“จ๊อบไทย” เผยตัวเลขความต้องการแรงงานครึ่งปีแรก

alivesonline.com : “จ๊อบไทย” (JobThai) ผู้ให้บริการหางาน-สมัครงาน ออนไลน์ อันดับ 1 ของประเทศไทย เผยกระแสตอบรับดีหลังจากพัฒนาบริการสู่ “จ๊อบไทย แพลตฟอร์ม” (JobThai Platform) และเปิดตัว “จ๊อบไทย โมบาย แอปพลิเคชัน” (JobThai Mobile Application) เวอร์ชันใหม่ เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม 2562

นางสาวแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการ “จ๊อบไทย” กล่าวว่า ผลตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 เกิดจากการที่ “จ๊อบไทย แพลตฟอร์ม” ได้สร้างประสบการณ์ในการหางาน – สมัครงาน ค้นหาบุคลากรที่สะดวกและตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2562 มีผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านคน มีการสมัครงานมากกว่า 6 ล้านครั้ง เติบโตขึ้น 11% และมีจำนวนคนสมัครงานกว่า 9 แสนคน เติบโตขึ้น 25% ส่วนความต้องการแรงงานสูงสุดคืองานขาย ขณะที่งานธุรการ/จัดซื้อมีการสมัครสูงที่สุด โดยงานที่มีอัตราการแข่งขันสูงที่สุดคือ งานนำเข้า-ส่งออก และงานทรัพยากรบุคคล

จากการศึกษาพฤติกรรมการหางาน – สมัครงาน ของผู้ใช้งาน “จ๊อบไทย” ในครึ่งปีแรกพบสถิติที่น่าสนใจ ดังนี้

  • คนทำงานอายุ 25 – 34 ปี เป็นกลุ่มผู้ใช้งานหลัก เมื่อเปิดข้อมูลทางประชากร พบว่ากลุ่มผู้ใช้งานหลักเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยผู้ใช้งานเพศหญิง คิดเป็น 9% ในขณะที่เป็นเพศชาย คิดเป็น 37.1% เมื่อพิจารณาอายุของผู้ใช้งานจะเห็นได้ว่า ผู้ใช้งานที่มีช่วงอายุ 25–34 ปี คิดเป็น 58.7% ซึ่งมีจำนวนมากกว่าครึ่งของผู้ใช้งานทั้งหมด ลำดับถัดมาเป็นช่วงอายุ 35–44 ปี คิดเป็น 17.5% และอายุ 18-24 ปี คิดเป็น 15.6% ในขณะที่ผู้ใช้งานที่อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป คิดเป็น 8.2%
  • มีการหางานมากที่สุดในช่วงเวลากลางวัน พฤติกรรมผู้ใช้งานในช่วงเวลา 00-16.00 น. สูงกว่าช่วงกลางคืน โดยพบว่า 11.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เข้าใช้งานสูงที่สุด และเมื่อดูพฤติกรรมการเข้าใช้งานเป็นรายวัน พบว่า การเข้าใช้งานในช่วงวันธรรมดาสูงกว่าวันหยุด โดยวันพุธเป็นวันที่มีการเข้าใช้งานสูงที่สุด
  • ระดับการศึกษาและสาขาของผู้ใช้งาน ผู้ใช้งานที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมีสัดส่วนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็น 7% ระดับ ปวส. คิดเป็น 14.73% ระดับปริญญาโท คิดเป็น 4.48% และในระดับการศึกษาอื่น ๆ รวมกันอยู่ที่ 6.08% เมื่อแยกตามสาขาวิชาที่จบของผู้สมัครงาน พบว่า อันดับหนึ่ง ได้แก่ บริหาร/การจัดการ/บุคคล คิดเป็น 11.6% อันดับสอง บัญชี/การเงิน/การธนาคาร คิดเป็น 10.6% อันดับสาม เลขาฯ /ประชาสัมพันธ์/ธุรการ/คอมพิวเตอร์ธุรกิจ คิดเป็น 6.1% อันดับสี่ วิศวกรรมอุตสาหการ/เครื่องกล/โรงงาน คิดเป็น 5.9% อันดับห้า ช่างอิเล็กทรอนิกส์/ช่างไฟฟ้า/ช่างคอมพิวเตอร์ คิดเป็น 4.5%

“จ๊อบไทย” ยังได้ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ฐานข้อมูลงานเพื่อรายงานสถานการณ์ความต้องการแรงงานและพฤติกรรมความต้องการของผู้สมัครงานทั่วประเทศ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 ดังนี้

  • 5 กลุ่มธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานมากที่สุด

1.ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 76,204 อัตรา เนื่องมาจากภาคการท่องเที่ยวที่มีมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมตรวจลงตราหน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยยังคงมีการขยายตัว โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีจำนวนมากที่สุดสูงสุดคือ จีน มาเลเซีย และอินเดียตามลำดับ (ที่มา:กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) นอกจากนี้ยังมีการขยายตัวต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เกิดจากความต่อเนื่องของนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย

2.ธุรกิจยานพาหนะ/ชิ้นส่วนยานยนต์ จำนวน 58,481 อัตรา ได้รับการสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่อีอีซี ซึ่งมีกลุ่มยานยนต์รวมอยู่ด้วย ด้านทรัพยากรบุคคลจึงมีการเตรียมพร้อมในเรื่องของแรงงาน เช่น กลุ่มวิศวกร และช่างเทคนิคให้มีความพร้อมมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวของการลงทุนนี้

3.ธุรกิจบริการ จำนวน 56,893 อัตรา เนื่องจากการขยายตัวตามจำนวนนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกับธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม ทำให้ผู้ประกอบการมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ มารองรับมากขึ้น ตลอดจนการใช้ชีวิตและกิจกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เกิดบริการใหม่ ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายมากขึ้น

4.ธุรกิจก่อสร้าง จำนวน 49,631 อัตรา มีปัจจัยจากการเติบโตต่อเนื่องของการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและการก่อสร้างซึ่งเป็นผลจากการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก รวมถึงการก่อสร้างภาคเอกชน ทำให้ความต้องการบุคลากรในประเภทธุรกิจนี้มีความต้องการเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

5.ธุรกิจค้าปลีก จำนวน 49,365 อัตรา การบริโภคยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึงผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกมีการปรับตัวหลายด้าน ทั้งการพัฒนารูปแบบร้านค้า การเพิ่มความหลากหลายทั้งสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคมากขึ้น

  • 5 สายงานที่องค์กรเปิดรับมากที่สุด

อันดับหนึ่ง งานขาย คิดเป็น 18.6% อันดับสอง งานช่างเทคนิค คิดเป็น 10.1% อันดับสาม งานผลิต/ควบคุมคุณภาพ คิดเป็น 7.1% อันดับสี่ งานธุรการ/จัดซื้อ คิดเป็น 6.5% อันดับห้า งานวิศวกรรม คิดเป็น 5.8% ซึ่งมีอัตราการเปิดรับทั้งหมดโดยเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 135,069 อัตรา

  • 5 สายงานที่มีผู้สมัครมากที่สุด

งานธุรการ/จัดซื้อ มีการสมัครสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็น 13.22% อันดับสอง งานผลิต/ควบคุมคุณภาพ คิดเป็น 10.50% อันดับสาม งานขาย คิดเป็น 8.12% อันดับสี่ งานทรัพยากรบุคคล คิดเป็น 7.10% อันดับห้า งานวิศวกรรม คิดเป็น 6.48% ของผู้สมัครทั้งหมด

