ไทยติดอันดับ 43 ดัชนีนวัตกรรมโลก

alivesonline.com : สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดตัวโครงการ “Innovation Thailand” ตั้งเป้ายกระดับประเทศไทยจากประเทศฐานวัฒนธรรม สู่ภาพลักษณ์ใหม่ในการเป็นประเทศฐานนวัตกรรม ชูนวัตกรรมเพื่อความประณีตในการใช้ชีวิต หรือ Innovation for Crafted Living ซึ่งเป็นดีเอ็นเอนวัตกรรมที่เป็นจุดเด่นของคนไทยเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก หลังถูกจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลกขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 43

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า NIA เป็นองค์กรที่มีบทบาทในการเสริมสร้างระบบนวัตกรรมแห่งชาติและมุ่งสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศแห่งนวัตกรรม โดยเล็งเห็นความสําคัญของนวัตกรรมว่าจะช่วยขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและความสุขของประชาชนได้อย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการสนับสนุนทุนเพื่อสร้างนวัตกรไทย สร้างกิจกรรมและโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมเพื่อเพิ่มโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงนวัตกรรมได้อย่างทั่วถึง โดยล่าสุดได้ริเริ่มโครงการ “Innovation Thailand” เพื่อสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ด้านนวัตกรรมของประเทศไทย พร้อมทั้งสื่อสารไปสู่นานาชาติ ซึ่งโครงการนี้นับว่าสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ที่มีนโยบายที่จะสร้างและพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับประเทศไทยไปสู่ประเทศฐานนวัตกรรม (Innovation Nation) โดยการพัฒนานวัตกรรมชุมชน นวัตกรรมเชิงธุรกิจ และนวัตกรรมสังคม

“ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยได้สร้างนวัตกรรมมาแล้วมากมาย แต่คนต่างชาติรวมถึงคนไทยด้วยกันเองอาจจยังไม่ค่อยมีการรับรู้และยังมีติดกรอบมุมมองต่อประเทศไทยว่าเป็นประเทศแห่งวัฒนธรรม ดังนั้น การเปิดมุมมองใหม่ประเทศไทยที่แตกต่างด้วยนวัตกรรม จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างการรับรู้และสร้างการยอมรับไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดย NIA ได้ใช้แนวคิดเกี่ยวกับนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตอย่างประณีต หรือ Innovation for Crafted Living เป็นธีมหลักในการสื่อสาร ซึ่งนับเป็นดีเอ็นเอของคนไทยที่มีความประณีตในการใช้ชีวิต สะท้อนให้เห็นจากนวัตกรรมที่คนไทยได้สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อตอบโจทย์การทำให้ชีวิตมีความสะดวกสบาย มีความสุข และมีความประณีตในการใช้ชีวิตมากขึ้น”

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวด้วยว่า โครงการ Innovation Thailand เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศเพื่อให้คนไทยรู้สึกภาคภูมิใจกับนวัตกรรมของไทยและเป็นอีกแรงเสริมที่จะช่วยจุดประกายให้คนไทยสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้เศรษฐกิจมากขึ้น อีกกลุ่มเป้าหมายที่สําคัญคือชาวต่างชาติที่ต้องการลงทุน หรือมองหานวัตกรรมจากประเทศไทย โดยจะสื่อสารผ่านช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ อาทิ งานแสดงนิทรรศการ Innovation Thailand Expo การออกบูธร่วมกับงานต่าง ๆ ข่าวประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก คลิปวิดีโอ เป็นต้น ซึ่งเนื้อหาที่จะสื่อสารนั้นมีทั้งข้อมูลโครงการ Innovation Thailand เรื่องราวนวัตกรรมของไทยทั้งในรูปของผลิตภัณฑ์ บริการ กระบวนการ รวมไปถึงรูปแบบใหม่ ๆ ของธุรกิจที่มีการคิดค้นสร้างสรรค์และต่อยอดโดยคนไทย และความรู้ หรือเทรนด์นวัตกรรม ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดนี้จะกลายเป็นฐานข้อมูลด้านนวัตกรรม (Innovation Database) และเป็น Hub of Innovation ให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงข้อมูลนวัตกรรมของประเทศไทยที่เป็นจริง จับต้องได้ และอัปเดท พิสูจน์ได้ว่าประเทศไทยมีนวัตกรรมมากมายและหลากหลาย

“การปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ให้กับประเทศไทยในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน โดยหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในแต่ละส่วนงานจะทำงานแบบบูรณาการ โดยเฉพาะเรื่องของการร่วมมือร่วมใจสร้างความเข้มแข็งและความเชื่อมโยงกับทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายร่วมกันว่าจะผลักดันนวัตกรรมประเทศไทยให้เป็นยอมรับและได้อันดับสูงขึ้นจากการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก หรือ GLOBAL INNOVATION INDEX ซึ่งปีนี้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความสามารถด้านนวัตกรรมอยู่ที่ 43 เพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 44 เมื่อปี 2561 และยังติดอันดับ 4 จากทั้งหมด 34 ประเทศในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง เป็นประเทศที่สามารถพัฒนานวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพเกินความคาดหมายเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ” ดร.พันธุ์อาจ กล่าวในตอนท้าย

 

 

“โฮมโปร แฟร์ ขอนแก่น” จัดเต็ม ! ลดราคาสินค้าสูงสุด 70%

“โฮมโปร” ยกขบวนสู่แดนอีสาน จัดมหกรรมความสุข “โฮมโปร แฟร์ ขอนแก่น” งานแฟร์เรื่องบ้าน ที่ทุกคนต้องมา จัดเต็มเทรนด์สินค้าเรื่องบ้าน เครื่องมือช่าง สินค้าคลีนนิ่ง รวมกว่า 1 พันรายการ เอาใจคนรักบ้าน ด้วยโปรโมชั่นสุดโดนใจ ลดสูงสุด 70% คืนกำไรจัดหนักคุ้มค่าตลอดงาน ไปกับสิทธิพิเศษมากมาย พร้อมร้านอาหารดัง และบรรยากาศสุดฟินสไตล์ผ้าขาวม้าตลอด 10 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 18-27 ตุลาคม 2562 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ ขอนแก่น (KICE) ริมถนนมิตรภาพ ตั้งเป้ายอดขายกว่า 60 ล้านบาท

