โอซีซี ฉลองครบรอบ 45 ปี

 กาญจนา สายสิริพร ประธานกรรมการ และ ธีรดา อำพันวงษ์ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหาร บริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน) จัดงานโอซีซีครบรอบ 4พร้อมมอบเกียรติบัตรแด่พนักงานที่ปฏิบัติงานครบ 30 ปี 20 ปี และ 10 ปี ตามลำดับ และมอบรางวัล CULTURE AWARD (คัลเจอร์ อวอร์ด) ให้กับพนักงานขายที่มีผลการทำงานดีเด่น ณ ห้องประชุมใหญ่ 101 อาคารโอซีซี เมื่อเร็ว ๆ นี้

AMOR ฉลองครบ 10 ปี แจกเค้ก 4 เมนูขายดีฟรีถึง2,000 ชิ้น!

คนรักเค้กเตรียมกรี๊ดดัง ๆ ” AMOR – อะมอร์” ใจดี ฉลองครบ 10 ปีพร้อมแจกเค้กฟรีรวม 2,000 ชิ้น! แทนคำขอบคุณและบอกรักดัง ๆ ให้คุณลูกค้าที่น่ารัก พร้อมมอบเค้กฟรี! 200 ชิ้นต่อวัน (สงวนสิทธิ์ท่านละ 1 ชิ้น) ให้คุณอร่อยกับ 4 เมนูขายดีตลอดกาลทั้ง Mille Crepe, Amor Chocolate Cake, Coconut Cake และ Strawberry Shortcake อย่าลืมติดตามสาขาที่เข้าร่วมรายการได้ทางเพจ www.facebook.com/amorbangkok

**เงื่อนไขการร่วมสนุก:

  1. เริ่มแจกตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าสินค้าจะหมด
  2. ลูกค้าสามารถรับเค้กฟรีได้ 1 ชิ้น/ท่านเท่านั้น
  3. กรณีที่ลูกค้าไม่ได้อยู่ในแถวขณะเรียกจะถือว่าสละสิทธิ์
  4. ไม่สามารถทอน เปลี่ยนเป็นเงินสด หรือเปลี่ยนเป็นรูปแบบการชำระเงินอื่น ๆ ได้
  5. บริษัทขอสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
  6. แจกเค้กฟรีรวมกันทั้งสิ้น 200 ชิ้น/วัน เฉพาะ เค้กมะพร้าว, สตรอเบอร์รี่ชอร์ทเค้ก, เค้กช็อกโกแลต และมิลล์เครป เท่านั้น
  7. เฉพาะสาขาที่ร่วมรายการ ตามวันและเวลาที่กำหนดเท่านั้น ดังนี้
    – สาขา Exchange Tower วันที่ 12 กันยายน 2561
    – สาขา Central Bangna วันที่ 15 กันยายน 2561
    – สาขา Central Rama 3 วันที่ 16 กันยายน 2561
    – สาขา Silom Complex วันที่ 19 กันยายน 2561
    – สาขา Central Rama 2 วันที่ 22 กันยายน 2561
    – สาขา Central Rama 9 วันที่ 23 กันยายน 2561
    – สาขา Sun Towers วันที่ 26 กันยายน 2561
    – สาขา Central Ladprao วันที่ 29 กันยายน 2561

ติดตามสาขาที่เข้าร่วมรายการได้ทางเพจ www.facebook.com/amorbangkok สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.0 2681 2885

สัมผัสประสบการณ์มื้อค่ำสุดหรูกับมาสเตอร์เชฟมิชลินสตาร์ Tsutomo Ito

ห้องอาหาร เดอะเครสต์ โรงแรมเคป ฟาน เกาะสมุย ขอเชิญท่านร่วมสัมผัสประสบการณ์มื้อค่ำสุดหรู “Exclusive Omakase Dinner” รังสรรค์โดยมาสเตอร์เชฟมิชลินสตาร์ Tsutomo Ito จากห้องอาหาร Miyoshi กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และได้รับ “Tabelog Award” ประจำปี 2560 และ 2561 จากเว็บไซต์รีวิวอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เนื้อวากิวรสเลิศจะได้รับการเตรียมและปรุงเป็นพิเศษโดยมาสเตอร์เชฟ Tsutomo Ito เพื่อเสิร์ฟแก่ท่านผู้เป็นนักชิมอาหารรสนิยมสูง ในราคาท่านละ 12,000 ++บาท ในวันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561 โดยจะให้บริการเพียง 2 เวลา คือ 17.30 น. และ 20.30 น. เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีแพ็คเกจสุดพิเศษห้องพักรวมอาหารค่ำ 1 มื้อ ในราคาเริ่มต้นสุทธิท่านละ 28,500 บาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงแรมเคป ฟาน เกาะสมุย โทร.0 7 760 2301-2 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์www.capecollection.com

