกว่าสถานการณ์ฝุ่นละอองจะดีขึ้น เพื่อช่วยเหลือพนักงานและประชาชนในย่านปทุมวัน

 

“ASIA PRINT EXPO 2019” พร้อมเปิดไฮไลท์สัมมนา การแข่งขัน และสาธิตธุรกิจแฟชั่น

alivesonline.com : สมาพันธ์การพิมพ์แห่งยุโรป นำผู้ประกอบการทั่วโลกในอุตสาหกรรมการพิมพ์สกรีน การพิมพ์ดิจิทัล การพิมพ์บนสิ่งทอ และป้ายโฆษณา ร่วมจัดแสดงนวัตกรรมสู่โลกการพิมพ์แห่งอนาคต ในงาน ASIA PRINT EXPO By FESPA 2019” ระหว่างวันที่ 21-23 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ

นางสาวเจนิส เขมาชฎากร ผู้จัดการโครงการ สมาพันธ์การพิมพ์แห่งยุโรป หรือ “เฟสป้า” (FESPA) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า “เฟสป้า”  กำหนดจัดงาน “ASIA PRINT EXPO By FESPA 2019” ระหว่างวันที่ 21-23 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยรวบรวมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการพิมพ์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เริ่มตั้งแต่เครื่องจักร หมึก อุปกรณ์ชิ้นส่วน โปรแกรมการพิมพ์ อุปกรณ์ควบคุม จนถึงการออกแบบ การนำไปใช้ รวมทั้งสินค้า บริการ และเทคโนโลยีรุ่นล่าสุดจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการพิมพ์มากกว่า 50 บริษัท

จากผลการศึกษาของ “เฟสป้า” พบว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมการพิมพ์บนเครื่องนุ่งห่มจะเป็นที่นิยมและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 12 ภายในปี ค.ศ. 2020 จึงได้จัดแสดงสาธิตธุรกิจแฟชั่นเสื้อผ้า หรือ Print Make Wear Asia ขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อนำเสนอแนวคิดและสินค้าที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการออกแบบ จนถึงเสร็จสิ้นเป็นเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับแฟชั่น โดยมีผู้สนับสนุนหลักคือ VASTEX สาธิตเทคโนโลยีการพิมพ์สกรีนแบบใหม่ แห้งเร็ว และ Easiway Systems สาธิตการใช้อุปกรณ์ล้างหมึกพิมพ์สกรีน พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการพัฒนาธุรกิจแฟชั่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน

“ตั้งแต่เวลา 11.00 น. ของทุกวัน บริเวณเวที N20 จะจัดให้มีการประชุมสัมมนาและสาธิตจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในและต่างประเทศ นำความรู้และประสบการณ์ความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ในหัวข้อหลากหลายเกี่ยวกับการพิมพ์สกรีน การพิมพ์ดิจิทัล การพิมพ์บนผ้า เรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยส่วนหนึ่งของคณะวิทยากรชั้นนำ ได้รับเกียรติจากสมาคมการพิมพ์สกรีนไทย” นางสาวเจนิส กล่าว

นางประภาพร ณรงค์ฤทธิ์ นายกสมาคมการพิมพ์สกรีนไทย กล่าวเสริมว่า ตลาดการพิมพ์และสกรีนไทย เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปีอย่างต่อเนื่องตามภาคเศรษฐกิจ เป็นผลจาก 18 อุตสาหกรรมล้วนพึ่งพาระบบการพิมพ์และสกรีนในภาคการผลิต ไม่ว่าจะเป็น กีฬา เซรามิก เครื่องใช้ไฟฟ้า และวงจรไฟฟ้า เป็นต้น โดยกลุ่มบรรจุภัณฑ์และสิ่งทอ เติบโตสูงที่สุด ดังนั้นการเตรียมความพร้อมทั้งในด้านเทคนิค นวัตกรรมเทคโนโลยี และการบริหารธุรกิจ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเรียนรู้ เพื่อสร้างสรรค์อนาคตการพิมพ์ให้มีความพิเศษและน่าสนใจ สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ภายในงานนี้มีการบรรยายในหัวข้อที่น่าสนใจคือ “แนวโน้มการตลาดดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย” โดยวิทยากรชั้นนำด้านการตลาดดิจิทัล คุณณัฐวีร์ ตันติสัจจธรรม ผู้ก่อตั้ง STEPS Academy ที่ปรึกษาแบรนด์สินค้าดังระดับโลก ตลอดจน สัมมนาพิเศษจากวิทยากรชื่อดังด้านธุรกิจสตาร์ทอัป เพื่อเปิดโลกทัศน์การบริหารธุรกิจการพิมพ์ให้เติบโตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ช่องทางและโอกาสทางการตลาดใหม่ในยุคดิจิทัล ติดตามหัวข้อเพิ่มเติมได้ที่ www.asiaprintexpo.com/conference

นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันหุ้มยานยนต์ระดับโลก World Wrap Masters โดย “เฟสป้า” ได้แต่งตั้งให้ นายภีมวัชช์ นุชพุ่ม นักห่อหุ้มยานยนต์ชั้นนำของไทย เป็นหนึ่งในกรรมการตัดสินการแข่งขัน “World Wrap Masters Asia” เพื่อคัดเลือกผู้ชนะเลิศแห่งภูมิภาคเอเชียไปแข่งขันในรอบสุดท้ายในงาน “FESPA Global Print Expo” ณ เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี ในเดือนพฤษภาคม 2562

นายภีมวัชช์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดห่อหุ้มยานยนต์ทั่วโลกมีมูลค่า 1.62 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 5 หมื่นล้านบาท โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีส่วนแบ่งตลาดประมาณร้อยละ 25 และมีการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าภูมิภาคอื่น การเติบโตในธุรกิจโฆษณาเคลื่อนที่ รูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่ต่ำลงเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดห่อหุ้มยานยนต์จะมีอนาคตสดใสมากในปีหน้า สำหรับการแข่งขันดังกล่าวจะได้พบผู้เชี่ยวชาญด้านการหุ้มยานยนต์จากทั่วโลกมาอวดฝีมือและความชำนาญในการหุ้มรถยนต์ “ฮอนด้า ซิตี้” และหุ้มวัสดุอื่น ๆ ในการแข่งขัน เช่น หมวกกันน็อก Decken โดยการใช้ไวนิล HEXIS ซึ่งที่เป็นผู้สนับสนุนหลัก

“เฟสป้า” ยังได้ลงทุนพัฒนาความรู้และสร้างเครือข่ายภาคธุรกิจไปทั่วโลก เพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างมืออาชีพ โดยจะมีการมอบรางวัล “FESPA AWARD” ให้แก่องค์กรที่มีความสามารถและจัดการธุรกิจได้อย่างดีเยี่ยม โดยผู้ประกอบการที่สนใจส่งผลงาน ติดตามรายละเอียดได้ที่ www.fespa.com

ผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมชมงาน ประชุมและสัมมนา ผ่านระบบออนไลน์ ภายในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยใช้รหัส ASAM901 ได้ที่ www.asiaprintexpo.com

 

 

 

“เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์” เปิดตัวโซนใหม่ “TAKE HOME” ซื้อกินที่ออฟฟิศ หอบกลับไปฟินที่บ้าน

“เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์” ศูนย์การค้าในเครือ “เอ็ม บี เค กรุ๊ป” เปิดให้บริการโซนใหม่ “TAKE HOME” ศูนย์รวมร้านอาหารคาว – หวาน เมนูที่ชื่นชอบของลูกค้าคนไทยและต่างชาติ พร้อมเครื่องดื่มชื่นใจเกือบ 50 ร้านค้า สำหรับลูกค้าซื้อกลับไปทานที่บ้าน รวมทั้งตอบโจทย์มื้อกลางวันสำหรับพนักงานออฟฟิศ พร้อมมอบประสบการณ์ด้านอาหาร (Food Experience) ของไทยให้กับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก อาทิ ขนมจีนน้ำยาปู สูตรปักษ์ใต้แท้จากครัวคุณยาย ลูกชิ้นปลาระเบิดน้ำจิ้มสุดแซ่บ ข้าวคอหมูย่างเนื้อนุ่ม เอาใจสายสุขภาพด้วยผักสลัดสดๆปลอดสารจากร้าน Salad Secret ชานมไต้หวันร้าน NOBI CHA รสชาติหอมละมุนในราคาโดนใจ พบกับความอร่อยอีกหลากหลายเมนูให้เลือกสรรได้แล้ววันนี้ที่ชั้น G โซน B