นางสาวศิริวรรณ เปี่ยมเศรษฐสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เผยว่า การจัดงาน “โฮมโปร แฟร์ ขอนแก่น” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ของปี 2562 ถือเป็นกิจกรรมสำคัญที่คาดว่าจะสามารถสร้างความคึกคักให้กับเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ได้เป็นอย่างดี รวมถึงจังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว “ชิมช้อปใช้” ที่จะเพิ่มตัวเลขของนักท่องเที่ยวได้อีกเท่าตัว โดยการจัดงานทุกครั้งที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าแฟนพันธ์แท้ของโฮมโปร พร้อมทั้งได้ฐานลูกค้าสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับมหกรรมความสุขเรื่องบ้าน “โฮมโปร แฟร์ ขอนแก่น” ในครั้งนี้ “โฮมโปร” จัดเต็ม ยกขบวนสินค้าและของตกแต่งบ้านกว่า 1 พันรายการมาเยือนแดนอีสาน โดยเฉพาะสินค้าเรื่องบ้านกลุ่ม Home Improvement ฟื้นฟูผู้ประสบภัยน้ำท่วม และซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย สินค้าอุปกรณ์เครื่องมือช่าง สินค้าคลีนนิ่ง สีทาบ้าน และเฟอร์นิเจอร์-ของตกแต่งบ้านต่าง ๆ ในบรรยากาศมนต์เสน่ห์พื้นบ้านแดนอีสานสไตล์ผ้าขาวม้า พร้อมด้วยโปรโมชั่นดีต่อใจเพื่อคนรักบ้าน ลดสูงสุดถึง 70%!

พร้อมชอปสนุกครบทุกความคุ้มกับ สินค้า Super SHOCK!! ลดราคาขั้นสุด จำนวนจำกัด มาครบทั้ง เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, อุปกรณ์ครัว, ชุดเครื่องนอน, สุขภัณฑ์, เครื่องกรองน้ำ, อุปกรณ์ช่าง, สินค้ากลุ่มคลีนนิ่ง, เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน รวมไปถึงสินค้าจาก Bike Club จักรยานและเครื่องออกกำลังกาย ราคาสุดพิเศษ ให้ชาวอีสานได้สัมผัสก่อนใคร พร้อมอัปเดทความคุ้ม เปลี่ยนวันธรรมดาเป็นวันพิเศษกับ WEEKDAY STAR วันจันทร์-ศุกร์ รับส่วนลดเพิ่มอีก 15% ตั้งแต่ 18 ต.ค. และ 21-25 ต.ค. 62 อาทิ แอลอีดี ทีวี 43 นิ้ว, ตู้เย็น Hitachi, เครื่องซักผ้า Samsung, เครื่องปรับอากาศ Mitsubishi, ตู้เก็บของ, ที่นอน, เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย หมดแล้วหมดเลย

พิเศษ ! เมื่อ ชอปสินค้าแผนกที่นอน เครื่องนอน ตั้งแต่ 148,000 บาทขึ้นไป รับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปร 12,000 บาท พร้อม รับส่วนลดเพิ่ม 1,200 บาท เมื่อซื้อทีวี เครื่องเสียง แอร์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป/ ใบเสร็จ ชอปเครื่องทำน้ำอุ่น น้ำร้อน หม้อต้ม รับฟรีสร้อยคอทองคำ 1 บาท เมื่อช้อปครบ 400,000 บาท รับฟรี สร้อยคอทองคำ 1 สลึง เมื่อช้อปครบ 150,000 บาท ชอปสินค้าแผนกสี ครบ 500,000 บาท รับฟรี สร้อยคอทองคำ 1 บาท ช้อปชุดห้องนอน SB Furniture ลดเพิ่มสูงสุด 15% และรับฟรี คูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จ รวมมูลค่า 200 บาท เมื่อชอปครบ 8,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ

คืนกำไรจัดเต็ม ด้วยโปรโมชันโดนใจคนรักบ้าน ชอปครบ…รับฟรี บัตรของขวัญจากโฮมโปร เมื่อชอปครบ 40,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 1,000 บาท ชอปครบ 100,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 4,000 บาท ชอปครบ 200,000 บาท รับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 10,000 บาท และชอปครบ 400,000 บาท รับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 22,000 บาท พร้อมรับสิทธิ์สุดพรีเมียมสำหรับ สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลตินัม รับส่วนลดเพิ่มทันที 3% + ลดเพิ่มอีก 13% และรับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 2% เมื่อรูดเต็มจำนวน พร้อมรับสิทธิ์ผ่อนทั้งงาน 0% นานสูงสุดถึง 10 เดือน สำหรับลูกค้าบัตรโฮมโปร เฟิร์สช้อยส์ รับสิทธิ์ผ่อนสินค้าทั้งงาน 0% นานสูงสุด 12 เดือน พร้อมรับเครดิตเงินคืนและของสมนาคุณสูงสุดอีก 15,000 บาท

ชอปคุ้มด้วยบัตรโฮมการ์ด สำหรับลูกค้าบัตรโฮมการ์ด รับส่วนลดเพิ่ม 20% เมื่อใช้คะแนนสะสมเท่ายอดซื้อ เมื่อชอปตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป หากคะแนนในบัตรไม่พอ สามารถโอนเติมคะแนนจากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ เป็นคะแนนโฮมการ์ดไปชอปต่อได้ทันที และสำหรับสมาชิกที่ลงทะเบียนหน้างาน รับฟรี Discount Voucher รวมมูลค่า 1,200 บาท พร้อมรับสิทธิพิเศษ เฉพาะสมาชิก HomePro Connect เพียงสแกน QR Code ลงทะเบียนผ่าน Line รับฟรี คูปองส่วนลดรวมมูลค่า 300 บาททันที

คะแนนสะสมแลกของฟรี เพียงใช้คะแนนสะสมจากบัตรโฮมการ์ด หรือบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ มาแลกของสะสมสไตล์พรีเมียม ฟรี! ที่บริเวณหน้าประตูทางเข้าฮอลล์ พร้อมรับของขวัญจากสถาบันการเงินชั้นนำต่าง ๆ มอบส่วนลด เครดิตเงินคืน และบัตรของขวัญโฮมโปร และรับสิทธิพิเศษ ผ่อนชำระ 0% ทั้งงาน! นานสูงสุดถึง 24 เดือน