“แลคตาซอย” ออกบูธแจกนมถั่วเหลืองสูตรไม่หวาน

นางสาวพรรวนา มหาทรัพย์ (กลาง) ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและการตลาดสัมพันธ์ บริษัท แลคตาซอย จำกัด นำทีมงานแลคตาซอย ร่วมออกบูธในงานคอนเสิร์ตใหญ่ “90’s Nonstop…เต้นไม่หยุด สุดทุกค่าย” โดยนำผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองแลคตาซอยสูตรไม่หวาน มาแจกให้กับผู้ชมคอนเสิร์ตได้เติมพลังก่อนเข้าไปเต้นมาราธอนกับหลากหลายศิลปินดังต่างค่ายในคอนเสิร์ต ณ ชาเลนเจอร์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้

[ชมคลิป] TCEB มุ่งรักษาบัลลังก์แชมป์ผู้นำไมซ์อาเซียน

ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ รายงานผลการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ 2561 พร้อมนำเสนอแผนกลยุทธ์ธุรกิจ ประจำปีงบประมาณ 2562 ภายในงาน Thailand MICE Forum 2018, Refining Our Industry ซึ่งจัดโดย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ‘ทีเส็บ’ เมื่อวันอังคารที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา ณ ห้องบางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

[ชมคลิป] ด้วยพระเมตตาของ “พ่อ” จึงก่อเกิด “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์”

alivesonline.com : จากพระราชปรารภและพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ที่มีพระราชประสงค์ให้มีสถานพยาบาล หรือโรงพยาบาลของรัฐขนาดใหญ่ระดับโรงเรียนแพทย์เกิดขึ้นที่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อให้การดูแลและให้บริการตรวจรักษาประชาชนในจังหวัดสมุทรปราการซึ่งส่วนใหญ่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อประกอบอาชีพในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในสมุทรปราการ รวมไปถึงประชาชนในจังหวัดชายฝั่งตะวันออก ตั้งแต่ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และสระแก้ว เนื่องเพราะโรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลเอกชน ประชาชนซึ่งมีรายได้น้อยจึงไม่สามารถเข้าถึงบริการของโรงพยาบาลเอกชนเหล่านั้นได้

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2560

“สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์” คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงเป็นโครงการที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 เพื่อเพิ่มวิทยาลัยการแพทย์ในจังหวัดสมุทรปราการและข้างเคียง รวมทั้งเป็นการขยายโอกาสการเข้าถึงการรักษาทางการแพทย์ของประชาชนในพื้นที่อีกด้วย

วันเวลาผ่านไปเป็นเวลาจวบ 6 ปี “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์” จึงบังเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมโดยมีอาคารต่าง ๆ ประกอบด้วย 1.โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ โรงพยาบาลและหอผู้ป่วยในขนาด 460 เตียง 2.ศาลาประชาคมและพิพิธภัณฑ์รามาธิบดี 3.ศูนย์การเรียนรู้และวิจัยเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ 4.หอพักนักศึกษาและบุคลากร 5.อาคารสันทนาการ 6.หอพักเจ้าหน้าที่ 7.พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 8.อาคารจอดรถ โดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2560

  • เร่งผลิตบุคลากรทางการแพทย์รองรับผู้ป่วย 1 ล้านรายต่อปี

แนวคิดหลักในการก่อสร้าง “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์” นอกจากให้บริการรักษาผู้ป่วยในแต่ละปี ซึ่งได้ประมาณการจำนวนผู้ป่วยนอกไว้ที่ 1 ล้านรายต่อปี และผู้ป่วยใน 1.7 หมื่นรายต่อปีแล้ว ยังเป็นสถาบันการวิจัยและพื้นที่การศึกษา โดยเฉพาะในระดับปริญญาตรีของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งคาดว่าจะมีความพร้อมในการเปิดสอนอย่างเต็มรูปแบบในปี 2564 เพื่อผลิตบัณฑิตแพทย์ปีละ 212 คน บัณฑิตพยาบาลปีละ 250 คน และบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์อื่น ๆ ปีละ 750 คน โดยมุ่งจะให้เป็นสถาบันการศึกษาที่มีสิ่งแวดล้อมและภูมิสถาปัตยกรรมที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและจินตนาการอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบแนวคิด 4E ดังนี้

