[ชมคลิป] โมเดลธุรกิจใหม่รับเทรนด์อนาคต “ยืมมั้ย” บริการยืมโทรศัพท์มือถือครั้งแรกในไทย

alivesonline.com : พันธมิตร 5 ธุรกิจยักษ์ใหญ่ ปั้นแบรนด์ “ยืมมั้ย” บริการยืมโทรศัพท์มือถือรายแรกในไทย ด้วยราคาเริ่มต้น 30 บาทต่อวัน พลิกโฉมทางเลือกใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้โทรศัพท์มือถือยุคปัจจุบันและอนาคต พุ่งเป้ายืมทั่วไทย 1 แสนเครื่องต่อปี แบ่งสัดส่วนเป็นลูกค้าทั่วไป 70% และลูกค้าองค์กร 30%

นายสุทธิเกียรติ กิตติภัทรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยืมมั้ย (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท โกลด์ อีลิท ปารีส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการผลิตโทรศัพท์มือถือทองคำระดับโลก ร่วมมือกับ บริษัท เอสซีไอ อีเลคตริค จํากัด (มหาชน) ผู้นำด้านไฟฟ้าและเทคโนโลยี เพื่อร่วมสร้างธุรกิจบริการยืมโทรศัพท์มือถือครั้งแรกในประเทศไทย แบรนด์ “ยืมมั้ย” ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท ยืมมั้ย (ประเทศไทย) จำกัด โดยเล็งเห็นว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือของผู้บริโภคทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไป โดยใช้โทรศัพท์มือถือนานขึ้นมากกว่า 2 ปี และเปลี่ยนเครื่องใหม่น้อยลง ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ อาทิ ราคาโทรศัพท์มือถือที่มีราคาสูงขึ้น หรือการขายต่อในราคาที่ต่ำมาก ดังนั้นบริการยืมโทรศัพท์มือถือจะสามารถแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด โดยคาดว่า “ยืมมั้ย” จะได้รับความนิยมและเป็นทางเลือกใหม่ในการตัดสินใจซื้อโทรศัพท์มือถือของผู้บริโภคในไม่ช้า พร้อมตั้งเป้าผู้ใช้บริการ 1 แสนเครื่องต่อปี

ถึงแม้จะมีข้อจำกัดหลายด้านที่ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือช้าลง แต่ทุกคนก็อยากจะใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ และก้าวให้ทันเทคโนโลยีได้อย่างไม่สะดุด ในวันนี้ “ยืมมั้ย” จึงถือกำเนิดขึ้น ในรูปแบบบริการยืมโทรศัพท์มือถือที่จะมาพลิกโฉมวงการสมาร์ทโฟน และตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด โดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อน ไม่ต้องทนใช้โทรศัพท์มือถือเก่าอีกต่อไป และหมดปัญหาการนำเครื่องเก่าไปขายในราคาที่ต่ำมาก ๆ ซึ่งเรามั่นใจว่าด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจโทรศัพท์มือถือกว่า 12 ปี จะสามารถตอบสนองได้ตรงความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

นายสุทธิเกียรติ กล่าวด้วยว่า “ยืมมั้ย” นับเป็นการพลิกโฉมทางเลือกใหม่ของการใช้โทรศัพท์มือถือในประเทศไทย ที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้โทรศัพท์มือถือคนรุ่นใหม่ ด้วยแนวคิด “คุ้มกว่า สมาร์ทกว่า” โดยให้บริการยืมโทรศัพท์มือถือ “สมาร์ทโฟน” รุ่นยอดนิยมและรุ่นใหม่ล่าสุด ด้วยขั้นตอนการยืมที่สะดวกรวดเร็วผ่านแอปพลิเคชัน “ยืมมั้ย” (Yuemmai) ทั้งในระบบ iOS และ Android

สำหรับรายละเอียดของยืมโทรศัพทืมือถือ “ยืมมั้ย” คือ สัญญาเช่า 12 เดือน (365 วัน) ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 30 บาทต่อวัน หรือประมาณ 900 บาทต่อเดือน  ค่ามัดจำเริ่มต้น 575 บาทต่อเดือน พร้อมฟรีค่าโทร.และค่าอินเทอร์เน็ตรายเดือน จึงทำให้คุ้มค่ากว่าการซื้อ ส่วนค่ามัดจำจะได้รับคืนหลังคืนเครื่องไม่เกิน 7 วัน หรือใช้เป็นค่ามัดจำในการยืมเครื่องรุ่นใหม่ในปีถัดไป โดยผู้ยืมจะได้รับโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่แกะกล่องทุกครั้ง สามารถชำระเงินเป็นรายเดือนโดยไม่ต้องใช้เงินก้อน ผ่านบัตรเครดิตบนระบบการชำระเงินที่มีความปลอดภัยสูง พร้อมประกันภัยความเสียหายตลอดการใช้งาน ได้เครื่องใหม่ทันทีไม่ต้องซ่อม นอกจากนั้น ยังฟรีค่าจัดส่งถึงมือ รวมถึงบริการโอนถ่ายข้อมูลจากเครื่องเก่าไปเครื่องใหม่ที่ปลอดภัย 100% และสิทธิพิเศษโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าและบริการต่าง ๆ อีกมากมาย

สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของ “ยืมมั้ย” เน้นไปที่คนรุ่นใหม่ นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ และผู้ที่มองหาทางเลือกใหม่ของการใช้สมาร์ทโฟน รวมถึงกลุ่มลูกค้าองค์กรที่มีความต้องการใช้โทรศัพท์ในธุรกิจหรือเป็นสวัสดิการสำหรับพนักงาน โดยได้ตั้งเป้าหมายช่องทางการจำหน่ายให้แก่กลุ่มองค์กรจำนวน 1.5 หมื่นเครื่องต่อปี แบ่งสัดส่วนเป็นลูกค้าทั่วไป 70% และลูกค้าองค์กร 30%

นายสุทธิเกียรติ กล่าวอีกว่า บริการ “ยืมมั้ย” ยังเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและสร้างปรากฎการณ์ให้วงการธุรกิจไทยบนความร่วมมือของผู้นำธุรกิจระดับประเทศ 5 บริษัทจากแต่ละอุตสาหกรรม ภายใต้โมเดลธุรกิจ “Ecosystem Business” ด้วยการรวมสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่มีความเชื่อมโยงและสัมพันธ์กัน สู่บริการที่พร้อมส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ต้นจนจบ (End-to-End) ตอบโจทย์ มีคุณภาพ และครบวงจร ความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่นี้ประกอบด้วย “เอสซีไอ” (SCI) ผู้นำด้านไฟฟ้าและเทคโนโลยี บริษัทผู้ร่วมลงทุนหลัก, ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สถาบันการเงินพาณิชย์แห่งแรกและเป็นหนึ่งในห้าธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นผู้ดูแลระบบจัดการการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตที่ปลอดภัยระดับโลก, แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส (AIS) ผู้ให้บริการเครือข่ายอันดับหนึ่ง เพื่อให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือพร้อมแพ็คเกจสุดพิเศษแก่ลูกค้ายืมมั้ย, เมืองไทยประกันภัย บริษัทประกันภัยอันดับหนึ่ง ดูแลรับประกันตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือตลอดการใช้งาน และคอมเซเว่น (COIII7) ผู้นำอันดับหนึ่งการจำหน่ายสินค้าไอที เป็นพันธมิตรจุดรับบริการลูกค้ายืมมั้ยผ่านศูนย์ iCare

ด้าน นายเกรียงไกร เพียรวิทยาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีไอ อีเลคตริค จํากัด (มหาชน) ผู้ร่วมทุนหลักของ “ยืมมั้ย” กล่าวว่า “ยืมมั้ย” เป็นเวทีสำคัญให้เราพิสูจน์ฝีมืออีกครั้งในฐานะของผู้นำด้านเทคโนโลยี โดยเราได้มองเห็นศักยภาพของตลาดโทรศัพท์มือถือในเมืองไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นโอกาสที่การบริการยืมโทรศัพท์ของ “ยืมมั้ย” จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้สามารถช่วยแก้ปัญหาและข้อจำกัดต่าง ๆ ในการซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่ เพียงแค่เปลี่ยนเป็น “ยืม” รวมถึงความร่วมมือจากพันธมิตรที่ดีที่สุดในการให้บริการครบวงจร เราเชื่อว่า “ยืมมั้ย” จะเป็นมิติใหม่ของวงการโทรศัพท์มือถือ/สมาร์ทโฟน และท้ายที่สุด “ยืมมั้ย” จะช่วยสร้างอุปสงค์และมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือให้กลับมาเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญนั่นเอง

“ยืม” สมาร์ทโฟนที่ “คุ้มกว่า สมาร์ทกว่า” ผ่านแอปพลิเคชัน “ยืมมั้ย” ได้แล้ววันนี้ ทั้งในระบบ iOS และ Android สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.0 2975 5988 หรือเว็บไซต์ yuemmai.com และติดตามข่าวสารโปรโมชั่นดี ๆ ของ “ยืมมั้ย” ได้ที่ Facebook : ยืมมั้ย

BEDO หนุนเยาวชนจัดทำ “เส้นทางท่องเที่ยว Bio Gang” ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ

alivesonline.com : สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO จัดกิจกรรม “ประกวดแผนที่ทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น ภายใต้หัวข้อ “เส้นทางท่องเที่ยว Bio Gang” สำหรับนักเรียนและสถาบันการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา มุ่งกระตุ้นให้เยาวชนเห็นถึงความสำคัญและเกิดความสนใจในการสำรวจข้อมูลทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาของท้องถิ่น รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พร้อมทำคลิบวีดีโอแนะนำแผนที่ชุมชน ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และทุนการศึกษา

นางจุฬารัตน์ นิรัติศยกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO กล่าวว่า BEDO เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสำรวจและรวบรวมข้อมูลทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยในช่วงที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 10 ปีได้ดำเนินการจัดทำ Community Website เพื่อให้เกิดการจดบันทึกข้อมูลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน รวมทั้งได้ดำเนินกิจกรรมเครือข่ายสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือ “Bio Gang” โดยเยาวชนที่เป็นสมาชิก “Bio Gang” จะร่วมปฏิบัติตามบัญญัติ 5 ประการ ประกอบด้วย 1.ช่วยบันทึกข้อมูลทรัพยากรชีวภาพ ผลิตภัณฑ์ และสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศของชุมชน 2.ทำการค้นหาผู้รู้ในชุมชนและบันทึกภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้รู้นั้น 3.ชวนเพื่อนมาร่วมเป็นสมาชิก Bio Gang (Member get Member) 4.พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนต่างถิ่น 4 ภาค 5.นำความรู้ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนกับเพื่อนสมาชิกกลับคืนสู่ชุมชนของตนเอง

ในปี 2562 BEDO จึงได้จัดกิจกรรมโครงการประกวดแผนที่ทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นภายใต้หัวข้อ “เส้นทางท่องเที่ยว Bio Gang” เพื่อสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงการชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการสร้างสรรค์เชิงเศรษฐกิจและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของกลุ่มเครือข่ายชุมชน ก่อให้เกิดการสำรวจทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน ตลอดจนกระตุ้นจิตสำนึกเยาวชนได้ตระหนักและให้ความสนใจถึงความสำคัญของทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน เกิดการเชื่อมโยงกับการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องของทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน เพื่อการสืบสานและอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง

สำหรับรูปแบบของกิจกรรมการประกวด Bio Map จะเป็นการประกวดการสร้างแผนที่ทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา เพื่อจัดทำแผนที่แสดงเส้นทางท่องเที่ยวที่สมาชิกในกลุ่มร่วมกันกำหนดเส้นทางเพื่อออกสำรวจและจัดทำแผนที่ โดยรับสมัครนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษา รวมกลุ่มทีมละ 3 คน ในสถาบันการศึกษาเดียวกัน ทุกทีมจะต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาให้การรับรอง 1 คน โดยสมาชิกภายในกลุ่มร่วมกันกำหนดเส้นทางท่องเที่ยว หรือพื้นที่สำรวจอย่างชัดเจน

ในส่วนของข้อมูลที่ทำการสำรวจข้อมูล ได้แก่ 1.ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพ (พืช และสัตว์) 2.ข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น (ปราชญ์ / ผู้รู้) 3.ข้อมูลผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มาจากทรัพยากรชีวภาพในท้องถิ่น 4. ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศของชุมชน จากนั้นผู้สำรวจต้องบันทึกข้อมูลที่ได้จากการสำรวจลงใน www.BioGang.net แล้วนำข้อมูลมาจัดทำเป็นแผนที่ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประกวด โดยมุ่งเน้นที่ความเข้าใจในการนำเสนอแผนที่ในรูปแบบ VDO หรือบอร์ดนิทรรศการ เพื่อแสดงให้เห็นถึงข้อมูลที่สำรวจ หรือขั้นตอนการทำงานของกลุ่ม และส่งผลงานมายัง BEDO เพื่อร่วมประกวดแข่งขัน โดยรางวัลชนะเลิศจะได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ใบประกาศเกียรติคุณและทุนการศึกษา จำนวน 50,000 บาท

สัมมนาฟรี ! “Bangkok ASEAN Tour 2019” แนะวิธีพลิกวิกฤติเป็นโอกาส

alivesonline.com : บริษัทหลักทรัพย์ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เตรียมจัดงานสัมมนาด้านการลงทุนและธุรกิจในประเทศไทย “Bangkok ASEAN Tour 2019” ณ บางกอก แมรีออท โฮเต็ล สุขุมวิท กรุงเทพฯ ในวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2562 เวลา 13.00-17.00น. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจค ASEAN Tour ของบริษัทฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มมิติใหม่ให้กับประสบการณ์การเรียนรู้ของนักลงทุนชาวไทยและแวดวงธุรกิจ

ใน Bangkok ASEAN Tour 2019 ครั้งนี้จะจัดขึ้นในหัวข้อ “พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสจากนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ” ประกอบด้วยหลายสาระที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอย่างเข้าใจง่าย โดยมุ่งเน้นให้นักธุรกิจและนักลงทุนประสบความสำเร็จในการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการปรับตัวให้อยู่ได้ในสภาวะตลาดที่ชะลอตัว

ผู้บรรยายในงานสัมมนานี้ประกอบไปด้วย ‘มาริโอ้ ซิงห์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด พร้อมด้วย ‘ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรณ์’ ผู้ก่อตั้งสมาคมการลงทุนเน้นคุณค่าแห่งประเทศไทย และ ‘จิมมี่ ซู’ หัวหน้าฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ของ ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล อดีตนักวางแผนกลยุทธ์จาก Bloomberg

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรณ์ ผู้ได้รับการกล่าวถึงในวงกว้างว่าเป็น ‘วอร์เรน บัฟเฟต ของประเทศไทย’ จะมาเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงและข้อมูลเชิงลึกของแวดวงการลงทุนซึ่งช่วยให้สามารถวางกลยุทธ์และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโอกาสทางการลงทุน ท่ามกลางสภาพของตลาดในปัจจุบัน ส่วน ‘มาริโอ้ ซิงห์’ ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากวงการธุรกิจด้านการเงินทั่วโลกจะมาร่วมแบ่งปันวิธีการทำกำไรอย่างมีประสิทธิภาพจากศรษฐกิจที่ชะลอตัว และ ‘จิมมี่ ซู’ จะมาบรรยายตัวเลขและข้อมูลทางเศรษฐกิจของประเทศไทย อาเซียน และเศรษฐกิจโลก โดยจะเน้นไปที่ผลกระทบที่มีต่อตลาดโลกและสกุลเงินหลักของโลกในช่วงที่เหลือของปี 2562

‘มาริโอ้ ซิงห์’ กล่าวว่า โปรเจคทัวร์นี้เป็นโอกาสดีสำหรับชาวไทยที่จะได้สัมผัสวิธีการลงทุนและการซื้อขายที่ที่ขยายขอบเขตกว้างขึ้นและไม่ได้จำกัดมุมมองอยู่เพียงแต่ในประเทศ ในสภาวะที่ตลาดกำลังชะลอตัวนี้เราเชื่อว่านักธุรกิจและนักลงทุนกำลังให้ความสนใจเรียนรู้วิธีการอันชาญฉลาดในการลงทุนและสร้างผลกำไรที่สม่ำเสมอในหลายตลาด เช่น ตลาดหุ้น งานครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งครั้งสำคัญที่นักธุรกิจและนักลงทุนไทยจะได้มองหาวิธีเพื่อเพิ่มมูลค่า ไม่ว่าพวกจะอยู่ที่ใดก็ตามในเส้นทางการลงทุน

Bangkok ASEAN Tour 2019 ‘พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสจากนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ’ จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2562 เวลา 13.00–17.00 น. ณ บางกอก แมรีออท โฮเต็ล สุขุมวิท กรุงเทพฯ โดยงานสัมมนานี้จะบรรยายด้วยภาษาอังกฤษและภาษาไทย (ล่ามแปลภาษา) นักลงทุน นักธุรกิจและผู้ที่สนใจ สามารถเข้าร่วมได้ฟรี โดยลงทะเบียนที่ https://bit.ly/2KBoxLv ติดตามรายละเอียดการจัดงานเพิ่มเติมที่ http://www.fullertonmarkets.com https://www.facebook.com/pg/FullertonMarkets http://twitter.com/fullertonmkts https://www.instagram.com/fullertonmarkets

“บิ๊ก คาเมร่า” กระตุ้นตลาดกล้องดิจิทัล

นายธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ และนายชิตชัย เธียรกาญจนวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เดินหน้าลุยตลาดกล้องดิจิทัลกลางปี ทุ่มงบประมาณกว่า 10 ล้านบาท จัดงาน “บิ๊ก คาเมร่า บิ๊ก โปร เดย์ ครั้งที่ 13” (BIG CAMERA BIG PRO DAYS 13) มหกรรมที่รวบรวมกล้องและอุปกรณ์กล้องดิจิทัลสำหรับมือโปรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี พร้อมโปรโมชั่นส่วนลดสุดพิเศษกว่า 70% และกิจกรรมเวิรคชอปสุดเอ็กซ์คูลซีพจากช่างภาพแถวหน้าของเมืองไทย โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25–31 กรกฎาคม 2562 ณ ลานกิจกรรม ชั้น1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

“ทีเส็บ” ปั้นกิจกรรม “สัมมนารอบกรุง” ดันรายได้ไมซ์ในประเทศ 1.21 แสนล้านบาท

alivesonline.com : นัยสำคัญหนึ่งทางด้านการเติบโตของอุตสาหกรรมไมซ์ประเทศไทยที่เห็นได้อย่างประจักษ์ชัดคือ รายงานของสมาคมการประชุมนานาชาติระดับโลก ปี 2561 (International Congress and Convention Association – ICCA) ซึ่งระบุว่า อุตสาหกรรมไมซ์ไทย อยู่ในอันดับ 4 ของเอเชีย ด้านการประชุมนานาชาติ ด้วยจำนวน 193 งาน รองจาก ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ ยกระดับขึ้นจากปี 2560 ซึ่งไทยอยู่ในอันดับ 5 ของเอเชีย ทั้งยังถือเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน โดยมีจำนวนงานประชุมนานาชาติ 171 งาน

ICCA ยังระบุด้วยว่า ในด้านการประชุมนานาชาติระดับเมือง กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับ 2 (135 งาน) เชียงใหม่ อันดับ 25 (25 งาน) และพัทยา อันดับ 60 (11 งาน) โดยพบว่า การจัดการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentive) ในประเทศไทยมีการเติบโตสูงสุดทั้งจำนวนคนและรายได้ คิดเป็นการเติบโตด้านจำนวนคน 18% และรายได้ 180% โดยเมืองไมซ์ 5 อันดับแรกที่มีนักเดินทางไมซ์เข้ามามากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต และพัทยา

ประกอบกับผลการวิจัยของ บริษัท ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน (ไทยแลนด์) จำกัด พบว่า ในปี 2561 ผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจที่เกิดจากอุตสาหกรรมไมซ์นอกจากการใช้จ่ายของผู้เข้าร่วมงาน ยังมีค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการจัดกิจกรรมไมซ์ทั้งสิ้น (Total Expenditure) เป็นมูลค่าถึง 251,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 230,000 ล้านบาทในปี 2560 โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 316,000-405,000 ล้านบาทในปี 2565 โดยผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจของกิจกรรมในอุตสาหกรรมไมซ์มีมูลค่า 177,200 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไทย (GDP Contribution) ก่อให้เกิดการจ้างงาน 181,000 ตำแหน่ง และสามารถจัดเก็บภาษีให้กับประเทศไทยได้กว่า 23,400 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี

“สัมมนารอบกรุง” เครื่องมือใหม่ ส่งเสริมการประชุมในประเทศ

ด้วยเหตุนี้ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์จึงกำหนดแนวทางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้ 3 เป้าหมายยุทธศาสตร์หลักคือ “สร้างรายได้ – กระจายรายได้สู่ภูมิภาค – พัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรม” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการกระตุ้นนักเดินทางไมซ์ทั้งในและต่างประเทศ ในปีงบประมาณ 2562 รวมทั้งสิ้น 35,982,000 คน สร้างรายได้ 221,500 ล้านบาท โดยกำหนดเป็นนักเดินทางกลุ่มไมซ์ต่างประเทศ 1,320,000 คน สร้างรายได้ 100,500 ล้านบาท และนักเดินทางชาวไทยที่เดินทางเข้าร่วมงานไมซ์ในประเทศ 34,662,000 คน สร้างรายได้ 121,000 ล้านบาท

นายสราญโรจน์ สวัสดิ์ชูโต ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมตลาดในประเทศ (Domestic MICE) “ทีเส็บ”กล่าวว่า “ทีเส็บ” กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์โดยมุ่งเน้นด้านมิติการพัฒนาพื้นที่ เพื่อเพิ่มและยกระดับสถานที่จัดงาน รวมถึงกิจกรรมใหม่เพื่อรองรับการจัดงานไมซ์ โดยร่วมกับ สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) จัดกิจกรรม “สัมมนารอบกรุง” โครงการสร้างการรับรู้สินค้าและบริการไมซ์ (Domestic Fam Trip) ประจำปี 2562 พร้อมมอบหมายออร์แกไนเซอร์ชั้นนำ “PAULA&CO.” นำคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรมนุษย์ (HR) จากองค์กรต่าง ๆ เข้าร่วมโครงการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเองรูปแบบใหม่ในเส้นทางเช้าไป-เย็นกลับ (OneDayTrip) ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ โดยรอบกรุงเทพฯ

การจัดกิจกรรม “สัมมนารอบกรุง” มีทั้งสิ้นรวม 3 ครั้งคือ จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2562 จ.สมุทรปราการ เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2562 และ จ.นครปฐม เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2562 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแนะนำเส้นทางใหม่ให้องค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการจัดกิจกรรมด้าน การประชุม (Meeting) ได้มีโอกาสสัมผัสบริการด้านอุตสาหกรรมไมซ์ในรูปแบบใหม่ ทั้งสถานที่จัดงานและกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งก่อนและหลังการประชุมเพื่อรองรับกลุ่มผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญในการเพิ่มการรับรู้ในเส้นทางเหล่านี้มากขึ้นทั้งยังเป็นการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการจัดกิจกรรมไมซ์ที่หลากหลายระดับคุณภาพ

เรียนรู้ “Agile and Scrum” ที่สวนสามพราน

กิจกรรม “สัมมนารอบกรุง” ครั้งสุดท้าย ณ จ.นครปฐม จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สร้างคนและองค์กรผ่าน Agile and Scrum ในชุมชน” โดยนำผู้ร่วมสัมมนารวม 35 ราย ไปยังจุดหมายแรกคือ “สวนสามพราน” สถานที่สร้างงาน – สร้างชีวิตให้ผู้คนในชุมชน พร้อมนั่งเรือข้ามฝั่งแม่น้ำท่าจีน ไปรับฟังบรรยายเรื่อง “สามพรานโมเดล” โดย นายอรุษ นวราช กรรมการผู้จัดการโรงแรมสวนสามพราน และมูลนิธิสังคมสุขใจ ก่อนที่จะนำผู้ร่วมสัมมนาร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ ณ ปฐมออร์แกนิกฟาร์ม เพื่อศึกษาวิถีชีวิตเกษตรกรไทยและเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์แบบพึ่งพาตนเอง

จากนั้นยังร่วมกิจกรรม Agile Cooking Workshop” การปรับปรุงการทำงานรูปแบบใหม่ที่นำผู้ร่วมสัมมนาก้าวสู่ยุค Digital Tranformation ด้วยการทำอาหาร ! โดยมี อาจารย์ดามพ์ มงคล หงษ์ชัย ผู้ก่อตั้ง “Agile Picnic Meetup” และ “Agile Passion Conference” ทั้งในประเทศไทยและเมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำหน้าที่เป็นโค้ชผู้ชี้แนะให้ความรู้แก่ผู้ร่วมสัมมนาด้วยวิธีง่าย ๆ ที่มากไปด้วยสาระและบันเทิง

นั่นคือ เริ่มจากจัดกลุ่มผู้สัมมนาเป็น 4 ทีมคือ สีเหลือง แดง เขียว และน้ำเงิน เพื่อให้แต่ละทีมทำอาหารที่ต้องการโดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่อันน้อยนิดภายในเวลา 10 นาที (รวมถึงจุดไฟจากเตาถ่าน) โดยมี อาจารย์ดามพ์ ทำหน้าที่เป็นลูกค้าลองลิ้มชิมรส ซึ่งแน่นอนว่าผลที่ออกมาล้วนไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์ทั้งรสชาติและรูปลักษณ์ แต่เมื่อ อาจารย์ดามพ์ แนะนำให้ความรู้เรื่อง “Agile and Scrum” พร้อมเปิดโอกาสให้แต่ละทีมลองทำอาหารอีกครั้ง โดยให้แต่ละทีมสรรหาลูกค้าต่างทีมคือ สีเหลืองได้ลูกค้าสีแดง สีแดงได้ลูกค้าสีเขียว สีเขียวได้ลูกค้าสีน้ำเงิน สีน้ำเงินได้ลูกค้าสีเหลือง พร้อมให้เวลา 10 นาทีเท่าเดิม แต่แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา ช่วงละ 5 นาที เพื่อให้แต่ละทีมมีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น พร้อมทดสอบความต้องการของลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงรสชาติอาหารและผลิตภัณฑ์

ไม่น่าเชื่อว่า ผลลัพธ์ที่ได้ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในเวลาที่เท่ากัน !

นั่นเป็นเพราะ การ “Agile and Scrum” ทำให้ทุกคนในทีมมีปฏิสัมพันธ์ (Relation) ที่ดีระหว่างกัน รวมถึงการสื่อสาร (Communication) กับลูกค้า อันนำมาซึ่งการปรับปรุงพัฒนาการทำงานทุก ๆ ด้าน เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า

จึงเป็นเรื่องแปลกใจอย่างสิ้นเชิงที่อาหารแต่ละจานล้วนถูกรังสรรค์ออกมาได้อย่างวิจิตร ทั้งรสชาติและรูปแบบการจัดจาน ทั้ง “กล้วยบวดชี” จากทีมสีเหลือง “ผัดผักสี่สหาย” จากทีมสีแดง “สุกี้แห้ง” จากทีมสีเขียว และ “ยำไข่ดาว” จากทีมสีน้ำเงิน

แนวคิด “Agile and Scrum”

อาจารย์ดามพ์ มงคล หงษ์ชัย อธิบายถึงแนวคิด “Agile and Scrum” ว่าเป็นประยุกต์การทำงานในอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อแทนที่การวางแผนกำหนดเป้าหมายและมุ่งไปในครั้งเดียว โดยเปลี่ยนเป็นวางแผนและทำงานไปทีละนิด ๆ และคอยประเมินว่าควรดำเนินการต่อไปไหม พร้อมกำหนดเป้าหมายระยะสั้นและค่อย ๆ ดำเนินงานไป เพราะเมื่อพบกับปัญหาจะสามารถแก้ไขได้ง่ายขึ้น หรือเมื่อได้รับความต้องการจากลูกค้า (Requirment) ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมก็จะสามารถรับมือและแก้ไขได้ทันที โดยไม่เน้นกระบวนการและเอกสาร แต่จะเน้นการพัฒนาสินค้าให้ดีที่สุดมากกว่าจะยึดติดกับเอกสารต่าง ๆ พร้อมกับต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะความต้องการของลูกค้าอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเช่นกัน แนวคิดการทำงานแบบ Agile จึงเป็นในลักษณะทำทีละนิดแต่ทำบ่อย ๆ คือมีการส่งมอบงานอะไรบางอย่างให้ทีม หรือลูกค้าอย่างต่อเนื่องทีละเล็กทีละน้อย เช่น ส่งมอบอะไรใหม่ทุก ๆ 2 สัปดาห์ หรือทุก ๆ เดือน โดยไม่ให้ลูกค้าต้องรอนาน 3-6 เดือน

การทำงานแบบ Agile จึงเน้นการทำงานเป็นทีมมากกว่าที่จะสนใจกระบวนการ โดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากกว่าที่บอกว่าต้องเป็นไปตามกระบวนการ โดยอาจให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มกระบวนการด้วย ทำให้การทำงานในแนวคิด Agile ไม่มีกำแพงกั้นระหว่างบุคลากรแต่ละฝ่าย เพราะเป็นการนำบุคลากรทุกฝ่ายมาอยู่ในทีมเดียวกัน เน้นการสื่อสารระหว่างบุคคล ทำให้ลดความไม่เข้าใจระหว่างกัน จึงทำให้เกิดกรอบการทำงาน (Framework) .ในลักษณะ “Scrum” คือทุกคนในทีมช่วยกันรุมทำงานนั่นเอง !

ผู้ร่วมสัมมนายังมีโอกาสร่วมกิจกรรม “Table Top Sale” ในการพบปะกับผู้ประกอบการด้านที่พักและบริการต่าง ๆ ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งมาร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมแนะนำสถานที่สำหรับการจัดประชุมอบรมสัมมนาให้แก่ผู้ร่วมสัมมนา ณ ห้องเจด โรงแรมสวนสามพราน

ชมวิถีชุมชนชาวบ้านดั้งเดิมใกล้เมืองกรุง

กิจกรรม “สัมมนารอบกรุง” ครั้งนี้ยังนำผู้ร่วมสัมมนาเดินทางไปยัง ชุมชนบ้านศาลาดิน อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เริ่มจากการนั่งรถอีแต๊กชมสวนผลไม้อินทรีย์ พร้อมร่วมทำขนมข้าวตู ณ “สวนผลไม้ลุงบุญเลิศ” ก่อนที่จะล่องเรือไปตามคลองมหาสวัสดิ์ เพื่อไปชม “นาบัวลุงแจ่ม พร้อมร่วมกิจกรรมจีบ (พับ) ดอกบัว และพายเรือชมดอกบัว ก่อนที่จะกลับมายัง “บ้านข้าวตังศาลาดิน” เพื่อรับฟังการทำข้าวตังโดยปราชญ์ชาวบ้านในเรื่องการแปรรูปข้าว ปิดท้ายด้วยการเยี่ยมชม หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ประจำปี 2552 บ้านศาลาดิน หมู่ที่ 3 ต.มหาสวัสดิ์ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐ ซึ่งนอกจากจะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในชุมชนแล้ว ยังมีการสาธิตให้บริการสปาในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งสปาเกลือเท้า สปาน้ำเท้า สปาสมุนไพรโอ่ง และอื่น ๆ

 

ก่อนที่จะนำผู้ร่วมกิจกรรมไปเยี่ยมชม “วู้ดแลนด์เมืองไม้” (WOOD LAND) ของ นายณรงค์ ทิวไผ่งาม ณ ต.ดอนแฝก อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ซึ่งสะสมงานไม้แกะสลักที่วิจิตรและพิสดารมากกว่า 1 พันชิ้นเป็นระยะยาวนานมากกว่า 30 ปี ปิดท้ายด้วยกิจกรรม “Scrumban” โดย อาจารย์ดามพ์ มงคล หงษ์ชัย ก่อนจะนำผู้ร่วมสัมมนาเดินทางกลับกรุงเทพฯ

ถือเป็นการสัมมนาที่ผู้ร่วมกิจกรรมได้รับทั้งความเพลิดเพลินและสาระอย่างคุ้มค่าไม่น้อย ผู้สนใจ หรือองค์กรที่ต้องการจัด “สัมมนารอบกรุง” สามารถติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณเดย์ โทร.0 2048 5838 และ 09 9041 0564 หรือ e-Mail : mice@paula-dmc.com

#ทีเส็บ #สัมมนารอบกรุง

 

ตลาดความงามกลุ่ม CLMV : โอกาสเติบโตสำหรับผู้ประกอบการไทย

alivesonline.com : ตลาดความงามในประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 มีมูลค่าประมาณ 7.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2.51 แสนล้านบาท) คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องโดยเฉลี่ย 7.6 % ขณะที่มีมูลค่าการส่งออกมากถึง 2.59 พันล้านเหรียญสหรัฐ (83,036.8 ล้านบาท) โดยมีอาเซียน ญี่ปุ่น จีน และออสเตรเลีย เป็นตลาดสำคัญ

ธุรกิจความงามของไทยในตลาดอาเซียนยังมีมูลค่ามากถึง 15 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม CLMV คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งขณะนี้มีสินค้าความงามของไทยวางขายอยู่ในตลาดกว่า 40% โดยความร่วมมือเชิงรุกของทั้งภาครัฐและเอกชนที่ต้องการผลักดันให้ประเทศกลุ่ม CLMV เป็นศูนย์กลางห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ยุคใหม่แห่งเอเชียและโลก ส่งผลให้ตลาดกลุ่ม CLMV มีความน่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทย

ประเทศกลุ่ม CLMV มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงปี 2553-2560 มี GDP per capita เติบโตโดยเฉลี่ย 5.6% ต่อปี ส่งผลให้ประชากรมีรายได้และกำลังซื้อสูงขึ้น ชนชั้นกลางมีสัดส่วนมากขึ้น การขยายตัวของเมืองสอดคล้องกับสัดส่วนของประชากรที่อาศัยในเมืองที่เพิ่มขึ้น และโครงสร้างของประชากรเด็กและวัยทำงาน ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจความงาม

ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและออร์แกนิกเป็นเทรนด์ที่มาแรงทั่วโลก รวมทั้งภูมิภาคอาเซียนและกลุ่ม CLMV โดยเฉพาะเวียดนามมีความต้องการสินค้าด้านความงามเพิ่มขึ้น 300% ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยผลิตภัณฑ์ความงามสมุนไพรที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องในเวียดนาม มีมูลค่าการเติบโต 11.5% คิดเป็นมูลค่า 1.55 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปีในช่วง ปี 2560–2065 และมีมูลค่า 2.18 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2065 กรมศุลกากรเวียดนาม รายงานยอดการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากไทยในปี 2560 มีมูลค่า 82.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และผลิตภัณฑ์ความงามจากธรรมชาติที่นำเข้าจากไทยกำลังเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภคเวียดนาม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลาง

สำหรับเศรษฐกิจเมียนมาขยายตัวขึ้นจากการผ่อนปรนการคว่ำบาตร คาดการณ์ว่าจำนวนชนชั้นกลางจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวภายในปี 2563 กลุ่มข้าราชการจำนวน 1.5 ล้านคนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการที่รัฐบาลเพิ่มเงินเดือน 50% โครงสร้างประชากรเมียนมามากกว่าครึ่งมีอายุน้อยกว่า 30 ปี ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของธุรกิจเครื่องสำอาง

ข้อมูลจากสมาคมเครื่องสำอางเมียนมา เปิดเผยรายงานว่า ในเมียนมานำเข้าเครื่องสำอางจากต่างประเทศ 90% อีกทั้งพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามเปลี่ยนแปลงไปมากใน 2-3 ปีหลัง จากเดิมผู้บริโภคเป็นกลุ่มชนชั้นกลางวัยกลางคน แต่ปัจจุบันกลุ่มวัยรุ่นและสูงอายุก็นิยมใช้สินค้าความงามเพื่อเสริมความงามและเพื่อสุขภาพมากขึ้นด้วยเช่นกัน

 

ขณะที่ตลาดกัมพูชายังมีกำลังซื้อไม่สูงนัก แต่ถือว่าน่าจับตาเนื่องจากการไหลเข้าของแหล่งเงินทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้ สินค้าอุปโภคบริโภคมีไม่มากนัก ส่วนมากนำเข้ามาจากไทย จีน และเวียดนาม ผลิตภัณฑ์ความงามต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ เครื่องสำอาง หรือครีมกันแดด ล้วนนำเข้าจากประเทศไทย โดยยอดการนำเข้าในปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 404 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2556 เป็น 4.06 ล้านเหรียญสหรัฐ

นางสาวพีรยาพัณณ์  พงษ์สนาม ผู้ช่วยผู้จัดการโครงการอาวุโส บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาด CLMV ขยายตัวอย่างมากและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ โครงสร้างประชากรและความร่วมมือระหว่างรัฐนับเป็นสัญญาณที่ดีในการที่จะทำให้กลุ่ม CLMV เป็นศูนย์กลางห่วงโซ่คุณค่ายุคใหม่แห่งเอเชียและโลกได้ไม่ยาก พฤติกรรมและลักษณะทางกายภาพของลูกค้าที่มีความคล้ายคลึงกับคนไทย รวมถึงความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการขนส่งต่ำ

นอกจากนี้ลูกค้ากลุ่ม CLMV ยังให้ความเชื่อถือในแบรนด์สินค้าไทยว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ กอปรกับไทยมีสมุนไพรที่มีความเฉพาะตัว เทคโนโลยีการผลิต และการบรรจุหีบห่อที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้สินค้าไทยได้รับความนิยมจากลูกค้า พร้อมกันนี้แบรนด์สินค้าไทยยังมีโอกาสในการสร้างการรับรู้ให้แพร่หลายมากขึ้นจากการที่นักท่องเที่ยวกลุ่ม CLMV เดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทย และได้ทดลองใช้สินค้า

ใน 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มนักท่องเที่ยว CLMV มีจำนวนเพิ่มขึ้น 11.2% ต่อปี และได้ชอปปิงสินค้าไทย โดยเฉพาะเครื่องสำอางและเครื่องดื่ม 33% ของการใช้จ่ายทั้งหมดระหว่างการท่องเที่ยว (ศูนย์ข้อมูลกสิกรไทย) ขณะที่เศรษฐกิจโลกในยุคสงครามการค้ามีความผันผวน ทำให้ไทยได้รับผลกระทบในฐานะที่เป็นหนึ่งในห่วงโซ่คุณค่า ผู้ประกอบการจึงควรเริ่มมองหาโอกาสธุรกิจในตลาดอาเซียน และกลุ่มประเทศ CLMV ที่กำลังเติบโตนี้ด้วยเช่นกัน

ศักยภาพธุรกิจความงามและสุขภาพในตลาด CLMV และอาเซียนเป็นโอกาสที่กำลังเติบโต สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจสามารถมาหาโอกาสธุรกิจได้ที่งาน “Beyond Beauty ASEAN – Bangkok 2019” งานเทรดโชว์อันดับหนึ่งในด้านการแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจด้านความงามและสุขภาพที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 6 โดยแบ่งการจัดแสดงสินค้าออกเป็น 2 โซนคือ BBAB Supply Chain สำหรับนักธุรกิจที่มองหาผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอางตั้งแต่ต้นน้ำ และ BBAB Finished Products สำหรับนักธุรกิจที่มองหาสินค้าความงามพร้อมจัดจำหน่ายซึ่งเป็นปลายน้ำ

ในปี 2562 ยังมีโซนพิเศษ Beauty Made in Thailand สำหรับธุรกิจเครื่องสำอางไทยโดยเฉพาะ ภายใต้ความร่วมมือจากสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย ในการจัดแสดงสินค้า และคุณค่าของแบรนด์ ผ่านวัฒนธรรมไทยไปสู่ผู้เข้าร่วมงานจากประเทศต่าง ๆ

พร้อมกันนี้ผู้ประกอบการยังจะมีโอกาสในการเจรจาธุรกิจและแลกเปลี่ยนความรู้กับบริษัทนำเข้าและส่งออกสินค้าความงามชั้นนำทั้งภายในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะมีกว่า 80 บริษัทจากกลุ่มประเทศ CLMV เข้าร่วมชมงาน อีกทั้งยังมีโอกาสได้สร้างเครือข่าย หรือความสัมพันธ์กับหน่วยงานด้านเศรฐกิจในประเทศ CLMV อาทิ สมาคมเครื่องสำอางเมียนมา สมาคมเครื่องสำอางลาว สมาคมน้ำมันหอมระเหยและเครื่องสำอางอโรมาเวียดนาม บริษัทนำเข้าและส่งออกสินค้าอุปโภคและบริโภคชั้นนำ ห้างสรรพสินค้า กลุ่มธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่ง กลุ่มธุรกิจโรงแรมและสปา