ห้ามพลาดกับ “โฮมโปร แฟร์ ขอนแก่น” งานแฟร์เรื่องบ้านที่ทุกคนต้องมา ในบรรยากาศงานเทศกาลแดนอีสาน 10 วันเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 18-27 ตุลาคม 2562 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ ขอนแก่น (KICE) ริมถนนมิตรภาพ รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.homeprofair.com

CLEAR เปิดเว็บไซต์ช่วยวัยรุ่นรับมือ “โรคกลัวสังคม”

alivesonline.com : CLEAR แบรนด์แชมพูขจัดรังแคอันดับ 1 ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชนรับมือกับ “โรคกลัวสังคม” หรืออาการกลัวการเข้าสังคมที่กำลังมีจำนวนผู้ประสบปัญหาเพิ่มขึ้นในปัจจุบันจากผลกระทบของโลกในยุคที่เทคโนโลยีทำให้คนเชื่อมต่อและเข้าถึงกันได้ตลอดเวลา

จากการศึกษาพบว่า หากเยาวชนได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำที่ถูกวิธีจะมีภูมิต้านทานต่อความกดดันในสังคมและสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เพื่อสร้างเกราะป้องกันทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งให้แก่เยาวชน CLEAR จึงได้ร่วมกับสถาบันวิจัย Resilience Research Centre (RRC) จัด “โครงการสร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์และจิตใจ” (CLEAR Resilience Bootcamp) ให้แก่เยาวชนเพื่อให้ความรู้และแนวทางในการรับมือกับความกลัวสังคมการเข้าสังคมผ่านช่องทางออนไลน์

CLEAR เชื่อว่าคนทุกคนควรได้มีโอกาสแสดงตัวตนและเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด แต่ “โรคกลัวสังคม” หรืออาการกลัวจากการถูกตัดสินจากสังคมภายนอกกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของเยาวชนในการแสดงออกซึ่งความเป็นตัวตน

จากการศึกษาซึ่งจัดทำขึ้นโดย CLEAR ซึ่งสำรวจกลุ่มตัวอย่างเยาวชนในช่วงอายุ 16-29 ปี จำนวน 3 พันคนใน 3 ประเทศคือ บราซิล จีน และ สหราชอาณาจักร พบว่า เยาวชนถึง 2 ใน 3 (หรือประมาณ 57%) มีปัญหากลัวการเข้าสังคม โดย 2 ใน 3 (67%) รู้สึกถูกกดดันจากสังคมในโรงเรียนและสังคมรอบตัวจึงทำให้ขาดความมั่นใจในตัวเอง จากการศึกษายังพบว่า โซเชียลมีเดียเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เยาวชนเกือบครึ่ง (49%) เกิดความวิตกกังวลว่าจะถูกตัดสินจากบนโซเชียล

เยาวชนมากกว่าครึ่ง (52%) ยังรู้สึกว่าอาการกลัวสังคมเป็นเรื่องที่ยากที่จะแก้ และไม่แน่จะว่าจะใช้ตัวช่วยที่แม้ว่าจะมีอยู่หลากหลายช่องทางในสังคมอย่างไรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันความวิตกกังวลให้ตัวเอง จากสาเหตุดังกล่าว CLEAR จึงได้จัดโครงการสร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์และจิตใจ CLEAR Resilience Bootcamp ให้แก่เยาวชนเพื่อให้ความรู้และแนวทางในการรับมือกับความกลัวสังคมทั้งแบบตัวต่อตัวและผ่านช่องทางออนไลน์

“ภูมิต้านทาน” (Resilience) ในที่นี้หมายถึง การที่เยาวชนมีสุขภาพจิตที่เข้มแข็ง สามารถรับมือกับความท้าทายและความกดดันที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน หรือสังคมรอบตัว โดยมากกว่า 52% เชื่อว่าการมีภูมิต้านทานทางด้านจิตใจที่เข้มแข็งจะสามารถให้เอาชนะความกลัวสังคมได้ ซึ่งภูมิต้านทานทางจิตใจนั้นประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ความทนทานของแต่ละบุคคลกับเรื่องต่าง ๆ รอบตัวว่าสามารถรับมือกับปัจจัยกดดันภายนอกได้อย่างไรเพื่อไม่ก่อให้เกิดอาการกลัวสังคม เช่นเมื่อต้องเข้าโรงเรียนใหม่ หรือทำงานที่ใหม่ อีกส่วนคือการได้รับการสนับสนุนจากเพื่อน ครอบครัว ครูอาจารย์ คนรอบตัวและสังคมมากน้อยเพียงใด โดยเยาวชนกว่า 52% คิดว่าตัวเองมีภูมิต้านทานทางด้านจิตใจที่แข็งแรง แต่อย่างไรก็ดี เยาวชนกว่า 74% อยากจะเข้าใจวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อสังคมรอบตัวต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่มาของความกลัวการเข้าสังคม

นายไทร ทราน ทูว์, รองประธาน แบรนด์ CLEAR โดย “ยูนิลีเวอร์” กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่า 1 ใน 3 ของเยาวชนไม่รู้ว่าจะหาข้อมูลที่ใดเมื่อต้องการความช่วยเหลือในการรับมือกับความวิตกกังวล และเพื่อแก้ไขปัญหาในจุดนี้ให้แก่เยาวชน CLEAR จึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่กำลังขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่องให้แก่เยาวชน

โครงการสร้างภูมิต้านทานทางจิตใจภายใต้ชื่อ CLEAR Resilience Bootcamp ซึ่ง CLEAR ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัย RRC เปิดให้ใช้งานแล้วอย่างเป็นทางการในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าไปทดลองร่วมทำแบบสอบถามที่ออกแบบขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาการ ชมวิดีโอสร้างแรงบันดาลใจจากบุคคลตัวอย่างในสังคม หรืออ่านบทความให้ความรู้ ซึ่งกิจกรรมที่กล่าวมานี้ เยาวชนจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้าใช้งานได้ผ่านทางเว็บไซต์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