1.Education Reform : เป็นการสร้างโอกาสที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จะปฏิรูประบบการศึกษาและปฏิรูปหลักสูตรใหม่ซึ่งจะสามารถทำได้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในสถานที่ใหม่ร่วมกับกรอบแนวคิดใหม่

2.Environmental Friendly : คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของบุคลากร นักศึกษา และผู้ป่วยเป็นสำคัญ โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานพร้อมสรรพ ทั้งศูนย์การเรียนรู้ที่ทันสมัยที่สุด มีระบบสารสนเทศ เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบไร้สายครอบคลุมทั้งบริเวณ มีการออกแบบหอพักให้มีความน่าอยู่ โล่ง โปร่ง ไม่แออัดและใกล้ชิดกับธรรมชาติ มีอาคารนันทนาการเพื่อการพักผ่อนและออกกำลังกาย เพื่อให้ครูและศิษย์อาศัยอยู่ใกล้ชิดกันอย่างมีความสุข ก่อให้เกิดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นชุมชนของปัญญาชน และเป็นแหล่งเพาะบ่มปัญญาและการเรียนรู้อย่างแท้จริง

3.Energy Saving : ภูมิสถาปัตยกรรมของ “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์” เน้นความเป็นมิตรและกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม เช่น มีการบำบัดน้ำเสียและนำมาใช้ประโยชน์ใหม่ การจัดศูนย์ Power Plant ไว้อย่างเป็นสัดส่วนปราศจากเสียงรบกวนและควันพิษ การออกแบบทางคนเดินควบคู่กับถนน สนับสนุนให้มีการสัญจรโดยรถจักรยานและไม่อนุญาตให้มีการใช้จักรยานยนต์ เป็นต้น

4.Excellent Living and Working Condition : คำนึงถึงการประหยัดพลังงาน โดยมุ่งอาศัยพลังงานทางเลือกเข้ามาร่วมให้มากที่สุด

  • ย้อนที่มาโครงการทางการแพทย์ 5 หมื่นล้านบาท

กว่าจะถึงวันนี้ของ “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์” โรงพยาบาลขนาดใหญ่ จำนวน 460 เตียง บนพื้นที่ 319 ไร่ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นั้น ผู้ใช้เฟซบุ๊กนาม “เวหา จักรพยุหะ” ได้โพสต์ไว้ว่า

“…จากโครงการลูกพระดาบส ถ.สุขุมวิท ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ที่ “พ่อ” ในหลวงรัชกาลที่ ๙ สร้างไว้บนเนื้อที่ 400 กว่าไร่ เพื่อให้ลูกหลานคนไทยที่ยากจนได้มาฝึกเรียนวิชาชีพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรไร่นาสวนผสม ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างยนต์ ช่างไฟฟ้า ช่างอิเล็กทรอนิกส์ ช่างเชื่อม ช่างซ่อมบำรุง และเคหะบริบาล (ดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล) ทุกคนกินฟรี อยู่ฟรี มีเงินเดือน เมื่อเรียนจบแล้วสามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพได้ทันที

วันหนึ่งเมื่อประมาณสัก 10 ปีที่ผ่านมา วันนั้น พ่อนั่งดูผืนน้ำ ผืนดิน รอบ ๆ โครงการลูกพระดาบส พ่อเห็นภาพของลูกหลานที่เจ็บป่วย พ่อเห็นภาพของการจราจรที่คับคั่ง พ่อคงถามตัวเองว่า ลูกหลานของพ่อที่อยู่ในแถบนี้คงลำบากยากเย็นไม่น้อยต่อการที่จะหอบหิ้วกันไปหาหมอในโรงพยาบาลที่อยู่ในกรุงเทพฯ สิ่งนี้คงทำให้พ่อคิดและคิดว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่สักแห่ง เพื่อดูแลลูกหลานที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ ขณะที่ลูกหลานที่อยู่ที่แปดริ้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี และสระแก้ว ก็จะได้มาหาหมอกันที่นี่ด้วยโดยไม่ต้องเดินทางไปถึงกรุงเทพฯ