  • เปรียบเทียบความต้องการจากฝั่งองค์กรและความนิยมในการสมัครงาน

งานที่มีอัตราการแข่งขันสูงที่สุด คือ นำเข้า-ส่งออกและทรัพยากรบุคคล มีการแข่งขันสูงเป็นอันดับ 1 เท่ากัน โดยมีการแข่งขันอยู่ที่ 4.79 คน ต่อ 1 อัตรา อันดับสอง วิทยาศาสตร์/วิจัยพัฒนามีอัตราการแข่งขันอยู่ที่  4.44 คน ต่อ 1 อัตรา อันดับสาม สิ่งแวดล้อม มีอัตราการแข่งขันอยู่ที่ 3.12 คน ต่อ 1 อัตรา และอันดับสี่ เลขานุการ อัตราการแข่งขัน 3.05 คน ต่อ 1 อัตรา

  • จ๊อบไทย โมบาย แอปพลิเคชัน” ประแสตอบรับเยี่ยม

นางสาวแสงเดือน กล่าวต่อว่า หลังจาก “จ๊อบไทย” เปิดตัว จ๊อบไทย โมบาย แอปพลิเคชัน” เวอร์ชันใหม่ออกมาในช่วงเดือนมกราคม ที่ผ่านมา พบว่า ในครึ่งปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน จำนวน 782,551 คน โดยกลุ่มผู้ใช้งานที่มีอายุ 25-34 ปี มีสัดส่วนการใช้งานสูงสุด คิดเป็น 49.56% ในขณะที่อันดับสอง เป็นผู้ใช้งานที่มีอายุอยู่ในช่วง 18-24 ปี ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกับอันดับที่หนึ่ง คิดเป็น 40.02% ผู้ใช้งานช่วงอายุ 35-44 ปี มีสัดส่วนการใช้งาน คิดเป็น 9% ช่วงอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนการใช้งาน คิดเป็น 1.42%

ในส่วนของจำนวนใบสมัครถูกส่งผ่าน “จ๊อบไทย โมบาย แอปพลิเคชัน” มีมากถึง 2,306,292 ครั้ง จากจำนวนผู้สมัคร 318,890 คน โดยใน “จ๊อบไทย โมบาย แอปพลิเคชัน” เวอร์ชันใหม่ได้เพิ่มวิธีในการสมัครงานจากเดิมที่มีการสมัครงานผ่านปุ่ม สมัครด่วน (Apply Now) และการส่งอีเมล (Send Email) ผ่าน Trust Mail อีก 2 วิธี คือการอัปโหลดไฟล์ประวัติ (Upload Files) และการกรอกประวัติแบบย่อ (Easy Form) รวมกันเป็น 4 วิธีให้ผู้ใช้งานเลือกวิธีการสมัครงานที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และสาขาอาชีพที่ตนเองต้องการ โดยวิธีการสมัครงานที่ผู้ใช้งานนิยมใช้มากที่สุด ได้แก่ สมัครด่วน (Apply Now) คิดเป็น 67.1% อันดับสอง อัปโหลดไฟล์ประวัติ (Upload Files) คิดเป็น 16.2% อันดับสาม กรอกประวัติแบบย่อ (Easy Form) คิดเป็น 10.6% อันดับสุดท้าย การส่งอีเมล (Send Email) คิดเป็น 6.2% ของจำนวนการส่งใบสมัครงานผ่านแอปพลิเคชันทั้งหมด

อีกฟีเจอร์หนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน “จ๊อบไทย โมบาย แอปพลิเคชัน” เวอร์ชันใหม่ คือ “จ๊อบส์ เนียร์ มี” (Jobs Near Me) ฟีเจอร์ค้นหางานที่อยู่บริเวณใกล้ตัวหรือสามารถกำหนดพิกัดเพื่อค้นหางานที่อยู่ใกล้บ้าน ซึ่งจะแสดงผลในรูปแบบแผนที่ โดยมีผู้ใช้งานฟีเจอร์นี้มากกว่าเดือนละ 60,000 คน

“ข้อมูลภาพรวมความต้องการของตลาดแรงงานและความต้องการขององค์กรตลอดจนพฤติกรรมการหางาน สมัครงาน แสดงให้เห็นถึงภาพการจ้างงานที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย และเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สำหรับองค์กรควรเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเรื่องบุคลากร ส่งเสริมให้แรงงานมีทักษะความสามารถที่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นางสาวแสงเดือน กล่าวในตอนท้าย

อย่างไรก็ตาม คนทำงานก็ควรพัฒนาศักยภาพให้มีประสิทธิภาพพร้อมในการทำงานอยู่เสมอเพื่อต่อยอดไปสู่การทํางานที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีและสามารถตอบสนองตลาดแรงงานในอนาคตได้.

 

“เสียวหมี่” ผงาดติดอันดับ “Fortune Global 500”

alivesonline.com : “เสียวหมี่ คอร์ปอเรชั่น” ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน Fortune Global 500” หรือการจัดอันดับบริษัทที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลก 500 บริษัท ประจำปี 2019 ของ นิตยสารฟอร์จูน เป็นครั้งแรก หลังจากที่ดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลาเพียง 9 ปี

ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง เป็นบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับของ Global 500 ในปี 2562 โดยอยู่ในอันดับที่ 468 ด้วยรายได้รวม 26,443.50 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,049.10 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีก่อนหน้า โดยยังอยู่ในอันดับ 7 ของประเภทบริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตและการค้าปลีก

นายเหลย จวิน ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการ และซีอีโอของ “เสียวหมี่” กล่าวว่า “เสียวหมี่” ใช้เวลาเพียง 9 ปีในการผงาดขึ้นไปอยู่ในทำเนียบการจัดอันดับบริษัทที่มั่งคั่งที่สุดของ Fortune Global 500 ซึ่งเป็นการเดินทางที่เราจะต้องขอบคุณบรรดา Mi Fans และผู้ใช้งานทั่วโลกที่ให้การสนับสนุน “เสียวหมี่” อย่างเหนียวแน่นตลอดมา เรายังเป็นบริษัทที่มีอายุการก่อตั้งและระยะเวลาในการดำเนินกิจการน้อยที่สุดที่ได้รับการจัดอันดับในปีนี้ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่เราจะเก็บไว้ย้ำเตือนอยู่เสมอ ในการเดินทางสู่จุดหมายต่อไปเพื่อขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วโลก

ในปีที่ผ่านมา เราได้มีการพัฒนายุทธศาสตร์และปรับกลยุทธ์หลัก ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างการบริหารงาน ระบบการศึกษาวิจัยและพัฒนา สายการผลิต การพัฒนาแบรนด์ และอีกมากมาย เพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเสียวหมี่ในการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่ดุเดือดจากคู่แข่งทั้งภายในประเทศและทั่วโลก การได้รับเกียรติในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นให้เราพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในการก้าวไปข้างหน้า เรายังคงมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและนวัตกรรมขั้นสูงในราคาที่จริงใจและซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค ซึ่งเป็นปณิธานในการดำเนินธุรกิจของเรา เพื่อทำให้ Mi Fans ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของเรา รวมถึงผู้ร่วมลงทุนกับเราได้เพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตให้ดีมากยิ่งขึ้นอีก” นายเหลย จวิน กล่าว

ในฐานะบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านอินเทอร์เน็ตที่ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านสมาร์ทโฟนและสมาร์ทฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อบนแพลตฟอร์ม Internet of Things (IoT) หลังการก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ปี 2553 “เสียวหมี่” ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 500 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน (Fortune’s China 500) ในปีนี้เป็นครั้งแรก โดยอยู่ในอันดับที่ 53

ในปี 2555 “เสียวหมี่” มีรายได้จากการขายทั้งหมดอยู่ที่ 1 หมื่นล้านหยวน หรือประมาณ 1,453.72 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านหยวน หรือประมาณ 14,537.21 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2560