เมื่อเข้าไปที่เว็บไซต์ เยาวชนและผู้สนใจจะได้พบกับชุดคำถามที่จะวิเคราะห์ระดับอาการโดยวัดจากระดับความกล้าและความแข็งแรงของสุขภาพจิตในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ เมื่อได้รับผลคะแนน ผู้ตอบแบบสอบถามจะถูกนำเข้าสู่หน้าโฮมเพจของเว็บไซต์ที่จะมีบทเรียนผ่านวิดีโอและบทความที่จะช่วยสร้างภูมิต้านทานทางจิตใจให้แข็งแกร่งขึ้น อาทิ วิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง หรือคำแนะนำเมื่อต้องรับมือกับสถานณการณ์ที่ตึงเครียด

โครงการ CLEAR Resilience Bootcamp คือก้าวแรกของความมุ่งมั่นจาก CLEAR ที่จะช่วยเหลือเยาวชนจากความกลัวสังคม โดยในอนาคตอันใกล้ CLEAR ยังมีแผนโครงการเพิ่มเติม อาทิ

  • จัดทำการสำรวจเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุของอาการกลัวสังคมในกลุ่มเยาวชนทั่วโลก
  • ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันจิตใจที่เข้มแข็งให้แก่เยาวชนผ่านแฟลตฟอร์มที่ครอบคลุม ไม่มีค่าใช้จ่าย เข้าถึงได้ง่าย และมีหลักทางวิทยาศาสตร์รับรอง
  • จัดทำหลักสูตรเทรนนิ่งซึ่งได้รับการรับรองจากสถาบัน RRC โดยผู้เชี่ยวชาญแบบตัวต่อตัวให้แก่เยาวชนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

สำหรับผู้สนใจร่วมทำแบบทดสอบภูมิต้านทานทางจิตใจของตัวเอง และกิจกรรมจากโปรเจ็ค CLEAR Resilience Bootcamp สามารเข้าไปที่ เว็บไซต์ภาษาอังกฤษที่ www.keepaclearhead.clearhaircare.com

รพ.นครธน เปิดตัว “ทีมกุมารแพทย์เฉพาะทาง”

alivesonline.com : “โรงพยาบาลนครธน” โรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคเฉพาะทางภายใต้นโยบายดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ เปิดตัว “ทีมกุมารแพทย์เฉพาะทาง” ของศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนครธน อาทิ กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านทารกแรกเกิด กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านโรคหัวใจ กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านโรคระบบประสาท กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านจิตเวชเด็ก เป็นต้น พร้อมให้บริการแบบองค์รวม โดยมุ่งเน้นการรักษาแบบเจาะลึกไปในแต่ละโรคและดูแลรักษาเด็กหนึ่งคนโดยทีมกุมารแพทย์เฉพาะทาง เพื่อการรักษาที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ

นพ.วิโรจน์ ตระการวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลนครธน กล่าวว่า เด็กแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน การดูแลรักษาโรคในเด็กมีความซับซ้อนไม่ต่างจากผู้ใหญ่ จึงต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและเข้าใจ โรงพยาบาลนครธนจึงสร้างทีมกุมารแพทย์เฉพาะทางซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคเฉพาะทางสำหรับเด็กหลากหลายสาขามาทำงานร่วมกัน เพื่อวางแผนวิเคราะห์แนวทางการดูแลรักษาและวินิจฉัยโรคได้อย่างเหมาะสม รวดเร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยทีมแพทย์จะดูแลสุขภาพเด็กหนึ่งคนแบบเป็นทีม ซึ่งจะเห็นได้ว่าเราดูแลทุกส่วนในระบบของร่างกายเด็ก

นอกจากนี้ยังมีนโยบายมาตรฐานการบริการที่มุ่งเน้นเรื่องการตรวจสอบ การส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้องและการให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้บริการที่ถูกต้องตามทางการแพทย์ ซึ่งข้อปฏิบัตินี้ถือเป็นระบบมาตรฐานที่ควรให้ความสำคัญยิ่งในระดับสากล ดังนั้นผู้ปกครองจะสามารถเชื่อมั่นได้ว่า โรงพยาบาลนครธนสามารถดูแลสุขภาพของบุตรหลานของท่านได้อย่างครอบคลุมและมีคุณภาพได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิดจนเติบโตถึงช่วงวัยรุ่น

ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนครธน ได้จัดเตรียมความพร้อมของทีมกุมารแพทย์เฉพาะทางไว้ถึง 8 กลุ่มโรคด้วยกัน ได้แก่

1.กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการดูแลจากกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านทารกแรกเกิดซึ่งจะได้รับการตรวจคัดกรองหาความผิดปกติ ของร่างกายในระบบต่าง ๆ ที่เป็นมาตรฐานสากล

2.กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ ทั้งไวรัสและแบคทีเรียตัวร้ายที่ทำให้เด็ก ๆ ป่วยเช่น โรคไข้หวัดโรคไข้หวัดใหญ่ โรคมือ เท้า ปาก โรคปอดอักเสบ เป็นต้น พร้อมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ

3.กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านโรคหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจะพบได้ประมาณร้อยละ 1 ของเด็ก หากสามารถวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดได้เร็วจะนำไปสู่การรักษาได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นได้

4.กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านโรคระบบประสาท เช่น โรคลมชัก ซึ่งเป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็ก โดยโรงพยาบาลจะมีเครื่องมือตรวจวินิจฉัยได้ตามมาตรฐาน ได้แก่ เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง และเครื่องสแกนสมองแม่เหล็กไฟฟ้า นอกจากนี้ยังสามารถใช้บริการโรคระบบประสาทอื่น ๆ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เลือดออกในสมอง ฝีในสมอง หนองในช่องเยื่อหุ้มสมอง ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ สมองพิการและไขสันหลังผิดปกติ และโรคกะโหลกศีรษะเชื่อมติดก่อนกำหนด เป็นต้น

5.กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านโรคไต สามารถพบได้ในเด็กแรกเกิด ซึ่งอาจพบความผิดปกติของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ

6.กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านโรคภูมิแพ้ ซึ่งมีสาเหตุหลักจากพันธุกรรม นอกจากนี้มลภาวะทำให้พบเด็กเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มมากขึ้นถึง 60% อาการของโรคภูมิแพ้จะแสดงแตกต่างกันตามช่วงอายุ ควรปรึกษาแนวทางการดูแลรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง เพื่อค้นหาสาเหตุและแก้ไขให้ตรงจุด