“โตโยต้า” คว้า 2 รางวัลด้าน APEAL จากความพึงพอใจลูกค้า

alivesonline.com : “เจ.ดี.พาวเวอร์” (J.D. Power 2018 Thailand Automotive Performance, Execution and Layout (APEAL) Study,SM) ผู้นำระดับโลกในการให้บริการด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับความพึงพอใจและพฤติกรรมของลูกค้า, ให้บริการที่ปรึกษา และการวิเคราะห์ข้อมูล เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยสมรรถนะ, ระบบปฏิบัติการ และการออกแบบรูปลักษณ์ของรถยนต์ในประเทศไทย ประจำปี 2561 ว่า เครื่องเสียง, ระบบความบันเทิง และระบบนำทาง (AENS) ทำให้เจ้าของรถยนต์รู้สึกว่าตัวรถยนต์มีความน่าดึงดูดใจมากขึ้นและมีความสำคัญมากที่สุด เมื่อเทียบกับหมวดหมู่อื่น ๆ ที่ส่งผลต่อสมรรถนะและการออกแบบรถยนต์คันใหม่โดยรวม

จากการศึกษายังพบว่า คุณลักษณะต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเครื่องเสียง, ระบบความบันเทิง และระบบนำทาง (AENS) ที่ได้รับความพึงพอใจน้อยที่สุด ได้แก่ ความน่าสนใจของจอแสดงผลจากระบบเครื่องเสียงและระบบนำทาง ความง่ายในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ใช้เล่นเพลงกับตัวรถยนต์ คุณภาพเสียงของการโทร เมื่อใช้การเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่านระบบบลูทูธ® รวมถึงลักษณะ และสัมผัสของปุ่มควบคุมเครื่องเสียง

ศิรส สาตราภัย ผู้อำนวยการระดับภูมิภาค เจ.ดี.พาวเวอร์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้นสำหรับลูกค้าที่สามารถเชื่อมต่อรูปแบบการดำเนินชีวิตของตัวเองไปพร้อมกับการใช้รถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน เพื่อฟังเพลง หรือใช้แอปพลิเคชันนำทางเข้ากับระบบเครื่องเสียงรถยนต์ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ความสามารถในการใช้งานและการออกแบบอุปกรณ์เหล่านี้ต้องมีมาตรฐานสูงสุด จากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งหมด พบว่าเจ้าของรถยนต์พึงพอใจในรถยนต์ของตนเองน้อยที่สุดในด้านเครื่องเสียง, ระบบสื่อสาร, ระบบความบันเทิง, ระบบนำทาง (ACEN) ซึ่งปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทั้งในส่วนของการออกแบบ ตำแหน่งการจัดวาง และประโยชน์จากการใช้งาน ผู้ผลิตรถยนต์และซัปพลายเออร์จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการปรับปรุงอุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าที่ลูกค้าคาดหวังไว้

การศึกษาในครั้งนี้ยังพบอีกว่า คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจโดยรวม อยู่ที่ 846 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 1,000 คะแนน) ในปี 2561 โดยเจ้าของรถยนต์อเนกประสงค์ให้คะแนนสูงสุดที่มีต่อความน่าดึงดูดใจของรถยนต์ (855 คะแนน) ตามมาด้วยเจ้าของรถกระบะ (845 คะแนน) และเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (843 คะแนน)

ข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมที่ได้จากการสำรวจ ประจำปี 2561