พ่อได้บอกกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า “ให้ไปลองคิดหาวิธี”

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงทรงเล่าเรื่องนี้ให้กับคณะแพทย์ พยาบาลและบุคคลากรของโรงพยาบาลรามาธิบดี แล้วให้นำไปคิดเป็นการบ้านว่า จะสร้างโรงพยาบาลรามาธิบดีอีกสักแห่งที่จังหวัดสมุทรปราการได้หรือไม่

ทุกคนใช้เวลาปรึกษาหารือกันเกือบหนึ่งปี จึงกราบทูลกับสมเด็จพระเทพฯ ว่า สามารถทำได้ จากนั้นจึงเริ่มจากการหาทุน หางบประมาณ ขอรับบริจาค ด้วยเป้าหมายค่าก่อสร้าง ค่าอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์กับงบประมาณที่ตั้งไว้ 7 พันล้านบาท เมื่อ 7-8 ปีก่อน โดยเริ่มจากการเช่าที่ดินราชพัสดุ ณ ต.บางปลา อ. บางพลี จ.สมุทรปราการ จึงเริ่มลงมือก่อสร้าง แต่ในที่สุดการดำเนินการทั้งปวงได้ทำให้เห็นว่า จะต้องใช้เงินมากเกือบ1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อจะได้โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดของประเทศไทย และที่นี่จะเป็นโรงเรียนแพทย์สำหรับนักศึกษาแพทย์รามาธิบดีทั้งหมด

แต่ที่ผ่านมา คนสมุทรปราการเกือบทั้งหมดไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อนเลย…”

  • ให้ทุกครั้งของการกดโทรศัพท์มือถือ เป็นมากกว่าการติดต่อสื่อสาร

ล่าสุด มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมทั้ง 5 เครือข่าย ได้แก่ AIS, CAT, DTAC, TOT และ TRUE เปิดช่องทางใหม่ในการบริจาคผ่านโทรศัพท์มือถือ ผ่านโครงการ “กด=ต่อชีวิต” (กด เท่ากับ ต่อชีวิต) เพื่อนำรายได้จากการบริจาคทั้งหมดสมทบทุนการซื้อเครื่องมือแพทย์ “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์”

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า ปัจจุบัน “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์” เปิดให้บริการในส่วนคลินิกในเวลาและนอกเวลา อาทิ กุมารเวชกรรม จิตเวช จักษุวิทยา หน่วยเวชศาสตร์ฟื้นฟู หน่วยโรคกระดูกและข้อ อายุรกรรม เป็นต้น พร้อมกันนั้นยังเปิดให้บริการในส่วนคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ สูติ-นรีเวช โดยมีผู้ป่วยนอกเข้ารับบริการเฉลี่ยวันละ 300–350 ราย

ขณะนี้ได้มีการย้ายผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องนอนพัก (Admit) จากแผนกอุบัติเหตุและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลรามาธิบดี (พระราม 6) ไปรับการรักษาที่ “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์” จำนวนหนึ่ง โดยมีแผนที่จะนำผู้ป่วยที่รอคิวนานในการผ่าตัด หรือผู้ป่วยที่รอคิวทำอัลตราซาวด์, CT Scan (ซีที สแกน) และ MRI Scan (เอ็มอาร์ไอ) ไปที่ “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์” เช่นกัน โดยคาดว่าเมื่อเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบกลางปี 2562 จะสามารถดูแลผู้ป่วยได้มากกว่า 1 ล้านรายต่อปี

ทางด้าน นางสาวพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า มูลนิธิรามาธิบดีฯ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการระดมทุน โดยได้รับความร่วมมือและน้ำใจจากภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปมาตลอดระยะเวลากว่า 49 ปี โดยมูลนิธิฯ ได้นำเงินบริจาคที่ได้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยผ่านโครงการ ๆ ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี อาทิ ทุนค่ารักษา ทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ งบสร้างอาคารสถานที่ เป็นต้น

ในขณะนี้ ยังมีรายการจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่จำเป็นและสำคัญต่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดำเนินโครงการนี้สามารถไปสู่เป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์ โดยในส่วนของการระดมทุนเพื่อก่อสร้างโครงการ “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์” นั้น มูลนิธิรามาธิบดีฯ ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2555 ผ่านการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นภายใต้แนวคิด ‘คำว่าให้…ไม่สิ้นสุด’ โดยมีกิจกรรมและช่องทางการประชาสัมพันธ์ที่น่าสนใจ ทันสมัย และเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน และศิลปินดาราจิตอาสามากมาย เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ให้มาร่วมบริจาค ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ กิจกรรมการกุศลหลากหลายรูปแบบบนสื่อต่าง ๆ การจำหน่ายของที่ระลึกที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ผู้มีชื่อเสียง รวมถึงสติกเกอร์ไลน์ฝีมือศิลปินระดับประเทศเพื่อให้การบริจาคเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย

สำหรับโครงการ “กด=ต่อชีวิต” (กด เท่ากับ ต่อชีวิต) เป็นความร่วมมือครั้งสำคัญจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ 5 ค่าย ได้แก่ AIS, CAT, DTAC, TOT และ TRUE ที่พร้อมใจกันสนับสนุนมูลนิธิรามาธิบดีฯ เปิดช่องทางใหม่ในการบริจาคผ่านทางมือถือ เพียงกดรหัส *948*1111*100# แล้วกดโทรออกก็สามารถร่วมบริจาคครั้งละ 100 บาท ได้ทั้งระบบรายเดือนและเติมเงิน (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

นอกจากนี้ยังสามารถบริจาคสมทบทุนได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ บัญชีกระแสรายวัน สาขารามาธิบดี เลขที่บัญชี 026-3-05216-3  ธนาคารกรุงเทพ บัญชีกระแสรายวัน สาขาศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ (รพ.รามาธิบดี) เลขที่บัญชี 090-3-50015-5 เข้าชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ramafoundation.or.th หรือ โทร. 02 201 1111

ณ วันนี้ “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์” จึงมิได้เป็นเพียง “การเติมเต็มความหวัง” ของประชาชนไทยที่จะได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิต แต่ยังเป็น “โอกาสทอง” ของบุคลากรรามาธิบดีที่จะใช้ความสามารถและศักยภาพที่มีอยู่ร่วมกันเป็นพลังที่จะก่อให้เกิดคุณูปการแก่สังคมไทยอย่างเต็มภาคภูมิ

“สิงห์ เอสเตท” เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวอัลตราลักซ์ชัวรี่

alivesonline.com : “สิงห์ เอสเตท” เปิดตัว โครงการ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ที่สุดแห่งความเอ็กซ์คลูซีฟของบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรี่อย่างเป็นทางการด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 6 พันล้านบาท ในทำเลสุดศักยภาพบนถนนประดิษฐ์มนูธรรม บนเนื้อที่โครงการกว่า 45 ไร่ ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงกับสังคมคุณภาพที่มีความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนเพียง 25 หลัง ในราคาเริ่มต้น 245 ล้านบาท

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” คือโครงการแนวราบโครงการแรกของ สิงห์ เอสเตท มีมูลค่าโครงการสูงถึง 6 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่เอ็กซ์คลูซีฟที่สุดเทียบกับโครงการระดับเดียวกัน ถือเป็นก้าวสำคัญของ “สิงห์ เอสเตท” ในการก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียม อีกทั้งยังเป็นการตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าครอบคลุมทั้งโครงการแนวสูงและแนวราบในระดับลักซ์ชัวรี่จนถึงอัลตราลักซ์ชัวรี่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดของที่อยู่อาศัยเพื่อความสุขครอบครัว

สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรี่นั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่ายังมีความต้องการจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยในส่วนของ “สิงห์ เอสเตท” ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอดเช่นกัน จึงเชื่อว่า โครงการ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” จะทำให้ บริษัทฯ ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำตลาดที่พักอาศัยระดับบนสุดอย่างแท้จริง

นายนริศ เชยกลิ่น (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) และนายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)

ด้าน นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมตลาดบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา และเติบโตเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี 2559 ซึ่งมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับจำนวนโครงการต่าง ๆ ในตลาดที่ยังมีน้อย โดยส่วนมากมักเป็นบ้านเดี่ยวแนวสูงที่อยู่ใจกลางเมือง หรือบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณชานเมือง ซึ่งอาจยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ดังนั้นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่และอยู่ในบริเวณรอบใจกลางเมืองจึงน่าจะเป็นสิ่งที่เติมเต็มในจุดนี้ได้