งาน Beyond Beauty ASEAN – Bangkok 2019 จะจัดขึ้นในวันที่ 19-21 กันยายน 2562 ณ อาคาร 9–12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.beyondbeautyasean.com

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สาวกผลไม้เกาหลีต้องห้ามพลาด ! “Korea Wonder Fresh 2019”

ขยันจัดกิจกรรมเพื่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องจริง ๆ ล่าสุด ‘วิภาวี วัชรากร’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัชมนฟู้ด จำกัด เดินหน้าจัดงาน “โคเรีย วันเดอร์ เฟรช 2019” (Korea Wonder Fresh 2019) ก้าวสู่ปีที่ 2 ที่ปีนี้ขอบอกเลยว่าไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะ ‘บอสวิภาวี’ เข้ามาดูแลเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกผักและผลไม้จากฟาร์มคุณภาพดีที่ประเทศเกาหลี จนถึงมาดูแลหน้าพื้นที่ขายเอง สาวกผลไม้เกาหลีตัวจริงต้องห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงกับงานเทศกาลผักและผลไม้ส่งตรงจากเกาหลี “โคเรีย วันเดอร์ เฟรช 2019” (Korea Wonder Fresh 2019) ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ณ กูร์เมต์ มาร์เก็ต 5 สาขา ได้แก่ สาขาพารากอนดีพาร์ทเม้นต์สโตร์, สาขาเอ็มโพเรียม, สาขาเอ็มควอเทียร์, สาขาเดอะมอลล์บางแค และ สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ รวมถึงท็อปส์ มาร์เก็ต สาขารังสิต (โรบินสัน), เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาเซ็นทรัลบางนา และบิ๊กซี ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาสะพานควาย ติดตามข่าวโปรโมชั่นอื่น ๆ ที่ www.facebook.com/vachamonfood

“ทีเส็บ” อวดโฉมแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ เร่งไมซ์ไทยเติบโต 6% ต่อปี

alivesonline.com : “ทีเส็บ” พัฒนาโครงการอี-มาร์เก็ตเพลสธุรกิจไมซ์ครั้งแรกในไทย “Thai MICE Connect” เปิดตลาดไมซ์ให้ผู้ประกอบการทุกระดับมีโอกาสเท่าเทียมกันผ่านโครงการนำร่อง 3 ภูมิภาค “กลาง – ใต้ – อีสาน” เผยเบื้องต้นรวบรวมรายข้อมูลผู้ประกอบการไมซ์ทุกสาขา 3-4 พันรายชื่อ ใน 16 หมวดหมู่ 58 เซ็กเมนต์ คาดเพิ่มเป็น 1 หมื่นรายชื่อในปี 63 พร้อมช่วยหนุนอุตสาหกรรมไมซ์ขยายตัวเฉลี่ย 6% ต่อปี

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ธุรกิจไมซ์เป็นเวทีหลักเชื่อมโยงหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งการท่องเที่ยว โรงแรมที่พัก อุตสาหกรรมการบริการ รวมถึงโลจิสติกส์ทั้งระบบ ในฐานะที่ “ทีเส็บ” เป็นหน่วยงานรัฐที่มีบทบาทส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ภายใต้วิสัยทัศน์การทำงานตามนโยบายรัฐบาล 3 เป้าหมายหลักคือ การสร้างรายได้ กระจายรายได้สู่ภูมิภาคและการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรมเพื่อพัฒนาธุรกิจไมซ์ไทยอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน

“ทีเส็บ” เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาข้อมูลไมซ์ระดับชาติ สอดคล้องกับแนวทางการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำให้กับธุรกิจไมซ์ สร้างศูนย์กลางข้อมูลไมซ์ระดับชาติที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งขยายโอกาสให้ผู้ประกอบการไมซ์ทั่วประเทศทำการตลาด การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ธุรกิจไมซ์ในระดับมหภาคร่วมกัน จึงร่วมมือกับหน่วยงาน ภาครัฐและภาคเอกชนกว่า10 หน่วยงาน ยกระดับธุรกิจไมซ์ผ่านนวัตกรรมข้อมูลริเริ่มโครงการจัดเก็บข้อมูลผู้ประกอบการสินค้าบริการของอุตสาหกรรมไมซ์ระดับภูมิภาคภายใต้ชื่อ “Thai MICE Connect” ด้วยแนวคิด “เชื่อมโยงธุรกิจไมซ์จัดการง่ายแค่คลิก” ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มรวบรวมฐานข้อมูลสินค้าบริการในทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไมซ์ทั่วประเทศที่ชัดเจน ถูกต้อง แม่นยำครบถ้วน ด้วยการพัฒนาให้เป็น e-Marketplace ของธุรกิจไมซ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดครั้งแรกของไทย

นายจิรุตถ์ กล่าวด้วยว่า โครงการ “Thai MICE Connect” หรือโครงการจัดเก็บข้อมูลผู้ประกอบการสินค้าบริการของอุตสาหกรรมไมซ์ แบ่งเป็น 2 เฟสคือ เฟสแรกในปีงบประมาณ 2562 ประกอบด้วย 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ ภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนเฟสสองในปีงบประมาณ 2563 ประกอบด้วย 2 พื้นที่คือ ภาคเหนือ และภาคตะวันออก

“ทีเส็บ วางแผนจัดอบรมวิธีการใช้งาน Thai MICE Connect ให้แก่ผู้ประกอบการไมซ์เพื่อเข้าถึงการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถทางธุรกิจบนอี-มาร์เก็ตเพลสได้อย่างเชี่ยวชาญ โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมายใน 3 ภูมิภาคคือ ภาคกลาง จัดขึ้นที่ กรุงเทพฯ จ.พระนครศรีอยุธยา จ. กาญจนบุรี และ จ.เพชรบุรี ภาคใต้ จัดที่ จ.ภูเก็ต จ.สงขลา จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.นครศรีธรรมราช ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดขึ้นที่ จ.ขอนแก่น จ.อุดรธานี, จ.นครราชสีมา และ จ.อุบลราชธานี โดยจะเริ่มอบรมระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม- 9 กันยายน 2562 โดยคาดว่าจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมอบรมไม่ต่ำกว่า 5 พันราย”

โครงการ “Thai MICE Connect” มีรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะ e-MICE Marketplace ของ อุตสาหกรรมไมซ์ครั้งแรกของไทย ทำการสำรวจ วิเคราะห์และจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศตลอดทั้งห่วงโซ่อุปสงค์และอุปทานไมซ์เพื่อเป็นฐานข้อมูลไมซ์แห่งชาติและประมวลผลข้อมูลด้านไมซ์ทั้งไทยและอังกฤษเพื่อเป็นฐานข้อมูลที่เข้าถึงผู้สนใจใช้บริการทั้งในและต่างประเทศ สามารถเข้าถึงข้อมูล สินค้าบริการผู้ขาย ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมไมซ์ได้ตรงตามความต้องการสะดวกทุกที่ ทุกเวลา เป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้การจัดงานไมซ์ในประเทศไทยเพื่อตอบรับเทรนด์ไมซ์ดิจิทัล เพิ่มโอกาสและขีดความสามารถในการทำการตลาดและสามารถขยายตลาดไปยังลูกค้าในและต่างประเทศได้ครบจบในแพลตฟอร์มเดียว

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า โครงการ “Thai MICE Connect” จะเป็นแพลตฟอร์มนวัตกรรมใหม่สำหรับวงการไมซ์ไทยในการยกระดับพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้สามารถแข่งขันได้บนแพลตฟอร์มการตลาดโลกใหม่ซึ่งผู้ประกอบการต้องมีความพร้อมเรียนรู้และพัฒนาสร้างความน่าสนใจให้สินค้าและบริการเพื่อพร้อมเป็นตัวเลือกในแพลตฟอร์มรูปแบบ e – MICE Marketplace ที่จะมีการติดดาวสำหรับผู้ประกอบการที่มีความถี่สูงในการอัพเดตข้อมูลสินค้าและบริการทั้งรูปภาพ ข้อความ โปรโมชัน เพื่อให้สินค้าและบริการเป็นที่น่าสนใจ โดยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการในโครงการฝึกฝนพัฒนาธุรกิจและมีระบบที่ประเมินผลได้ด้วยตนเอง

“ทีเส็บ ยังได้พัฒนาการฝึกอบรมให้ความรู้ผู้ประกอบการในรูปแบบเวิร์คชอปทั้งความรู้ด้านการจัดเก็บข้อมูลและการทำการตลาดดิจิทัลโดยผู้ร่วมอบรมสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อนำไปดำเนินการพัฒนาต่อยอดระบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างแท้จริง”

ด้าน นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการอาวุโส สายงานพัฒนาและนวัตกรรม “ทีเส็บ” กล่าวเสริมว่า โครงการ Thai MICE Connect : e-MICE Marketplace เตรียมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 ถือเป็นแพลตฟอร์มสร้างโอกาสทางธุรกิจไมซ์กระจายทั่วถึงไปยังทุกภูมิภาคเชื่อมโลก โดยเบื้องต้นมีการรวบรวมฐานข้อมูลผู้ประกอบการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไมซ์ประมาณ 3-4 พันรายชื่อ แบ่งเป็น 58 เซ็กต์เมนต์ ใน 16 หมวดหมู่หลัก เช่น ผู้จัดงาน, อุปกรณ์สำหรับผู้จัดงาน, สถานที่จัดงาน, ที่พัก, ขนส่ง, โชว์การแสดง, แหล่งชอปปิง, หน่วยงานส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ เป็นต้น โดยคาดว่าหลังจากที่พัฒนาแพลตฟอร์ม Thai MICE Connect ได้ครบทั้งสองเฟส รวม 5 ภาคทั่วประเทศแล้วจะสามารถรวบรวมรายชื่อผู้ประกอบได้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นรายในปี 2563 พร้อมมีส่วนผลักดันให้อุตสาหกรรมไมซ์มีการขยายตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 6% ต่อปี จากเดิมที่มีการขยายตัวเฉลี่ย 5% ต่อปี

“ลาซาด้า” ชวนนักขายออนไลน์ร่วมงาน “ผ้านาข่าชุมชนอัจฉริยะออนไลน์”

“ลาซาด้า” (Lazada) ผู้นำด้านอี-คอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินหน้าส่งเสริมการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการ “ชุมชนอัจฉริยะออนไลน์” (Smart Village Online) โดยร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุดรธานี กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จัดงาน “ผ้านาข่าชุมชนอัจฉริยะออนไลน์” (Smart village online) ระหว่างวันที่ 22 – 24 กรกฎาคม 2562 เวลา 09.00–16.30 น. ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จ.อุดรธานี

ภายในงานพบกับกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจบนแพลตฟอร์ม “ลาซาด้า” อาทิ วิธีการเปิดร้านค้าออนไลน์, การสร้างคอนเทนต์แบบมืออาชีพ, การทำคูปองส่วนลด, การทำโปรโมชัน รวมถึงกิจกรรมเวิร์คชอปเทคนิคการไลฟ์เพื่อสร้างความน่าสนใจให้ผลิตภัณฑ์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญและทีมงานจาก “ลาซาด้า ประเทศไทย” ร่วมให้ความรู้

โครงการ “ชุมชนอัจฉริยะออนไลน์ (Smart village online)” เป็นโครงการส่งเสริมการนำสินค้าที่มีอัตลักษณ์ในชุมชนท้องถิ่นของประเทศไทย จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน และสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ที่ทรงคุณค่าจากภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยโครงการนี้มีต้นแบบจาก “เถาเป่า วิลเลจ โมเดล” (Taobao Village Model) สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้มีการนำร่องแห่งแรกที่ประเทศไทย ณ ชุมชนนาข่า จังหวัดอุดรธานี โดยหลังจากนี้จะดำเนินการกับอีก 4 ชุมชนต้นแบบ ได้แก่ ชุมชนด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา, ชุมชนแม่พระประจักษ์ จังหวัดสุพรรณบุรี, ชุมชนควนขนุน จังหวัดพัทลุง และชุมชนใบชา จังหวัดเชียงราย

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุดรธานี โทร 0 4224 1287

Taiwan Excellence eSport Cup Thailand

นายเจสัน ชู (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานโชว์นวัตกรรมด้านกีฬาอี-สปอร์ตและจัดการแข่งขัน “Taiwan Excellence eSport Cup Thailand” ครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งจัดโดย สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (Taiwan External Trade Development Council) หรือ TAITRA โดยมีบริษัทชั้นนำที่ผลิตอุปกรณ์ IT / ICT จากไต้หวันที่ได้รับรางวัลการันตีสินค้าคุณภาพ Taiwan Excellence Award เจ้าของแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ XPG, AVerMedia, MSI และ Transcend ร่วมแถลงข่าว พร้อมด้วยสองหนุ่มกูรูด้านอี-สปอร์ตของไทย คือ “KirosZ – วีระศักดิ์ บุญชู” (ขวาสุด) และ “VDO – ชยุตม์ ฉางทองคำ” (ซ้ายสุด) นักพากย์เกมและผู้มีประสบการณ์ในแวดวงสตรีมเมอร์และเกมเมอร์ มาร่วมตอกย้ำความสนุกของการแข่งขันเกม CS :GO ที่กำลังจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยงานแถลงข่าวจัดขึ้น ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเร็ว ๆ นี้