7.กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านจิตเวชเด็ก การดูแลเด็กแต่ละคนควรได้รับการตรวจประเมินและส่งเสริมพัฒนาการที่สมวัยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ โดยจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นจะคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด เฉพาะรายบุคคลรวมถึงการปรับพฤติกรรมและการฝึกวินัยเชิงบวกในเด็กและวัยรุ่น พร้อมทั้งค้นหาเหตุและให้การบำบัดรักษาเด็กที่มีปัญหา

8.กลุ่มโรคเฉพาะทางด้านต่อมไร้ท่อ จะทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและความผิดปกติเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ หรือด้านฮอร์โมน เช่น การเจริญเติบโตผิดปกติ เป็นหนุ่มสาวก่อนวัย หรือล่าช้า โรคอ้วนและเบาหวาน โรคกระดูกและความผิดปกติของแคลเซียม ซึ่งควรได้รับการตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด

โรงพยาบาลนครธน ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการดูแลเด็ก 1 คนแบบครอบคลุมครบทุกด้าน จึงเป็นเหตุผลให้มีศูนย์สุขภาพเด็กและทีมกุมารแพทย์เฉพาะทางหลากหลายสาขา เพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลปัญหาสุขภาพของเด็กแต่ละคนที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรกเกิด

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมของ ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนครธน ได้ที่ ศูนย์สุขภาพเด็ก ชั้น 2 โทร.0 2450 9999

Web

 

“ฮิตาชิ เอเชีย – เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” ลงขัน 100 ล้านเหรียญสหรัฐรับตลาดดิจิทัลอสังหาฯ

(จากซ้ายไปขวา) นายโคจิน นากากิตะ รองประธานกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ส่วนภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก บริษัท ฮิตาชิ จำกัด ประธาน บริษัท ฮิตาชิ เอเชีย จำกัด และประธาน บริษัท ฮิตาชิ อินเดีย จำกัด นายโทชิอากิ ฮิกาชิฮาร่า ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮิตาชิ จำกัด นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธาน บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และ นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

alivesonline.com : “ฮิตาชิ เอเชีย” และ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศร่วมทุน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ขับเคลื่อนการปฏิรูปทางดิจิทัลของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียแปซิฟิกอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า คาดขนาดของตลาดที่เข้าถึงได้ในเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่นและจีนจะมีมูลค่าถึง 82 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568

ในบันทึกข้อตกลงความเข้าใจในความร่วมมือดังกล่าว ซึ่งลงนามที่กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ระบุว่า ทั้งสองบริษัทจะศึกษาหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อเร่งให้เกิดการปฏิรูปทางดิจิทัล สำหรับ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” และอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยจะเริ่มต้นในสิงคโปร์ ไทย และออสเตรเลีย รวมไปถึงการร่วมกันพัฒนาและลงทุนในบริการใหม่ ๆ

ด้วยความเชื่อมั่นที่มีร่วมกันว่า เทคโนโลยีและการปฏิรูปทางดิจิทัลจะขับเคลื่อนแนวทางการดำเนินธุรกิจในอนาคตและช่วยพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น ทีมงานทางเทคนิคและธุรกิจของ “ฮิตาชิ เอเชีย, เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” และสถาบันการเงินของญี่ปุ่นได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการพัฒนาแพลตฟอร์มที่มีความหลากหลาย เพื่อส่งมอบเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น โซลูชันการให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน (IaaS) ซึ่งจะสร้างความสุขและประสบการณ์เป็นเลิศสำหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยทั้งสองบริษัทจะใช้ข้อได้เปรียบและทรัพยากรของกันและกันเพื่อร่วมกันคิดค้นวิธีเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโออสังหาริมทรัพย์ของ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” ให้มีความยั่งยืน อันเป็นการต่อยอดจากโครงการที่เริ่มต้นแล้ว โดยศึกษาการออกแบบบริการของเมืองอัจฉริยะสำหรับระบบปฏิบัติงานการบริหารสถานที่ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับโครงการ One Bangkok ซึ่งเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่สร้างและออกแบบที่เชื่อมโยงสรรพสิ่งเข้าด้วยกันโดยคำนึงถึงคนเป็นศูนย์กลาง ทั้งยังเน้นด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและการใช้ชีวิตในเมืองอัจฉริยะ

นายโคจิน นากากิตะ รองประธานกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ส่วนภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก  ประธานบริษัท บริษัท ฮิตาชิ เอเชีย จำกัด และประธานบริษัท บริษัท ฮิตาชิ อินเดีย จำกัด กล่าวว่า เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้. ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีความเชื่อเหมือนกับเราในด้านการส่งเสริมสังคมที่ยั่งยืน ด้วยธุรกิจนวัตกรรมสังคม (Social Innovation Business) ของ “ฮิตาชิ” เราจะใช้เทคโนโลยีเชิงปฏิบัติงาน (OT) และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ของเรา ร่วมกับ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” เพื่อพัฒนาโซลูชัน go-to-market และสร้างชีวิตที่ดีขึ้นและความสุขให้กับผู้คน

ด้าน นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความว่าเราจำเป็นต้องหาวิธีสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าของเรา สิ่งที่เราประกาศในวันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือกันเพื่อเร่งการปฏิรูปทางดิจิทัล สำหรับ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ “ฮิตาชิ” และแบ่งปันความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์และการตลาดท้องถิ่นรวมถึงเครือข่ายของเรา

[ชมคลิป] “เปิดปฏิบัติการกองทุนกล้าไม้” ฝันที่เป็นจริงของคนบ้าปลูกต้นไม้ 3 ล้านต้น !

alivesonline.com : ยังจำได้ไหม  ? “ร.ต.ต.วิชัย สุริยุทธ” อดีตนายตำรวจ สภ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ หรือที่ใครหลายๆ คนรู้จักกันในนาม “ดาบวิชัย คนบ้าปลูกต้นไม้ 3 ล้านต้น”

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2531 “ดาบตำรวจวิชัย สุริยุทธ” ผู้บังคับหมู่ สภ.อ.ปรางค์กู้ จ.ศรีสะเกษ ในครั้งนั้น เห็นว่า อำเภอปรางค์กู่ ตั้งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทุ่งนาโล่ง มีต้นไม้น้อยมาก หากไม่เริ่มปลูกต้นไม้ตั้งแต่ตอนนั้น ความแห้งแล้งก็จะทวีคูณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