  • ปัญหาด้านคุณภาพที่เพิ่มขึ้น ลดความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อความน่าดึงดูดใจของรถยนต์ : ลูกค้าที่รถยนต์ไม่เคยประสบปัญหาด้านคุณภาพมีความพึงพอใจต่อความน่าดึงดูดใจโดยรวมของรถยนต์มากกว่าผู้ที่ประสบปัญหาคุณภาพตั้งแต่ 3 ปัญหาขึ้นไป (861 คะแนน เทียบกับ 809 คะแนน ตามลำดับ)
  • การออกแบบพื้นที่เก็บสัมภาระและพื้นที่ว่างต่างๆ จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง : ความพึงพอใจที่มีต่อที่วางแก้วด้านหลัง, พื้นที่เก็บของบริเวณคอนโซลกลาง และช่องเก็บของด้านหน้า รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ สำหรับผู้โดยสารที่นั่งเบาะด้านหลังแถวที่ 2 (พื้นที่เหนือศรีษะ, พื้นที่สำหรับวางขา และวางเท้า) ได้รับคะแนนน้อยที่สุดจากคุณลักษณะทั้งหมดของโมเดลการศึกษาวิจัยด้าน APEAL
  • ผู้ที่เป็นเจ้าของรถยนต์คันแรกมีความพึงพอใจน้อยกว่า : ผู้ที่ซื้อรถยนต์คันแรกให้คะแนน APEAL ต่ำกว่าผู้ที่เคยซื้อรถยนต์มาก่อนแล้ว (842 คะแนน เทียบกับ 852 คะแนน ตามลำดับ)
  • การออกแบบรูปลักษณ์และการใช้งานที่ดีจะช่วยส่งเสริมแบรนด์ให้ดีขึ้น : Net Promoter Score®[1] (NPS) เป็นตัววัดแนวโน้มของลูกค้าที่จะแนะนำยี่ห้อและรุ่นรถที่พวกเขาใช้อยู่ให้กับผู้อื่น จากการให้คะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 10 คะแนน ในปีนี้คะแนน NPS โดยรวมอยู่ที่ 52 คะแนน โดยกลุ่มเจ้าของรถยนต์ใหม่ที่ให้คะแนน 9 หรือ 10 คะแนนในการที่พวกเขาจะแนะนำยี่ห้อรถที่ตัวเองใช้อยู่ (Promoters) ให้คะแนน APEAL สูงถึง 879 คะแนน เมื่อเทียบกับเจ้าของรถยนต์ที่ให้คะแนน 0 ถึง 6 คะแนน (Detractors) ที่ให้คะแนน APEAL เพียง 724 คะแนน

ผลการจัดอันดับจากการศึกษาวิจัย

  • มิตซูบิชิ มิราจ ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก ด้วยคะแนน APEAL 849 คะแนน
  • ฮอนด้า แจ๊ส ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มรถยนต์ขนาดกลางระดับต้น ด้วยคะแนน APEAL 846 คะแนน
  • มาสด้า3 ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มรถยนต์ขนาดกลาง ด้วยคะแนน APEAL 852 คะแนน
  • โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดใหญ่ ด้วยคะแนน APEAL 865 คะแนน
  • เชฟโรเลต โคโลราโด เอ็กซ์-แคป และ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ พรีรันเนอร์ สมาร์ท แคป ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มประเภทรถกระบะตอนขยาย ด้วยคะแนน APEAL 850 คะแนน
  • ฟอร์ด เรนเจอร์ ไฮ-ไรเดอร์ ดี-แคป ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มประเภทรถกระบะ 4 ประตู ด้วยคะแนน APEAL 859 คะแนน

การศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้คำตอบของเจ้าของรถยนต์ในประเทศไทยเป็นมาตรวัดถึงสิ่งที่ทำให้เจ้าของรถมีความพึงพอใจต่อสมรรถนะและการออกแบบรถยนต์คันใหม่ของพวกเขาในช่วง 2-6 เดือนแรกของการเป็นเจ้าของ โดยการศึกษานี้ได้พิจารณาคุณลักษณะของรถยนต์ 76 คุณลักษณะ ซึ่งครอบคลุมองค์ประกอบของรถยนต์ 10 หมวดหมู่ ได้แก่ ภายนอกรถยนต์, ภายในห้องโดยสาร, พื้นที่เก็บสัมภาระและพื้นที่ว่าง, เครื่องเสียง/ ระบบสื่อสาร/ ระบบความบันเทิง/ ระบบนำทาง, เบาะที่นั่ง, ระบบทำความร้อน, ระบบระบายอากาศและระบบแอร์, สมรรถนะในการขับขี่, เครื่องยนต์/ ระบบเกียร์, ทัศนวิสัยและความปลอดภัยในการขับขี่, และการประหยัดเชื้อเพลิง

การศึกษาวิจัยสมรรถนะ, ระบบปฏิบัติการ และการออกแบบรูปลักษณ์ของรถยนต์ (APEAL) ในประเทศไทย ประจำปี 2561 ได้จากการประเมินคำตอบของเจ้าของรถใหม่จำนวน 5,106 รายที่ซื้อรถในช่วงเดือนกันยายน 2560 ถึงเดือนกันยายน 2561 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล, รถกระบะ และรถยนต์อเนกประสงค์ จำนวน 74 รุ่น จากทั้งหมด 13 ยี่ห้อ โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามในช่วงเดือนมีนาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน 2561.