โครงการ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดกว่า 45 ไร่ ติดถนนประดิษฐ์มนูธรรม ซึ่งเป็นทำเลที่เรียกได้ว่ามีศักยภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ในขณะนี้ เพราะนอกจากจะเป็นย่านที่ใกล้เมือง มีสภาพแวดล้อมที่ดีแล้ว ยังรายล้อมด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และโรงเรียนชื่อดัง อีกทั้งยังเป็นทำเลที่การคมนาคมสะดวกเพราะใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน และมีแผนที่จะพัฒนารถไฟฟ้าในอนาคตอีกด้วย

“เราใช้เวลาในการพัฒนาโครงการมานานเกือบ 4 ปี โดยเริ่มตั้งแต่การทำวิจัยร่วมกับกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อสูงเพื่อหาข้อมูลเชิงลึกว่าความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างไร ซึ่งเราพบว่าลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวอย่างมาก ทั้งยังมีประสบการณ์ในการซื้อและอยู่บ้านที่มีระดับราคาสูง หรือสร้างบ้านของตัวเองมาก่อนแล้ว จึงค่อนข้างใส่ใจในเรื่องรายละเอียดที่ลึกซึ้งและต้องการบ้านที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้จริง ๆ”

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า แนวคิดหลักของโครงการ ฯ คือ “CONNOISSEUR OF PLEASANT LIVING” หรือ “ลึกซึ้งถึงทุกรายละเอียดความสุข” ทำให้บริษัทฯ ตั้งใจทำบ้านเดี่ยวที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด ด้วยจำนวนบ้านทั้งโครงการเพียง 25 หลัง โดยบ้านแต่ละจะปลูกสร้างอยู่บนที่ดินขนาดไม่น้อยกว่า 1 ไร่ โดยมีพื้นที่กว่า 15 ไร่เป็นพื้นที่ส่วนกลางโดยสร้างทัศนียภาพและสภาพแวดล้อมที่ดี ใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การคัดเลือกสายพันธุ์ต้นไม้ที่เหมาะสมกับภูมิอากาศและฤดูกาลต่าง ๆ ให้ความสวยงามและความร่มรื่นตลอดทั้งปี

“สำหรับตัวบ้านเราไม่ได้มองแค่ความสวยงามภายนอกแต่เพียงอย่างเดียว แต่เราต้องการให้บ้านเป็นบ้านที่อยู่สบายตลอดทั้งวันและทุกฤดูกาล เราจึงเลือกที่จะนำรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ LUXURY MODERN TROPICAL มาใช้กับโครงการนี้ เพราะเป็นการออกแบบที่เน้นความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีความทันสมัยและโก้หรู และมีความเหมาะสมกับภูมิอากาศแบบร้อนชื้นของประเทศไทย บ้านทุกหลังหันหน้าทิศเหนือ-ใต้ มีการนำกระจกบานใหญ่พิเศษเข้ามาเป็นส่วนประกอบของบ้าน เพื่อเปิดรับความเป็นธรรมชาติเข้าสู่ภายใน ทำให้บ้านได้รับแดดและลมในเวลาที่เหมาะสม มีการระบายอากาศที่ดี เรียกได้ว่ามีทั้งความหรูหราและอยู่สบายในเวลาเดียวกัน”

นายณัฐวุฒิ กล่าวในตอนท้ายว่า ในส่วนของฟังก์ชั่นภายในบ้านมีแบบบ้านมาตรฐาน 3 แบบและมีคาแร็กเตอร์ของฟังก์ชั่นที่ต่างกัน โดยลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าต้องการบ้านแบบไหน บนที่ดินแปลงใด นอกจากนั้นหากลูกค้าต้องการปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยภายในจากฟังก์ชั่นมาตรฐาน บริษัทฯ ยังยินดีจะทำให้โดยขอควบคุมความสวยงามภายนอก เพื่อให้ลูกค้าได้บ้านที่ตรงกับความต้องการแต่สิ่งแวดล้อมภายในโครงการยังสวยงามซึ่งถือเป็นความแตกต่างที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่จะซื้อบ้านในระดับราคานี้

 

EPG โชว์งบ Q1 ปี 61/62 รับรายได้กว่า 2.6 พันล้านบาท

alivesonline.com : EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก มั่นใจปัจจัยบวกหนุนเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เผยช่วงไตรมาสแรก ปี 61/62 รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% พร้อมกำไรสุทธิ 305 ล้านบาท เดินหน้าขับเคลื่อน 4 ธุรกิจหลัก หวังยอดขายเพิ่มขึ้น

10-15%

รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า จากข้อมูลบทวิเคราะห์เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังของหลายสำนักมองว่าการค้าโลกขยายตัว อัตราการว่างงานต่ำ ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แม้จะมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ และมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ส่วนเศรษฐกิจในประเทศมีภาวะการส่งออกเติบโตที่ดี มีการปรับเพิ่มประมาณการยอดผลิตรถยนต์จาก 3% เป็น 5% ขณะที่รายได้ครัวเรือนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแต่ยังคงต้องนำไปชำระหนี้จึงเป็นอุปสรรคต่อการใช้จ่าย

สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 61/62 (เม.ย.61–มิ.ย.61) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,623 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,382 ล้านบาท จำนวน 241 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 305 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 287 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 29% ซึ่งบริษัทฯ สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ในส่วนของธุรกิจ EPG ซึ่งทำธุรกิจในตลาดโลก ตระหนักถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการดำเนินงานในภาพรวม จึงใช้กลยุทธ์ในการขยายตลาดต่างประเทศและมุ่งเน้นพัฒนาสินค้านวัตกรรมสร้าง New S-Curve รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสินค้าเพื่อลดต้นทุน โดยแนวโน้มธุรกิจของ EPG ต่อจากนี้ยังคงขับเคลื่อนด้วย 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น 2.ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ 3.ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก และ 4.ธุรกิจร่วมทุน ทั้งนี้หากธุรกิจในกลุ่มใดชะลอตัวยังมีกลุ่มอื่น ๆ สนับสนุน โดยในปี 2561 ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายเติบโตประมาณ 10-15%

รศ.ดร.เฉลียว กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มีปัจจัยส่งเสริมการเติบโตจากตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น มีความต้องการใช้งานผลิตภัณฑ์ Aeroflex สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ได้ลงทุนปรับปรุงไลน์การผลิตในสหรัฐอเมริกา โดยใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูง เนื่องจากเห็นโอกาสการเติบโตในสหรัฐอเมริกาจากความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงต้องการลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต และจะทยอยปรับปรุงไลน์การผลิตใหม่เพิ่มเติมในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า ขณะที่ในสำหรับประเทศไทยได้ลงทุนขยายโรงงานใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2562

ส่วนธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ Aeroklas ยังเติบโตได้ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทพื้นปูกระบะ (Bed Liner) หลังคาครอบกระบะ (Canopy) และบันไดข้างรถกระบะ (Sidestep) ที่มีความต้องการใช้สูงขึ้นตามการขยายตัวของตลาดรถยนต์

แบรนด์ Aeroklas ยังได้นำผลิตภัณฑ์พื้นปูกระบะ (Bed Liner) ไปขยายตลาดในต่างประเทศ ทั้งในประเทศมาเลเซีย และจีน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีแผนนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์บันไดข้างรถกระบะ (Side Step) ซึ่งออกแบบใหม่ให้กับบริษัทรถยนต์ 2.ผลิตภัณฑ์เดิมของ Aeroklas แต่ออกรุ่นใหม่ ๆ เพิ่มเติม 3. E-Z Up and down ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้การเปิดปิดท้ายรถกระบะง่ายขึ้นเมื่อเปิดจะไม่กระแทกและเมื่อปิดสามารถผ่อนแรง 4. ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ทยอยออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

ส่วน TJM Products Pty.Ltd (TJM) และ Flexiglass Challenge Pty.Ltd (Flexiglass) ซึ่งเป็นช่องทางจัดจำหน่ายที่สำคัญของ Aeroklas มีการขยายตลาดในประเทศออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน TJM มีสาขา (Corporate Store) ในประเทศออสเตรเลีย 3 แห่ง ตั้งอยู่ที่ Perth 2 แห่ง และ Brisbane 1 แห่ง ทำให้มีร้านค้าภายใต้แบรนด์ TJM จำนวน 64 แห่ง ในขณะที่ Flexiglass มีสาขา (Corporate Store) 5 แห่ง และช่องทางการจัดจำหน่ายกว่า 100 แห่ง ในประเทศออสเตรเลีย

รศ.ดร.เฉลียว ยังกล่าวถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP ว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา EPP ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตโดยใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูง จึงทำให้ปัจจุบันมีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ อีกทั้ง EPP ได้รับการรับรองมาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัยทางด้านอาหารจากองค์กรชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก จึงได้นำจุดแข็งเหล่านี้มาใช้เป็นเครื่องมือผลักดันธุรกิจ โดยใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น และเริ่มรุกตลาดส่งออกและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดค้าปลีกที่ยังฟื้นตัวได้ช้า รวมถึงเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ โดยภายในปีนี้จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ประมาณ 4-5 กลุ่มผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อาหาร (Food Packaging) แบบใหม่จำนวนมาก

APCO ปรับกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้า

alivesonline.com : APCO เผยแนวโน้ม Q3/61 สดใส รับรู้รายได้พันธมิตรจีนเพิ่ม ยอดรวม 8.1 ล้านบาท ขณะที่โครงการ Dropship ดันยอดขาย LIV เพิ่ม 10% ต่อเดือน คาดกลยุทธ์เพิ่มยอดขายผ่านสมาชิก กระแสตอบรับดีเห็นผลชัดเจน Q4/61

ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงามด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิต และจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจของบริษัทฯ ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2561 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศจีน ปัจจุบันรับรู้รายได้เพิ่มจำนวน 3.6 ล้านบาท รวมเป็นจำนวน 8.1 ล้านบาท และจะเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 4 ขณะที่การจำหน่ายตรงไปถึงผู้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น มียอดคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง

สำหรับโครงการ APCO Dropship มียอดสมาชิกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ LIV สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS มียอดขายเพิ่มขึ้น 10% ต่อเดือน ขณะที่การปรับกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้า คาดว่าจะได้กระแสตอบรับที่ดีจากสมาชิก และจะเห็นผลชัดเจนในช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไป

ศ.ดร.พิเชษฐ์  กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้า โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกแนะนำผู้ที่สนใจเข้าร่วมดำเนินธุรกิจผ่านศูนย์ BIM Health Center (BHC) ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการดูแลสุขภาพ จําหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม โดยผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์จาก BHC จะเป็นสมาชิกโดยอัตโนมัติ ที่ผ่านมาสมาชิก BHC มีความพึงพอใจในประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และมีการบอกต่อเป็นจำนวนมาก ทางบริษัทจึงอยากตอบแทนความไว้วางใจของสมาชิก โดยการให้สิทธิเป็น BIM100 Advisor รับสมนาคุณ 20% ของยอดที่แนะนำ และหากต้องการแนะนำผลิตภัณฑ์ในเชิงธุรกิจ สมาชิกจะได้รับสิทธิเป็น BIM Dropshipper รับสมนาคุณเพิ่มอีก 5-10% เมื่อมียอดรวม 50,000 บาทขึ้นไป ขณะที่ช่องทาง Asian Life Direct Service ก็ได้ปรับกลยุทธ์ไปในทิศทางเดียวกัน จึงเชื่อว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะผลักดันให้รายได้ในปีนี้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้

ส่วนผลประกอบการครึ่งแรกปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 178.62 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 199.67 ล้านบาท จำนวน 21.05 ล้านบาท หรือลดลง 10.54% ขณะที่กำไรสุทธิมีอัตราการลดลงน้อยกว่าที่ 2.90% หรือลดลงเพียงจำนวน 1.31 ล้านบาท จาก 45.16 ล้านบาท เหลือ 43.85 ล้านบาท

“ตลาดหลักทรัพย์ฯ” ปลูกฝังเยาวชนเรื่องการออม

นายกฤษฎา เสกตระกูล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความรู้ตลาดทุนและหัวหน้าสายงานพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้อนรับคณะอาจารย์และผู้แทนเยาวชนจาก 15 โรงเรียนในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน 90 คน ที่มาร่วมแข่งขันทดลองการลงทุนและเล่นเกมจำลองซื้อขายหุ้นเสมือนจริง ต่อยอดการปลูกฝังเรื่องการออมและการวางแผนการเงิน ตั้งแต่ระดับเยาวชนผ่านโครงการ  “INVESTORY Mobile Exhibition on School 2018” ปี 3 ณ พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน (INVESTORY) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย