“เอ็กซ์โปลิงค์” ตีปีกรับปี 62 ขึ้นแท่นผู้นำตลาดจัดงานแสดงสินค้าไทย

alivesonline.com : “เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ทเวอร์ค” สยายปีกขึ้นแท่นผู้นำตลาดจัดงานแสดงสินค้าของไทยและเอเชีย พร้อมบุกตลาดปี 62 จัดงานทั้งในไทยและเมืองเบียร์ เผยพร้อมจัดงานใหญ่ขยายพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้าด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน “THAIFEX” เพิ่มเป็น 1.31 แสนตร.ม. ครอบคลุมพื้นที่ 11 อาคาร คาดมีนักธุรกิจจากทั่วโลกเข้าชมงาน 6.7 หมื่นคน

นายภูษิต ศศิธรานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ทเวอร์ค จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติมาเป็นเวลากว่า 18 ปี โดยมี “โคโลญแมสเซ่” (Koelnmesse GmbH) รัฐวิสาหกิจจากเมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี ก่อตั้งและดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 90 ปี เป็นบริษัทจัดงานแสดงสินค้าใหญ่อันดับ 4 ของโลก ร่วมลงทุนและถือหุ้นของบริษัทฯ ในสัดส่วน 49% โดยปัจจุบัน บริษัทฯ รับบริหารจัดงานนิทรรศการ การประชุมสัมมนา กิจกรรมเพื่อการตลาด งานประชาสัมพันธ์ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงเป็นตัวแทนงานแสดงสินค้าระดับโลกให้ “โคโลญแมสเซ่” แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

ภาพรวมการจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการนานาชาติ (Exhibition) ในปี 2561 ประเทศไทยมีการจัดงานทั้งสิ้น 123 งาน สูงกว่าปี 2560 ที่มี 114 งาน มีชาวต่างชาติเดินทางมาเข้าร่วมงานทั้งสิ้นจำนวน 974,328 คน ขยายตัวร้อยละ 131.67 ไม่คิดรวมงานเมกะอีเวนต์ซึ่งพบว่า นักเดินทางที่เข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่ประกอบด้วยผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า หรือ Exhibitors และผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าหรือ Visitors ในปี 2561 มีจำนวนทั้งสิ้น 233,228 คน สูงกว่าจำนวน 215,992 คน ในปี 2560 หรือขยายตัวร้อยละ 7.98 ประกอบด้วยผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า 34,520 คน และผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้า จำนวน 198,708 คน ขยายตัวร้อยละ 39.19 และร้อยละ 3.93 ตามลำดับ

 

สำหรับการจัดงานของ “เอ็กซ์โปลิงค์” ปัจจุบันแบ่งออกเป็นงานนิทรรศการทางการค้าที่จัดขึ้นในประเทศไทย เช่น งาน Thaifex-World of Food Asia งานแสดงสินค้านานาชาติทางด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งกำหนดจัดระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2562 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี, งาน Intelligent Warehouse งานนิทรรศการแห่งเทคโนโลยีคลังสินค้าที่จัดร่วมกับชมรมเทคโนโลยีคลังสินค้าและระบบจัดการ โดยปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 ก.ค.62 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี และงาน Victam Asia งานนิทรรศการเทคโนโลยีทางด้านการผลิตอาหารสัตว์ ที่จัดโดย Victam International BV

นายภูษิต กล่าวอีกว่า ในส่วนของการจัดงาน THAIFEX – World of Food Asia ถือเป็นงานใหญ่ของบริษัทฯ ซึ่งปีนี้จัดเป็นปีที่ 16 แล้ว จัดโดยความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงานหลักคือ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย และ โคโลญเมสเซ่ จากประเทศเยอรมนี ในปีนี้ได้ขยายพื้นที่จัดงาน จาก 1.07 แสนตารางเมตร เป็น 1.31 แสนตารางเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 11 อาคาร โดยคาดว่าจะมีนักธุรกิจจากทั่วโลกเข้าชมงาน 6.7 หมื่นคนภายในงานจะมีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า หรือ Exhibitor กว่า 2.7 พันราย โดยมีกลุ่มผู้ซื้อรายสำคัญที่เป็น Hosted Buyer กว่า 2.1 พันราย

“ในปี 2561 มี Exhibitor รวม 2,537 ราย แบ่งเป็นผู้ประกอบการไทย 1,277 ราย และ Exhibitor จากต่างประเทศ 1,266 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 17% โดย Exhibitor จากต่างประเทศ 5 อันดับแรก คือ จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ตามลำดับ ส่วนสินค้าที่จัดแสดง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ขนมและของขบเคี้ยว ผักผลไม้ เทคโนโลยีอาหาร เครื่องดื่ม อาหารทะเล บริการด้านอาหาร กาแฟและชา และอาหารแช่แข็ง ตามลำดับ โดยในส่วนของผู้เข้าชมงานมีกว่า 6.2 หมื่นคน แบ่งเป็น ผู้ซื้อจากประเทศไทยกว่า 4.8 หมื่นคน และผู้ซื้อต่างชาติกว่า 1.3 หมื่นคน โดยชาติที่เข้าชมงานมากที่สุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ตามลำดับ”

นายภูษิต กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ยังรับจัดงานแสดงสินค้าที่เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี เช่น งาน Anuga งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เทคโนโลยีเกี่ยวกับอาหาร บริการด้านจัดเลี้ยง ตลอดจนการค้าปลีกและค้าส่งผลิตภัณฑ์ด้านอาหารอย่างครบวงจรและใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 2 ปี บนพื้นที่กว่า 2.84 แสนตารางเมตร กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-9 ตุลาคม 2562 ซึ่งขณะนี้มีบริษัทคนไทยไปร่วมงานประมาณ 180 บริษัท บนพื้นที่กว่า 3.2 พันตารางเมตร

นอกจากนั้น ยังมีงาน Gamescom งานแสดงสินค้าเกี่ยวกับเกมที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งยุโรป โดยจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี ภายในงานจะจัดแสดงสินค้าประเภท games, consoles, และ gaming hardware ที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุด เป็นจุดนัดพบสำคัญของสื่อมวลชน ผู้พัฒนาเกม และบรรดาร้านค้าปลีก รวมถึงบุคลากรสำคัญ ๆ ของอุตสาหกรรมเกมจากทั่วทุกมุมโลก โดยในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-24 สิงหาคม 2562

งาน imm cologne เป็นงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้านและอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนที่สำคัญงานหนึ่งของโลกและใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี เป็นจุดนัดพบที่สำคัญสำหรับนักธุรกิจในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน และเครื่องใช้ในครัวเรือน ตลอดจนเป็นศูนย์รวมของเหล่านักออกแบบชื่อดังระดับนานาชาติจากทั่วทุกมุมโลก โดยงานนี้จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงกลางเดือนมกราคม ที่เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 มกราคม 2563

นายภูษิต กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับการงานในประเทศไทย บริษัทฯ ยังมีส่วนเข้าไปช่วยในการบริหารการจัดงานให้หอการค้าไทย ในพื้นที่ต่างจังหวัดคืองานหอการค้าแฟร์ เชียงใหม่ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคม 2562 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 700 รอบพระชนมพรรษา เชียงใหม่ (CMECC) นอกจากนั้นยังได้ขยายการจัดงานไปที่จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 28 มิถุนายน – 7 กรกฎาคม 2562 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ ขอนแก่น (KICE) โดยในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น โดย 80% มาจากงานแสดงสินค้า และ 20% มาจากงานที่เรารับบริหารให้กับหน่วยงานต่าง ๆ และคาดว่าในปี 2562 จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 20% จากการขยายพื้นที่ในการจัดงานเพิ่มขึ้น

 

 

มกอช.เจรจาทลายมาตรการกีดกันการค้าสินค้าเกษตรไทย

alivesonline.com : มกอช. เปิดเกมรุกทลายกำแพงมาตรการกีดกันทางการค้าสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลกจากมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช พร้อมเจรจาไต้หวันเปิดตลาดมังคุดให้ไทย ขอรัสเซียเร่งรัดการขึ้นทะเบียนโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำส่งออกของไทยเพิ่มเติม เร่งเกาหลีใต้พิจารณาเปิดตลาดมะม่วงมหาชนก

นางสาวจูอะดี พงษ์มณีรัตน์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Committee on Sanitary and Phytosanitary Measures) ครั้งที่ 74 ที่จัดขึ้น ณ องค์การการค้าโลก นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลกได้ใช้โอกาสดังกล่าวร่วมกับประเทศสมาชิก WTO กว่า 20 ประเทศ เรียกร้องให้สหภาพยุโรปจัดทำกฎระเบียบในการจำแนกสารกำจัดศัตรูพืชที่เข้าข่ายสารขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อให้สอดคล้องกับหลักการประเมินความเสี่ยงภายใต้ความตกลงว่าด้วยการบังคับใช้มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชและมาตรฐานสากล เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการนำมาตรการไปใช้ในการกีดกันทางการค้าโดยไม่จำเป็น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรวมทั้งไทยในอนาคต

