‘ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์’ (ที่ 2 จากซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ‘ศิริการย์ พัฑฒิวีระนนท์’ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ. บิวตี้คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ลงนามในสัญญาร่วมกับ ‘Mr.Zhou Dao Cheng’ (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท Yangzhou Royal Cosmetic Company Limited เพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจแบบ Exclusive Distributor จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Scentio Whitening Body Lotion Co-enzyme Q10 และ Scentio Whitening Milk bath cream Q10 ผ่านช่องทางตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แต่เพียงผู้เดียวในสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ ซ.นวลจันทร์ 34 เมื่อเร็ว ๆ นี้
ผู้เขียน: admin2
รมว.ดีอี ตรวจเยี่ยม CAT พร้อมดูงาน Data Center และศูนย์ปฏิบัติการโครงข่าย
วานนี้ (1 สิงหาคม 2562) เวลา 14.00 น. นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะ ตรวจเยี่ยมบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ณ อาคาร CAT TOWER บางรัก โดยมีพันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ นำคณะผู้บริหารและพนักงานให้การต้อนรับและบรรยายสรุปเกี่ยวกับภารกิจของ CAT

นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
CAT เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีภารกิจหลักในการให้บริการด้านดิจิทัลและสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศเพื่อเป็นกลไกสนับสนุนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนให้สามารถนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินภารกิจของแต่ละภาคส่วน รวมทั้งยังได้รับความสะดวกมากขึ้นสำหรับการใช้ชีวิตของประชาชนในปัจจุบัน

พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
การตรวจเยี่ยม CAT ในครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะ ได้เยี่ยมชมความพร้อมของ CAT data center และศูนย์ปฏิบัติการโครงข่าย (Network Operation Center : NOC) โดย CAT data center สามารถให้บริการแบบครบวงจร อาทิ การให้บริการรับฝากเซิร์ฟเวอร์ (Server Co-Location) บริการให้เช่าพื้นที่ (Temp Office) ด้วยมาตรฐาน TSI Level 3 และ ISO 27001: 2013 อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์/ซอฟต์แวร์ระดับ Premium มีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา ระบบไฟฟ้า 2 แหล่งจ่าย พร้อมเชื่อมต่อเข้ากับ Internet Gateway ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยปัจจุบัน CAT มีศูนย์ Data Center มากที่สุดในประเทศไทยถึง 8 แห่ง ครอบคลุมการให้บริการทั่วประเทศ ส่วนศูนย์ปฏิบัติการโครงข่ายจะทำหน้าที่ในการควบคุมดูแล เฝ้าระวังและประสานงานตรวจสอบแก้ไขวงจรสื่อสัญญาณที่ผ่านโครงข่ายหลักของ CAT เพื่อพร้อมรองรับการให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ประเมินเศรษฐกิจอเมริกา “ขัดแย้ง” มุมมองนักลงทุน
alivesonline.com : “ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ระบุชัดเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังถดถอย แม้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยก็ไม่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่น เพราะดัชนีความเชื่อมั่นหลายด้านยังหดตัว ขณะที่ผลประชุม G-20 งานด้านต่าง ๆ ไม่คืบหน้าอย่างที่หลายคนคาดหวัง
นายจิมมี่ ซู หัวหน้าฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มบริษัทผู้ให้บริการด้านการเงินระดับโลก เปิดเผยว่า การที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ปรับเพิ่มการคาดการณ์สำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในปี 2562 แม้ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกจะเป็นขาลง แต่การปรับเพิ่มดังกล่าวถูกมองว่าขัดแย้งกับมุมมองของนักลงทุน (Trader) ในวอลล์สตรีท ซึ่งวางเดิมพันข้างภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอเมริกามากขึ้นเรื่อย ๆ และตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายจากธนาคารกลางสหรัฐในเวลาเดียวกัน ดังนั้น แม้ว่าหุ้นสหรัฐอเมริกาจะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่นักลงทุนก็ไม่แสดงความเชื่อมั่นต่อการเติบโตในประเทศของสหรัฐ ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 21% ตั้งแต่ต้นปี แต่ดัชนีรัสเซล (RUSSELL) 2000 ซึ่งมุ่งเน้นเศรษฐกิจภายในประเทศกลับเพิ่มขึ้นเพียง 16% ในช่วงเวลาดังกล่าว
จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารายได้ประมาณครึ่งหนึ่งของบริษัทต่าง ๆ ในตลาดดัชนี S&P 500 นั้นส่วนใหญ่มาจากส่วนอื่น ๆ ของโลก ในขณะที่บริษัทต่าง ๆ ในตลาดดัชนี Russell 2000 มุ่งเน้นไปที่ตลาดในประเทศเป็นหลัก ตัวเลขราคาดังกล่าวในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่านักลงทุนมองสภาพเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาไม่สู้ดีนักและขาดความเชื่อมั่นหากราคาหุ้นเป็นดัชนีชี้วัดที่น่าเชื่อถือสำหรับตัวเลขเศรษฐกิจในอนาคต
“บริษัทขนาดย่อมต่าง ๆ กลายเป็นธุรกิจประเภทที่มุ่งเน้นการเติบโตมากขึ้น ซึ่งราคาหุ้นของธุรกิจเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตในเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาอย่างความแม่นยำกว่า เมื่อนักลงทุนไม่มั่นใจในเส้นทางการเติบโตในอนาคต พวกเขามักจะทิ้งหุ้นเหล่านั้นก่อนที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะมาถึง ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐของเฟด นักลงทุนยังไม่เชื่อว่าการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาจะสามารถช่วยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาได้ในขณะนี้”
นายจิมมี่ กล่าวอีกว่า บริษัทต่าง ๆ ใน Russell 200 มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน เมื่อธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 เท่าในปี 2561 ดัชนีรัสเซล 2000 ลดลง 13% ในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2562 ดัชนีรัสเซล 2000 เพียงเพิ่มขึ้น 6% เทียบกับ ดัชนี S&P 500 ที่เพิ่มขึ้น 9% ผลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายด้านการเงินแบบผ่อนปรนจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา
“จากการเจรจาด้านการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาที่เซี่ยงไฮ้รอบนี้ยังไม่เห็นความก้าวหน้าเท่าที่ควรและดูเหมือนว่ามุมมองในแง่ดีของ G-20 จะจางหายไปในไม่ช้า จึงมีความเป็นไปได้ต่ำมากที่จะเกิดข้อตกลงอย่างรวดเร็วระหว่างทั้งสองฝ่าย เพราะแต่ละฝ่ายยังคงมีความขัดแย้งในประเด็นสำคัญ เช่น ความต้องการของกรุงวอชิงตันในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน ขณะที่กรุงปักกิ่งมีการเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกายกเลิกภาษีศุลกากรขาเข้าสำหรับสินค้าของจีนที่ยังคงมีอยู่ ความตึงเครียดทางการค้าจะเป็นตัวชักชวนให้ธนาคารกลางเข้ามาร่วมสมาคมผู้รักนโยบายบรรเทาเศรษฐกิจมากขึ้น” นายจิมมี่ กล่าว
ทั้งนี้ นายจิมมี่ ซู จะมาร่วมคาดการณ์ตลาดทั้งสำหรับประเทศไทย อาเซียน และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เป็นครั้งแรกในรอบปี พร้อมรับฟังแนวโน้มตลาดครึ่งปีที่เหลือของ 2562 รวมถึง นายมาริโอ ซิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยังจะมาแนะนำวิธีการปรับตัวให้กับนักลงทุนเพื่อทำกำไรและอยู่รอดในตลาดขาลง พร้อมกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้ก่อตั้งสมาคมการลงทุนเน้นคุณค่าแห่งประเทศไทยที่จะร่วมให้ข้อมูลการพัฒนาเส้นทางการลงทุนทั้งแนวทางการเรียนรู้วิธีเอาชนะความท้าทายในฐานะนักลงทุนและการใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการลงทุนที่มีมูลค่าสูงในตลาดปัจจุบัน ในงาน “Bangkok ASEAN Tour 2019” ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 3 สิงหาคม 2562 เวลา 13.00.-17.00น. ณ บางกอก แมรีออท โฮเต็ล สุขุมวิท กรุงเทพฯ
นักลงทุน นักธุรกิจและผู้ที่สนใจ สามารถเข้าร่วมได้ฟรี โดยลงทะเบียนที่ https://bit.ly/2KBoxLv ติดตามรายละเอียดการจัดงานเพิ่มเติมที่ http://www.fullertonmarkets.com https://www.facebook.com/pg/FullertonMarkets http://twitter.com/fullertonmkts https://www.instagram.com/fullertonmarkets
“ซีพีแรม” สร้างพลัง “คนรุ่นใหม่ไร้ Food Waste”
alivesonline.com : “ซีพีแรม” ร่วมกับ สาขาวิชามีเดียอาตส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดตัวโครงการประกวดคลิปวิดีโอ “คนรุ่นใหม่ไร้ Food Waste” ปีที่ 2 เชิญชวนนักเรียน-นักศึกษาทั่วประเทศ แชร์ไอเดีย สร้างพลังผ่านคลิปวีดีโอความยาว 3 นาที ชิงทุนการศึกษารวมกว่า 3.6 แสนบาท
นายวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัท ซีพีแรม จำกัด ร่วมกับ สาขาวิชามีเดียอาตส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมดำเนินโครงการ การประกวดคลิปวิดีโอ “คนรุ่นใหม่ไร้ Food Waste” เพื่อสร้างความตระหนักในเรื่องลดความสูญเปล่าทางอาหารในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีส่วนสำคัญในการร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงในการลดความสูญเปล่าทางอาหาร รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม โดยการแชร์ไอเดีย สร้างพลังผ่านคลิปวีดีโอความยาว 3 นาที ซึ่งได้รับความสนใจจากนักเรียน นักศึกษาทั่วประเทศ ส่งผลงานเข้าร่วมโครงการกว่า 259 ผลงาน อีกทั้งยังได้มีการดำเนินกิจกรรมสร้างความตระหนักในเรื่องลดความสูญเปล่าทางอาหาร หรือ Food Waste ในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศกว่า 20 แห่ง
ในปี 2562 ซีพีแรม จึงจัดโครงการประกวดคลิปวิดีโอ “ คนรุ่นใหม่ไร้ Food Waste ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยโครงการดังกล่าวเริ่มต้นจากการตั้งคำถามจากสิ่งที่เราเห็นจากอาหารในจานที่เรารับประทานไม่หมด กองขยะตรงหน้าที่มีแต่เศษอาหารเหลือจากการรับประทาน หรือแม้แต่ผักและผลไม้ที่เน่าเสียอยู่ในตู้เย็น ประกอบกับการพูดถึงปัญหาความยากจน การโหยหาอาหาร ความหิวโหยของเด็กน้อยในแอฟริกา หรือประเทศที่อยู่ในสภาวะสงครามที่ทำให้ขาดแคลนอาหาร รวมทั้งการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้ เพื่อสร้างความตระหนักในเรื่องความสูญเปล่าทางอาหารในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีส่วนสำคัญในการร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง และลดความสูญเปล่าทางอาหาร รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม
นายวิเศษ กล่าวอีกว่า ปัญหาความสูญเปล่าทางอาหาร หรือ “Food Waste” ส่งผลกระทบต่อทุกคนในวงกว้างทั้งในมิติเศรษฐกิจ มิติสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหารของโลก จึงถึงเวลาแล้วที่เราจะร่วมกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยตระหนักถึงผลเสียที่ก่อเกิดจากอาหารที่ถูกทิ้งอย่างสูญเปล่า รวมถึงยังมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้
“ความสูญเปล่าทางอาหารแสดงให้เห็นถึงความสูญเปล่าในเชิงเศรษฐกิจ เหตุเพราะแทนที่อาหารที่ถูกผลิตจะส่งผลทำให้มนุษย์มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกลับสูญเปล่าไร้ประโยชน์ หากทุกคนสามารถลดปริมาณความสูญเปล่าทางอาหารและบริโภคอาหารอย่างสมดุล นอกจากจะสามารถลดรายจ่ายค่าอาหารในครัวเรือนอย่างยิ่งยวดแล้ว ยังช่วยทำให้ระดับความมั่นคงทางอาหารของคนบนโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น”
ความสูญเปล่าทางอาหารที่ถูกทิ้งยังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมหลายด้าน เพราะความสูญเปล่าทางอาหารที่ถูกทิ้งส่วนใหญ่จะถูกทำลายด้วยการฝังกลบซึ่งส่งผลให้เกิดก๊าซมีเทน (Methane) และก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลให้เกิดสภาวะเรือนกระจกที่รุนแรงยิ่งกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า ส่งผลเสียต่อชั้นบรรยากาศของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“การจัดทำโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจะเป็นการสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในการสร้างความตระหนักในเรื่องความสูญเปล่าทางอาหารในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลง และลดความสูญเปล่าทางอาหาร รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม จึงได้จับมือกับสาขาวิชามีเดียอาตส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีอย่างต่อเนื่อง ในการร่วมขับเคลื่อนการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมในการลดความสูญเปล่าทางอาหาร เพื่อสร้างความมั่งคง และความยั่งยืนทางอาหารอย่างต่อเนื่อง”