“ดาบวิชัย” จึงเริ่มออกไปปลูกต้นไม้ด้วยตนเองก่อนด้วยความเพียรและความตั้งใจเพื่อให้อำเภอปรางค์กู่มีต้นไม้เพิ่มมากขึ้นและให้ความสมบูรณ์ทางธรรมชาติกลับคืนมา จวบจนปัจุบันมีเครือข่าและลูกศิษย์จำนวนมากเริ่มทำตามแนวทางของ “ดาบวิชัย” ซึ่งได้รับการยอมรับและเรียกขานว่า “พ่อดาบ” โดยทำ “พืชสวนนาป่า คันนาทองคำ” ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตัวเอง รวมถึงเข้าร่วมเป็น “จิตอาสา” ปลูกต้นไม้ในที่สาธารณะต่าง ๆ มีการเก็บเมล็ดพันธุ์ร่วมกัน เพาะกล้าไม้ ปลูกต้นไม้ตามสถานที่ต่าง ๆ ตลอดจนเป็นวิทยากรให้ความรู้ด้านต่าง ๆ ตามความถนัดของแต่ละคน เพื่อให้ความรู้และเป็นวิทยาทานให้นักเรียนนักศึกษาและบุคคลทั่วไปที่สนใจ ทั้งยังมีการตั้งโรงเรือนเพาะชำในนาม “กลุ่มพืชสวนนาป่าคันนาทองคำ” และเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) อำเภอปรางค์กู่ เพื่อแจกจ่ายให้ผู้คนในชุมชน วัด โรงเรียน ตลอดจนพื้นที่อื่น ๆ ที่ต้องการนำพันธุ์ไม้ไปเพาะปลูกต่อไป

จนกระทั่งวันที่ 19 ตุลาคม 2562 สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) ได้จัด โครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา “เปิดปฏิบัติการกองทุนกล้าไม้” โดยใช้พื้นที่ 12 ไร่ ของ นางแรม เขตนิมิตร ณ เลขที่ 8 หมู่ 2 บ้านหนองหิน ต.ดู่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ เป็นที่ตั้งโครงการ โดยได้รับเกียรติจาก นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ

ถือเป็นความน่าภาคภูมิที่ควรค่าแก่การ “สานต่อ” เพื่อแสดงพลัง ภายใต้แนวคิด “ต้นไม้ยั่งยืน กองทุนมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง” อย่างไม่มีที่สิ้นสุด.

[ชมคลิป] ระดมพลังสมาชิก กทบ. 13 ล้านคนร่วมโครงการ “เปิดปฏิบัติการกองทุนกล้าไม้”

alivesonline.com : สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผนึกภาคีเครือข่ายภาครัฐและภาคการศึกษา เปิดโครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา “เปิดปฏิบัติการกองทุนกล้าไม้” ภายใต้แนวคิด “ต้นไม้ยั่งยืน กองทุนมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง” หวังใช้พลังสมาชิกกองทุนฯ 8 หมื่นแห่งทั่วประเทศ รวม 13 ล้านคนเป็นกำลังสำคัญ รวมพลังร่วมพลิกฟื้นผืนป่า ปลูกต้นไม้ในโอกาส “ก้าวสู่ปี่ 20 กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ” วันที่ 25 ก.ค.63 พร้อมร่วมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เรื่อง “ไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง”

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการจัดงานโครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา “เปิดปฏิบัติการกองทุนกล้าไม้” จัดโดย สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา ณ บ้านดู่ ต.หนองหิน อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ในอดีตประเทศไทยมีความสมบูรณ์ทางด้านทรัพยากรธรรมชาติในเรื่องของต้นไม้ป่าไม้ แต่จะเห็นได้ว่าในช่วงหลังพื้นที่ป่าไม้ลดลงและมีจำนวนที่จำกัด จนก่อให้เกิดปัญหาดินถล่ม ภัยแล้ง น้ำท่วม ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นผลมาจากต้นไม้และป่าไม้ของประเทศลดลงทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ทั้งยังไม่ใช่แต่ประเทศไทยเท่านั้นเพราะในหลายประเทศก็อยู่ในภาวะการณ์เดียวกัน ภาครัฐเล็งเห็นถึงความสำคัญของป่าไม้ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญ จึงผลักดันนโยบายการเพิ่มพื้นที่ป่าขึ้น โดยการขับเคลื่อน โครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา “เปิดปฏิบัติการกองทุนกล้าไม้” ภายใต้แนวคิด “ต้นไม้ยั่งยืน กองทุนมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง”

สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) ที่มีกว่า 13 ล้านคนทั่วประเทศ ถือเป็นกำลังและพลังสำคัญ ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสุข สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และมูลค่าอย่างยั่งยืนให้สมาชิกกองทุนฯ โครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา “เปิดปฏิบัติการกองทุนกล้าไม้” จึงเป็นโครงการที่ให้สมาชิกกองทุนฯ มาร่วมเปลี่ยนแปลงพลิกฟื้นพื้นป่าประเทศไทยให้มีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้งนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยประสบปัญหาเรื่องภัยพิบัติทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง ไต้ฝุ่น ดินถล่ม ซึ่งเกิดจากทรัพยากรธรรมชาติ นั่นคือป่าไม้และต้นไม้จากที่เคยอุดมสมบูรณ์ต้องสูญเสียไป ส่งผลต่อการดำรงชีวิต จึงเกิดการร่วมระดมความคิดเห็นก่อเกิดเป็นแนวทางในแก้ไขปัญหา

นายกอบศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) มีสมาชิกกองทุนฯ ทั่วประเทศที่จะเป็นกำลังในการปลูกต้นไม้ เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าและยังนำมาใช้สอย สร้างอาชีพได้อีกด้วย พร้อมยังได้เตรียมการปลูกต้นกล้าเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2562 ทั้งยังนับเป็นการนำพระราชดำริล้นเกล้าของ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งทรงตรัสเสมอว่า “ต้นไม้” เราปลูกไม้ 3 อย่างมีประโยชน์ 4 อย่าง ได้แก่ ไม้ใช้สอย ไม้ผล ไม้เศรษฐกิจ การนำไปใช้ประโยชน์ ได้แก่ นำไปใช้ทำฟื้น ผลไม้ใช้กิน ทำมาหากินโดยนำไปขาย และสุดท้ายเป็นการอนุรักษ์ดินอนุรักษ์ป่า การปลูกต้นไม้ในครั้งนี้จึงเป็นร่วมพลัง ความรักและน้อมนำพระราชดำรัสสร้างป่าให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมือนในอดีต

ทางด้าน  ผู้อํานวยการ สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) เป็นองค์กรภาคประชาชนที่ก่อตั้งมา 18 ปี มีการตั้งกองทุนฯ รวมประมาณ 8 หมื่นกองทุนทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญเดินหน้าขับเคลื่อนการปลูกต้นไม้ให้เต็มแผ่นดินให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา “เปิดปฏิบัติการกองทุนกล้าไม้” ภายใต้แนวคิด “ต้นไม้ยั่งยืน กองทุนมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง” ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนปลูกเป็นรายบุคคลทำให้ขาดกำลังในการสนับสนุน แต่วันนี้สมาชิกกองทุนฯ ที่มีพลังผู้ปลูกจะมีกองทุนหมู่บ้านเป็นพลังองค์กรที่จะเข้ามาสนับสนุนให้ประสบความสำเร็จและทำให้การปลูกต้นไม้ได้เต็มแผ่นดินเกิดขึ้นได้จริง

นอกเหนือจากการปลูกต้นไม้เป็นประโยชน์กับส่วนรวมและเป็นการสร้างสินทรัพย์แผ่นดินคือต้นไม้แล้ว ต้นไม้ยังสามารถเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ซึ่งขยายสู่การเป็นสินทรัพย์และยังสามารถนำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการสร้างอาชีพและรายได้ อาทิ อาชีพในการเพาะกล้าไม้ การทำเรือนเพาะชำ นับเป็นการส่งเสริมอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้กับสมาชิกกองทุนฯ

“โครงการนี้จะทำให้สมาชิกกองทุนฯ ได้รับประโยชน์จากมูลค่าของผลผลิตต้นไม้และการขยายสินเชื่อ โดย กองทุนฯ ยังจะได้หลักทรัพย์และโครงการส่งเสริมอาชีพซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอันนำไปสู่การใช้งบประมาณของกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สอดรับกับแนวคิด ต้นไม้ยั่งยืน กองทุนมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง ของโครงการฯ ทั้งนี้ประเทศยังได้สินทรัพย์คือ ทรัพยากรธรรมชาติของแผ่นดิน และสภาพแวดล้อมที่จะก่อความสุขให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน สำหรับชื่อโครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา มาจากสมาชิกและกองทุนฯ ทั่วประเทศ ที่จะร่วมกันพัฒนาสินทรัพย์คือต้นไม้ให้เกิดขึ้นในหมู่บ้านและชุมชน” นายนที กล่าวเสริม

สำหรับแผนการเตรียมความพร้อมหลังการเปิดโครงการฯ เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา สทบ. ได้มีการมอบต้นไม้กล้ารวม 1 พันต้น แบ่งเป็นยางนา 200 ต้น พะยอม 200 ต้น มะค่า 200 ต้น พะยูง 150 ต้น สัก 100 ต้น กระถินเทพา 100 ต้น และประดู่ 50 ต้น แก่สมาชิกกองทุนเป็นกรณีตัวอย่าง โดยนอกจากจะมอบต้นกล้าให้สมาชิกกองทุนฯ ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษแล้ว แล้วยังจะเปิดรับข้อมูลความต้องการของสมาชิกกองทุนฯ โดยสามารถเข้ามาลงทะเบียนได้ที่ http://smartiotdevice.ddns.net:1234/Web/register.htm ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. ผู้ต้องการปลูกต้นไม้ สามารถระบุความต้องการกล้าไม้ เพื่อทางกองทุนฯ จะได้จัดเตรียม และ 2. ผู้ทำกล้าไม้ ที่สร้างเป็นศูนย์เพาะชำกล้าไม้ เพื่อบริการแก่สมาชิกต่อไป และในวันที่ 5 ธันวาคม 2562 จะเป็นวันส่งเสริมการปลูกต้นกล้าเพื่อน้อมรำลึกถึง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปลูกต้นไม้พร้อมกันของกองทุนโดยกำหนดไว้ในวันกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในวันที่ 25 กรกฎาคม โดยในปี 2563 จะเป็นวันครบรอบ 19 ปีกองทุนฯ และก้าวสู่ปี 20 จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเปิดโอกาสให้ทุกกองทุนได้ร่วมกันสร้างสินทรัพย์ให้กับแผ่นดิน โดยการส่งเสริมให้สมาชิกปลูกต้นไม้ร่วมกัน

โครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา “เปิดปฏิบัติการกองทุนกล้าไม้” จะมีกระบวนการเตรียมความพร้อม 3 เรื่องคือ หนึ่งการจัดเตรียมกล้าไม้ ซึ่งได้สนับสนุนและจัดซื้อจากสมาชิกกองทุนฯ ที่ปลูกต้นกล้า เรื่องที่สองคือ การอบรมให้ความรู้ โดยได้ร่วมกับ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรมป่าไม้ จะเข้ามาช่วยด้านการอบรม การสอนเรื่องการวัดมูลค่าไม้ และให้ความรู้ตั้งแต่การปลูกดูแลกล้าไม้จนถึงระยะที่สร้างมูลค่าได้ ทั้งยังมีความร่วมมือกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ที่จะมาให้ความรู้ด้านการสร้าง Carbon Credit (คาร์บอนเครดิต) และการประเมิน Less พร้อมยังมี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เข้ามาร่วมติดอาวุธทางปัญญาให้กับสมาชิกกองทุนฯ ส่วนเรื่องที่สามคือ การสนับสนุนโครงการจากภาคีที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) จะเข้ามาให้ความรู้ในการใช้ประโยชน์จากต้นไม้ หรือภาคเอกชนที่จะเข้ามาช่วยเรื่องการตลาด หรือการแปรรูปไม้ เป็นต้น

 