“เสียวหมี่” สร้างความเข้มแข็งทางด้านคุณค่าของตราสินค้าและพัฒนาศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในด้านเครือข่ายผู้ใช้งานและความสามารถในการพัฒนาแพลตฟอร์ม ด้วยโมเดลธุรกิจอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและทรงพลังที่เรียกว่า “triathlon” และกลยุทธ์ในการเสริมความได้เปรียบในตลาด “สมาร์ทโฟน + AIoT”

จากข้อมูลของ IDC องค์กรเชี่ยวชาญด้านการทำวิจัยการตลาดระดับนานาชาติ ประจำเดือนมีนาคม 2562 รายงานว่า “เสียวหมี่” เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับที่ 4 ของโลก จากมูลค่าการขายสมาร์ทโฟน เมื่อเทียบปีต่อปี “เสียวหมี่” ยังมีรายได้รวมทั่วโลกเพิ่มขึ้น 32.2% อีกด้วย นอกจากนั้น ยังได้ร่วมลงทุนกับบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ecosystem มากกว่า 200 บริษัท ซึ่งหลายบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาสมาร์ทฮาร์ดแวร์ ส่งผลให้ “เสียวหมี่” สามารถสร้างแพลตฟอร์ม IoT สำหรับลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสมาร์ทดีไวซ์มากกว่า 171 ล้านผลิตภัณฑ์ (ไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป) เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2562

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ “เสียวหมี่” วางจำหน่ายมากกว่า 80 ประเทศ และภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ข้อมูลของ Canalys ในเดือนมีนาคม 2562 เปิดเผยว่า “เสียวหมี่” ติดอันดับ 1 ใน 5 จากกว่า 40 ประเทศในแง่การจัดส่งสินค้าและมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในอินเดียอยู่ที่ 31.4% ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 นอกจากนี้ ยังมีอัตราการเติบในยุโรปตะวันตกสูง โดยมียอดขายสมาร์ทโฟนเป็นอันดับที่ 4 หลังจากได้เข้าทำการตลาดอย่างเป็นทางการเพียง 2 ปีเท่านั้น รวมถึงประสบความสำเร็จในการขยายเข้าไปสู่ตลาดใหม่ในทวีปแอฟริกา และลาตินอเมริกาอีกด้วย

“เสียวหมี่” ยังมุ่งมั่นและทุ่มเทในการขยายเครือข่ายช่องทางการค้าปลีกที่มีประสิทธิภาพสูง โดยจะรวมช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันในตลาดต่างประเทศ โดยข้อมูลเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2562 เผยว่ามีร้านค้าที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น Mi Home Store ทั้งหมดกว่า 480 ร้านทั่วโลก คิดเป็นอัตราการเติบโต 93.5% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมากกว่า 110 ร้านค้าตั้งอยู่ในยุโรป และ 79 ร้านค้า ตั้งอยู่ในอินเดีย

“เสียวหมี่” ยังได้ทุ่มเงินจำนวน 1 หมื่นล้านหยวนในการพัฒนา “All in AIoT” สำหรับ 5 ปีข้างหน้า โดยเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การทำงานร่วมกันของ “Smartphone และ AIoT” เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการลงทุนในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ AIoT สำหรับใน 5–10 ปี ข้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังวางแผนในการยกระดับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาและปรับแผนการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศจีน เพื่อปรับใช้ในตลาดต่างประเทศอีกด้วย

ทั้งนี้ การจัดลำดับบริษัทที่มั่งคั่งที่สุดในโลก 500 บริษัท หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “Global 500” เป็นการจัดอันดับบริษัทที่ทำรายได้สูงที่สุด 500 บริษัทจากทั่วโลก ซึ่งรวบรวมและเผยแพร่โดย นิตยสารฟอร์จูน ได้ทำการจัดลำดับต่อเนื่องเป็นปีที่ 67 โดยวัดจากผลประกอบการและกำไรสุทธิจากผลประกอบการในปีก่อนหน้า.

 

ยักษ์อสังหาฯ ญี่ปุ่นร่วมทุนไทย ปั้นคอนโดมิเนียมหรู “SYMYS Sukhumvit 61”

alivesonline.com : ซันเคียว โฮม (ไทยแลนด์) จับมือ ยักษ์อสังหาฯ ญี่ปุ่น “เคฮัง เรียลเอสเตท” ต่อเนื่อง ปั้นคอนโดฯ หรู ร่วมทุนในไทยโครงการที่ 2 “SYMYS Sukhumvit 61” มูลค่าโครงการกว่า 1.2 พันล้านบาท หวังส่งมอบมาตรฐานและโนว์ฮาวญี่ปุ่นให้ผู้บริโภคในไทย เปิดพรีเซลล์ 3-4 ส.ค.62 เริ่มต้น 7.5 ล้านบาท

นางโสภิดา โองาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันเคียว โฮม (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า เนื่องจากมีโอกาสได้สมรสกับผู้ก่อตั้ง บริษัท ซันเคียว โฮม ประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในแถบคันไซ ประเทศญี่ปุ่น และใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นมาเกือบ 30 ปี จึงทำให้ได้เห็นมาตรฐานและโนว์ฮาวที่ยอดเยี่ยมของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสไตล์ญี่ปุ่นหลายเรื่อง จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ต้องการส่งมอบมาตรฐานและโนว์ฮาวคุณภาพเหล่านี้ให้แก่คนไทย จึงได้ก่อตั้ง บริษัท ซันเคียว โฮม (ไทยแลนด์) จำกัด ขึ้น เป็นบริษัทสัญชาติไทย 100% โดยใช้โนว์ฮาวจากบริษัท ซันเคียว โฮม ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหลากหลายเซกเมนต์ในพื้นที่สุขุมวิทมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2558

ล่าสุด บริษัทฯ กำลังพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการที่ 3 และเป็นโครงการร่วมทุนโครงการที่ 2 กับ บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ “เคฮัง กรุ๊ป” ที่มีประวัติมายาวนานกว่า 100 ปี เจ้าของรถไฟฟ้าสายเคฮังเชื่อมโยงโอซาก้า-เกียวโต และอีกหลากหลายธุรกิจในแถบคันไซ โดยใช้ชื่อโครงการ “ซิมมิส สุขุมวิท 61” (SYMYS Sukhumvit 61) ในทำเลศักยภาพทองหล่อ-เอกมัย ถือเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี 7 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 1.2 พันล้านบาท

“บริษัทฯ และเคฮัง เรียลเอสเตท ต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งมอบมาตรฐานและโนว์ฮาวการพัฒนาที่อยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย จึงตัดสินใจร่วมทุนกันเป็นโครงการที่ 2 โดยได้คัดสรรโนว์ฮาวที่เหมาะสมมาประยุกต์และต่อยอดให้เหมาะกับความต้องการของคนไทย” นางโสภิดา กล่าว

นายโยชิฮิโกะ มาเอดะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญด้านการลงทุนของ “เคฮัง กรุ๊ป” ในต่างประเทศ มีมูลค่าการลงทุนธุรกิจในต่างประเทศทั้งหมดกว่า 3.3 พันล้านเยน (ประมาณ 942 ล้านบาท) โดย “เคฮัง กรุ๊ป” ให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดศักยภาพแถบเอเชีย พร้อมตั้งเป้าหมายมูลค่าสินทรัพย์ในต่างประเทศ (Overseas Asset Size) ณ ปี 2570 ที่ 5 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 14,232 ล้านบาท)

“ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีปัจจัยต่าง ๆ โดดเด่นมากที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน มีความชอบ วัฒนธรรมคล้ายคลึงกับคนญี่ปุ่น มีการลงทุนสะสมจากบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมหาศาล ขณะเดียวกันเรายังเป็นพันธมิตรพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพร่วมกับ บริษัท ซันเคียว โฮม ในประเทศญี่ปุ่น มาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจในการร่วมทุนกับ บริษัท ซันเคียว โฮม (ไทยแลนด์) ซึ่งมีโนว์ฮาวและวิสัยทัศน์คล้ายคลึงกัน เพื่อนำจุดเด่นเรื่องความใส่ใจ ความปราณีต โนว์ฮาว และมาตรฐานระดับพรีเมียมสไตล์ญี่ปุ่น มาเติมเต็มความฝันและความหวังในการมีที่อยู่อาศัยคุณภาพของคนไทย” นายโยชิฮิโกะ กล่าว

ด้าน นายวรวิทย์ แซ่หลี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันเคียวโฮม (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า โครงการซิมมิส สุขุมวิท 61 ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 61 ซึ่งเป็นซอยที่สงบและเป็นส่วนตัว ได้เป็นซอยตัวอย่างชุมชนน่าอยู่ของ กทม. ท่ามกลางทำเลทองหล่อ-เอกมัย แต่ยังสามารถเดินทางไปยังแหล่งไลฟ์สไตล์ ร้านอาหาร ศูนย์การค้า เส้นทางคมนาคมหลักต่าง ๆ ได้โดยง่าย ทั้งยังอยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS เปรียบเสมือนเพชรที่ถูกซ่อนไว้หรือ The Hidden Gem ของพื้นที่ การออกแบบภายในอาคารจึงออกแบบและตกแต่งให้คล้ายคลึงกับเพชรที่ถูกเจียระไนอันเป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำ

“ชื่อแบรนด์ SYMYS มีรากศัพท์มาจากคำว่า Symmetry ซึ่งหมายถึงความสมดุล เราต้องการให้ SYMYS เป็นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความสมดุลของการใช้ชีวิตที่มุมหนึ่งอาจจะเป็นผู้บริหารระดับสูงคุมลูกน้องทีมใหญ่ ต้องออกงานสังคม แต่ก็มีไลฟ์สไตล์ในการพักผ่อนแบบที่เป็นตัวเอง ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุด ภายในโครงการจึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่ 4 ชั้น รวมกว่า 20 รายการ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้” นายวรวิทย์ กล่าว

โครงการซิมมิส สุขุมวิท 61 (SYMYS Sukhumvit 61) ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดประมาณ 1 ไร่ 1 งาน 53.2 ตารางวา ในซอยสุขุมวิท 61 ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Timeless Identity in Symmetry” ประกอบด้วยอาคารสูง 7 ชั้น 1 อาคาร ยูนิตพักอาศัยแบบ 1-2 ห้องนอน ขนาด 33-88 ตร.ม. รวมจำนวน 109 ยูนิต มีชั้นใต้ดิน 3 ชั้นสำหรับที่จอดรถระบบ Auto Parking แบรนด์คุณภาพจากญี่ปุ่นกว่า 120 ช่องจอด หรือประมาณ 113% ของจำนวนยูนิตพักอาศัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย อาทิ The Courtyard, Private Gym, The State of Art Library, Community Space, Meeting Lounge, Private Meeting Room, Residence Living Area, Chef table Aare, Game Room, Private Spa & Massage, Private Salon, SYMYS Private Lounge, Infinity Swimming Pool, Jacuzzi โดยภายในห้องพักยังเลือกวัสดุคุณภาพสูง เช่น อุปกรณ์ชุดครัว แบรนด์ “คุปเปอร์สบุช” (Kuppersbusch) และชุดห้องน้ำที่ตกแต่งอย่างประณีต โดยเลือกใช้สุขภัณฑ์รุ่นท็อปของแบรนด์ “โตโต้” (TOTO) โดยปัจจุบันได้รับการอนุมัติรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เรียบร้อยแล้ว

สำหรับยูนิตพักอาศัยประเภท 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้นที่ 7.5 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 2.2-2.4 แสนบาทต่อตร.ม. โดยจะเปิดพรีเซลล์ในวันที่ 3-4 สิงหาคม 2562 เวลา 10.00-19.00 น. ณ สำนักงานขายบริเวณตรงข้ามซอยทองหล่อ 23 ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าที่ www.symyscondo.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.09 9282 2147

สำหรับ บริษัท ซันเคียว โฮม (ไทยแลนด์) จำกัด พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมาแล้ว 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4 พันล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการคอนโดมิเนียม Moniiq Sukhumvit 64 มูลค่าโครงการประมาณ 954 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถปิดการขายและรับรู้รายได้ 100% 2.โครงการร่วมทุนโครงการแรกกับ “เคฮัง เรียลเอสเตท” The FINE Bangkok ทองหล่อ-เอกมัย มูลค่าโครงการประมาณ 1.68 พันล้านบาท เปิดขายเมื่อกลางปี 2561 ปัจจุบันปิดการขายได้ 80% และ 3.โครงการร่วมทุน SYMYS Sukhumvit 61 มูลค่าโครงการประมาณ 1.2 พันล้านบาท ในอนาคตตั้งเป้าจะพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องปีละ 1-2 โครงการ โดยใช้แบรนด์ทั้ง 3 แบรนด์เจาะตลาดเซกเมนต์ต่าง ๆ และยังจะเปิดโอกาสในการร่วมทุนกับ บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด อย่างต่อเนื่อง

ส่วน “เคฮัง กรุ๊ป” หรือ บริษัท เคฮัง โฮลดิ้งส์ จำกัด ประกอบด้วยบริษัทย่อยกว่า 50 บริษัทในการดำเนิน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจด้านคมนาคม เช่น รถไฟฟ้าสายเคฮัง เชื่อมโยงโอซาก้า-เกียวโต 2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3.ธุรกิจค้าปลีก 4.ธุรกิจโรงแรมและการพักผ่อน ล่าสุด ปีงบการเงิน 2561 (เม.ย.2561-มี.ค.2562) มีรายได้รวมทั้งเครืออยู่ที่ 3.26 แสนล้านเยน หรือประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท

 

“สลิงชอท กรุ๊ป” รุกธุรกิจใหม่ Leadership Wellness เจาะกลุ่มผู้นำองค์กร

alivesonline.com : เผยองค์กรทั่วโลกเร่งสร้าง Wellness Culture ม.ฮาร์วาร์ด ชี้ชัดองค์กรที่มี Wellness Culture ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบทางธุรกิจ ด้าน “สลิงชอท กรุ๊ป” บริษัทที่ปรึกษาด้านการพัฒนาผู้นำและองค์กรในไทย สบช่องเปิดธุรกิจใหม่ “Leadership Wellness” ตอบโจทย์ตลาด มั่นใจช่วยธุรกิจเติบโตเพิ่มขึ้น 30% ในปี 62

ดร.สุทธิโสพรรณ ช่วยวงศ์ญาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สลิงชอท กรุ๊ป จำกัด บริษัทที่ปรึกษาให้บริการด้านการพัฒนาผู้นำและองค์กร เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจที่ปรึกษาด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัท สลิงชอท กรุ๊ป ในฐานะที่ปรึกษาและเป็นผู้ให้บริการด้านการพัฒนาผู้นำและพัฒนาองค์กรที่ดำเนินธุรกิจมาจนครบรอบ 15 ปีในปี 2562 ได้มีส่วนให้คำปรึกษาผู้นำองค์กรมามากกว่า 100,500 คน ให้สามารถก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในแต่และยุค จึงได้เปิดตัวธุรกิจใหม่คือ “Leadership Wellness” ขึ้นเป็นรายแรกของประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้บริษัทฯ เติบโตเพิ่มขึ้นอีก 30%

จากการศึกษาพบว่า ผู้นำในปัจจุบันหันมาใส่ใจตนเองตามเทรนด์สุขภาพ ซึ่งหากศึกษาตลาดสุขภาพในระดับโลกจะพบว่า เป็นธุรกิจที่โตเร็วกว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวม โดยสัดส่วนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ธุรกิจความงามและชะลอวัย (25%) ตามด้วยธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพและลดน้ำหนัก (16%) ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (15%) ส่วนด้านสุขภาพของผู้นำและในที่ทำงานมีเพียง 1% เท่านั้น จึงถือเป็นตลาดใหม่ที่ “สลิงชอท กรุ๊ป” จะเข้าไปเจาะเพื่อให้ความรู้และสร้างการเติบโต

ดร.สุทธิโสพรรณ กล่าวอีกว่า ล่าสุด มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เปิดเผยว่า องค์กรใดให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพและนำเรื่องสุขภาพมาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์และวัฒนธรรมองค์กร (Wellness Culture) ถือเป็นองค์กรที่อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบทางธุรกิจของโลกยุคนี้ ขณะเดียวกันองค์กรในภูมิภาคอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ได้หันมาให้ความสำคัญกับประเด็นผู้นำและ Wellness Culture ด้วยเช่นกัน โดย สถาบัน MDA Leadership Consulting เปิดเผยผลงานวิจัยผนวกกับผลการพยากรณ์ของนักอนาคตศาสตร์พบว่า บทบาทใหม่ของผู้นำแห่งอนาคตคือ การสร้างวัฒนธรรมสุขภาพ Wellness Culture ซึ่งจะกลายเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

“หลักการสำคัญของการสร้าง Wellness Culture ให้ประสบผลสำเร็จคือ การสร้างต้นแบบที่ดีผ่านผู้นำ เพราะการที่ผู้นำมีสุขภาพดีจะช่วยให้สามารถดูแลสนับสนุนคนอื่นรอบตัวทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวได้ดีขึ้นถึง 10 เท่า การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นสุขภาพจึงเป็นเทรนด์ที่ผู้นำและองค์กรไม่ควรพลาด ทั้งนี้ การจะสร้างองค์กรที่มีสุขภาพดี ผู้นำต้องมีสุขภาพดีก่อนในฐานะต้นแบบ เพราะผู้นำที่แข็งแรงจะนำพาองค์กรให้แข็งแรงและเป็นกุญแจนำองค์กรสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน”

ธุรกิจใหม่ Leadership Wellness จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งให้คำปรึกษาไปยังผู้นำระดับสูง ผู้เป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายและนำพาองค์กรก้าวเข้าสู่ Wellness Culture โดยปัจจุบันหลายองค์กรกำลังประสบปัญหาการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและธุรกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ผู้นำยุคใหม่ต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานจากงานวิจัยเกี่ยวกับผู้นำและความเครียดพบว่า

1.ผู้นำ 66% เชื่อว่าตนเองเครียดกว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

2.ผู้นำ 88% บอกว่างานคือต้นเหตุแห่งความเครียดโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานในบทบาทผู้นำองค์กร

3.ผู้นำ 60% มองว่าองค์กรไม่ได้เตรียมเครื่องมือ หรือวิธีการเพื่อช่วยเหลือการจัดการกับความเครียดในองค์กร

4.ผู้นำ 80% เชื่อว่าการมีโค้ช มีกลุ่มเพื่อนสามารถช่วยให้บริหารความเครียดและสร้างสุขภาพที่ดี

ด้าน นางมัณฑนา รักษาชัด กรรมการผู้จัดการ กลุ่มกิจการธุรกิจหลัก บริษัท สลิงชอท กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลวิจัยของ Aro Ha Wellness Retreats ศูนย์ปรับวิธีคิดและวิธีการใช้ชีวิตตามหลักการ Wellness ชั้นนำระดับโลก ชี้ให้เห็นว่าผู้นำที่ผ่านการโค้ชชิ่งจากสถาบันใน 6 วันแรก การใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดย 16% มีความเป็นอยู่และมีความสุขมากขึ้นหลังจากผ่านไป 1 เดือน

ผลการศึกษายังพบว่าด้านการทำงาน 13% ของผู้เข้าร่วมโปรแกรมมีผลการทำงานที่ดีขึ้น ในด้านของสุขภาพทางร่างกายพบว่ามีพัฒนาที่ดีขึ้น 22.4% นอกจากนี้ งานวิจัยยังกล่าวถึงความเครียดซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อ Wellness ซึ่งการเกิดความเครียดฉับพลันจะส่งผลต่อการตัดสินใจ โดยทำให้มีการใช้อารมณ์เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจมากกว่าการตัดสินใจบนพื้นฐานของเป้าหมายทางธุรกิจ อันจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดทางธุรกิจจนเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา

“จากข้อมูลในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ที่พยายามสร้าง Wellness ด้วยตัวเองมีโอกาสล้มเหลวสูงถึง 80% และผู้คนส่วนใหม่มองหาที่ปรึกษาช่วยโค้ชให้พวกเขาสามารถสร้าง Wellness ซึ่งโปรแกรมแรกที่ สลิงชอท กรุ๊ปเปิดตัวคือ Leading Well, The Leadership Wellness อยู่ภายใต้ธุรกิจใหม่ Leadership Wellness เป็นโปรแกรมการพัฒนาเปลี่ยนแปลงผู้บริหารให้สร้าง Wellness ตลอดระยะ 12 เดือน”

จุดเด่นของโปรแกรมคือ การเน้นโค้ชผู้นำให้ก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่ทัศนคติและวิธีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนสามารถมี Wellness ได้ในระยะยาว รวมทั้งสามารถนำไปกำหนดนโยบายและใช้เป็นต้นแบบในสร้าง Wellness Culture ที่เข้มแข็งให้องค์กรต่อไป ครอบคลุม Wellness ทั้งหมด 6 ด้าน เพราะ Wellness มากกว่าแค่มีสุขภาพทางกายที่ดี ได้แก่

1.Emotional Wellness หรือ Wellness ด้านอารมณ์ 2.Physical Wellness หรือ Wellness ด้านร่างกายและสุขภาพ 3.Spiritual Wellness หรือ Wellness ด้านจิตใจ 4.Intellectual Wellness หรือ Wellness ด้านสติปัญญา 5.Social Wellness หรือ Wellness ด้านสังคม และ 6.Environmental Wellness หรือ Wellness ด้านสิ่งแวดล้อม จุดเด่นคือเน้นการสร้าง Wellness Culture ให้องค์กรผ่านผู้นำ เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้เน้นที่การเปลี่ยนพฤติกรรมที่ยั่งยืน เราให้สูตรการเปลี่ยนแปลงกับผู้นำและพาผู้นำผ่านประสบการณ์ตรง ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

ทั้งนี้ ผู้นำที่มี Wellness จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการทำงาน 2 ด้านได้แก่ 1.เพิ่มประสิทธิภาพผลการดำเนินงานขององค์กรจากผลการทำงานที่ดีขึ้น 2.ในด้าน Business Continuity หรือการดำเนินธุรกิจต่อเนื่องด้วยสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของธุรกิจ (Business Risks) ไม่ว่าจะที่เกิดจากการที่ผู้นำเจ็บป่วย หรือแม้กระทั่งการถึงการเสียชีวิตจากการความเครียดและปัญหาสุขภาพ

นางมัณฑนา กล่าวในตอนท้ายว่า ข้อมูลจาก London Business School ยังพบว่า จากการติดตามผลการดำเนินงานตลอด 25 ปีของบริษัทชั้นนำในอเมริกาที่ถูกระบุว่าเป็นบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุด มีมูลค่าหุ้นสูงกว่าบริษัททั่วไปถึง 50% โดยกลุ่มเป้าหมายจะเน้นไปยังผู้นำองค์กรที่มีนโยบายสร้าง Wellness Culture ให้เป็นส่วนหนึ่งเป็นองค์กร เช่น ผู้นำองค์กรระดับสูง ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ เจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอี เจ้าของที่ต้องการเกษียณแต่ทายาทยังไม่พร้อมรับช่วงต่อจึงพร้อมพัฒนาด้าน Wellness เพื่อดูแลตัวเองเพื่อสามารถบริหารธุรกิจต่อไปก่อน และกลุ่มผู้บริหารที่เคยอยู่ในหลักสูตร Executive Coaching โดยตั้งเป้ามีผู้บริการระดับสูงเข้าร่วมโปรแกรมจำนวน 100 คน ภายในปี 2563

ร่วมสัมผัสพระราชจริยาวัตรที่งดงามของ รัชกาลที่ ๑๐ ผ่านนิทรรศการเทิดพระเกียรติ “SACICT Mobile Gallery 2019”

 
alivesonline.com : วันที่ 28 กรกฎาคม 2562 ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายยิ่งสำหรับคนไทยทุกคน ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 10 แห่งบรมราชจักรีวงศ์ เฉลิมพระชนมพรรษาครบ 67 พรรษา

ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร ได้ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันหลวง ในการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อความเจริญของประเทศชาติ และเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรของพระองค์เสมอมา ทั้งที่ทรงปฏิบัติแทนพระองค์และทรงปฏิบัติส่วนพระองค์ ทั้งด้านความมั่นคงของชาติ ด้านศาสนา ด้านการศึกษา ด้านวัฒนธรรม ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ด้านสังคมสงเคราะห์ ด้านการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความงดงามในพระราชกรณียกิจด้านการส่งเสริมศิลปาชีพ” อันเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสอันเป็นมงคลยิ่งนี้ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT จึงได้จัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติ เพื่อให้ชาวไทยได้สัมผัสกับพระราชจริยาวัตรที่งดงามในขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร ในการทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรศูนย์ศิลปาชีพทั่วประเทศอย่างสม่ำเสมอ แสดงให้เห็นความเข้าพระราชหฤทัยอย่างถ่องแท้ถึงพระราชกรณียกิจด้านงานศิลปาชีพและความจำเป็นของการส่งเสริมให้ราษฎรมีอาชีพและสร้างรายได้เลี้ยงตนเอง และยังแสดงถึงการใส่พระราชหฤทัยในสุขทุกข์ของราษฎร รวมทั้งพระราชปณิธานมุ่งมั่นที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนการิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน ในกิจกรรม “SACICT Mobile Gallery 2019” ภายใต้แนวคิด “Sense of Siam : สืบสานมรดกแห่งภูมิปัญญา สัมผัสงานหัตถศิลป์อันล้ำค่าของแผ่นดิน”

ภายในกิจกรรม “SACICT Mobile Gallery 2019” จะจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติ ถ่ายทอดพระราชจริยาวัตรที่งดงามของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร ไว้มากมาย อาทิ

พระราชจริยาวัตรขณะทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ไต่ถามเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่และทุกข์สุขของราษฎร เพื่อประกอบพระราชวินิจฉัย ในการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราษฎร ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ณ บ้านหนองแคน หมู่ที่ 6 ตำบลหนองแคน อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2542

พระราชจริยาวัตรขณะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรและสมาชิกศิลปาชีพกลุ่มปักผ้า ณ บ้านไทยสุข หมู่ที่ 8 ตำบลลาโละ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2545

พระราชจริยาวัตรขณะทรงพระราชทานวโรกาสให้ผู้แทนสมาคมไหมโลก เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัล หลุยส์ ปาสเตอร์ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเทิดพระเกียรติในพระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์และพัฒนาการผลิตไหมไทยจนเป็นที่รู้จักของทั่วโลก รวมทั้งช่วยให้ราษฎรผู้ผลิตไหมไทยมีความเป็นอยู่ดีขึ้น เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2545

 พระราชจริยาวัตรขณะทรงเยี่ยมราษฎรและสมาชิกศิลปาชีพ ณ บ้านหนองม่วง ตำบลปทุมวาปี อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2545

 

พระราชจริยาวัตรที่งดงามของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ์ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จะจัดแสดงผ่านนิทรรศการเทิดพระเกียรติ ในกิจกรรม “SACICT Mobile Gallery 2019” 2 ครั้ง ณ อาคารจัตุรัสจามจุรี ระหว่างวันที่ 5 – 9 สิงหาคม 2562 และ บ้านนครใน จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 14 – 18 สิงหาคม 2562

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sacict.or.th , Facebook Page : ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) www.facebook.com/sacict และ SACICT Call Center : 1289

       

 

 

“AP WORLD” ชวนคนเมืองออกแบบโลกแห่งอุดมคติ

“เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าและผู้นำในการริเริ่มสร้างสรรค์พิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีเพื่อทุกคนในสังคม นำโดย “วิทการ จันทวิมล” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ สร้างกระแสต่อเนื่อง จับมือสถาปนิกระดับโลก “เท็ตสึโอะ คนโดะ” (Tetsuo Kondo) จัดงานยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี “AP WORLD” ภารกิจชวนคนรุ่นใหม่มาร่วมออกแบบโลกแห่งอุดมคติ อลังการไปกับงาน Installation สุดล้ำที่สร้างประสบการณ์น่าตื่นเต้นให้กับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมเผยไอเดียสุดครีเอทีฟในการถ่ายทอด “โลกแห่งการใช้ชีวิตคุณภาพที่คุณมีส่วนร่วมในการออกแบบ” ภารกิจสำคัญในการตอกย้ำพันธกิจการสร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีในโลกอนาคต

ภายในงานมีเรื่องราวเกี่ยวกับการอยู่อาศัยเพื่อชีวิตคุณภาพอีกมากมาย อาทิ ครั้งแรกของการไลฟ์ทอล์กสุด exclusive ท่ามกลางบรรยากาศสุดพิเศษในรูปแบบปิกนิกกับกูรูชื่อดังจากหลายสาขา เช่น โตโน่ ภาคิน, บาส นัฐวุฒิ, จูนจูน พัชชา, นิ้วกลม สราวุธ ฯลฯ และการนำเสนอประสบการณ์อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ด้วยเทคนิคจำลองประสบการณ์ราวกับเข้าไปอยู่อาศัยในโครงการจริง ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษไปพร้อม ๆ กับเหล่าคนเมืองรุ่นใหม่ อาทิ ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร, ต้าเหนิง-กัญญาวีร์ สองเมือง, สู่ขวัญ บูลกุล, กาละแม-พัชรศรี เบญจมาศ,ออกัส-วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์, หนุ่มๆ จากดูมันดิ ฯลฯ พร้อมกับการเผยโฉม 6 โครงการใหม่ที่บ่งบอกถึงนิยามคุณภาพชีวิตที่ตรงกับ LIVING DNA ที่หลากหลายของคนเมือง ภายในงาน “AP WORLD” ได้ระหว่างวันที่ 1-7 สิงหาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ลานพาร์ค พารากอน

“เสียวหมี่” ส่ง Redmi Note 7 พร้อมโปรฯ พิเศษร่วมกับ AIS ในราคาเพียง 3,599 บาท

หลังจาก “เสียวหมี่” เปิดตัว “Redmi Note 7” อย่างเป็นทางการที่ประเทศจีนเมื่อเดือนมกราคม 2562 จนถึงปัจจุบันได้จัดส่งไปให้ลูกค้าแล้วกว่า 15 ล้านเครื่องทั่วโลก ความสำเร็จครั้งใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงผลตอบรับที่ดีของ “หมี่แฟน” ทั่วโลกต่อดีไซน์พรีเมี่ยมอย่างการครอบตัวเครื่องด้วยกระจก กล้องความละเอียดสูง 48 ล้านพิกเซล และหน่วยประมวลผลทรงพลัง Qualcomm® Snapdragon™ 660 ของ Redmi Note 7 ที่มาพร้อมราคาเขย่าวงการ

Redmi Note 7 ยังเดินหน้าสร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเป็นสมาร์ทโฟนเพียงรุ่นเดียวที่ถูกส่งขึ้นไปในอวกาศเพื่อพิสูจน์ศักยภาพเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยสามารถทนต่อการขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศที่สูงถึง 35,375 เมตร ซึ่งมีอุณหภูมิอยู่ที่ -55 องศาเซลเซียส และกลับสู่พื้นโลกแบบไร้รอยขีดข่วน โดย Redmi Note 7 ไม่เพียงพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความทนทานถึงขีดสุดต่อสภาพภายนอกที่แปรปรวนและอุณหภูมิที่ต่ำติดลบของชั้นบรรยากาศนอกโลก แต่ยังสามารถถ่ายภาพที่สวยงามน่าทึ่งของอวกาศได้ออกมาสวยงามอีกด้วย ซึ่งต้องขอบคุณกล้องประสิทธิภาพเยี่ยมและเซ็นเซอร์ซึ่งให้ภาพความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล

ฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ Redmi Note 7 สมาร์ทโฟนประสิทธิภาพเทียบเท่ารุ่นเรือธง ได้แก่

  • กล้องหลังคู่ AI ความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล + 5 ล้านพิกเซล ที่สุดของกล้องถ่ายภาพในสมาร์ทโฟนระดับราคาเดียวกัน
  • ประสิทธิภาพทรงพลัง ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล Qualcomm® Snapdragon™ 660
  • คุณภาพเหนือระดับ ครอบด้วยกระจก Corning® Gorilla®Glass 5 ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
  • จอแสดงผล Dot Drop ขนาดใหญ่ 3 นิ้ว ให้หน้าจอที่สวยสะดุดตา ด้วยความละเอียดระดับ FHD+ สวยเด่นสะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์กระจกไล่โทนสีด้านหลัง
  • แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ความจุ 4000mAh สามารถรับชมวีดิโอต่อเนื่องยาวนาน 13 ชั่วโมง และเล่นเกมส์ต่อเนื่องยาวนาน 7 ชั่วโมงอีกด้วย

“เสียวหมี่” ยังได้ร่วมกับ AIS มอบโปรโมชั่นสุดพิเศษ และอัดโปรฯ สุดคุ้ม Exclusive สำหรับลูกค้า AIS ได้เพลิดเพลินกับการใช้งานสมาร์ทโฟนทรงพลังระดับเรือธง บนเครือข่ายคุณภาพอันดับหนึ่ง AIS Next G ที่เร็ว แรง สูงสุดระดับกิกะบิต ด้วยสองโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับ Redmi Note 7 รุ่น 4GB+64GB สี Space Black, Neptune Blue และ Nebula Red

  • ข้อเสนอสุดพิเศษแรก มอบส่วนลดค่าเครื่อง 3,000 บาท เหลือเพียง 3,599 บาท (จากราคาปกติ 6,599 บาท) เมื่อชำระค่าบริการล่วงหน้า 1,500 บาท พร้อมสมัครแพ็กเกจเริ่มต้น 649 บาท
  • ข้อเสนอสุดพิเศษที่สอง มอบส่วนลดค่าเครื่อง 2,000 บาท เหลือเพียง 4,599 บาท (จากปกติ 6,599 บาท) เมื่อชำระค่าบริการล่วงหน้า 1,000 บาท พร้อมสมัครแพ็กเกจเริ่มต้น 449 บาท

โปรโมชั่นพิเศษนี้มอบให้สำหรับลูกค้า AIS ที่เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่ายเบอร์เดิม เปลี่ยนจากเติมเงินเป็นรายเดือน และลูกค้าปัจจุบันในระบบรายเดือน นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถรับสิทธิ์ ผ่อน 0% นานสูงสุด 4 เดือน ตามเงื่อนไขที่ AIS กำหนดอีกด้วย

กรุงศรีฯ ผ่อน 0% ทั้งศูนย์การค้า

“ซีพีเอ็น” เอาใจสมาชิกบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี จับมือหลากหลายแบรนด์ดังในศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา ทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และในเขตปริมณฑล จัดแคมเปญ “ผ่อน 0% ยกศูนย์การค้ มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกบัตรฯ ผ่อนชำระเบาๆ 0% นานสูงสุดถึง 10 เดือน ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า ทีวี สมาร์ทโฟน กล้องถ่ายรูป เฟอร์นิเจอร์ แพคเกจความงาม จิวเวลรี่ และอื่นๆ พร้อมรับส่วนลดสุดคุ้ม สิทธิประโยชน์ และของสมนาคุณอีกมากมาย ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต, เซ็นทรัล พลาซา และเซ็นทรัล เฟสติวัล 10 สาขาที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 30 กันยายน 2562

“วัตสัน” ฉลองครบรอบ 23 ปี มอบความสุขให้นักชอป รับทองคำมูลค่ารวมกว่า 1.6 ล้านบาท

“วัตสัน” ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย ฉลอง “ครบรอบ 23 ปี” ขนทัพสินค้าน่าสนใจหลายรายการ จัดเต็มด้วยราคาน่าช็อป เริ่มต้นที่ 23 บาท พร้อมกันนี้แจกหนักแจกจริงทุกสัปดาห์กับ ทองคำ 1 บาท จำนวน 28 รางวัล และรางวัลใหญ่ ทองคำแท่ง 23 บาท จำนวน 1 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 1.6 ล้านบาท เมื่อซื้อสินค้าที่ร้านวัตสันครบ 300 บาท รับคูปองลุ้นชิงทองคำจำนวน 1 ใบ สำหรับสมาชิกวัตสัน รับคูปองและลุ้นชิงทองคำ คูณ 2 กันไปเลย! พร้อมประกาศผลผู้โชคดีทุกสัปดาห์ ผ่านทางเฟซบุ๊ก Watsons Thailand

สินค้าที่น่าสนใจ ราคาเริ่มต้นที่ 23บาท 

  • วัตสัน เอ็กซ์เพลส ,เจลลี่ ,โมบายเกิร์ล , เอชเอมาสก์ ทุกสูตร ราคาปกติ 49-59 เหลือชิ้นละ 23 บาท
  • ลิสเตอรีน น้ำยาบ้วนปาก ราคาปกติ 177 เหลือชิ้นละ 123 บาท
  • เมย์เบลลีน เซนเซชั่นแนล ลิควิดแมท ทุกเฉด ราคาปกติ 149 เหลือ แท่งละ123 บาท
  • เทรซาเม่ แชมพู / คอนดิชั่นเนอร์ ราคาปกติ 159 เหลือ แท่งละ123 บาท
  • บิโอเรยูวี บอดี้เซรั่ม SPF50+ PA++++ (ทุกสูตร) ราคาปกติ 290 เหลือชิ้นละ 223 บาท
  • แบลคมอร์ส โอเดอร์เลส ฟิช ออยล์ มินิแคป 60 แคปซูล ราคาปกติ 480 เหลือชิ้นละ 323 บาท
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์เดอมาแอคชันพลัส บายวัตสัน แอดวานซ์ ซันโซล่าร์ แบริเออร์ (ทุกสูตร) ราคาปกติ 580  เหลือชิ้นละ 423 บาท

เริ่มชอป และลุ้นชิงทองคำกันได้ ตั้งแต่วันนี้วันที่ 21 สิงหาคม 2562 นี้ ที่ร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศไทย หรือชอปออนไลน์ผ่านวัตสันออนไลน์ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สื่อ ณ จุดขาย Official Line WatsonsTH เว็บไซต์ www.watsons.co.th และแอปพลิเคชัน WatsonsTH ทั้ง PlayStore และ AppStore

คอลเลกชันใหม่สำหรับวันแม่ประจำปี 2019 จาก “สวารอฟสกี้”

alivesonline.com : คอลเลกชันใหม่ประจำวันแม่ของ “สวารอฟสกี้” ถือเป็นวิธีการที่แสนงดงามและเจิดจรัสในการแสดงถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างแม่กับลูกโดยเชิญชวนให้ผู้คนมาติดแฮชแท็ก #FollowYourSun เพื่อบอกกับผู้หญิงคนสำคัญในชีวิตว่าคุณรักและขอบคุณเธอมากแค่ไหน

“แม่คือแสงสว่างของลูก” คือเรื่องราวอบอุ่นหัวใจสำหรับคอลเลกชันและแคมเปญโฆษณาชุดนี้ ด้วยแรงบันดาลใจที่ได้จากดวงอาทิตย์ซึ่งหล่อเลี้ยงทุกชีวิตและมอบประกายอันอบอุ่นดังเช่นที่เหล่าคุณแม่ผู้ซึ่งเป็นดั่งแสงสว่างในหัวใจของลูก ๆ ทุกคน

สำหรับแคมเปญนี้ คุณแม่ได้สวมใส่จี้สร้อยคอ Sunshine ที่งดงามสะดุดตาและใช้ช่วงเวลาอันแสนพิเศษร่วมกับลูกสาวที่สวมจี้แบบเดียวกันแต่มีขนาดเล็กกว่า ในขณะที่ทั้งคู่เพลิดเพลินใช้เวลาร่วมกันภายใต้แดดอันอบอุ่นและสดใส โดยมีดวงอาทิตย์เป็นตัวแทนของแม่และมีลูกสาวอยู่ใกล้ ๆ ที่คอยแบ่งปันความรักให้แก่กันและกัน

‘นาตาลี โคลิน’ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ “สวารอฟสกี้” ได้พูดถึงคอลเลกชันใหม่ว่า

“เราเชื่อในการมอบประกายเจิดจรัสให้กับทุกคน และนั่นคือเหตุผลว่าท่าไมคอลเลกชันวันแม่ของเราจึงไม่เพียงเฉลิมฉลองความรักของผู้หญิงที่เลี้ยงดูคุณมาเท่านั้น แต่ยังยกย่องผู้รับบทบาทเป็นคุณแม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคุณย่า คุณยาย แม่เลี้ยง คุณแม่ของสามีหรือภรรยา เพื่อน ในทุก ๆ สิ่งที่พวกเธอมอบให้กับเรา คอลเลกชันนี้จึงเต็มไปด้วยความสดใส ความเจิดจรัสที่แสนงดงาม และมีหลากหลายแง่มุมเฉกเช่นเดียวกับผู้หญิงที่เราทุกคนรู้จักและหลงรัก”

คอลเล็กชันวันแม่มีหลากหลายสไตล์ตั้งแต่รูปแบบมินิมอลไปจนถึงดีไซน์วิจิตรประณีตที่เต็มไปด้วยรายละเอียด คอลเลกชันนี้จะเน้นเส้นสายเรียบง่ายสะอาดตา มีรูปทรงที่ได้แรงบันดาลใจมาจากดวงอาทิตย์ซึ่งมองดูคล้ายผลงานประติมากรรมกับคริสตัลที่เจิดจรัสในสีขาว สีฟ้า และสีเหลืองที่แสนงดงามหรูหรา ช่วยแต่งแต้มประกายเจิดจรัสให้กับทุกลุค โดยเครื่องประดับที่โดดเด่นในคอลเลกชันนี้ คือ Sunshine, Originally และ North ซึ่งเป็นของขวัญที่เปี่่ยมไปด้วยความหมายทั้งสำหรับผู้ให้และผู้รับ

เติมความเจิดจรัสให้กับทุกวันด้วยคอลเลกชัน Sunshine ที่โดดเด่นด้วยรูปทรงของแสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์ พร้อมด้วยคริสตัล “สวารอฟสกี้” รูปทรงเหลี่ยมบาเก็ตปลายเรียว ทั้งยังสวมใส่ได้หลายแบบไม่ว่าจะเป็นเซ็ตแหวนที่สวมซ้อนกันได้ ต่างหูสตั๊ดเม็ดใหญ่ และจี้สร้อยคอขนาดใหญ่ที่ปรับความยาวในการสวมใส่ได้ดั่งใจ นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับโทนสีโรสโกลด์และสีเงินมันวาว ที่ช่วยเพิ่มประกายสุกสว่างให้กับทุก ๆ โอกาส

ไข่มุกที่ถูกปรับโฉมใหม่ให้มีความทันสมัยและกลายมาเป็นชิ้นงานเครื่องประดับแสนอ่อนหวานที่งดงามเหนือกาลเวลา ในคอลเลกชัน Originally ซึ่งประดับด้วยไข่มุกมันวาวจากสวารอฟสกี้โอบล้อมด้วยคริสตัลระยิบระยับ เข้ากับลุคลำลองและลุคกลางคืนได้เป็นอย่างดี

ด้วยองค์ประกอบที่ผสมผสานอย่างลงตัวของคริสตัลสีขาวสุกสว่างและสีฟ้าอ่อนของ North ซึ่งดูสวยหรูคล้ายกับกำลังล่องลอยอย่างอิสระอยู่ตรงกลาง ให้ความรู้สึกสนุกสนานขี้เล่น ตัดกับลวดลายโฉบเฉี่ยวไม่เหมือนใครบนกรอบโทนสีโรสโกลด์และสีเงิน มอบดีไซน์ที่โดดเด่นแม้จะสวมใส่เดี่ยว ๆ หรือสวมซ้อนกันหลายชั้น เพื่อเพิ่มประกายเจิดจรัสให้แก่ทุกลุค

ถ่ายทอดสายสัมพันธ์ออกมาเป็นคำพูดด้วยลวดลายที่ออกแบบใหม่และเปี่่ยมไปด้วยความหมายลึกซึ้งในรูปแบบของชาร์มเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง ที่เพิ่มประกายสุกสว่างให้กับไข่มุกเม็ดงามและคริสตัลของสวารอฟสกี้ในคอลเลกชัน Swarovski Remix ซึ่งสามารถสวมใส่ได้และนำไปเป็นเครื่องประดับได้หลากหลายรูปแบบ

 

“สวารอฟสกี้” ขอร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลวันแม่ด้วยคอลเลกชันใหม่ที่มีตั้งแต่เครื่องประดับดีไซน์เรียบง่ายสวยเก๋อ่อนหวาน ไปจนถึงชิ้นงานโดดเด่นสะกดทุกสายตา เพื่อมอบเป็นของขวัญแทนใจให้คุณแม่ได้เปล่งประกายเจิดจรัสด้วยเครื่องประดับงดงามล้ำค่าจาก “” ที่มาพร้อมกับสายใยรักซึ่งคุณลูกตั้งใจมอบให้แก่คุณแม่ด้วย