นอกจากนี้ ผู้แทนประเทศไทยยังได้หารือทวิภาคีกับประเทศคู่ค้า เพื่อผลักดันการเปิดตลาดสินค้าเกษตรและแก้ไขปัญหาด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย เช่น ได้หารือกับไต้หวันเพื่อเร่งรัดการเปิดตลาดมังคุดให้แก่ไทย พร้อมขอให้รัสเซียเร่งรัดการขึ้นทะเบียนโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำส่งออกของไทยเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าสัตว์น้ำจากไทยไปยังรัสเซียเพิ่มขึ้นถึงประมาณปีละ 600 ล้านบาท และขอให้เกาหลีใต้เร่งรัดกระบวนการพิจารณาเปิดตลาดมะม่วงมหาชนกให้แก่ไทยด้วย

ที่ประชุมยังมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบ และสถานการณ์ความปลอดภัยอาหารจากประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) รวมทั้งหารือข้อกังวลทางการค้าที่ประเทศสมาชิกมีต่อกฎระเบียบของประเทศสมาชิกอื่นอีกด้วย สำหรับไต้หวันเป็นประเทศหนึ่งที่มีการกำหนดใช้มาตรการสุขอนามัยเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคภายในประเทศมากเช่นเดียวกับประเทศผู้นำเข้าอื่น ๆ โดยมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าผักและผลไม้ของไทยเป็นอย่างมากคือ ระเบียบการกักกันโรคพืชเพื่อการนำเข้าสินค้ามายังไต้หวัน (Quarantine Requirements for Importation of Plants or Plant Products into Republic of China) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2546 เป็นต้นมา

“ระเบียบดังกล่าวระบุว่าไทยมีการระบาดของแมลงศัตรูพืช มีผลทำให้ผักและผลไม้ไทยจำนวน 11 ชนิด ถูกห้ามนำเข้าจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ พริก ถั่วลิสงมีฝัก มังคุด เงาะ ลำไย ส้มและส้มโอ มะม่วง กล้วยดิบ และผักชี อย่างไรก็ดี หน่วยงานภาครัฐของไทยที่เกี่ยวข้องจึงมิได้นิ่งนอนใจและได้มีการประสานไปยังหน่วยงานของไต้หวันเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว” นางสาวจูอะดี กล่าว

 

“โฮมโปร” ประกาศยึดเบอร์ 1 ผู้นำเรื่องบ้าน

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)

alivesonline.com : “โฮมโปร” โชว์ศักยภาพความแข็งแกร่งหลังจัดงาน “โฮมโปร เอ๊กซ์โป ครั้งที่ 29” เผยพันธมิตรร่วมสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้าด้วยสินค้าและบริการ ตอบโจทย์ความเป็น “Total Home Solution” ขึ้นแท่นอันดับ 1 ผู้นำเรื่องบ้าน

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ“โฮมโปร” เปิดเผยว่า จากการจัดงาน “โฮมโปร เอ็กซ์โปร ครั้ง 29” เมื่อวันที่ 15-24 มี.ค.ที่ผ่านมา ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ถือเป็นการนำเสนอรูปแบบการจัดงาน รวมถึงสินค้าที่มีคุณภาพ ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่หลากหลายตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มเพื่อตอบโจทย์ความเป็น “Total Home Solution” ได้อย่างแท้จริง จนประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม

ในปี 2562 “โฮมโปร” ยังคงดำเนินธุรกิจตามพันธกิจหลักที่ได้ให้ไว้ไม่เปลี่ยนแปลงด้วยการร่วมมือกันระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน พร้อมเติบโตไปด้วยกัน โดยจะยังคงร่วมกันพัฒนาทางด้านต่าง ๆ ในการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนคัดสรรผลิตภัณฑ์บนความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดี ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากขึ้น ผ่านบริษัทคู่ค้าโดยมีโอกาสเติบโตจากกลุ่มสินค้าใหม่ สร้างความแตกต่างและตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอกลุ่มสินค้าที่ขายเฉพาะกลุ่ม (Commercial) เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มต่าง ๆ อาทิ กลุ่มลูกค้าโรงแรม กลุ่มร้านอาหาร ร้านกาแฟ โครงการบ้านต่าง ๆ ถือเป็นโอกาสในการเพิ่มช่องทางและโอกาสในการจัดจำหน่ายมากขึ้น

นายคุณวุฒิ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันแนวโน้มการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์มีอัตราการเพิ่มขึ้น การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การขายผ่านอี-คอเมิร์ซทำให้เราเติบโตอย่างต่อเนื่องไปด้วยกัน ตลอดจนร่วมกันผลักดันสินค้าใหม่ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของ “โฮมโปร” และ “เมกาโฮม” ที่มีมากกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ โดยสามารถเปิดตัวสินค้าใหม่ สินค้านวัตกรรม ผ่านการจัดงาน “โฮมโปร เอ๋กซ์โป” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ของลูกค้าได้อีกช่องทางหนึ่ง รวมถึงให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า สินค้ามีเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า เพื่อลดการสูญเสียโอกาสทั้งคู่ค้า และ “โฮมโปร”

“เราได้มีการพัฒนาระบบ VRM เพื่อให้คู่ค้าได้ใช้ประโยชน์ในข้อมูลร่วมกันในหลาย ๆ ด้าน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงวางแผนร่วมกันในเรื่องของสินค้า การวางแผนการผลิต การเตรียมสินค้า ข้อมูล แนวโน้มการขาย การจัดส่ง ขนส่งสินค้า รับฝากส่งสินค้า เพื่อลดต้นทุนและการสูญเสียโอกาสระหว่างคู่ค้าและบริษัทฯ”

นายคุณวุฒิ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีช่องทางใหม่ ๆ มากขึ้นในการสื่อสาร บริษัทฯ จึงได้มีการปรับปรุงและพัฒนาการสื่อสารให้เข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่องผ่านหลากหลายช่องทางการสื่อสารเพื่อคู่ค้าคนสำคัญ ในการโปรโมตสินค้าใหม่ ๆ ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช้น เว็บไซต์, เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม, Line Official, Account Line Business Connect, และ In-store Media ตลอดจนตระหนักถึงการสร้างความยั่งยืนร่วมกัน โดยได้พัฒนากลุ่มสินค้า E-Co Choice 6 กลุ่มสินค้า ที่คำนึงถึงกระบวนการผลิตที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และกลุ่มสินค้าที่คำนึงถึงสุขภาพ และความปลอดภัยของผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนาสินค้าของกลุ่มลูกค้าผู้สูงวัย เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

“การจัดการเหล่านี้ถือเป็นแผนงานยุทธศาสตร์ส่วนหนึ่งที่ โฮมโปร ทำร่วมกับพันธมิตรและคู่ค้าซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ทำร่วมกันตลอดมา 23 ปี นวัตกรรมใหม่ ๆ ยอดขาย กำไร และความพอใจของผู้บริโภค คือสิ่งที่ตอกย้ำความสำเร็จและทำให้นำหน้าคู่แข่ง ที่สำคัญการร่วมมือของทุกคนยังทำให้งาน โฮมโปร เอ๊กซ์โปร ยกระดับสู่ Total Home Solution อันดับ 1 ของมหกรรมสินค้าเรื่องบ้าน” นายคุณวุฒิ กล่าวในที่สุด

มุมมองผู้หญิงในแวดวงการทำงานด้านเทคโนโลยี


alivesonline.com : Booking.com
หนึ่งในบริษัทอีคอมเมิร์ซด้านการเดินทางที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ได้ทำการสำรวจทั่วโลกพบว่า ผู้หญิงทั่วโลกจำนวนน้อยว่า 3 ใน 5 (54%) ซึ่งทำงานในสายเทคโนโลยี รู้สึกว่าทุกวันนี้แวดวงเทคโนโลยีกำลังให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางเพศเป็นอันดับต้น ๆ

ผู้หญิงซึ่งกำลังทำงานในแวดวงนี้จำนวนมากกว่าเล็กน้อย (56%) รู้สึกว่า บริษัทที่ทำงานอยู่ให้ความสำคัญกับการสร้างความหลากหลาย แม้ว่าการริเริ่มลดช่องว่างความไม่เท่าเทียมทางเพศและการกระตุ้นให้ผู้หญิงจำนวนมากขึ้นก้าวมาทำงานในแวดวงเทคโนโลยีต่างก็ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง แต่บริษัทและวงการเทคโนโลยียังต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ชัดเจนขึ้นในการดูแลพรสวรรค์ของเหล่าผู้หญิง โดยไม่ได้เจาะจงเพียงผู้หญิงที่อยากทำงานด้านนี้ หรือเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ควรสนใจผู้เชี่ยวชาญในวงการเช่นกันหากต้องการให้ตัวแทนและบุคลากรที่มีทักษะยังคงอยู่ในวงการนี้

สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการดึงดูดเหล่าผู้มีพรสวรรค์ให้มากที่สุดนั้นพบว่ามีการเปลี่ยนเป้าหมายไป กล่าวคือนอกจากการรักษาบุคคลเปี่ยมความสามารถที่มีอยู่แล้วก็กำลังลงแรงเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดเหล่าผู้หญิงที่เคยออกจากวงการไปแล้วให้กลับมาทำงานสายนี้อีกครั้ง การที่บริษัทด้านเทคโนโลยีเห็นคุณค่าของความรู้และประสบการณ์นี้จะทำให้บริษัทนั้น ๆ ได้ประโยชน์ทั้งทางด้านวัฒนธรรมการทำงาน ด้านชื่อเสียง และด้านการเงินอีกด้วย

  • เหล่าผู้หญิงเล็งเห็นโอกาสในการสร้างประโยชน์แท้จริงให้ธุรกิจ รวมถึงการกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกครอบคลุมทั้งวงการ

จากรายงาน World Economic Forum Gender Gap Report ฉบับล่าสุด พบว่าทั่วโลกมีความไม่เท่าเทียมกันทางเพศอย่างมาก แม้ว่าเหล่าผู้หญิงจะได้สร้างผลงานในทุก ๆ ด้านของธุรกิจก็ตาม โดยเมื่อสอบถามว่า “ความหลากหลายทางเพศที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดผลลัพธ์ดี ๆ อย่างไรบ้างกับแวดวงเทคโนโลยี” ผู้หญิงที่ทำงานเทคโนโลยี 90% (รวมถึงนักเรียนที่สนใจทำงานด้านนี้) ตอบว่า จะช่วยสร้างความหลากหลายให้วงการ อีกทั้งช่วยให้เกิดมุมมอง ภูมิหลัง และประสบการณ์สดใหม่

นอกจากนี้ เหล่าผู้หญิงยังให้ความเห็นว่าจะทำให้เกิดความยืดหยุ่นขึ้นด้านสิทธิประโยชน์จากการจัดการทรัพยากรบุคคล (90%) อีกทั้งได้สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ดียิ่งขึ้นซึ่งจะเป็นผลดีกับพนักงานทุกคน (90%) นอกเหนือจากประโยชน์ด้านวัฒนธรรมการทำงานแล้ว ผู้หญิงจำนวนมากขึ้นต่างรู้สึกว่าการที่ตนทำงานในแวดวงเทคโนโลยีจะช่วยให้ชื่อเสียงของแบรนด์และบริษัทดียิ่งขึ้นกว่าเดิม (88%) รวมถึงเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับบริษัทเทคโนโลยีโดยทั่วไป (87%)

นอกจากนี้ ข้อมูลในแวดวงยังแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในวงกว้างขึ้นเช่นกัน จากผลสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ของ PricewaterhouseCoopers พบว่า การที่จำนวนผู้หญิงในแวดวงเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นมากอีก 5% เป็น 75% ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักรได้ประมาณ 9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)

นางกิลเลียน ทานส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ Booking.com กล่าวว่า การกระตุ้นให้เกิดความหลากหลายทางเพศยิ่งขึ้นในวงการเทคโนโลยีนั้นเป็นเรื่องของการขุดค้นความสามารถที่ถูกปิดกั้นอยู่มากพอ ๆ กับการสนับสนุนเหล่าผู้หญิงที่มีทั้งทักษะ ความรู้ และความเชี่ยวชาญในสายงานเหล่านี้อยู่แล้ว โดยการรวบรวมทักษะที่หลากหลายไม่ว่าจะมีประสบการณ์ ภูมิหลัง หรือเส้นทางอาชีพอะไร ต่างเป็นสิ่งที่ต้องคิดคำนึงถึงเป็นอันดับแรก

“ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าเชิงบวกที่จะทำให้แวดวงเทคโนโลยีเป็นการทำงานที่มีความหลากหลายทางเพศยิ่งขึ้นซึ่งเราต้องทำให้มั่นใจว่าแรงผลักดันนี้จะยังคงอยู่ โดยบริษัทจะเติบโตและก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องได้นั้นต้องให้ความสำคัญกับการมีความหลากหลายในทุกระดับ รวมถึงสร้างความสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพกับกลุ่มบุคลากรทรงคุณค่าที่มีอยู่แล้วและต้องไม่ลืมที่จะสนับสนุนผู้มีความสามารถหน้าใหม่ด้วยเช่นกัน”

  • ตระหนักถึงคุณค่าที่จะได้รับจากเหล่าผู้หญิงที่หวนคืนวงการเทคโนโลยี

ปัจจุบัน ผู้หญิงจำนวนมากกว่า 3 ใน 5 ตัดสินใจกลับมาทำงานสายเทคโนโลยีอีกครั้ง หรือก็คือกลุ่มที่เคยหยุดพักไปซึ่งกลับมาทำงานแวดวงนี้ (63%) เพราะเล็งเห็นว่าการพักทำงานจะส่งผลต่อการพัฒนาตนเอง โดยจำนวนเกือบ 3 ใน 4 (73%) เชื่อว่าแวดวงเทคโนโลยีต้องทำอะไรมากกว่านี้เพื่อสนับสนุนการกลับเข้ามาทำงานในสายนี้อีก โดยผู้หญิงจำนวนมากถึง 87% ในอินเดีย และ 84% ในจีน ต่างเห็นด้วยกับข้อสนับสนุนนี้

อย่างไรก็ตาม การมาถึงของ “โปรแกรม Returnships” หรือแผนการสำหรับกลับมาทำงานอีกครั้งไม่ได้เพิ่มความหวังให้เพียงแวดวงเทคโนโลยี แต่ยังมีผลถึงหน่วยงานทางกฎหมาย งานบริการแบบมืออาชีพ และในด้านอื่น ๆ เหล่าผู้หญิง 70%  ซึ่งกลับมาทำงานสายเทคโนโลยีอีกครั้งเชื่อว่าโปรแกรมดังกล่าว ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝน ปรับทักษะให้เหมาะกับงานปัจจุบันและอนาคต พัฒนาทักษะ และมีพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา ถือเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวข้ามความท้าทายที่กลับมาทำงานอีกครั้ง โดยผู้หญิงที่หวนคืนวงการในสายนี้ต้องการรู้สึกว่ามีอำนาจและสร้างฐานจากประสบการณ์ที่มีอยู่แล้ว แทนที่จะรู้สึกว่าต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่จุดออกสตาร์ท

ในขณะที่ 2 ใน 5 ซึ่งกลับมาทำงานนั้นกล่าวว่าโอกาสพัฒนาทักษะอย่างสม่ำเสมอถือเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จในแวดวงเทคโนโลยี (41%) อย่างไรก็ตาม พวกผู้หญิงต่างเห็นพ้องต้องกันอย่างยิ่งว่า “โปรแกรม Returnships” ช่วยสร้างความมั่นใจให้ก้าวข้ามปัญหาที่พบจากการกลับมาทำงานอีกครั้ง (70%)

เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ โปรแกรมเหล่านี้เปิดโอกาสให้เหล่าผู้หญิงสร้างทักษะและช่วยสนับสนุนสิ่งที่จำเป็นต่อความก้าวหน้า โดย 62% ของผู้ที่กลับเข้าวงการอีกครั้งกล่าวว่า สามารถรับคำปรึกษาจากพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษาตอนที่กลับมาทำงาน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้หญิงในวงการเทคโนโลยีต่างเห็นพ้องว่ามีความสำคัญต่อความสำเร็จทางอาชีพ นอกจากนี้ 68% ก็กล่าวว่าเมื่อกลับมาทำงานแล้วบริษัทได้ช่วยปรับทักษะด้านเทคนิคและด้านอื่น ๆ ให้ทันปัจจุบัน

นางกิลเลียน กล่าวในตอนท้ายว่า Booking.com เชื่อมั่นมาอย่างยาวนานที่จะลงทุนด้านโปรแกรมพี่เลี้ยงและโปรแกรมรับรองซึ่งช่วยสนับสนุนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของผู้หญิงในวงการเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น โปรแกรมทุนการศึกษา และรางวัล Booking.com Technology Playmaker Awards

จากผลการสำรวจพบว่าแวดวงเทคโนโลยีต้องร่วมมืออย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นเพื่อจัดหากลยุทธ์ร่วมกันที่จะกระตุ้นให้เหล่าผู้หญิงเข้ามาทำงานในสายเทคโนโลยี เพราะผู้หญิงต่างสร้างคุณค่าอย่างมากซึ่งสามารถส่งผลที่ดีระดับโลกให้กับทั้งบริษัทและแวดวงเทคโนโลยี อีกทั้งควรมีส่วนร่วมในการริเริ่มอย่างแข็งขันซึ่งมุ่งเน้นไปที่ความหลากหลาย การจูงใจให้ผู้หญิงทำงานในแวดวงนี้ต่อไป.

10 แบรนด์ดังสำหรับผู้หญิงไทยในปี 2019

alivesonline.com : นิตยสารดังอย่าง Bloomberg ได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า “หากเศรษฐกิจผู้บริโภคมีเพศสภาพ คงต้องเป็นผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงขับเคลื่อนการบริโภคถึง 70-80% โดยทั้งหมดรวมจากอำนาจในการซื้อและอิทธิพลของพวกเธอ”

YouGov บริษัท วิจัยการตลาดและวิเคราะห์ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตระดับนานาชาติของอังกฤษ ได้จัดอันดับท็อป 10 อันดับแบรนด์ที่ผู้หญิงประทับใจมากที่สุด ซึ่งผลการสำรวจดังกล่าวมาจาก ฐานข้อมูลกว่า 460 แบรนด์ใน YouGov BrandIndex การสำรวจเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 ถึง 31 มกราคม 2562

การจัดอันดับดังกล่าว แบรนด์ที่มีคะแนนกว่า 67.5 อย่าง LINE ได้รับความคะแนนประทับใจเหนือกว่าแบรนด์อื่นๆ โดยYoutube ได้รับการจัดอันดับเป็นลำดับที่สอง ด้วยคะแนน 67.2 ใกล้เคียงกับ Lazada และ KFC ที่ได้รับการจัดอันดับท้ายสุดของตาราง ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้ จึงเกิดการตั้งตำถามว่าอะไรคือปัจจัยในการขับเคลื่อนสำคัญในการจัดอันดับและแบรนด์เหล่านี้สามารถทำอะไรที่ต่างไปจากนี้ได้บ้าง

‘พัชรี พันธุมโน’ ผู้ร่วมก่อตั้ง Brandnow PR and Marketing Agency และผู้ริเริ่มโครงการ Entrepreneur Now Awards กล่าวว่า LINE กลายเป็นแอปพลิเคชันส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่คนไทยทุกเพศทุกวัย อย่างไรก็ตามการสำรวจนี้ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้หญิงแต่เพียงกลุ่มเดียว ทำให้เรามีชุดข้อมูลที่ไม่ซ้ำใครซึ่งดูเหมือนว่าผู้หญิงไทยจะชอบสื่อสารและสนทนากับผู้อื่นโดยใช้ Line แทนแอปพลิเคชันอื่น ๆ โดยบางคนอาจแย้งว่าเพราะ Line เป็นคนแรก ๆ ที่ใช้ฟีจเจอร์ เช่น สติ๊กเกอร์น่ารักเพื่อแสดงอารมณ์ของพวกเขา และฟีจเจอร์การจ่ายเงินผ่าน Rabbit Line Pay ที่ช่วยผู้หญิงให้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในขณะชอปปิ้งและจ่ายเงินสำหรับบริการต่าง ๆ ได้ นอกจากนั้น Line ยังมีฟังก์ชั่นข่าวที่สามารถอัปเดทข่าวและเทรนด์ต่างๆ ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว LINE มีทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับไลฟ์สไตล์ทันสมัย

อันดับที่สองจากการจัดอันดับนี้ คือ Youtube ด้วยคะแนน 0.03 รองจาก LINE โดย ‘พัชรี’ กล่าวเสริมว่า YouTube ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงไทยอย่างมากเนื่องด้วยผู้หญิงได้รับอิทธิพลจาก Influencer Blogger และนักวิจารณ์ชื่อดังบน Youtube และผู้หญิงมองว่า YouTube เป็นหนึ่งในวิธีที่สะดวกที่สุดในการติดตามวิถีชีวิตของเหล่าคนดังและผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ โดยพวกเธอยังใช้มันเพื่อติดตามเทรนด์ความงามและผลิตภัณฑ์เครื่องสำเองใหม่ ๆ หรือใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวสถานที่ใดกับเพื่อนหรือครอบครัวของพวกเธออีกด้วย”

เมื่อเร็ว ๆ นี้ YouTube ได้เปิดตัวฟังก์ชั่นการสตรีมสดซึ่งทำให้ผู้หญิงรู้สึกใกล้ชิดกับดาราและบุคคลที่พวกเขาติดตาม เช่นเดียวกับ Line ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรับชมข่าวสาร เนื่องจากช่องข่าวจำนวนมากมีช่อง YouTube ของตนเองเพื่ออัปโหลดรายการและข่าวของพวกเขาเพื่อให้ผู้ชมได้รับชมอีกครั้ง ในทางกลับกันยังเป็นที่สังเกตได้ว่าโฆษณาของ YouTube สามารถสร้างความหงุดหงิด จนทำให้มีการร้องเรียนจำนวนมากจากผู้หญิงและผู้ใช้ ดังนั้นสิ่งนี้อาจอธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาจึงไม่สามารถเอาชนะ Line ได้

ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ Lazada และ KFC ได้รับการจัดอันดับท้ายสุดด้วยคะแนนเท่ากัน ทั้งสองแบรนด์นี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงไทยให้คะแนนเท่ากัน เนื่องจาก Lazada และ KFC มีโปรโมชันมากกว่าคู่แข่งของพวกเขาและสองแบรนด์นี้ได้วางภาพลักษณ์ว่าเป็นมิตรต่อครอบครัว เช่น Lazada จำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับครอบครัวมากมาย รวมทั้งของตกแต่งและของเล่นสำหรับเด็ก ในขณะที่ KFC เสนออาหารมื้อเล็ก ๆ สำหรับเด็ก และชุดครอบครัว ด้วยเหตุนี้เองทั้งสองแบรนด์นี้จึงได้รับการจัดอับดับอยู่ใน 10 แบรนด์หลักตามตาราง

โดยภาพรวม ด้วยคุณสมบัติและความเป็นผู้บุกเบิกทางเทคโนโลยี ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้หญิงไทยใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม Line ได้รับการจัดอันดับสูงสุดในปี 2019 อย่างไรก็ตามหาก YouTube สามารถหาวิธีในการทำให้โฆษณาเป็นที่รบกวนผู้ชมและประสบการณ์การรับชมน้อยลง ในช่วงปี 2020 พวกเขาอาจมีโอกาสที่จะขึ้นแท่นที่ 1 ได้เช่นกัน.

 

 

แนะองค์กรเร่งการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางไซเบอร์

alivesonline.com : จากรายงานของศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย หรือ “ไทยเซิร์ต” พบว่า 35% ของอาชญากรรมด้านไซเบอร์โจมตีไปในระดับบุคคลและมีการโจมตีทางไซเบอร์มากถึง 65% มุ่งเป้าไปในองค์กรธุรกิจ

ในขณะที่การออกกฎหมายเกี่ยวกับไซเบอร์ได้มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ องค์กรธุรกิจจึงจำเป็นต้องเสริมสร้างการป้องกันเกี่ยวกับระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ขององค์กรให้แข็งแกร่ง โดยมีกระบวนการที่รัดกุมครอบคลุมด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity)

ขณะเดียวกัน รายงานของ ESET Cyber-Savviness ในปี 2558 พบว่า ผู้คนจำนวนถึง 72.5% มีความรู้เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง แต่มีเพียง 45.3% ที่ใช้ปฏิบัติในเชิงรุกเพื่อป้องกันความเสี่ยง ดังนั้นองค์กรและบริษัทจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความตระหนักรู้และความรู้ของพนักงานเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นรายบุคคลทุกคน

นายอิชิโระ ฮาระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนองค์กรธุรกิจในรูปแบบดิจิทัลทรานสฟอร์เมชัน ในเครือบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นหนึ่งในข้อกังวลหลักที่มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ควบคู่ไปกับการเติบโตของโลกดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับทุกส่วนในชีวิตประจำวัน หลายประเทศได้เผชิญกับผลกระทบของการโจมตีทางไซเบอร์ไปแล้ว จึงทำให้มีความพยายามและมีการลงทุนเพื่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในองค์กรเพิ่มมากขึ้นในปีที่ผ่านมา สำหรับในประเทศไทยมีเหตุการณ์อาชญากรรมไซเบอร์เกิดขึ้นทั้งในส่วนตัวบุคคลและในส่วนขององค์กร ดังนั้น จึงแนะนำให้องค์กรธุรกิจเร่งดำเนินปฏิบัติการเพื่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์

สำหรับกรณีของอาชญากรรมไซเบอร์ที่เกิดขึ้นกับส่วนบุคคล ได้แก่ วิศวกรรมสังคม หรือศิลปะการหลอกลวงผู้คนของอาชญากรรมไซเบอร์ (Social Engineering), Cirrus, การติดมัลแวร์ (Malware infection) เป็นต้น ส่วนกรณีของอาชญากรรมไซเบอร์ที่เกิดขึ้นกับองค์กรธุรกิจ เช่น การเข้าชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต (Unauthorized Access) การเจาะระบบ (Hacking) การสแกม (SCAM) การละเมิดลิขสิทธิ์ (Infringement of Copyright) เป็นต้น

ในส่วนของ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้จัดทำนโยบายระยะยาวเกี่ยวกับกระบวนการในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเมื่อเดือนตุลาคม 2559 โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอินเทอร์เน็ต Wi-Fi และการออกกฎหมายในระยะที่ 1 (2559-2561) ในส่วนของกฎหมายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในประเทศไทยได้มีการประกาศใช้กฎหมายอย่างเป็นทางการแล้ว“องค์กรจำเป็นที่จะต้องเสริมสร้างการป้องกันเกี่ยวกับระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ขององค์กรให้แข็งแกร่ง โดยมีกระบวนการที่รัดกุมครอบคลุมตั้งแต่การริเริ่มสร้างความปลอดภัยไปจนถึงการวินิจฉัยความปลอดภัยที่แท้จริง หรือ Actual Security Diagnosis และมาตรการการตอบโต้ที่ขาดความมั่นคงจะต้องมีการประเมินและกำจัดความเสี่ยงทั้งหมดของบริษัทจากอาชญากรรมไซเบอร์ทั้งในส่วนขององค์กรและในส่วนของพนักงานเป็นรายบุคคล โดยโซลูชั่นด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีต่อองค์กรจะต้องเริ่มจากการวินิจฉัยความปลอดภัยของเว็บไซต์ เครือข่าย Mall Server และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ของบริษัท จากนั้นทำการเคลื่อนย้ายไปยังเลเยอร์ถัดไปด้วยมาตรการการตอบโต้ของ Web Application Firewall และ Non-Web Application Security Platform”

นายฮาระกล่าวเพิ่มเติมว่า “เอบีม” จึงแนะนำให้องค์กรต่าง ๆ เริ่มต้นมาตรการการตอบโต้ความเสี่ยงจากการวินิจฉัยความปลอดภัยด้วยพีซีและระบบตรวจสอบความปลอดภัยด้วยโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ ยังควรจัดให้มีการฝึกอบรมให้ความรู้เรื่องความปลอดภัยแก่พนักงานทุกระดับในองค์กร เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความรู้เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับบุคคล

องค์กรยังควรสนับสนุนการจัดตั้งทีมในการรับมือกับเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ (CSIRT) และสร้างโรดแมปความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ขององค์กร เพื่อการบังคับใช้ความปลอดภัย สำหรับพนักงานทุกคนองค์กรควรสร้างความตระหนักรู้ในโลกไซเบอร์เพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันความปลอดภัยและส่งเสริมว่า “ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นเป็นความรับผิดชอบของทุกคน” ไม่ใช่เป็นเพียงความรับผิดชอบของคนที่ทำงานด้านไอทีเท่านั้น. 

คาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในเอเชียแปซิฟิกแตะ 29.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 68

alivesonline.com : ายงาน PwC เผยข้อมูลภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งของโลก หลังสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AuM) เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า ในปี 2568 AuM ของทั้งภูมิภาคจะอยู่ที่ 29.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เหตุได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งและกลุ่มบุคคลที่มีสินทรัพย์สูง ขณะที่นักลงทุนกลุ่มมิลเลนเนียล จะช่วยผลักดันการลงทุนแบบยั่งยืนให้เติบโต แนะอุตสาหกรรมกองทุนไทย เร่งนำเทคโนโลยีเอไอและบิ๊ก ดาต้าเข้ามาช่วยให้การบริหารจัดการลงทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่

นายบุญเลิศ กมลชนกกุล หัวหน้าสายงาน Clients and Markets และหุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชีด้านธุรกิจบริการทางการเงิน บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวถึงรายงาน “Asset and Wealth Management 2025: The Asia Awakening” ของ PwC ว่า อุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีแนวโน้มที่จะเติบโตรวดเร็วกว่าภูมิภาคอื่น ๆ หากการกีดกันทางการค้าอยู่ในวงจำกัดและปัจจัยภูมิศาสตร์การเมืองในภูมิภาคเดินหน้า โดยคาดว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในภูมิภาคนี้จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (Compound Annual Growth Rate : CAGR) 8.7% หรือเพิ่มจาก 15.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2560 เป็น 16.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 และแตะ 29.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2568

นอกจากนี้ คาดว่า AuM ของกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (รวมสินทรัพย์ของกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือ ATF) จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวมาอยู่ที่ 11.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันจะเติบโตในระดับเดียวกัน สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียอยู่ในเวลานี้คาดว่าจะเติบโตอย่างมากจาก 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 เป็น 6.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 (คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 11.7%) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน

“การเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งและกลุ่มบุคคลที่มีสินทรัพย์สูงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ผู้จัดการสินทรัพย์สามารถขยายธุรกิจและสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งโดยรวม เติบโตแซงหน้าภูมิภาคที่พัฒนาแล้วอย่างยุโรปและอเมริกาเหนือ”

รายงานดังกล่าวยังชี้ว่า ความต้องการของนักลงทุนในภูมิภาคได้เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมการลงทุนและผลตอบแทนที่พวกเขาคาดหวัง โดยกลยุทธ์เชิงรับ (Passive Strategy) กำลังเป็นที่นิยมมากกว่ากลยุทธ์เชิงรุก (Active Strategy) ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า จึงดึงดูดความสนใจของนักลงทุนจำนวนมาก โดยกลยุทธ์ดังกล่าวเป็นที่นิยมอย่างมากในภูมิภาคที่พัฒนาแล้วอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกา และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในเอเชีย

ด้าน นายจัสติน อ่อง หัวหน้าสายงานบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก PwC ประเทศสิงคโปร์ กล่าวเสริมว่า นักลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ค่อนข้างตื่นตัวและมีกลยุทธ์มุ่งเน้นไปที่ผลตอบแทนมากกว่าอย่างอื่น โดยเตรียมรับมือกับความเสี่ยง เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คาดหวัง ดังนั้นผลิตภัณฑ์การลงทุน หรือการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงรับ จึงอาจจะไม่ใช่สิ่งแรกที่พวกเขามองหา

“อย่างไรก็ดี การเข้ามาของหุ่นยนต์ที่ปรึกษาและคำแนะนำการลงทุนที่เปลี่ยนเป็นดิจิทัลมากขึ้นจะมีบทบาทสำคัญในการปูทางไปสู่การเติบโตของการบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรับของภูมิภาคนี้ โดยจะทำให้เกิดช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ ๆ ที่ปราศจากคนกลาง นอกจากนี้ ยังจะได้รับปัจจัยหนุนจากการปฏิรูประบบบำนาญในประเทศต่าง ๆ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีนที่เปิดโอกาสให้นำเงินกองทุนบำนาญไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเท่ากับผลตอบแทนของดัชนีตลาด หรือที่เรียกว่า Passive asset และน่าจะช่วยผลักดันให้สัดส่วน AuM ของสินทรัพย์นี้ในภูมิภาคเพิ่มจาก 12% ในปี 2560 เป็น 17% ในปี 2568”

นักลงทุนกลุ่มมิลเลนเนียล มีบทบาทต่อตลาดมากขึ้นผ่านการลงทุนอย่างยั่งยืน

นอกเหนือจากการเติบโตของสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Real Asset) แล้ว รายงานดังกล่าวยังพบว่า นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยทั่วทั้งภูมิภาคมีความตระหนักถึงการลงทุนอย่างยั่งยืนในรูปแบบของการจัดการสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (Socially Responsible Investing: SRI) มากขึ้น  

การลงทุนในลักษณะดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมไปทั่วทั้งภูมิภาค เพราะนักลงทุนต้องการความชัดเจนและความโปร่งใสในการลงทุนของตนมากขึ้น ดังจะเห็นว่าการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับแนวโน้มของการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น เทรนด์ของการมีระบบการเงินสีเขียว (Green financial systems) ซึ่งน่าจะมีมากขึ้น โดยเป็นการให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานผ่านออกพันธบัตรสีเขียว โดยเมื่อปีที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้ออกจำหน่ายพันธบัตรสีเขียวระหว่างประเทศเป็นครั้งแรก

นอกจากนี้ ความต้องการของการลงทุนอย่างยั่งยืนนี้ ยังถูกขับเคลื่อนส่วนหนึ่งจากนักลงทุนกลุ่มมิลเลนเนียลที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัวด้วย

นายจัสติน กล่าวต่ออีกว่า ลักษณะที่โดดเด่นของนักลงทุนกลุ่มมิลเลนเนียลเมื่อเปรียบเทียบกับนักลงทุนรุ่นเก่าคือ ชื่นชอบความเป็นดิจิทัลและมีความรู้ด้านการเงินดี โดยคนกลุ่มนี้ต้องทำธุรกรรมทุกอย่างผ่านแพลตฟอร์มที่เป็นดิจิทัล ดังนั้น ผู้จัดการสินทรัพย์จะต้องสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์และนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงบทวิเคราะห์ การทำธุรกรรม และการให้บริการลูกค้า หากต้องการที่จะดึงดูดความสนใจและการลงทุนจากนักลงทุนกลุ่มนี้

“การเพิ่มขึ้นของช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์ในภูมิภาคยังสอดคล้องกับการเข้ามาของนักลงทุนกลุ่มมิลเลียนเนียลที่จะยิ่งมีมากขึ้นในอีกทศวรรษหน้า โดยความท้าทายในวันข้างหน้าจะอยู่ที่ความสามารถของแพลตฟอร์มนั้น ๆ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความพิเศษมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ตลาดในภูมิภาคกำลังพัฒนา”

แรงกดดันด้านกฎระเบียบเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมฯ

กฎระเบียบข้อบังคับที่เพิ่มขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมการเงินให้เปลี่ยนไปจากเดิม แม้ว่าระบบการกำกับดูแลของแต่ละประเทศในภูมิภาคจะมีความแตกต่างกันไป แต่ผลลัพธ์จากแรงกดดันเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความโปร่งใสในการกำหนดค่าธรรมเนียมและบริการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแรงกดดันต่อรายได้

PwC ยังระบุด้วยว่า จำนวนของนักลงทุนอายุน้อยที่ชื่นชอบการใช้เทคโนโลยีที่กำลังขยายตัวมากขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคโดยส่วนใหญ่หันมาสนใจทางเลือกในการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า เช่น หุ่นยนต์ที่ปรึกษา จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อค่าธรรมเนียมและส่งผลให้มาร์จิ้นลดลง

ในการที่อุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งจะสามารถเติบโตได้ตามที่รายงานคาดการณ์นั้น นายจัสติน กล่าวว่า

“ในระยะต่อไปผู้จัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่งที่จะประสบความสำเร็จได้คือ ผู้ที่สามารถเอาชนะตลาด ในขณะที่นักลงทุนหน้าใหม่กำลังเข้าสู่ตลาด อุตสาหกรรมจะถูกเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลมากขึ้ และนักลงทุนจะมองหาผู้จัดการการลงทุนที่สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ตามความต้องการ ในส่วนของบริษัทจะต้องต่อสู้กับแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียม ผ่านการลดต้นทุนและดึงดูดนักลงทุนใหม่ ๆ มากขึ้น ดังนั้น ผู้จัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่งควรปรับโครงสร้างธุรกิจของตนให้เหมาะสมกับลำดับความสำคัญและความสามารถเฉพาะด้าน รวมทั้งลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นอกจากนี้ บริษัทจะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ รวมถึงดูแลเอาใจใส่และรักษาพนักงานมากความสามารถ ในยามที่อุตสาหกรรมกำลังเข้าสู่การปฏิวัติตัวเอง เพื่อสะท้อนความสามารถในการขยายฐานลูกค้า”

ผลจากการศึกษาที่น่าสนใจอื่น ๆ ของรายงาน ประกอบด้วย

  • คาดการณ์มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกองทุนบำนาญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่จะเพิ่มขึ้นจาก 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2560 เป็น 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 น่าจะส่งผลทำให้รัฐบาลในภูมิภาคนี้หันมาใช้ระบบกองทุนบำนาญประเภทที่กำหนดอัตราเงินนำส่ง (Defined contribution : DC) และบัญชีเงินออมเพื่อการเกษียณรายบุคคลมากยิ่งขึ้นอีก
  • กองทุนเงินร่วมลงทุน (Venture capital) ถือเป็นหนึ่งโอกาสการลงทุนที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยเอเชียแปซิฟิกมีอันดับต่ำกว่าแค่สหรัฐอเมริกาในแง่ของดีล โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนยังคงเป็นผู้นำตลาด ด้วยการมี 5 ใน 10 อันดับกองทุนเงินร่วมลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ในประเทศ ณ สิ้นปี 2560
  • ความชื่นชอบของลูกค้าที่เปลี่ยนไปจะเปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยวิธีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายจะยังคงเป็นที่นิยมต่อเนื่องและจะช่วยในการปรับเปลี่ยนส่วนผสมผลิตภัณฑ์การลงทุนที่จะเสนอขายต่อไป
  • แม้ว่าความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ของแต่ละประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะยังคงแยกออกเป็นส่วน ๆ ในระยะกลาง แต่เชื่อว่า ภายในปี 2568 จะมีการรวมตัวกันเพื่อความร่วมมือในด้านต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อขยายขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างแท้จริง
  • ปัจจุบันศูนย์กลางการบริหารจัดการสินทรัพย์ของภูมิภาคอยู่ที่สิงคโปร์และเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยคาดว่านครเซี่ยงไฮ้จะกลายเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการสินทรัพย์อันดับที่ 3
  • เอเชียจะเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยคาดว่าโครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (Belt and Road Initiatives : BRI) ของสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ รวมไปถึงการริเริ่มโครงการอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค

สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นายบุญเลิศ กล่าวว่า เห็นการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุนพบว่า AuM ของกองทุนรวมไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า จาก 1.53 ล้านล้านบาทในปี 2551 มาอยู่ที่ 5.05 ล้านล้านบาท ในปี 2561 หรือประมาณ 1.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

แนวโน้มที่ AuM จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีมากขึ้น เนื่องจากการขยายฐานลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูง หรือ High Net Worth Individual ของบริษัทจัดการลงทุน ขณะที่ปัจจุบันชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อและมีความเข้าใจการลงทุน ก็หันมาออมเงินเพื่อการเกษียณอายุกันเพิ่มขึ้น การเข้ามาของดิจิทัลจะช่วยทำให้ช่องทางการเข้าถึงผลิตภัณฑ์การออมการลงทุนและการซื้อขายกองทุนเป็นไปได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีต โดยอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทยจะยิ่งมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการลงทุนมากขึ้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นการใช้เอไอ หรือ บิ๊ก ดาต้า เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล หรือการสร้างแบบจำลองการลงทุนและออกแบบแผนการลงทุนเฉพาะบุคคลให้เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า”

ทั้งหมดถือเป็นเทรนด์ที่จะสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมในระยะข้างหน้า.

 

“ยูเมะพลัส” จัดกิจกรรม “ส่งต่อ…ความห่วงใย” ระดมทุนวิจัยรักษาโรคมะเร็ง

นายฮิโตชิ โยโกฮามา (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) และ ศ.นพ. จรัญ มหาทุมะรัตน์ (กลาง) หัวหน้าศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

“มะเร็ง” ยังครองแชมป์อันดับต้น ๆ ของโรคร้ายที่พรากชีวิตคนไทย

โอกาสที่มะเร็งจะเป็นศูนย์นั้นแทบไม่มี เพราะโลกยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยงมากมาย แม้การต้องเผชิญหน้ากับมะเร็ง “กำลังใจ” จะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ทว่า “กำลังทรัพย์” ก็จำเป็นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ด้วยเหตุที่ผู้ป่วยหลายคนไม่สามารถเข้าถึงการรักษา เพียงเพราะว่าขาดแคลนทุนทรัพย์! บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) โดย นายฮิโตชิ โยโกฮามา ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จึงเดินหน้าสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคม จัดแถลงข่าวกิจกรรม ยูเมะพลัส “ส่งต่อ…ความห่วงใย” ปี 7 (Umay+ “Pay it Forward”) เชิญชวนทุกคนร่วมสมทบทุนบริจาค 100 บาท รับกระเป๋า Umay+ Premium เพื่อระดมทุนสนับสนุนงานวิจัยและรักษาโรคมะเร็งแก่ผู้ด้อยโอกาสผ่านทางสภากาชาดไทย เมื่อเร็วๆ นี้

ภายในงานได้เกียรติจาก ศ.นพ. จรัญ มหาทุมะรัตน์ หัวหน้าศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เข้าร่วมงาน พร้อมด้วย 2 ศิลปินนักแสดง ‘โตโน่ ภาคิน’ และ  ‘พิม พิมพ์มาดา’ ร่วมเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียง เชิญชวนทุกคนร่วมส่งกำลังใจ ด้วยความเชื่อว่า พลังแห่งการให้ ไม่สิ้นสุดและไม่เหือดหาย”

“จุดประสงค์หลักของกิจกรรมในปีนี้คือต้องการที่จะระดมทุนสนับสนุนงานวิจัยและรักษาโรคมะเร็งแก่ผู้ด้อยโอกาสผ่านทางสภากาชาดไทย โดยมี กระเป๋า Umay+ Premium เป็นสื่อกลางในการรวบรวมเงินบริจาค พร้อมทั้งมีการจัดกิจกรรมระดมทุน บูธจัดแสดงกระตุ้นการรับรู้ และการสื่อสารผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องทั้งปี โดยระยะเวลากว่า 6 ปีที่ผ่านมา “อีซี่บาย” และ “ยูเมะพลัส” ได้ร่วมระดมเงินบริจาคจากกิจกรรม ยูเมะพลัส “ส่งต่อ…ความห่วงใย” (Umay+ “Pay it Forward”) ผ่านทางสภากาชาดไทยถึง 55 ล้านบาท โดยหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันร่วมสร้างการรับรู้และใส่ใจกับโรคร้ายนี้ให้มากขึ้น เพียงผู้มีจิตศรัทธา สามารถร่วมสมทบทุนได้ง่าย ๆ เพียงบริจาคเงิน 100 บาท รับกระเป๋า Umay+ Premium ได้ที่ “ยูเมะพลัส” ทุกสาขาทั่วประเทศ

ภายในงานยังจัดเต็มไปด้วยนิทรรศการให้ความรู้ เพราะรักเลยต้องทักแรง…รู้ตัวไหมว่า คุณ (อาจ) เป็นมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นจุดเช็ค 6 สัญญาณเตือน ได้แก่ ถ่ายลำบากมีมูกเลือด ไอมีเสมหะปนเลือดเรื้อรัง เป็นไข้ปวดเมื่อยตามตัว หรือกระดูก เป็นแผลที่เดิมหายยาก น้ำหนักลดเร็ว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจอก้อนเนื้อที่เต้านม หรือที่อื่น ๆ

นอกจากนี้ ยังมีการให้ความรู้ในหัวข้อ มะเร็งสุดฮิตของพนักงานออฟฟิศ ทั้ง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเกิดจากเซลล์เยื่อบุผนังด้านในแบ่งตัวเพิ่มมากขึ้น พบได้ในผู้มีอายุ 40 ปีขึ้น สาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ ควันบุหรี่ สัมผัสสารเคมีบางชนิดในอุตสาหกรรมสิ่งทอ การพิมพ์ / มะเร็งเต้านม เกิดจาดความผิดปกติของเซลล์ที่อยู่ในท่อน้ำนม แบ่งตัวปกติและแพร่กระจายไปตามทางเดินน้ำเหลือง พบได้ผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี กลุ่มเสี่ยงควรตรวจสม่ำเสมอ / มะเร็งปอด พบได้มากจากผู้สูบบุหรี่และประสบกับมลพิษทางอากาศ / มะเร็งตับ พบมากสุดในไทย โดยกลุ่มเสี่ยงคือผู้มีอายุ 30-70 ปี โดยระยะแรกมักไม่แสดงอาการ

สำหรับโอกาสรอดของผู้ป่วยหากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีจะสามารถอยู่รอดได้เกิน 5 ปี เมื่อป่วยในระยะที่ 1 ประมาณ 80% ระยะที่ 2 ประมาณ 60% ระยะที่ 3 ประมาณ 30% ระยะที่ 4 ประมาณ 10% ส่วนวิธีลดความเสี่ยงคือรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ พักผ่อน ออกกำลังกายให้เพียงพอ และหมั่นสำรวจความผิดปกติของร่างกาย

อย่าลืมว่า “มะเร็งรักษาได้ ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งรอดนาน” (ข้อมูลจาก เอกสารมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย)

ภัยเงียบ “ต้อหิน” ร้ายอาจถึง “ตาบอด” !

นพ.บุญส่ง วนิชเวชารุ่งเรือง

นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านจักษุวิทยาฯ โรงพยาบาลราชวิถี

จากสถานการณ์ผู้ป่วยโรคต้อหินและโรคตาบอดที่เกิดจากต้อหินในประเทศไทย มีผู้ป่วยแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ถือเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ใหญ่มากคือ มากกว่า 80% ของผู้ป่วยที่เป็นต้อหินไม่ทราบมาก่อนว่าตนเองเป็นโรคต้อหิน นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วย 9 ใน 10 ราย มักไม่มีอาการแสดง กว่าจะรู้ตัวและตรวจพบ เส้นประสาทตาก็ถูกทำลายไปมากแล้ว ส่วนมากพบในผู้หญิงที่มีอายุ 40 ขึ้นไป มากกว่าผู้ชาย 3 เท่า

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหินคือ 1.อายุที่มากกว่า 40 ปี 2.ความดันในลูกตาสูง 3.ประวัติครอบครัวที่เคยเป็นโรคต้อหิน 4.สายตาสั้นมากหรือยาวมาก 5.ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง 6.ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน 7.เคยได้รับอุบัติเหตุที่ลูกตามาก่อน จึงมีข้อแนะนำให้ประชาชนตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์เป็นประจำอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

“โรคต้อหิน” (Glaucoma) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของขั้วประสาทตาที่มีเส้นใยประสาทนับล้านเส้นเกิดความเสียหายและความดันในลูกตาสูงผิดปกติ จนส่งผลทำลายเส้นใยประสาทซึ่งมีหน้าที่ในการส่งข้อมูลเกี่ยวกับการมองเห็นจากลูกตาไปยังสมองเพื่อทำการประมวลเป็นภาพ ส่งผลให้ผู้ป่วยสูญเสียลานตาและการมองเห็นได้

โรคต้อหินชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดคือ “ต้อหินชนิดเรื้อรัง” (Chronic glaucoma) หรือ “ต้อหินปฐมภูมิ” (Primary glaucoma) โดยจะสูญเสียการมองเห็นบริเวณรอบนอกของลานสายตา การมองเห็นจะแคบลงจนเสมือนมองผ่านท่อ เมื่อเกิดจุดบอดขึ้นในลานสายตาของผู้ป่วยและขยายตัวขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีขอบเขตในการมองเห็นแคบลง หากรักษาไม่ทันการณ์ ผู้ป่วยอาจสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ส่วนต้อหินอีกชนิดที่พบได้น้อยกว่าคือ “ต้อหินชนิดเฉียบพลัน” (Acute angle closure glaucoma) ซึ่งจะทำให้ตามัวลง ตาแดง มีอาการปวดตาอย่างรุนแรง เนื่องจากความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การรักษาโรคต้อหินนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากโรคนี้ทำให้ประสาทตาถูกทำลายอย่างถาวร การรักษาจึงทำได้เพียงประคับประคองเพื่อไม่ให้ประสาทถูกทำลายไปมากกว่าเดิมและคงการมองเห็นของผู้ป่วยในนานที่สุด โดยวิธีการรักษาโรคต้อหิน ปัจจุบันจะมีด้วยกัน 3 วิธี ดังนี้

1.การรักษาด้วยยา เพื่อลดความดันตาให้อยู่ในระดับที่ประสาทตาไม่ถูกทำลายมากขึ้น โดยผู้ป่วยจำเป็นต้องหยอดยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง โดยต้องตรวจอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามผลและป้องกันผลข้างเคียงจากยา

2.การรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ โดยประเภทของเลเซอร์จะขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหินและระยะของโรคที่เป็นของผู้ป่วย

3.การรักษาด้วยการผ่าตัด เป็นการผ่าตัดทำทางระบายสำหรับน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาใหม่เพื่อลดความดันในตา ใช้รักษาในกรณีที่การรักษาด้วย 2 วิธีแรกไม่สามารถควบคุมความดันของดวงตาได้

สำหรับการดูแลตัวเองของผู้ป่วยหลังจากทำการรักษาแล้วผู้ป่วยต้องดูแลตัวเองด้วยการใช้ผ้าปิดตาประมาณ 2-4 สัปดาห์ ด้วยการให้ญาติ หรือผู้ดูแลเช็ดตาข้างที่ผ่าตัดอย่างน้อยวันละ1 ครั้ง ขณะอาบน้ำระวังไม่ให้น้ำเข้าตา ระมัดระวังไม่ให้ให้ฝุ่นละอองเข้าตา และห้ามขยี้ตาโดยเด็ดขาดและมาตรวจติดตามผลการรักษาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เมื่อสามารถเปิดผ้าปิดแผลได้แล้วควรดูแลตัวเองด้วยการ การสวมแว่นตากันแดดเมื่อออกกลางแจ้ง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้สีต่าง ๆ โดยเปลี่ยนชนิดของอาหารให้หลากหลายอยู่เสมอ (หรืออาจทานวิตามินบีรวมในรายที่ไม่สามารถทานผักผลไม้ได้) ป้องกันและควบคุมโรคประจำตัวให้ดี โดยเฉพาะโรคที่จะสร้างปัญหาให้กับตา เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันสูง และหากมีความผิดปกติกับดวงตาควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที

ศูนย์จักษุแพทย์ โรงพยาบาลราชวิถี เป็นสถาบันฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยาที่เก่าแก่ที่สุดของกระทรวงสาธารณสุข เปิดดำเนินการมานานกว่า 35 ปี ได้ช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้ป่วยที่ประสบปัญหาสุขภาพทางตาประมาณ 700 รายต่อเดือน มีหน้าที่อบรมสร้างจักษุแพทย์ไปช่วยดูแลสุขภาพตาประชาชนทั่วประเทศและยังเป็นศูนย์รักษาโรคตาที่ทันสมัย โดยมีอาจารย์แพทย์ที่เชี่ยวชาญทางจักษุวิทยาครบทุกสาขา เป็นศูนย์ความเป็นเลิศ (Excellent center) ทางจอประสาทตา และเป็นศูนย์รับส่งต่อสำหรับโรคตาที่มีความยากซับซ้อนจากทั่วประเทศ ของกระทรวงสาธารณสุข แต่ทั้งนี้ ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลราชวิถี ยังมีเครื่องมืออุปกรณ์ค่อนข้างจำกัด ไม่เพียงพอต่อความต้องการในการรักษา

ดังนั้นจึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับ อาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถี โดยสามารถร่วมบริจาคได้ที่ ชื่อบัญชี “เงินบริจาคของโรงพยาบาลราชวิถี” หมายเลขบัญชี 051-276128-1 ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาโรงพยาบาลราชวิถี หรือ บริจาคเข้าบัญชี “ศูนย์การแพทย์ราชวิถี ในมูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี” ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาโรงพยาบาลราชวิถี หมายเลขบัญชี 051-2-69056-1 หรือสอบถาม โทร.0 2354 7997-9 หรือ http://www.rajavithihospitalfoundation.org

 

HONOR View20 สมาร์ทโฟนเรือธงใหม่มาแรงจาก “ออเนอร”

 

 

 

alivesonline.com : ออเนอร์” สมาร์ทโฟนอีแบรนด์ชั้นนำประกาศเปิดตัว HONOR View20 สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมฟีเจอร์จัดเต็ม อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยประกอบกับสมรรถนะอันทรงพลังและดีไซน์การออกแบบที่เหนือชั้นกว่าใคร ในราคาเพียง 17,990 บาท มาพร้อม 2 สีให้เลือก ได้แก่ สีน้ำเงิน Sapphire Blue และสีดำ Midnight Black เริ่มจำหน่ายแล้วผ่านช่องทาง Lazada (https://bit.ly/2H6957G) พิเศษสุด! สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อ HONOR View 20 รับฟรีทันที HONOR band 4 มูลค่า 990 บาท โปรโมชันมีจำนวนจำกัดรีบจับจองเป็นเจ้าของก่อนใครได้แล้ววันนี้!

HONOR View20 สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมระบบกล้องหลัง 3 มิติ ความละเอียดสูง 48 ล้านพิกเซล รวมถึงกล้องหน้า 25 ล้านพิกเซลที่ฝังในหน้าจอ ด้วยนวัตกรรมจอแสดงผลแบบ All-View Display จะช่วยมอบประสบการณ์การรับชมภาพบนหน้าจอให้แก่ผู้ใช้งานได้อย่างดีเยี่ยมโดยที่ไร้รอยบากมากวนสายตา ทั้งยังมาพร้อมกับอัตราส่วนจอแสดงผลกับตัวเครื่องที่มีอัตราสูงถึง 91.8% ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานได้สามารถเก็บภาพประทับใจในทุกช่วงเวลาได้อย่างเต็มที่

ดีไซน์ของ HONOR View20 ถือเป็นการทลายกรอบเดิม ๆ ของสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นทั่วไปซึ่งมีการพัฒนาทั้งในแง่ของมิติมุมมองและสไตล์การใช้งาน โดยสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ถือเป็นรุ่นแรกของโลกที่มีการนำเทคโนโลยี “นาโนลิโทกราฟี” (Nanolithography) มาใช้ในการพัฒนาการดีไซน์พื้นผิวบนตัวเครื่องเพื่อสร้างพื้นผิวนาโนที่มองไม่เห็นบนฝาหลัง ตลอดจนยังมีการใช้นวัตกรรมการเคลือบพื้นผิวแบบ Nano-Vacuum เจนเนอเรชั่นที่ 4 ประกอบกับการใช้กระบวนการ Invisible Aurora Texture มาทำให้เกิดการไล่ระดับสีที่ฝาหลังในรูปแบบ V-shape ทำให้ด้านหลังของตัวเครื่องมีสีสันที่สดใสและเปล่งประกายอย่างงดงาม น่าสัมผัสในทุกมุมมอง

 

กล้อง AI Ultra Clarity ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล และเทคโนโลยีกล้อง TOF 3 มิติ

การถ่ายภาพโดยสมาร์ทโฟนไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคุณภาพและความคมชัด ซึ่ง HONOR View20 ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวและมอบประสบการณ์ใหม่แห่งการถ่ายภาพ HONOR View20 ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่กล้องหลังมาพร้อมเซ็นเซอร์ Sony IMX586 CMOS ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล บนเซ็นเซอร์ขนาดถึง 1/2 นิ้ว ให้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพเหนือชั้นคมชัดทุกรายละเอียด บวกกับความสามารถของระบบกล้อง AI-optimized ทำให้ภาพมีสีสันสดใสมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้หน่วยประมวลผลแบบ dual-NPU และชิปเซ็ต dual-ISP Kirin 980 ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลภาพถ่ายและการทำงานของกล้องได้ถึง134% และ 46% ตามลำดับ ซึ่งเมื่อผสานความสามารถเข้ากับเซ็นเซอร์กล้องความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ทำให้ HONOR View20 เป็นสุดยอดแห่งสมาร์ทโฟนเพื่อการถ่ายภาพอย่างไร้ที่ติ

กล้องหลังอีกตัวของ HONOR View20 ยังมาพร้อมเทคโนโลยีแบบ TOF 3 มิติ ที่ช่วยเพิ่มมิติในรูปภาพและวีดีโอ ซึ่งผู้ใช้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลายและเพิ่มลูกเล่นความสนุกในการถ่ายภาพได้อย่างสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถคำนวณระยะห่างวัตถุโดยเทคโนโลยี TOF หรือการตรวจจับวัตถุโดยวัดจากแสงตกกระทบไปยังผิววัตถุ ทั้งยังมาพร้อมกับฟังก์ชันที่น่าสนใจอื่น ๆ อาทิ การตรวจจับความลึก การตรวจจับโครงสร้างและการจับการเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ ระบบกล้องแบบ TOF 3 มิติ ยังเปลี่ยนสมาร์ทโฟนของคุณให้กลายเป็นจอยเกมรองรับการเล่นเกมแบบ 3D Motion ได้อย่างน่าทึ่งแบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน

 

หน้าจอแบบ All-View display พร้อมนวัตกรรมกล้องหน้าฝังในหน้าจอ

หน้าจอแบบมีรอยบากถือเป็นที่นิยมอย่างมากในปีที่ผ่านมาซึ่งได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการให้สัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องมีพื้นที่กว้างมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนารูปแบบดังกล่าวนั้นมีข้อจำกัด ในขณะที่เหล่าบรรดาผู้ผลิตสมาร์ทโฟนต่างคิดค้นเพื่อพัฒนาการออกแบบหน้าจอในรูปแบบต่าง ๆ “ออเนอร์” ซึ่งเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอันล้ำสมัยได้เปิดตัว HONOR View20 สมาร์ทโฟนที่ฉีกข้อจำกัดหน้าจอรูปแบบเดิมด้วยหน้าจอเต็มพื้นที่ตัวเครื่องแบบ All-View display ขนาด 6.4 นิ้ว พร้อมด้วยนวัตกรรมกล้องหน้าฝังในหน้าจอ ซึ่งรูกล้องมีขนาดเล็กพิเศษที่เส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 4.5 มม. ด้วยการใช้เทคโนโลยีการซ้อนเลเยอร์ 18 ชั้น เทคนิคนี้ช่วยลดผลกระทบที่มีต่อโครงสร้างของจอและลดแสงรบกวนหน้าจอเพื่อเพิ่มคุณภาพของรูปภาพ ซึ่งเทคโนโลยีการซ้อนเลเยอร์ 18 ชั้น ยังลดพื้นที่ของการติดตั้งของกล้องได้อย่างมากทำให้ผู้ใช้งานสัมผัสกับประสบการณ์จอแสดงผลแบบเต็มหน้าจอเกือบ 100 %

ประสิทธิภาพการทำงานอันทรงพลัง ด้วยเทคโนโลยีอันชาญฉลาดของหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด

นอกจากนี้ สมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4,000mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็ว (SuperCharge) ที่ 4.5V/ 5A โดยผู้ใช้งานสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ถึง 55% ภายในเวลาเพียง 30 นาที รองรับการใช้อย่างต่อเนื่อง HONOR View 20 ยังมาพร้อม RAM 6GB + ROM128GB ทำให้ระบบการทำงานเป็นไปได้อย่างลื่นไหลไร้การติดขัด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.hihonor.com/th หรือ ติดตามไดhที่:https://www.facebook.com/HonorThai/ https://twitter.com/honorthailand https://www.instagram.com/honorthailand/ https://www.youtube.com/channel/UC6gEmqtN42jVSkB2DLnpCVQ