ด้าน ผศ.บุญเลี้ยง แก้วนาพันธ์ ประธานสาขาวิชามีเดียอาตส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า ถึงเวลาที่เราต้องร่วมกันขับเคลื่อนการสร้างความตระหนักในเรื่องลดความสูญเปล่าทางอาหารอย่างจริงจังเพื่อลูกหลานของเราในอนาคต การสร้างสรรค์สื่อเพื่อสร้างความตระหนักในเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งสะท้อนความจริงที่เกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้ ถือเป็นการบูรณาการศาสตร์ด้านการผลิตสื่อสร้างสรรค์กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเราอาจจะไม่สามารถหยุดเหตุกาณ์อันเลวร้ายนี้ได้ แต่เราเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ผสานรวมกันจนเกิดพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้เหตุกาณ์ดังกล่าวชะลอการเกิดขึ้นได้ และหวังว่าถ้าคนที่ได้เห็นผลงานสร้างสรรค์ดังกล่าวจะส่งผลให้มีความตระหนักและเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมในการลดความสูญเปล่าทางอาหาร จนสามารถสร้างอิมแพคในสังคมและโลกใบนี้ เหตุการณ์เลวร้ายดังกล่าวอาจจะหยุดการเกิดขึ้นได้
จากข้อมูลโครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ (UNEP) ระบุว่า 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตขึ้นทั่วโลกในแต่ละปี หรือประมาณ 1.3 พันล้านตันจะกลายเป็นความสูญเปล่าทางอาหาร หรือ Food Waste และถูกปล่อยให้เน่าเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 3.3 พันล้านตันต่อปี จำนวนอาหารที่ถูกทิ้งขว้างเหล่านี้มีมูลค่ารวมกันกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 31 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่เพียงพอจะนำไปเลี้ยงดูผู้คนที่หิวโหยได้มากถึง 870 ล้านคน
จากสถานการณ์ขาดแคลนอาหารของประชากรโลก ผู้คนที่อดอยากหิวโหยจำนวน 870 ล้านคนนั้น จำนวนเกินกว่าครึ่ง หรือประมาณ 552 ล้านคนอาศัยอยู่ในภูมิเอเชียแปซิฟิกซึ่งนับรวมประเทศไทยด้วยเช่นกัน สาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤติความสูญเปล่าทางอาหารเกิดจากระบบการจำหน่ายมีกระบวนการควบคุมที่ไม่เหมาะสม การซื้อสินค้า และการเตรียมอาหารที่มากเกินจำเป็น ตลอดจนความสูญเปล่าทางอาหารจากการบริโภค ทั้งในส่วนที่เหลือจากการรับประทานและเลือกบริโภค สหประชาชาติจึงตั้งเป้าลดความสูญเปล่าทางอาหารของโลกลงครึ่งหนึ่งในระดับค้าปลีกและผู้บริโภค และลดการสูญเสียอาหารจากกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว ภายในปี 2573
ทั้งนี้ โครงการประกวดคลิปวิดีโอ “ คนรุ่นใหม่ไร้ Food Waste” แชร์ไอเดีย สร้างพลังผ่านคลิปวีดีโอความยาว 3 นาที เปิดรับสมัครตั้งแต่ 1 สิงหาคม -31 ตุลาคม 2562 ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 3.6 แสนบาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ ผู้สนใจเข้าร่วมส่งผลงานและติดตามรายละเอียดการสมัครได้ที่ https://www.facebook.com/foodwasteclipcontest
“ไฟเซอร์ รู้ – เฒ่า (เท่า) – ทัน – สุข” โครงการสร้างสรรค์สู่ “สังคมผู้สูงวัย”
alivesonline.com : “สังคมผู้สูงวัย” ถือเป็นประเด็นเร่งด่วนระดับชาติ เนื่องจากประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยในอัตราเร่งที่เร็วที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีประชากรอายุเกิน 60 ปี มากกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) ซึ่งจะส่งผลกระทบหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ สังคม วิถีความเป็นอยู่ สุขภาพ แรงงานและการจ้างงาน เทคโนโลยี การศึกษาและการพัฒนาทักษะตลอดชีวิต ตลอดจนการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัย ซึ่งล้วนกระทบกับคนทุกวัยจึงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อผนึกกำลังพร้อมสู่การเป็นสังคมสูงวัยที่มีคุณภาพ
จากภาวะดังกล่าว มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย (Pfizer Thailand Foundation) และ มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย (Kenan Foundation Asia) เล็งเห็นความสำคัญของการเตรียมความพร้อมและการพัฒนาสังคมไทยไปสู่สังคมสูงวัยที่มีคุณภาพ จึงได้ร่วมกันพัฒนา โครงการ “ไฟเซอร์ รู้ – เฒ่า (เท่า) – ทัน – สุข” (Pfizer Healthy Aging Society) โดยมีเป้าหมายหลักคือ การสร้างรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมสำหรับประชากรวัยก่อนสูงอายุและวัยสูงอายุเพื่อนำไปสู่สังคมสูงวัยที่มีคุณภาพ ภายใต้แนวคิด “กายฟิต จิตดี มีออม” ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี (2559-2562) ในพื้นที่เป้าหมายคือ กรุงเทพฯ (เขตคลองเตย และเขตบางขุนเทียน) และจังหวัดอุบลราชธานี (อำเภอเมือง และอำเภอวารินชำราบ) โดยเป็นการทำงานที่เชื่อมโยงทั้งระดับประเทศและชุมชน มีการคัดเลือกผู้ที่มีอายุระหว่าง 45–59 ปี ใน 4 กลุ่มหลักเข้าร่วมโครงการคือ อาสาสมัครสาธารณสุข ครู บุคลากรสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับท้องถิ่น
สร้าง “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ช่วยพัฒนาชุมชน
ดร.นพ.นิรุตติ์ ประดับญาติ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภารกิจหลักของโครงการคือ “ไฟเซอร์ รู้ – เฒ่า (เท่า) – ทัน – สุข” คือ การพัฒนาศักยภาพกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้าง “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” (Change Agents) ที่ได้รับความรู้และทักษะจำเป็นเกี่ยวข้องกับสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความมั่นคงทางการเงิน ผ่านการอบรมและกิจกรรมภายใต้หัวข้อต่าง ๆ ได้แก่ โรคติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases) โภชนาการ (Nutrition) สุขภาพจิต (Mental Health) ความตระหนักรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) การจัดสภาพแวดล้อมเอื้อต่อผู้สูงอายุ สิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ชุมชน เป็นต้น ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้ได้กลายมาเป็นผลผลิตด้านบุคลากรที่สำคัญกว่า 41 คนที่ได้ร่วมสร้างสรรค์โครงการที่ช่วยพัฒนาชุมชนของตนเองถึง 27 โครงการ และจะนำเอาองค์ความรู้ไปพัฒนากลุ่ม หรือชุมชนของตนให้มีสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืนได้ต่อไป
ผลผลิตที่ดีที่เกิดขึ้นในโครงการ นอกจากจะเป็นทรัพยากรบุคคลแล้ว ยังได้จัดพิมพ์ คู่มือ “รู้ – เฒ่า (เท่า) – ทัน – สุข” จำนวน 2 พันเล่มที่เป็นประโยชน์ต่อทุกเพศทุกวัยในการนำไปใช้เป็นคู่มือสุขภาวะในชีวิตประจำวัน ทั้งยังได้ดำเนินการสัมภาษณ์ผู้บริหารชั้นนำขององค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรวิชาการ ฯลฯ เพื่อรวบรวมข้อมูลจัดทำ “ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย” (Policy Recommendation) ซึ่งมีสาระสำคัญได้แก่ 1.การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์สู่การเป็นสังคมสูงวัยแบบพฤตพลัง (Active Aging) 2.โอกาสในการประกอบอาชีพและการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3.การพัฒนาทักษะและความรู้ทางการเงิน 4.การส่งเสริมการมีสุขภาวะที่ดี 5.การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการใช้ชีวิตของทุกวัย โดยมุ่งหวังผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติในระดับนโยบายของประเทศต่อการเตรียมพร้อมสังคมสูงวัยที่พร้อมทั้งด้านสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจในระดับประเทศ

นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ (ซ้าย) ประธานอำนวยการ มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย และ ดร.นพ.นิรุตติ์ ประดับญาติ (กลาง) ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ดำเนินงานใน 4 องค์ประกอบหลัก
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานอำนวยการ มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย กล่าวสรุปภาพรวมการดำเนินงานโครงการว่า โครงการ “ไฟเซอร์ รู้ – เฒ่า (เท่า) – ทัน – สุข” มุ่งหมายสร้าง “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ที่จะมีพฤติกรรมเชิงบวกด้านสุขภาพ การเงิน และเป็นต้นแบบให้กับชุมชนที่ตนอยู่ร่วม ด้วยความคาดหวังหลัก 3 ประการด้วยกันคือ 1.เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้นำการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านการตระหนักรู้ทางสุขภาพกาย สุขภาพจิต และการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ 2.เพื่อปรับเปลี่ยนให้เกิดทัศนคติที่ดีและสร้างพฤติกรรมสุขภาพเชิงบวกที่มีส่วนช่วยลดปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในกลุ่มก่อนสูงอายุและผู้สูงวัย 3.เพื่อสร้างแบบปฏิบัติที่ดีในการเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยที่มีความยั่งยืนและปรับใช้ในบริบทสังคมไทยได้ โดยมีการดำเนินงานใน 4 องค์ประกอบหลักคือ
1.การสร้างความร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้อง (Stakeholders Engagement) จากการดำเนินงานมาตลอดระยะเวลา 3 ปี โครงการฯ ได้รับการสนับสนุนจาก 14 หน่วยงาน ในการเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาโครงการ (Steering Committee) ได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ (Local Stakeholders) มากกว่า 21 แห่ง และมากกว่า 12 หน่วยงานทางวิชาการที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมวิทยากรในการพัฒนาศักยภาพกลุ่มเป้าหมายของโครงการ มีผู้ผ่านการอบรมจำนวนทั้งสิ้น 181 คน และส่วนหนึ่งในจำนวนนี้ได้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ร่วมสร้างสรรค์โครงการที่ช่วยพัฒนาชุมชนของตนเองมากกว่า 27 โครงการ ส่งผลถึงคนในชุมชนมากกว่า 5 พันคน โดยมีโครงการที่น่าสนใจ อาทิ โครงการออกกำลังกายด้วยโยคะของชุมชนแฟลต 1-10 เขตคลองเตย ที่เกิดจากการรวมตัวของผู้รักสุขภาพ โครงการ “ลูกหมูสู่ลูกมด รู้อดรู้ออม เพื่อความพร้อมวัยเกษียณ” ของโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน ที่มี “คุณครู” ผู้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา สนับสนุนการออกกำลังของนักเรียนที่น้ำหนักเกินมาตราฐาน แนะนำด้านโภชนาการที่ดี
2.การพัฒนาศักยภาพ (Strengthening Capacity) มีการฝึกอบรมกว่า 25 ครั้ง โดยวิทยากรจากสถาบันวิชาการหลากหลายด้าน เช่น คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ในหัวข้อต่าง ๆ อาทิ การเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ ความรู้ด้านอาหารและโภชนาการ กินอยู่อย่างไร ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การประเมินสัดส่วนร่างกายและแปลผล การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ การวิเคราะห์ชุมชน การพัฒนาโครงการ และการอบรมผู้นำต้นแบบ เป็นต้น
3.การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ (Promotional Campaign) มีการดำเนินกิจกรรมที่ช่วยสร้างความตระหนักในเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ และการเงิน ตามแนวคิดของโครงการคือ “กายฟิต จิตดี มีออม” ทั้งในพื้นที่ กรุงเทพฯ และอุบลราชธานี รวมทั้งสิ้น 16 ครั้ง มีผู้เข้ากิจกรรมทุกเพศทุกวัย เยาวชน วัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุ รวม 1,319 คน
4.การติดตามและประเมินผล (Monitoring and Evaluation) เป็นการติดตามผู้เข้าร่วมโครงการอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องผ่าน “KAP survey: Knowledge, Attitude & Practice Survey” เพื่อทราบถึงความเปลี่ยนแปลงระดับบุคคลและระดับชุมชน ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ สุขภาพกาย (กายฟิต) สุขภาพจิต (จิตดี) การเงิน (มีออม) และอื่น ๆ พบว่า
กายฟิต – ผู้เข้าร่วมโครงการมากกกว่าร้อยละ 90 มีความรู้ (Knowledge) เรื่องการออกกำลังกายว่า ต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที มีความรู้เรื่องโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ ความดันโลหิตสูง มีทัศนคติ (Attitude) ที่ดีต่อการดูแลสุขภาพ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม (Practice) เช่น กว่าร้อยละ 86 มีการตรวจร่างกายประจำปี กว่าร้อยละ 80 ออกกำลังกายแบบง่าย อาทิ เดินแกว่งแขน ทำงานบ้าน อัตราการบริโภคอาหารติดมันและเครื่องในสัตว์ และอาหารรสหวานลดลง
จิตดี – ผู้เข้าร่วมโครงการเป็นกลุ่มบุคคลที่มีสุขภาพจิตที่ดีเป็นพื้นฐาน และจากการประเมินด้วย TMHI-15 พบว่ากว่าร้อยละ 60 มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ไม่มีภาวะซึมเศร้า และสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดี
มีออม – ผู้เข้าร่วมโครงการมากกว่าร้อยละ 80 มีความรู้ด้านการออมเงินผ่านธนาคาร การประกันภัย การประกันชีวิต รวมถึงมีทัศนคติที่ดี หรือเห็นด้วยว่าการวางแผนการใช้เงิน การวางแผนการเงินเพื่อดูแลสุขภาพ การทำบัญชีรายเดือ นั้นมีความจำเป็น โดยร้อยละ 60-75 มีทัศนคติที่ดีที่ต้องการการจัดทำบัญชีใช้จ่าย บัญชีครัวเรือน แต่พบว่ามีเพียงร้อยละ 10-20 ที่สามารถทำได้จริง ร้อยละ 35-50 มีการวางแผนทางการเงินล่วงหน้าทุกเดือน มีการวางแผนการออมเพื่อการเกษียณร้อยละ 49 ในขณะที่ยังมีสูงถึงร้อยละ 25 ที่ยังไม่มีการออมเพื่อการเกษียณ และยังพบว่ามีภาวะหนี้สินถึงร้อยละ 61 โดยผู้นำการเปลี่ยนแปลงจะต้องใช้ระยะเวลาในสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้เกิดการวางแผนการเงินที่ดีเพิ่มขึ้นในชุมชนของตนเอง
ส่วนในด้านอื่น ๆ พบว่าว่าร้อยละ 60 มีความรู้ความเข้าใจต่อสถานการณ์ผู้สูงอายุที่ปัจจุบันมีมากกว่าร้อยละ 15 ของจำนวนประชากร โดยกว่าร้อยละ 75 มองว่าผู้สูงอายุไม่ได้เป็นภาระ สามารถเป็นที่ปรึกษาได้ มากกว่าร้อยละ 90 ที่เชื่อมั่นว่าสามารถเสียสละเวลาและแรงงานเพื่อร่วมกิจกรรมในชุมชน และสามารถสื่อสารเพื่อรณรงค์การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในชุมชนได้ เป็นต้น
มุ่งเป้าหมายสู่โครงการ “ต้นแบบ” ดำเนินงานทั่วประเทศ
เป้าหมายหลักของโครงการ “ไฟเซอร์ รู้ – เฒ่า (เท่า) – ทัน – สุข” คือ การสร้างรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมสำหรับประชากรวัยก่อนวัยสูงอายุและวัยสูงอายุ เพื่อนำไปสู่สังคมผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน สามารถประยุกต์และปรับใช้ได้กับบริบทของสังคมไทยได้จริง โดยขณะนี้เรามีผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ระดับรายบุคคลที่มีพฤติกรรมเชิงบวกด้านสุขภาวะ เป็นแกนนำจัดประชุมเครือข่ายสังคมสูงวัยในพื้นที่ ได้ใช้ความรู้และทักษะจากการอบรมกับโครงการฯ ไปใช้กำหนดแนวทางจัดทำโครงการพัฒนาชุมชนของตน ตลอดจนเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเปิดโอกาสให้ชุมชนได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้โครงการประสบความสำเร็จคือ การได้รับความอนุเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญในการให้ข้อเสนอแนะและร่วมสร้างกิจกรรมที่มีประสิทธิภาพ ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง มีการติดตามและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดให้กับผู้นำการเปลี่ยนแปลงในทุกกระบวนการ บุคคลที่เกี่ยวข้องต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพ รับข้อมูลที่ทันสมัยและถูกต้องตามหลักวิชาการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คณะทำงานในพื้นที่ของกรุงเทพฯ และอุบลราชธานี มุ่งที่จะสร้างการร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการนำโครงการต้นแบบไปใช้กับหน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำกับนโยบายด้านผู้สูงอายุในระดับประเทศ อาทิ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
เหนือสิ่งอื่นใด คณะทำงานโครงการฯ รวมทั้งกลุ่มผู้นำการเปลี่ยนแปลง ยังมุ่งหวังที่จะได้รับการพัฒนาและยกระดับสู่การเป็น “เครือข่ายเกื้อหนุน” (Collaboration Network) ให้แก่ระบบคุ้มครองทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ ระบบการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาวของชุมชน และระบบการเตรียมความพร้อมของประชากรก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างบูรณาการร่วมกับเครือข่ายทั้งในระดับจังหวัด และเขต/อำเภอ ให้เกิดเป็นรูปแบบของ “Collaborative Ecosystem for Aging Society District” ต่อเนื่องไปจนถึงระดับประเทศโดยผ่านหน่วยงานภาครัฐที่จะนำโครงการ “ไฟเซอร์ รู้-เฒ่า(เท่า)-ทัน-สุข” เป็นต้นแบบในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior) ได้อย่างยั่งยืนทั่วทั้งประเทศ.
“ชาริตา ลีลายุทธ” ขึ้นแท่นซีอีโอคนใหม่ สายการบิน “ไทยสมายล์”
alivesonline.com : สายการบิน “ไทยสมายล์แอร์เวย์” ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงคนใหม่ นางชาริตา ลีลายุทธ ให้ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด มีผลตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป
การประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงในครั้งนี้ ถือเป็นการดำเนินการเพื่อผลักดันศักยภาพการเติบโตของ “ไทยสมายล์” ให้บรรลุเป้าหมายโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านประสิทธิภาพการบริหารงานการบิน ทั้งการเพิ่มระยะเวลาการใช้งานเครื่องบิน ตลอดจนเพิ่มความถี่ในเส้นทางเดิมและเพิ่มเส้นทางใหม่ โดยยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารงานการเงินและการลงทุน ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการบริการ รวมทั้งบริหารจัดการด้านบุคลากร เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้โดยสาร “ไทยสมายล์” รวมไปถึงการมุ่งปฏิบัติงานในหน้าที่ให้ครบถ้วน สอดคล้องกับนโยบายและทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
ก่อนหน้านี้ นางชาริตา ลีลายุทธ ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้บริหารสตรีที่ก้าวสู่ผู้นำระดับสูงในอุตสาหกรรมสายการบิน เป็นผู้นำทางความคิดและสร้างแรงบันดาลใจ อีกทั้งยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “ไทยสมายล์” กับรางวัลสายการบินยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของประเทศไทย (Best Airline in Thailand) และสายการบินยอดเยี่ยมในภูมิภาคเอเชีย (Travellers’ Choice Regional Airline – Asia) จาก Trip Advisor ติดต่อกันถึง 3 ปีซ้อน รวมไปถึงการวางแผนและดำเนินนโยบายเชื่อมต่อบริการกับการบินไทยอย่างไร้รอยต่อ พร้อมผลักดันสนับสนุนงานด้าน Digital Transformation ในองค์กรอย่างเป็นรูปธรรม ถือเป็นการนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีและการบริหารการเงินในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและบริหารองค์กร บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด รวมทั้งประสบการณ์ด้านการเงินจากองค์กรระดับประเทศมาปรับใช้ในองค์กรไทยสมายล์ได้อย่างน่าชื่นชม
นางชาริตา ลีลายุทธ ยังถือเป็นผู้บริหารระดับสูงที่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมตอบแทนสังคมมาโดยตลอด ทั้งการเป็นผู้ริเริ่มและสานต่อโครงการต่าง ๆ ของ “ไทยสมายล์” อาทิ ท่องฟ้าพายิ้ม ไทยสมายล์ให้รอยยิ้มช่วยชีวิต Smile for Life และล่าสุดกับโครงการสนับสนุนผลผลิตเมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิกาจากมูลนิธิโครงการหลวง
นอกจากการทำงานอย่างเต็มที่เต็มกำลังภายในองค์กรแล้ว นางชาริตา ลีลายุทธ ยังให้ความสำคัญกับการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งระดับประเทศและต่างประเทศในด้านต่าง ๆ เพื่อผลักดันธุรกิจให้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงที่ผ่านมาได้ปฏิบัติงานด้วยความเข้าใจในลักษณะธุรกิจและการปฏิบัติการของสายการบิน “ไทยสมายล์” อย่างแท้จริง เนื่องจากมีประสบการณ์การทำงานกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในตำแหน่งสุดท้ายคือ “รักษาการ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการเงินและการบัญชี” ก่อนจะย้ายมาเป็นผู้บริหารให้บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด รวมระยะเวลาในอุตสาหกรรมการบินกว่า 25 ปี
นางชาริตา ลีลายุทธ จึงสามารถนำวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นจุดเด่นของ “การบินไทย” มาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างเสริมและส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรของ “ไทยสมายล์” ได้เป็นอย่างดีและทุ่มเททำงานด้วยความภักดีกับทั้งสององค์กรระดับประเทศมาตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษ.