UQINU Homme Dermatology ผิวแข็งแรงสะอาดเนียนใสไร้สิว

เอ็นเอส 2478 เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้า ขอมอบของขวัญพิเศษจาก ยูคินุ ออมม์ เดอร์มาโทโลจี้ เนื่องในโอกาสฤดูส่งมอบความสุขในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงเป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม จนถึง 25 ธันวาคม 2562 ด้วยโปรโมชั่นพิเศษสุด เพียงจ่าย 1 สำหรับ ยูคินุ เดอร์มา ซีโร่ คลินเซอร์ ขนาด 120 มล. (UQINU Derma Zero Cleanser) ในราคาสุดคุ้ม ได้อีก 1 ทันที พร้อมของแถมขนาดเดินทาง “ฟรี” ของมีจำนวนจำกัด ทักไลน์มาที่ LINE ID:polkul78 หรือโทร. 0 62951 5499

Derma Zero Cleanser เป็นโฟมล้างหน้าอ่อนโยนต่อทุกสภาพผิวของคุณผู้ชายและคุณผู้หญิง ขจัดสิ่งสกปรกได้อย่างล้ำลึก ไม่แห้งตึงหลังล้างหน้า ควบคุมความมันส่วนเกิน เติมน้ำให้ผิว ฟื้นฟูผิว ปรับสมดุลระหว่างน้ำและน้ำมันส่วนเกิน หน้านุ่มเนียนใส รูขุมขนเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด

“UQINU Homme Dermatology – ยูคินุ ออมม์ เดอร์มาโทโลจี้” กำลังดังมากและเป็นที่นิยมที่เกาหลี และคลินิกผิวที่นั่น ใช้ได้ทุกสภาพผิว แม้กระทั้งผิวเป็นสิว หรือผิวแพ้ง่าย หรือผิวอักเสบจากสิวและแดด หรือโกนหนวด สารความงามมาเต็ม ปกป้องมลพิษภายนนอกสู่ผิว เนื้อผลิตภัณฑ์ละเอียดอ่อนเต็มไปด้วยสารความงามและอ่อนโยนต่อผิว ลดการระคายเคืองผิว เพิ่มความชุ่มชื่น สดใส ให้พลังงาน และฟื้นฟูผิว ผิวฉ่ำน้ำถึง 48 ชม. ไม่เหนอะผิว ลดสิวอุดตัน ปรับสมดุลน้ำและน้ำมันส่วนเกินให้ผิว ช่วยการผลัดเซลล์ผิวดีขึ้น ผิวจึงละเอียดใส มีภูมิต้านทานดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น ผิวเป็นประกาย

ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นได้รับการตรวจสอบทางคลินิกอย่างเข้มงวดแล้ว มีจำหน่ายที่ ร้าน All About You ทั้ง 31 สาขา, ร้านสหกรณ์จุฬาฯ ศาลาลพระเกี้ยว, และ Beauty 24 – Park Lane (เอกมัย 63) และที่เว็บไซต์ shopee.co.th, Lazada.co.th และ Beautynista.com

 

แบ่งปันความรู้ด้านสุขภาพกายใจและการเงิน

มูลนิธิพุทธรักษา ร่วมกับ ดิ แอสเพน ทรี (The Aspen Tree) ร่วมสนับสนุนกิจกรรมในงานเกษียณอายุราชการตำรวจตระเวนชายแดนปี 2562 (จากซ้ายไปขวา) โดยมีนางวีรวรรณ สุวรรณชาติ ผอ.ฝ่ายการตลาด บริษัท ดิ แอสเพน ทรี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ภายใต้บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) พันตำรวจเอก ประกฤติ ยามานนท์ ที่ปรึกษา มูลนิธิพุทธรักษา นางสาวเฮ จูน พาร์ค ประธานผู้อำนวยการ บริษัท ดิ แอสเพน ทรี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ภายใต้ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC)  พล.ต.ท. วิชิต ปักษา ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนพล.ต.ต. สมเกียรติ เนื้อทอง ผู้บังคับการ สสน.บช.ตชด. ,พ.ต.อ. นพดลภ์ มณีใส รอง ผบก.อก.บช.ตชด. และพ.ต.อ. วันชนะ ธรรมเสมา รอง ผบก.ตชด. ภาค 2  ร่วมงานพร้อมแขกผู้มีเกียรติมากมายที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน ชลบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้

เปิดตัวแคมเปญ “Oishi x ROV รับยกเซ็ท 5 สกินญี่ปุ่น”

ดีต่อสุขภาพ..และดีต่อใจ เมื่อโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ บิ๊กบอสชาเขียวโออิชิ เจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จัดใหญ่! ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ “โออิชิ แอปเปิลฮันนี่” และ “โออิชิ แอปเปิลฮันนี่ ไลท์ สูตรไม่มีน้ำตาล” ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ ด้วยส่วนผสมของรสชาติแอปเปิลอาโอโมริชั้นเลิศผสมผสานกับน้ำผึ้งเฮียกขะมิทสึแท้ส่งตรงจากญี่ปุ่น และพิเศษสุด!! ของขวัญดีต่อใจ กับแคมเปญ “Oishi x ROV รับยกเซ็ท สกินญี่ปุ่น โดยจับมือยักษ์ใหญ่วงการอี-สปอร์ต “การีน่า ออนไลน์” เปิดโอกาสให้เหล่าเกมเมอร์ลุ้นรางวัลในเกม ROV มากมายจากโออิชิ กรีนที โดยจะจัดงานเปิดตัวแคมเปญที่งาน Thailand Game Show 2019 ในวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562 เวลา 14.00 – 15.00 น. ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 พร้อมพรีเซนเตอร์ 10 หนุ่ม GMM ทีน ไอดอล นำทีมโดย คริส-พีรวัส และ สิงโต-ปราชญา มาร่วมงาน

ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2562 – 31 มกราคม 2563 โดยผลิตภัณฑ์รสชาติที่ร่วมรายการ ได้แก่ โออิชิ แอปเปิลฮันนี่, โออิชิ แอปเปิลฮันนี่ ไลท์, โออิชิ กรีนที รสต้นตำรับ, โออิชิ กรีนที รสข้าวญี่ปุ่น, โออิชิ กรีนที รสน้ำผึ้งผสมมะนาว และ โออิชิ กรีนที กลิ่นองุ่นเคียวโฮ ขนาด 380 และ 350 มิลลิลิตร