#นางชาริตาลีลายุทธ #ซีอีโอคนใหม่ไทยสมายล์แอร์เวย์
บัตรเครดิตกรุงศรี ชวน “กิน ชอปซูเปอร์ฯ เที่ยว” ได้พอยต์สุดคุ้ม
นายสมหวัง โตรักตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ “ฤดูพอยต์แรงส์ #พอยต์บูมเมอแรง กิน ช้อปซูเปอร์ฯ เที่ยวทั่วไทย” ชวนสมาชิกบัตรเครดิตกรุงศรี ใช้จ่ายผ่านบัตรฯ รับสุดคุ้มกับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ ในหมวดร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ตทุกที่ทั่วไทย และหมวดท่องเที่ยวที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 ต่อที่ 1 แลกพอยต์รับเครดิตเงินคืน 15% เมื่อมียอดใช้จ่ายและแลกคะแนนตามที่กำหนด ต่อที่ 2 รับพอยต์คืนเพิ่มสูงสุด 60,000 คะแนนตลอดรายการ รับเพิ่ม 1,000 คะแนน เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสมรวมทุก 10,000 บาทในหมวดที่ร่วมรายการ เพียงลงทะเบียนก่อนทำรายการผ่าน UCHOOSE หรือพิมพ์ PPP วรรค ตามด้วยหมายเลขบัตร ส่งมาที่ 08 1927 9999 (เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด) ข้อมูลเพิ่มเติม www.krungsricard.com/th/promotion/boomerang
“คาเฟ่ แคนทารี” ชวนบอกรักแม่ “ซื้อเครื่องดื่ม1 แก้ว แถมฟรี 1 แก้ว”
วันที่ 12 สิงหาคม 2562 “คาเฟ่ แคนทารี” เชิญชวนทุกท่านมาร่วมฉลอง “วันแม่” ให้คุณและคุณแม่ฟินกับโปรโมชันพิเศษ ซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว แถม 1 แก้ว ฟรีทันที! (จ่ายเครื่องดื่มที่ราคาสูงกว่า) ณ “คาเฟ่ แคนทารี” สาขาอยุธยา, บางแสน, ศรีราชา, ระยอง, โคราช, ปราจีนบุรี, เชียงใหม่, ภูเก็ต และ เกาะยาวน้อย
สิทธิพิเศษและเงื่อนไข
- ไม่เกินท่านละ 2 แก้ว
- โปรโมชั่นนี้ไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Centre : 1627 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.cafekantary.com
“โอซีซี” มอบความรู้สู่มหาวิทยาลัย
‘นันทพร ดำรงพงศ์’ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยสยาม ให้การต้อนรับ ‘สุวภา ศิริวรรณ’ ผู้ช่วยผู้จัดการหน่วยอบรมการแต่งหน้าและพัฒนาบุคลิกภาพ บมจ.โอซีซี พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ในโอกาสมอบความรู้เรื่องการแต่งหน้าและเทคนิคการดูแลผิว เพื่อเสริมสร้างความพร้อมให้แก่นักศึกษา ก่อนก้าวเข้าสู่โลกแห่งการทำงาน ตามวัตถุประสงค์ของ “โอซีซีสานพลังประชารัฐ พัฒนาความรู้ สู่เส้นทางสายอาชีพ” ณ ห้องประชุม 403 มหาวิทยาลัยสยาม เมื่อเร็ว ๆ นี้
ส่องเทรนด์ธุรกิจร้านอาหาร “ยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่?”
ปราณิดา ศยามานนท์
Economic Intelligence Center (EIC)
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
alivesonline.com : ธุรกิจร้านอาหารไทยยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งจากครัวเรือนที่มีขนาดเล็กลงและการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะเห็นการชะลอตัวของการบริโภคจากรายได้ครัวเรือนที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก อีกทั้งรายได้ภาคเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำก็ตาม
แต่จากข้อมูลของ Euromonitor พบว่ายอดขายธุรกิจบริการอาหาร (Food Service) ของไทยยังเติบโตได้ต่อเนื่องที่ 4% ต่อปีในช่วงปี 2556-2561 สูงกว่าการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนที่เติบโตเฉลี่ยประมาณ 2.4% ต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน ส่งผลให้มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 8.8 แสนล้านบาทในปี 2561
Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จึงคาดการณ์ธุรกิจบริการอาหารว่ายังมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องที่ประมาณ 4-5% ในช่วงปี 2562-2563 โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่ครัวเรือนมีขนาดเล็กลงและต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น รวมถึงการขยายตัวของเมือง (Urbanization) ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการขยายตัวของศูนย์การค้าใหม่ ๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาทานอาหารนอกบ้าน หรือซื้ออาหารสำเร็จรูปมารับประทานที่บ้านมากขึ้น
สะท้อนได้จากข้อมูลการสำรวจการใช้จ่ายของครัวเรือนไทยในด้านอาหารของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ครัวเรือนไทยมีการใช้จ่ายด้านการรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือซื้ออาหารสำเร็จรูปมารับประทานในบ้านเพิ่มขึ้นประมาณ 3% ต่อปีในช่วงปี 2562-2561 เทียบกับการใช้จ่ายในการปรุงอาหารเองที่บ้านที่เติบโตเพียง 1% ต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน สอดคล้องกับผลสำรวจพฤติกรรมการบริโภคของไทยที่จัดทำโดย EIC ในปี 2560 ซึ่งพบว่า 68% ของผู้ตอบแบบสำรวจทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น โดยการรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นกิจกรรมที่นิยมทำมากที่สุดถึงประมาณ 65% อีกทั้ง 76% ของผู้บริโภคยังมีการใช้จ่ายนอกบ้านมากขึ้น
นอกจากปัจจัยสนับสนุนจากผู้บริโภคในประเทศแล้ว การขยายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงที่ผ่านมายังมีส่วนช่วยผลักดันยอดขายร้านอาหารให้เติบโตได้ดีแม้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งนี้ จากข้อมูลการใช้จ่ายหมวดอาหารและเครื่องดื่มของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงปี 2556-2569 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ประมาณ 5% ต่อปี หรือประมาณ 10,568 บาทต่อคนต่อทริป สะท้อนถึงโอกาสสำหรับธุรกิจร้านอาหารที่ยังเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ
การเติบโตของร้านอาหารเป็นผลจากการขยายตัวของกลุ่มร้านอาหารที่มีสาขา (Chained Restaurant) เป็นหลัก จากข้อมูลของ Euromonitor ในช่วงปี 2012-2018 พบว่า ยอดขายร้านอาหารประเภทเชนของไทยขยายตัวต่อเนื่องประมาณ 9% ต่อปี ขณะที่การขยายสาขาเติบโตประมาณ 8% โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายสาขาไปตามพื้นที่ค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเติบโตสูงกว่าร้านอาหารที่ไม่มีสาขา (Non-Chained Restaurant) ซึ่งมียอดขายและจำนวนร้านค้าขยายตัวเพียงประมาณ 4% และ 2% ต่อปีตามลำดับ
ทั้งนี้ ถ้าดูประเภทของร้านอาหารจะพบว่าแนวโน้มร้านที่จำกัดการให้บริการ (Limited Service) อย่างเช่นรูปแบบที่ไปสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์และลูกค้าบริการตัวเอง หรือบางแห่งอาจมีพนักงานมาเสิร์ฟที่โต๊ะเป็นรูปแบบที่ขยายตัวดีเนื่องจากตอบโจทย์ทั้งความรวดเร็ว ลดจำนวนพนักงานและทำให้จำนวนรอบหมุนเวียนโต๊ะอาหารเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาร้านอาหารในรูปแบบนี้มากขึ้น ซึ่งแต่เดิมส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดประเภทเบอร์เกอร์ แต่ในปัจจุบันร้านอาหารประเภทอื่น ๆ ได้มีการพัฒนารูปแบบร้านในลักษณะนี้มากขึ้น อาทิ ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านขนมเบเกอรี่ ซึ่งแนวโน้มการแข่งขันจะยิ่งรุนแรงขึ้นจากการที่มีผู้เล่นรายใหม่ ๆ เข้ามาแข่งขันมากขึ้น
จับตากลุ่มอาหารประเภทอาเซียน
จากความนิยมในร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลี ส่งผลให้มีการขยายสาขาของเชนร้านอาหารประเภทดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขยายตัวตามการเปิดศูนย์การค้าต่าง ๆ ขณะเดียวกันยังมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันในตลาดร้านอาหารอาเซียนเพิ่มขึ้น ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจึงส่งผลให้แนวโน้มยอดขายต่อสาขาของร้านอาหารอาเซียน โดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัวลงโดยเฉพาะในกลุ่มเชน เติบโตเพียงประมาณ 2% ต่อปีในช่วงปี 2555-2561 เนื่องจากมีการขยายสาขาร้านอาหารค่อนข้างเร็ว อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเน้นเจาะตลาดทั่วไปที่ยังต้องแข่งขันด้านราคาค่อนข้างมาก
ขณะเดียวกัน ร้านอาหารอาเซียนที่เข้ามาแข่งขันยังมีความหลากหลายของประเภทอาหาร ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น โดยกลุ่มที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่ ได้แก่ Sushi, Ramen, Izakaya, Shabu และ Yakiniku นอกจากนี้ เทรนด์ที่น่าจับตามองคือผู้ประกอบการมีแนวโน้มพัฒนารูปแบบของร้านอาหารที่พรีเมียมมากขึ้นโดยเน้นจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เช่น Omakase ที่จะเน้นวัตถุดิบชั้นดีโดยเชฟจะเป็นผู้รังสรรค์เมนู ทำให้สามารถคิดราคาค่าบริการที่สูงมากขึ้นได้
ร้านคาเฟ่ (Café) เป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวเร็ว โดยเฉพาะร้านกาแฟและชาไข่มุกซึ่งมีการแข่งขันกันในหลายเซ็กเมนต์ ขณะเดียวกันยังมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาแข่งขันมากขึ้น จากกระแสความนิยมของผู้บริโภคที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องส่งผลให้ร้านกาแฟโดยเฉพาะกลุ่มเชนของไทยเติบโตถึงประมาณ 20% ต่อปีในช่วงปี 2555-2561 จากการขยายสาขาของแบรนด์ขนาดใหญ่ ซึ่งหลายแบรนด์ใช้กลยุทธ์ในการขยายสาขารูปแบบแฟรนไชส์ทำให้สามารถขยายได้เร็วและกระจายตัวไปในหลากหลายพื้นที่
อีกกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือผู้ประกอบการบางรายมีการกระจายเซ็กเมนต์เพื่อเจาะลูกค้าหลายกลุ่ม โดยแตกแบรนด์ออกมาเป็นกลุ่มทั่วไปและพรีเมียมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในแต่ละทำเลได้ดียิ่งขึ้น นอกจากร้านกาแฟที่มีแนวโน้มเติบโตสูงแล้ว ตลาดชานมไข่มุกยังเป็นอีกธุรกิจที่น่าจับตามองจากกระแสความนิยมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีผู้เล่นรายใหม่ ๆ เข้ามาแข่งขันในตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคงต้องจับตามองเทรนด์การดื่มชานมไข่มุกของผู้บริโภคที่มีโอกาสเป็นกระแสความนิยมในระยะสั้น อีกทั้งยังเป็นกลุ่มเครื่องดื่มที่ไม่มี Brand Loyalty มากนัก ดังนั้นคงต้องจับตามองการแข่งขันในระยะต่อไปซึ่งหากผู้ประกอบการยังไม่มีจุดแข็งของแบรนด์ หรือสร้างความแตกต่างมีโอกาสที่จะไม่สามารถอยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาว
ขณะที่ ธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มแข่งขันรุนแรงขึ้น อีกหนึ่งคู่แข่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ Grocery Store ที่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดร้านอาหารไปบางส่วน โดยในปัจจุบัน Grocery Store โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อมีแนวโน้มเพิ่มสัดส่วนของอาหารพร้อมรับประทานซึ่งได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน มีการพัฒนาบริการรูปแบบใหม่ ๆ อย่างเช่นการเพิ่มโซนรับประทานอาหารโดยเพิ่มบริการอาหารปรุงสดรวมถึงมุมกาแฟให้บริการซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคที่เร่งรีบได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Euromonitor พบว่า ยอดขายของร้านสะดวกซื้อในไทยที่เป็นรายได้ในส่วนของการให้บริการอาหารมีแนวโน้มขยายตัวถึงประมาณ 14% ต่อปีในช่วงปี 2556-2562 ซึ่งเติบโตเร็วกว่ายอดขายของร้านอาหารประเภทเบอร์เกอร์ที่เติบโตประมาณ 11% ต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่าร้านสะดวกซื้อสามารถตอบโจทย์พฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี จากการนำเสนออาหารสำเร็จรูปที่มีให้เลือกหลายตั้งแต่แซนวิชไปจนถึงข้าวผัดกระเพราะ หรือเมนูขนมหวานต่าง ๆ เห็นได้จากสัดส่วนสินค้าประเภทอาหารของผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อรายหลัก ๆ ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 50-70% ของสินค้าทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นอีกหนึ่งคู่แข่งสำคัญของร้านอาหารจากแนวโน้มการพัฒนารูปแบบการให้บริการโดยนำเอาร้านอาหารเข้ามาไว้ภายใน Grocery Store หรือที่เรียกว่า Grocerant ซึ่งมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยบางแห่งจะมีจุดขายอยู่ที่ลูกค้าสามารถเลือกสรรวัตถุดิบเองจากตู้แช่และนำมาให้ทางร้านปรุงให้ซึ่งเป็นจุดขายอย่างหนึ่งที่ได้รับการตอบรับที่ดี
กระแสธุรกิจร้านอาหารที่มาแรง
Fast Casual เป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องความรวดเร็ว ขณะเดียวกันยังต้องการเน้นคุณภาพอาหารควบคู่ไปด้วย ร้านอาหารประเภท Fast Casual ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผสมผสานระหว่างฟาสต์ฟู้ดซึ่งเน้นความรวดเร็วกับ Casual Dining ซึ่งเน้นคุณภาพ บรรยากาศร้านและเมนูมีความหลากหลายเป็นรูปแบบที่มีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้นทั่วโลก
จากสถิติธุรกิจร้านอาหารประเภทต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา พบว่า Fast Casual มีแนวโน้มขยายตัวเร็วกว่า Fast Food โดยทั่วไป โดยล่าสุดในปี 2559 ขยายตัวประมาณ 8% เทียบกับร้านประเภทฟาสต์ฟู้ดที่ขยายตัว 4% นอกจากนี้ Fast Casual ยังค่อนข้างมีความหลากหลายครอบคลุมอาหารนานาชนิด อย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่จะเป็นร้านประเภทแซนวิช อาหารเม็กซิกัน และเบเกอรี โดย Shake Shack เป็นตัวอย่างของร้านอาหาร Fast Casual ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยยอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2559 ยอดขายเติบโตถึงประมาณ 40% เนื่องจากขายอาหารประเภทเบอร์เกอร์และแซนวิชที่มีคุณภาพด้วยราคาที่ต่างจากเบอร์เกอร์พรีเมียมของร้านฟาสต์ฟู้ดทั่วไปประมาณ 1-5 เหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคยังสามารถเลือกส่วนผสมของเมนูตามที่ต้องการได้อีกด้วย (Customization)
ทั้งนี้รูปแบบ Fast Casual มีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้นในไทยเนื่องจากตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบแต่ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคไทยช่างเลือกและให้ความสำคัญกับคุณภาพและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น แต่ประเภทอาหารที่น่าจะตอบโจทย์กับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยน่าจะเป็นกลุ่มอาหารอาเซียนและเบเกอรีเป็นหลัก อย่างไรก็ดี แม้ Fast Casual จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการควรต้องเลือกทำเลให้ตอบโจทย์โดยอาจจะเน้นทำเลออฟฟิศ หรือสถานศึกษาที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วโดยชูจุดเด่นที่อาหารจานเร็วและมีคุณภาพ
ผู้บริโภคยุคใหม่มองหาร้านอาหารที่ไม่ได้ตอบโจทย์แค่การรับประทานอาหาร
แต่ต้องการให้ร้านอาหารช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคด้วย เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่ช่างเลือกและมองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยสร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภค ดังนั้นนอกเหนือจากรสชาติอาหารที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรกแล้ว บรรยากาศแปลกใหม่นับเป็นจุดขายสำคัญสำหรับการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารในยุคนี้
ตัวอย่างเช่นรูปแบบร้านอาหารประเภท Plant Based หรือ Local Ingredient โดยรอบร้านจะเป็นสวนผักและผลไม้ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกเด็ดวัตถุดิบจากต้นและเลือกวัตถุดิบที่ต้องการในเมนูได้ หรือร้านอาหารที่ให้ลูกค้าทานอยู่ในความมืด (Dine In The Dark) เพื่อให้ได้ประสบการณ์ใช้ประสาทสัมผัสในการคาดเดาเมนูอาหาร นอกจากนี้ กระแสการท่องเที่ยวเชิง Food Experience ยังส่งผลให้เกิดความนิยมในการไปตระเวนชิมร้านอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง อาทิ ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในเมนูเฉพาะอย่าง รวมถึงสตรีทฟู้ดต่าง ๆ ซึ่งมีแนวโน้มได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
Foodie Influencer และแพลตฟอร์มที่ใช้ค้นหาร้านอาหารมีอิทธิพลต่อการเลือกใช้บริการร้านอาหารในยุคนี้
จากผลสำรวจของ EIC เกี่ยวกับสื่อที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าไปใช้บริการร้านอาหารของผู้บริโภคพบว่า 58% ของผู้ตอบแบบสำรวจตอบว่าโซเชียลมีเดียและรีวิวมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ รองลงมาคือการบอกต่อที่ 23% และ 9% ผ่านการโฆษณาในสื่อ สะท้อนให้เห็นว่าบทบาทของ Foodie Influencer มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากขึ้นเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ช่างเลือกและติดโซเชียลมีเดีย จึงมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับรีวิวร้านอาหารทั้งในแง่คุณภาพและบริการ โดยแพลตฟอร์มที่รวบรวมร้านอาหารและมีรีวิวต่าง ๆ รวมถึงการมีโปรโมชันส่วนลดเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่นเดียวกับโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมที่เป็นช่องทางสำคัญที่ร้านอาหารต่าง ๆ ใช้ในการโปรโมทร้านให้เป็นที่รู้จัก
แม้ว่าผู้บริโภคจะนิยมรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น แต่แนวโน้มการสั่งอาหารออนไลน์ยังเป็นอีกช่องทางสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม สะท้อนได้จากมูลค่าตลาดฟู้ดเดลิเวอรีที่ขยายตัวต่อเนื่องถึงประมาณ 10% ต่อปีในช่วงปี 2556-2561 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการที่ผู้บริโภคเข้าถึงเทคโนโลยีและใช้งานสมาร์ทโฟนอย่างแพร่หลายมากขึ้น ขณะเดียวกัน มีการแข่งขันกันพัฒนาแอปพลิเคชันส่งอาหารกันมากขึ้น โดยในปัจจุบันบางแพลตฟอร์มอย่างเช่น Line Man มี Active User มากกว่า 3 ล้านรายสะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย ส่งผลให้มีผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามาแข่งขันในตลาดฟูดเดลิเวอรีกันอย่างดุเดือด ซึ่งส่วนใหญ่จะแข่งกันที่จำนวนร้านอาหารบนแพลตฟอร์มที่ต้องมีความหลากหลายเพื่อดึงให้มีผู้เข้ามาใช้บริการมากที่สุดรวมถึงบริการที่รวดเร็วและราคาค่าส่งที่ถูกกว่าเพื่อจูงใจให้มีคนมาใช้บริการ ดังนั้นผู้ประกอบการร้านอาหารจึงไม่ควรมองข้ามความสำคัญของการมีช่องทางเดลิเวอรีควบคู่กันด้วยซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายอีกช่องทางหนึ่ง โดยเฉพาะในศูนย์การค้าที่มีพื้นที่ค้าปลีกจำกัดและมีอัตราค่าเช่าพื้นที่แพง เพราะการมีช่องทางการเดลิเวอรีจะช่วยเสริมให้ใช้พื้นที่ค้าปลีกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ธุรกิจร้านอาหารไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากส่งผลให้มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาทำธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นส่งผลให้มีผู้ประกอบการที่เลิกกิจการไปเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน จากข้อมูลของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในปี 2561 พบว่าธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารเป็นกลุ่มที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ด้วยจำนวน 2,058 ราย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3% ของจำนวนธุรกิจที่จัดตั้งใหม่ทั้งหมดในปี 2561 แต่ขณะเดียวกัน ร้านอาหารยังเป็นธุรกิจที่มีการเลิกกิจการสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 เช่นเดียวกันโดยในปี 2561 มีจำนวน 566 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2% ของธุรกิจที่เลิกกิจการทั้งหมด
ผู้ประกอบการที่จะเข้ามาในธุรกิจนี้จึงต้องมีความระมัดระวังพิจารณาเลือกทำเลที่เหมาะสม เน้นคุณภาพและบริการ ขณะเดียวกันต้องหาจุดขายที่สร้างความแตกต่าง ที่สำคัญคือการบริหารจัดการต้นทุนและสร้างความผูกพันของลูกค้าซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว.