อย่าแชร์! ลดน้ำหนัก 10 กก. ด้วยไข่ต้ม ภายใน 14 วัน

alivesonline.com : ตามที่มีข้อความชวนเชื่อเรื่อง “ไข่ต้มทำให้น้ำหนักลงได้ถึง 10 กิโลกรัม ภายใน 14 วัน” นั้น

สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวที่นำเสนอนั้นมีเพียงบางส่วนที่เป็นความจริง เนื่องจากไข่ต้มไม่ใช่ตัวการหลักในการช่วยลดน้ำหนัก ซึ่งจากเมนูต่าง ๆ ที่แนะนำในข้อความดังกล่าวนั้นเป็นเมนูที่มีไขมันน้อยกว่าปกติ เช่น ไข่ต้ม ไก่ต้ม ปลานึ่ง สลัดผัก เป็นต้น และวิธีการปรุงประกอบแทบไม่ใช้ไขมันเลย จึงทำให้น้ำหนักลดลงได้ โดยการลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ภายใน 14 วัน ถือว่ารวดเร็วเกินไป อาจจะทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายเสีย และเกิดปัญหา “โยโย่เอฟเฟกต์” ตามมาได้

การลดน้ำหนักที่ถูกต้องไม่ควรเกิน 2–4 กิโลกรัมต่อเดือน หลักสำคัญคือต้องบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ มีหลากหลายและมีปริมาณที่เพียงพอ เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ลดหวาน มัน เค็ม การปรุงรส และร่วมกับการออกกำลังกายอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ วันละ 30 นาที

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสาร สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่ nutrition.anamai.moph.go.th

มัดรวม “14 เมนูเด็ดจากมาม่า” อร่อยไม่ซ้ำใคร

alivesonline.com : ในสถานการณ์ปกติ ถ้าวันไหนเราอยากกินอาหารที่ชอบก็แค่ขับรถออกไปกินที่ร้าน หรือออกไปซื้อวัตถุดิบมาทำให้หนำใจ แต่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 แบบนี้ ทุกคนจำเป็นต้องกักตัวอยู่บ้าน ทำงานแบบ Work From Home จะออกจากบ้านเมื่อจำเป็นเท่านั้น แต่อยู่บ้านนาน ๆ เข้า หลายคนอาจจะพาลเบื่อเมนูอาหารซ้ำ ๆ

“มาม่า” เลยไปรวบรวมเมนูเด็ด ๆ แหวก ๆ ที่แฟนคลับคนรัก “มาม่า” ครีเอทกันมา เผื่อจะเป็นไอเดียเอาไว้ทำกินกันในช่วงกักตัว ทำตามวันละเมนูก็ได้ 14 วัน รับรองอาการเบื่ออาหารจะหายไป กลายมาเป็น “เอ็นจอยอีทติ้ง” ใครมีหัวการค้า ฝีมือดี ๆ อาจจะเอาไปประยุกต์ต่อยอดทำขายได้เลย

 

ลองไปดูกันว่า 14 เมนูที่มาม่าคัดมาว่าเด็ดมีอะไรบ้าง

1.มาม่าผัดพริกหอมพร้อมสหายหมูกรอบ เมนูนี้มีพริกหอมเป็นพระเอก เอามาผัดกับเส้นมาม่า นางเอกคือหมูกรอบชิ้นพอคำ ที่ใส่ลงไปแบบแน่นๆ กัดเมื่อไหร่กรอบเมื่อนั้น โปะหน้าด้วยไข่ต้มยางมะตูม เพิ่มความฟินเข้าไปอีก

2.มาม่าคั่วไก่แซ่บ ถ้าอยากกินแซ่บ ๆ ต้องเมนูนี้ ใช้พริกแกงคั่วที่ทำจากเครื่องแกงเผ็ด อุดมไปด้วยสมุนไพรอย่างตะไคร้ ใบมะกรูด พริกไทยอ่อน ข่า ผัดให้หอมแล้วใส่ไก่ลงไปผัด ตามด้วยเส้นมาม่าที่ลวกแล้ว แค่นี้แซ่บถึงใจ

3.มาม่ายามเย็น เมนูนี้เจ้าของไอเดียใช้ผักที่ปลูกเองมาเป็นวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นต้นหอม หรือกวางตุ้ง แล้วเพิ่มปูอัด และไข่เจียวหั่นฝอยเข้าไป โรยหน้าด้วยงา แค่นี้ก็ได้มื้อเย็นอร่อย ๆ ให้ทานอิ่มท้องแล้ว

4.มาม่าไส้อั่วกะเพรา เป็นอีกเมนูแซ่บของคนชอบรสจัด ใครมีฝีมือจะทำไส้อั่วเองก็ทำ หรือจะซื้อไส้อั่วเจ้าโปรดก็ได้ หั่นชิ้นพอคำ นำลงไปผัดกับเส้นมาม่า ใส่พริกขี้หนูทุบ ใส่มากใส่น้อยเอาตามดีกรีความแซ่บที่ชอบ แล้วตามด้วยใบกะเพรา

5.มาม่าไข่มดแดงยอดผักหวาน เจ้าของไอเดียบอกว่าเป็นเมนูชั้นสูง แน่ล่ะ ! เพราะกว่าจะได้ไข่มดแดงมาต้องปีนขึ้นไปสอยจากต้นไม้สูง ๆ เมนูนี้เด็ดที่วัตถุดิบ จึงไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ทำไข่มดแดงให้สุก รองจานด้วยยอดผักหวาน ปรุงรสซะหน่อย แค่นี้ก็ได้ทั้งโปรตีนและวิตามินครบ

6.เมี่ยงมาม่าพริกหนุ่ม ใครคิดว่ามาม่าทำเมี่ยงไม่ได้ มาดูเมนูนี้เลย ทำก็ง่าย แค่ใช้ผักกาดแก้วที่หั่นชิ้นพอคำ ตามด้วยเส้นมาม่าลวก ท็อปปิ้งด้วยน้ำพริกหนุ่ม แตงกวา และหมูทอดเจียงฮายชิ้นพอคำ อร่อยอย่าบอกใคร

7.มาม่ากรอบราดหน้าผักแขนง เอาเส้นมาม่าไปลวกแล้วนำไปทอดให้กรอบพักรอไว้ แล้วไปทำน้ำราดหน้า ใส่ผักแขนง เพิ่มโปรตีนด้วยลูกชิ้นปลา หรือจะเปลี่ยนเป็นเนื้อสัตว์ชนิดอื่นก็ได้ไม่ว่ากัน แล้วแต่ชอบเลย

8.มาม่าซ่อนกุ้ง เมนูนี้มากับคอนเซ็ปต์ว่า ความอุดมสมบูรณ์แห่งทะเลอันดามัน อาจดูเหมือนไม่มีอะไร จุดขายก็แค่กุ้งตัวโต ๆ แต่อย่าสบประมาทไป เพราะในกุ้งมีขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ นั่นก็คือ เนื้อกุ้งผัดเนยและเส้นมาม่าเหนียวนุ่มนั่นเอง กินแล้วเข้ากันซะไม่มี

9.มาม่าผัดกะปิสามชั้น เส้นเหนียวนุ่มของมาม่าที่คลุกเคล้าด้วยเครื่องกะปิที่ประกอบด้วยหอมแดง กระเทียม พริกตำ และกะปิ ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ผัดให้ความเค็มจากกะปิหมูสามชั้นเคลือบเส้นให้ทั่ว ตามด้วยพริกขี้หนูทั้งเม็ด เวลากินก็ลุ้นไปว่าจะกินโดนหมูสามชั้น หรือพริกลูกโดดที่ซ่อนไว้

10.มาม่าแกงเผ็ดเป็ดย่าง น้ำแกงเผ็ดจากแกงไก่ที่เหลือคือของมีค่า อย่าทิ้ง! เพราะนี่คือวัตถุดิบสำคัญของเมนูนี้ เพียงแค่ลวกเส้นมาม่าใส่ลงไปในน้ำแกง แล้วหาเป็ดย่างที่เหลือจากข้าวหน้าเป็ดมากินคู่กัน แค่นี้ก็ฟินแล้ว

11.มาม่าติ่งจังกึม เมนูนี้ได้ไอเดียมาจากการเป็นติ่งหนังเกาหลีของคนทำ แค่ใส่กิมจิลงไปต้มกับมาม่า แล้วเอาเบค่อนมาใส่ตามใจชอบ โรยด้วยหอมเจียว ใส่เนื้อไก่เข้าไปอีกนิด ฟินประหนึ่งเหมือนกินอยู่ที่เกาหลีเลยทีเดียว

12.มาม่าต้มยำกุ้งผัดปลาร้า ปลาร้าไม่ได้มีไว้ใส่ส้มตำ หรือแกงลาวเท่านั้น ใครจะเอาปลาร้ามากินกับมาม่าก็ไม่ผิดกติกา เหมือนกับเมนูนี้ที่เจ้าของไอเดียเขาเอามาม่ารสต้มยำกุ้งไปผัดใส่ไข่ กุ้ง หมูยอ เพิ่มผักที่ชอบ และเติมน้ำปลาร้าเข้าไปสักนิด นัวมากพูดเลย

13.มาม่าผัดพริกอ่อง น้ำพริกอ่องประจำขันโตกเอามามิกซ์กับมาม่าก็เข้าท่าดี แค่เอามะเขือเทศยี ๆ ผัด ๆ เคี่ยว ๆ กับหมูสับและพริกแห้ง ปรุงรสตามชอบ แล้วลวกเส้นมาม่าพอกรุบ ๆ ลงไปผัดคลุกเคล้ากับน้ำพริก โปะด้วยไข่ต้มยางมะตูม ใครรักอาหารเหนือ ชามเดียวไม่พอ

14.มาม่าน้ำพริกอ่องแคปหมู แทนที่จะเอาเส้นมาม่าลงไปคลุกในน้ำพริกอ่อง ลองทำอีกแบบหนึ่งคือ ให้เส้นมาม่าเป็นเหมือนข้าวสวย แล้วตักกับข้าวซึ่งก็คือน้ำพริกอ่องมาโปะบนเส้น กินคู่กับแคปหมูกรอบ ๆ อร่อยไปอีกแบบ

ใครถูกใจเมนูไหน มีวัตถุดิบอะไรอยู่ที่บ้านก็ลองทำกันดู ทำวนไปรับรองไม่เบื่อ.

ขอบคุณข้อมูลจากเพจ “มาม่าปลิดชีพ”

“ออมสิน” เปลี่ยนเวลาเปิดสาขา ถึงวันที่ 30 เม.ย.63

alivesonline.com : ธนาคารออมสิน แจ้งปรับเปลี่ยนเวลาเปิดให้บริการสาขาเป็นกรณีพิเศษ ในช่วงที่ไวรัส COVID-19 แพร่ระบาด เฉพาะสาขาที่เปิดบริการ 5 วัน เป็นเวลาเดียวกัน 09.00-15.00 น. ระหว่างวันที่ 16-30 เม.ย.63

ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชน การทำธุรกรรม การปฏิบัติงาน ตลอดจนการดำเนินชีวิตประจำวัน ขณะที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการเยียวยา ช่วยเหลือ รวมทั้งการปรับปรุงการให้บริการและดูแลประชาชนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดตามสถานการณ์ ซึ่ง ธนาคารออมสิน มีภารกิจให้บริการทางการเงินตามปกติและในสถานการณ์ปัจจุบันได้ดูแลอำนวยความสะดวกประชาชนให้เข้าถึงบริการทางการเงินตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีช่องทางการให้บริการต่าง ๆ เช่น สาขา, แอปพลิเคชัน MyMo, เครื่องให้บริการอิเล็กทรอนิกส์, อินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง เป็นต้น อีกทั้งต้องให้บริการภายใต้มาตรการรักษาความปลอดภัยของการเสี่ยงติดเชื้อด้วย โดยในส่วนของสาขาธนาคารออมสินนั้น ได้ปรับเปลี่ยนเวลาตามความเหมาะสมให้สอดคล้องกับประกาศของรัฐบาล กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 สาขาของธนาคารออมสินที่เปิดให้บริการ 5 วันต่อสัปดาห์นั้น ปัจจุบันมีเวลาเปิด-ปิดให้บริการไม่พร้อมเพรียงกัน ซึ่งเกิดจากปริมาณการทำธุรกรรมและความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ เช่น สาขาในตลาดสด ในพื้นที่ศูนย์ราชการ ย่านการค้า เป็นต้น รวมถึงสาขาที่เพิ่งแจ้งปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิดเพื่อให้เป็นไปตามประกาศของรัฐบาล ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้บริการสับสน ธนาคารออมสิน จึงขอปรับเปลี่ยนเปิด-ปิดสาขาที่เปิดให้บริการ 5 วันต่อสัปดาห์เป็นกรณีพิเศษ ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 และให้เป็นเวลาเดียวกันทั้งหมด คือ เปิดให้บริการวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 09.00-15.00 น. ตั้งแต่วันที่ 16-30 เมษายน 2563

อย่างไรก็ตาม ลูกค้ายังคงสามารถใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบออนไลน์ต่าง ๆ ของธนาคารฯ ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ได้ขอความร่วมมือให้ยกเว้นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเดินทาง เพื่อใม่ให้การแพร่ระบาดขยายไปในวงกว้างและเป็นการร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมอีกด้วย

“ทีเส็บ” เร่งยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์สู้ COVID-19

alivesonline.com : “ทีเส็บ” เปิดโครงการ Virtual Meeting Space นำเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาสนับสนุนให้ผู้ประกอบการยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์เข้าสู่ยุคการประชุม/นิทรรศการออนไลน์ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของอุตสาหกรรมไมซ์ในภาวะการปิดเมืองทั่วโลก พร้อมช่วยยกระดับมาตรฐานสาธารณสุข เพิ่มความมั่นใจด้านสุขอนามัยแก่ผู้ใช้บริการ

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนอย่างเร่งด่วน ซึ่งหลายมาตรการเป็นประโยชน์ต่อสถานประกอบการและบุคลากรไมซ์ เช่น มาตรการให้เงินเยียวยาลูกจ้างที่ว่างงานอันเกิดจากเหตุสุดวิสัยได้รับเงินชดเชยจากประกันสังคม 62% ของค่าจ้างรายวันแต่ไม่เกิน 90 วัน มาตรการลดค่าใช้จ่าย ค่าน้ำค่าไฟ 3% สำหรับผู้ใช้งานทุกกลุ่มในเดือนเมษายน-มิถุนายน และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการเฉพาะ เช่น กิจการโรงแรม กิจการให้เช่าพักอาศัย ได้รับการขยายระยะเวลาการจ่ายค่าไฟในเดือนเมษายนและพฤษภาคมโดยจะผ่อนผันให้ 6 เดือนของแต่ละรอบบิล มาตรการช่วยเหลือเยียวยาด้านการแพทย์สาธารณสุข ด้านการดูแลเศรษฐกิจภายในประเทศที่เกี่ยวกับการเพิ่มศักยภาพ การยกระดับการค้า และการผลิต รวมถึงการบริการในสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมไมซ์

ผลจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้เกิดการยกเลิกงานไมซ์ทั่วโลก ทำให้การประชุมออนไลน์ การแสดงสินค้าออนไลน์เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในการอยู่รอดของธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการของไทยเองต้องปรับตัวให้ทัน ดังนั้น “ทีเส็บ” จึงเข้ามาดำเนินการเพื่อเสริมมาตรการของรัฐบาล  มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมมาตรฐานสถานที่จัดงานและผู้ประกอบการไมซ์ ได้แก่ การส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัย และการส่งเสริมการจัดงานโดยใช้เทคโนโลยีออนไลน์ จำนวน 2 โครงการในระยะแรกนี้

โครงการแรกคือ “จัดประชุมอย่างไร ปลอดภัยไร้ COVID-19” โดยให้การสนับสนุนงบประมาณ 30,000 บาท สำหรับสถานประกอบการไมซ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปจัดทำแผนและจัดหาอุปกรณ์ตามมาตรการคัดกรองและป้องกันไวรัส COVID-19 ตามแนวปฏิบัติควบคุมและป้องกันไวรัส COVID-19 ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำมาปฏิบัติใช้ในสถานที่จัดงานและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้มาใช้บริการ อาทิ การติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิ การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าร่วมงาน การตรวจประวัติของผู้ที่เข้ามาร่วมงาน การติดตั้งจุดล้างมือ จุดบริการแอลกอฮอล์ และการเว้นระยะห่างทางสังคม เป็นต้น

หลักเกณฑ์ของสถานประกอบการไมซ์ที่สามารถเข้าร่วมโครงการคือ มีคุณสมบัติเป็นสถานประกอบการที่ได้รับมาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย หรือ Thailand MICE Venue Standard (TMVS) หรือเป็นผู้ประกอบการโรงแรมซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมโรงแรมไทย หรือ Thai Hotel Association (THA) ซึ่งคาดว่าโครงการนี้จะสนับสนุนสถานประกอบการไมซ์ได้ถึง 216 สถานที่ทั่วประเทศ ภายใต้งบประมาณทั้งสิ้น 6,480,000 บาท โดยโครงการนี้เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน 2563 สามารถสอบถามและลงทะเบียนขอรับการสนับสนุนได้ที่ ฝ่ายพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์ “ทีเส็บ” อีเมล MICEstandards@gmail.com

โครงการที่สองคือ “Virtual Meeting Space หรือ VMS” สนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการจัดงาน รวมถึงการเพิ่มทักษะความรู้ในการใช้แพลทฟอร์มออนไลน์ให้ผู้ประกอบการไมซ์ในภาวะวิกฤติ COVID-19 แบ่งเป็น 3 กิจกรรม ได้แก่

1.Webinar หรือการประชุมสัมมนาเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ ให้การสนับสนุนการจัดหาและบริหารจัดการแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับผู้จัดงานและผู้ประกอบการไมซ์ที่ต้องการจัดประชุมสัมมนา ปรับเปลี่ยนมาใช้การจัดประชุมสัมมนาผ่านระบบออนไลน์ โดย “ทีเส็บ” จะดำเนินการด้านบริหารจัดการเรื่องการผลิตและการจัดเตรียมสตูดิโอสำหรับการไลฟ์ (LIVE) ให้ผู้จัดงาน รวมถึงการจัดเตรียมผู้ประสานงานทางเทคนิค การดูแลระบบระหว่างการไลฟ์ (LIVE) ซึ่งผู้จัดงานสามารถนำเสนอสไลด์ดิจิทัล (Slide Presentation) ขึ้นโชว์ควบคู่ไปพร้อมกับการประชุมสัมมนา หรือการพูดคุยได้ในเวลาเดียวกัน การแชร์ประสบการณ์ การพูดคุยร่วมกับวิทยากร การสอบถามแบบยกมือแสดงความคิดเห็น ตลอดจนการทำโพลแบบสำรวจ โดยรองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้สูงสุดถึง 10,000 คนต่องาน

2.O2O (Offline to Online) หรือการจัดงานแสดงสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ให้การสนับสนุนการจัดหาและบริหารจัดการแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับผู้จัดงานแสดงสินค้า โดยสนับสนุนการถ่ายทอดสดผ่านไลฟ์สตรีมมิ่งทั้งจากสตูดิโอ หรือสถานที่ของผู้จัดงาน ครอบคลุมทั้งการร่วมวางคิว ผลิต ควบคุม และดูแลระบบระหว่างการถ่ายทอดสดผ่านไลฟ์สตรีมมิ่ง รวมถึงจัดเตรียมผู้ประสานงานทางเทคนิคให้แก่ผู้จัดงานแสดงสินค้าในทุกขั้นตอน ซึ่งผู้ร่วมแสดงสินค้าจะสามารถนำเสนอกิจกรรมและสินค้าบริการต่าง ๆ รวมถึงมีระบบการชำระเงินออนไลน์ที่สามารถเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจได้อีกด้วย

3.E-Learning Platform หรือศูนย์การเรียนรู้คอร์สฝึกอบรมออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการไมซ์ เพื่อเพิ่มทักษะและทบทวนความรู้ (Upskills and Reskills) ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ในช่วงที่งานได้รับผลกระทบ สามารถรองรับการทำงานที่ปฏิบัติจริงได้ทันที และเตรียมความพร้อมปูพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีสำหรับผู้ประกอบการไมซ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย “ทีเส็บ” เปิดรับสมัครผู้ประกอบการไมซ์ที่สนใจจำนวน 250 ราย เข้าเรียนคอร์สฝึกอบรมออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์ม YourNextU จากสถาบัน Southeast Asia Center หรือ SEAC รวมทั้งสิ้น 6 หลักสูตร ได้แก่ 1.หลักสูตรการบริหารโครงการ (Project Management) 2.หลักสูตรทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonnel Skills) 3.หลักสูตรการจัดการ (Management) 4.หลักสูตรการสื่อสาร (Communication) 5.หลักสูตรความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) และ 6.หลักสูตรการใช้ดิจิตอล (Digital) ซึ่งกำหนดระยะเวลาเรียนออนไลน์ 6 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม 2563 โดยผู้เข้าเรียนจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองจากทีเส็บ หากเรียนรายวิชาครบตามที่กำหนด

ทั้งนี้ โครงการ VMS จะให้การสนับสนุนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป สามารถสอบถามได้ที่ ฝ่าย MICE Intelligence และนวัตกรรม “ทีเส็บ” อีเมล vms@tceb.or.th

นายจิรุตถ์ กล่าวในตอนท้ายว่า “ทีเส็บ” ยังตอบสนองนโยบายรัฐในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยรับแนวทางการทำงานมาปฏิบัติจัดตั้ง TCEB COVID-19 Information Center หรือ “ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร COVID-19 ของทีเส็บ” เพื่อเป็นศูนย์กลางการสื่อสารข้อมูลในช่วงภาวะวิกฤต โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ “ส่วนข้อมูล” ทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์เก็บรวบรวมข้อมูลสำคัญจากหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ วิเคราะห์ ตรวจสอบ พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะ และ “ส่วนประชาสัมพันธ์” จะคอยติดตามสถานการณ์ข่าวสารในภาพรวมที่เร่งด่วน และพัฒนาเนื้อหาและสื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องในทุกช่องทางอย่างทันท่วงที เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการไมซ์ ตามแนวทางปฏิบัติของสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”

“ซีพีแรม” ลดค่าครองชีพจัดเมนูมื้อละ 20 บาท !

alivesonline.com : “ซีพีแรม” ร่วมกับ “เซเว่นอีเลฟเว่น” และ TrueMoney Wallet ขอนำเสนอเมนูยอดนิยมที่มีคุณภาพ สะอาด อร่อย และปลอดภัยเพื่อช่วยลดค่าครองชีพคนไทยทุกคนในสถานการณ์ปัจจุบัน ด้วยราคาเพียงมื้อละ 20 บาท รวมทั้งสิ้น 6 เมนู ได้แก่ ข้าวไข่เจียวทรงเครื่อง, ข้าวกะเพราหมู, ข้าวผัดเผ็ดหน่อไม้ไก่, ข้าวไก่กระเทียม, ข้าวกะเพรามังสวิรัติ และข้าวผัดหมู สามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 พิเศษ ! เมื่อซื้อครบ 100 บาท และชำระด้วย TrueMoney Wallet ผ่าน 7App นอกจากจะเป็นการช่วยเลี่ยงการสัมผัสธนบัตรแล้ว ยังได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 5 บาทอีกด้วย ! เข้าเลย App เลย : tmn.co/7App

ปิดตำนาน “อนันต์ กาญจนพาสน์” เจ้าสัว “เมืองทองธานี”

 

alivesononline.com : บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) มีหนังสือแจ้งว่า นายอนันต์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ณ โรงพยาบาลบางกอกเนอสซิ่งโฮม (บีเอ็นเอช) เมื่อวันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 สิริอายุได้ 80 ปี โดยครอบครัวจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหลังจากสถานการณ์ COVID-19 ผ่านพ้นไป ซึ่งจะแจ้งให้ทราบเป็นทางการอีกครั้ง

นายอนันต์ เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2484 ประเทศไทย เป็นทายาทคนที่ 2 ของ นายมงคล กาญจนพาสน์ สำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาตรี บริหารธุรกิจ วิทยาลัยสวอซ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้านชีวิตส่วนตัว สมรสกับ นางโซฟี และมีบุตรชาย 2 คือ นายปีเตอร์ กาญจนพาสน์ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) และ นายพอลล์ กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด

นายอนันต์ ได้สืบสานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ รวมทั้งเป็นเจ้าของโครงการเมืองทองธานี  สร้างผลงานและชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในฐานะนักธุรกิจชั้นนำของวงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นผู้ที่กอบกู้สถานการณ์จากวิกฤติต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 และสามารถกลับมาผงาดในวงการอีกครั้งในปี 2555 ด้วยฐานะการเงินที่มีสภาพคล่องไม่มีภาระหนี้สิน รวมถึงสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เป็นครั้งแรกในรอบ 15  ปี

ด้วยเป็นผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล นายอนันต์ จึงได้วางแผนดำเนินงานร่วมกับบุตรชาย 2 ท่าน คือนายปีเตอร์ และนายพอลล์ เพื่อสร้างเมืองทองธานีให้เป็นโครงการเมืองที่สมบูรณ์แบบและครบวงจร โดยรุกขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจไมซ์ ภายใต้ชื่อ “อิมแพ็ค เมืองทองธานี” ปัจจุบันถือเป็นศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมชั้นนำอันดับ 1 ของประเทศไทย และยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย สร้างความยิ่งใหญ่ของบางกอกแลนด์ได้อย่างสง่างาม นอกจากนี้ ยังได้นำ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม “อิมแพ็ค เมืองทองธานี” เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นรายแรกของประเทศไทยในปี 2556

 

“ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์” รวมพลังพันธมิตรคนโฆษณา เปิดตัวแคมเปญ “โควิดไม่มีขา”

alivesonline.com : ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ รวมพลัง “พันธมิตรคนโฆษณา” ประกอบด้วย สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย, กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, สิงห์ คอร์เปอเรชั่น, อะเดย์, เดอะ สแตนดาร์ด, ไทยแลนด์ โควิด19 ดิจิทัล กรุ๊ป, ทศกัณฐ์ฟิล์ม, วีจีไอ โกลบอล มีเดีย, ออมนิคอม มีเดีย กรุ๊ป และ “ไลน์ ประเทศไทย จัดทำแคมเปญ “โควิดไม่มีขา” ผลิตคลิปวิดีโอ 5 เรื่อง ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย มีพลังที่จะทำให้คนสนใจ นำไปฏิบัติตาม และเผยแพร่ต่อ เพื่อสกัดการระบาดของโรค COVID-19

นายรติ พันธุ์ทวี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แคมเปญ “โควิดไม่มีขา” เกิดจากการที่ประชาชนบางกลุ่มละเลย ไม่ปฏิบัติอย่างจริงจัง ในเรื่องการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล การอยู่บ้าน และการแยกตัวเองออกจากสังคม ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยป้องกันการระบาดของโรค COVID–19 ได้ นอกจากนี้ หลายคนยังไม่ทราบชัดเจนว่าหากป่วยแล้วจะต้องทำอย่างไร แม้ว่าจะมีหลายหน่วยงานออกมาให้ข้อมูล แต่ข้อมูลและการสื่อสารในโลกโซเชียลที่มีมากเกินไปก็ทำให้ประชาชนสับสนไม่ทราบว่าจะเชื่อใครดี ด้วยเหตุนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จึงร่วมกับพันธมิตรคนโฆษณา มาร่วมกันทำแคมเปญนี้ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนปฏิบัติตัวให้ถูกต้องในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโรค COVID–19

แคมเปญ “โควิดไม่มีขา” เน้นเนื้อหาหลัก 3 หัวข้อคือ ชักชวนให้มีวินัยในการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (Social Distancing) ชักชวนให้มีวินัยในการกักตนเอง (Self Isolation) และการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันของคนที่ไม่ป่วยและคนป่วย โดยสื่อสารผ่านคลิปวิดีโอในรูปแบบอินโฟกราฟิก จำนวน 5 ชิ้น คือ “หยุดเดินกันเถอะ” “โรงพยาบาลจะไม่พอ” “ฆ่าคนที่คุณรัก” “สงสัยให้เก็บตัว” และ “ป่วยแบบไหนไปโรงพยาบาล” ซึ่งจะเผยแพร่ผ่านสื่อโทรทัศน์ ป้ายโฆษณาดิจิทัล สื่อรถไฟฟ้า และช่องทางของพันธมิตร ตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2563 เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังจะมีการใช้ Viral Influencers เพื่อมาช่วยกันกระตุ้นการเรียนรู้ ปลุกจิตสานึก และสร้างวินัยในการปฏิบัติไปด้วยกัน

“เวลานี้ทุกฝ่ายต้องร่วมใจรวมพลังฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ โดย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จะเป็นผู้ให้ข้อมูลที่ประชาชนมั่นใจได้ว่าถูกต้อง มั่นใจที่จะปฏิบัติตาม ส่วนพันธมิตรคนโฆษณาแต่ละฝ่ายจะใช้ความเชี่ยวชาญและความถนัดของตนเอง เพื่อทำให้การสื่อสารเข้าใจง่าย มีพลังที่จะทำให้คนสนใจนำไปฏิบัติตาม และเผยแพร่ต่อ โดยเราได้รับเกียรติจาก นายวิทวัส ชัยปาณี นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมโฆษณาฯ มาวางกลยุทธ์การสื่อสารด้วยตนเอง และทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมครีเอทีฟและผู้กำกับหนังโฆษณาชื่อดังที่พร้อมใจกันมาร่วมทำแคมเปญนี้ อย่างเช่น นายสาโรจน์ สุวัณณาคาร จากทศกัณฐ์ฟิล์ม รวมทั้ง นายอภิชัย ภักดีบุตร และนายอมร หะริณนิติสุข นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจาก อาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติ มาแต่งเพลงพิเศษที่ชื่อว่า “กอดลม” เพื่อเผยแพร่ในช่องทางออนไลน์ด้วย พวกเราต้องการเห็นประเทศผ่านสถานการณ์ COVID–19 ไปได้ด้วยดี อยากเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า และคนไทยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว” นายรติ กล่าว

ทางด้าน ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คนไทยช่วยกันได้ด้วยการมีวินัย ไม่ประมาท และเว้นระยะห่างทางสังคม หยุดแชร์ข้อมูลที่สับสน และทำให้คนตื่นตระหนก ให้ความจริงตามหลักคิดทางวิชาการที่คนปฏิบัติได้ แบ่งปันความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปทุกระดับ เพื่อให้คนไทยในชาติร่วมใจกันพาตัวเองและประเทศให้ผ่านพ้นภัยพิบัตินี้ไปด้วยกัน

“เลิศ โกลบอล กรุ๊ป” ชี้โอกาสเจาะตลาดจีนหลังวิกฤติ COVID-19

alivesonline.com : “เลิศ โกลบอล กรุ๊ป” กูรูการตลาดและดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งครบวงจรในตลาดประเทศจีน แนะผู้ประกอบการเตรียมแผนการตลาดรับมือ Lockdown ยาวถึงสิ้นเมษายน ยกตัวอย่างจีนปรับแผนธุรกิจ สร้างฐานข้อมูลลูกค้า รับกำลังซื้อฟื้นแรงหลังสถานการณ์คลี่คลาย กระตุ้นผู้ประกอบการไทยเตรียมพร้อมลุยตลาด หลังจีนผ่านวิกฤติ

 

นายสุวัฒน์ รักทองสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เลิศ โกลบอล กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการตลาดและดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งครบวงจรในตลาดประเทศจีน (One Stop Service For China Market) เปิดเผยว่า จากกรณีที่รัฐบาลขอความร่วมมือให้ประชาชนงดเดินทางออกนอกเคหสถานโดยไม่จำเป็น (Lockdown) ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2563 สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมากซึ่งนักการตลาดต้องเรียนรู้และเตรียมพร้อมรับมือ รวมถึงการปรับแผนทางธุรกิจและวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อ 3–4 เดือนก่อน เมืองใหญ่อย่าง “อู่ฮั่น” ที่มีประชากรราว 11 ล้านคน ได้มีมาตรการล็อกดาวน์ เนื่องจากเป็นเมืองแรกที่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก เกิดการกักตุนอาหารรวมไปถึงของใช้ที่จำเป็น ทำให้ชั้นวางสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตว่างเปล่าในเวลาอันรวดเร็ว แต่สถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติในเวลาไม่นาน จากการใช้เทคโนโลยีเข้ามาจัดการระบบและทำงานร่วมกับผู้ค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยให้เกิดการฟื้นฟูสถานการณ์ที่เด่นชัดนี้มี 2 ปัจจัย ประการแรกคือ ระบบจัดส่งสินค้าที่เปิดใช้งานแบบดิจิทัล ในเมืองหลัก ๆ ของจีนนั้นสินค้าต่าง ๆ สามารถซื้อผ่านระบบออนไลน์และส่งตรงถึงบ้านภายในเวลาเพียงแค่ 20 นาทีหลังจากสั่งซื้อ ยกตัวอย่างเช่น การใช้เครือข่าย “ไช่เหนี่ยว” ของ “อาลีบาบา” ให้การสนับสนุนซัปพลายเชนของผู้ประกอบการที่ให้บริการผ่านทาง AI อย่างระบบจัดการสินค้าคงคลังดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับโลกซื้อขายสินค้าออนไลน์และออฟไลน์ ขณะที่หน้าร้านเองก็สามารถขยายเครือข่ายกระจายสินค้าได้แทบจะทันที

ประการที่สองคือ ความสะดวกสบายของผู้บริโภคในโลกออนไลน์ ดังจะเห็นได้ว่าใน 5 ปีที่ผ่านมา ทั้ง “อาลีบาบา กรุ๊ป”, JD.com MTDP (เหม่ยถวนเตี่ยนผิง) และบริษัทอื่น ๆ ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคชาวจีน ก้าวผ่านการซื้อของแบบเก่าไปสู่โลกออนไลน์ โดยอีคอมเมิร์ซของจีนได้ครองสัดส่วนของค้าปลีกถึงประมาณ 36.6% การสนับสนุนซัปพลายเชนในระบบดิจิทัล ทำให้ธุรกิจสามารถจัดส่งสิ่งของจำเป็นให้กับผู้คนที่อยู่ระหว่างการกักกันตัวเองได้ หรือบางชุมชนของเมืองปักกิ่ง ได้จัดตั้งกลุ่มอาสาเล็ก ๆ ผ่านทางกลุ่มแชท เพื่อเป็นตัวแทนในการรับสินค้าและนำไปแจกจ่ายให้บ้านแต่ละหลังในชุมชนอีกด้วย

“สำหรับผู้ประกอบการในช่วงเวลานี้มีคำถามว่าควรทำการตลาด โฆษณา ประชาสัมพันธ์หรือไม่ หากดูกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศจีน แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ความต้องการบริโภคได้ถูกบีบให้เหลือน้อยลง แต่ไม่ได้หายไปเลยโดยสิ้นเชิง ความสามารถในการบริโภค หรือ Consumption Ability ยังคงมีอยู่เช่นเดิม หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ถูกควบคุมได้แล้ว ความต้องการในการบริโภคก็จะได้รับการปลดปล่อยออกมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนอาจก่อให้เกิดปรากฏการณ์การระเบิดความต้องการออกมาในชั่วเวลาสั้น ๆ หรือที่เรียกว่า Blowout Effect”

นายสุวัฒน์ กล่าวด้วยว่า จากข้อมูลของแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า “饿了么” (Are you hungry?) ระบุว่า หลังจากการกลับมาทำงานอีกครั้งครบ 4 สัปดาห์เต็มนับตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.เป็นต้นมา คนเซี่ยงไฮ้สั่งชานมผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าวมากถึง 3.3 แสนออเดอร์ โดยมีผู้ใช้รายหนึ่งที่สั่งชานมในคำสั่งซื้อเดียวกันมากถึง 77 แก้ว นอกจากนี้ ของทอดรับประทานเล่นขึ้นชื่อของเซี่ยงไฮ้ก็มียอดสั่งซื้อถล่มทลายไปกว่า 6.2 หมื่นออเดอร์ เห็นได้ชัดว่าความต้องการบริโภคอาหารที่ถูกอัดอั้นมานานได้รับการปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ขาดสาย นั่นหมายความว่าประสิทธิภาพของโฆษณา (Effectiveness of Advertisement) ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการสั่งสม หากองค์กรธุรกิจละทิ้งการทำสื่อโฆษณาในช่วงเวลานี้ไป นั่นเท่ากับว่าได้ละทิ้งโอกาสทองในช่วงจังหวะที่จะเกิดปรากฏการณ์ระเบิดความต้องการในการบริโภค (Blowout Effect) ในอนาคตไปด้วย

 

 

อย่างไรก็ตาม ในการวางแผนสื่อสาร ประชาสัมพันธ์นั้น ต้องปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย โดยในช่วงที่มีการลดกิจกรรมนอกบ้านของประชาชน นักการตลาดควรลดปริมาณการทำสื่อโฆษณากลางแจ้งลง และหันมามุ่งเน้นไปที่การทำสื่อโฆษณาผ่านทางอินเทอร์เน็ตให้มากขึ้นแทน เพราะช่วงที่ประชาชนอยู่บ้านอัตราการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตและทีวีจะเพิ่มสูงขึ้นมาก

นอกจากนี้ เนื้อหาของสื่อโฆษณา นอกเหนือจากโฆษณาของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคแล้ว ควรเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) เป็นการเพิ่มชื่อเสียงของแบรนด์ (Brand Reputation) ด้วยการโฆษณาบริการสาธารณะ (Public Service Advertising) ที่มีความสร้างสรรค์ รองลงมาคือการทำโฆษณาตัวแบรนด์ (Brand Advertising) ส่วนโฆษณาตัวสินค้าและการกระตุ้นยอดขายนั้นอาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจนัก

“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในครั้งนี้ ผู้คนจะหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพ ดูแลตัวเองและใส่ใจในคุณค่าของชีวิต รวมถึงให้ความสำคัญกับคนในครอบครัว ญาติมิตร รวมถึงเพื่อน และผู้คนที่อยู่รอบกายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น แบรนด์สามารถยึดแนวทางนี้เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์และเนื้อหาของโฆษณาในอนาคตได้”

นายสุวัฒน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับภาคธุรกิจแล้ว ภารกิจเร่งด่วนที่ต้องทำก็คือการเร่งปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ให้ได้ เริ่มวางแผนกลยุทธ์ และการทำธุรกิจแบบออนไลน์ หัวใจสำคัญของ “การตลาดติดบ้าน” ก็คือการเก็บสะสมข้อมูลของผู้ใช้ไว้ และต้องทำการตลาดให้ครบทุกช่วงเวลา ทุกกลุ่มลูกค้า และทุกรูปแบบตลาด ขณะเดียวกันต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากเครื่องมือใหม่ ๆ ไปพร้อมกับลูกเล่นต่าง ๆ ในแต่ละแพลตฟอร์ม

“สิ่งสำคัญอีกประการที่ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมให้พร้อมคือกำลังซื้อมหาศาลในจีนที่จะถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว สินค้า และบริการต้องเพียงพอต่อความต้องการของชาวจีนที่มีความพร้อมในการจับจ่ายเป็นอย่างมาก เพื่อทดแทนในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องเสียไปหลังจากการระบาดของ COVID 19 และขณะนี้สถานการณ์ในประเทศไทยเองกำลังอยู่ในช่วงผันผวน จะเป็นการดีไม่น้อยถ้าจะอาศัยจังหวะนี้เตรียมการสำหรับรับมือต่อความอัดอั้นมาอย่างยาวนานของชาวจีน” นายสุวัฒน์ กล่าวในที่สุด

LINE ส่งเครื่องมือช่วยเหลือคนไทยปรับตัวผ่าน COVID-19

alivesonline.com : LINE ประเทศไทย ภายใต้พันธกิจ “Closing the distance” เร่งเพิ่มการพัฒนาแพลตฟอร์มและโซลูชัน เพื่อส่งแรงใจช่วยคนไทยทั้งในระดับบุคคลและธุรกิจให้ปรับตัว ปรับแนวคิด พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสในสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะช่วง Social Distancing หรือ “การเว้นระยะห่างทางสังคม” ผ่าน 3 มาตรการ ได้แก่ SHARE – HELP – ENTERTAIN 

SHARE รวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รวดเร็ว 

เพื่อให้คนไทยเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้อย่างฉับไวทันสถานการณ์ COVID-19 LINE TODAY ได้เพิ่ม แท็บ “โควิด 19(https://lin.ee/lII7XOn/vjky) สำหรับรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและความรู้ต่าง ๆ ประกอบสถานการณ์ COVID-19 โดยเฉพาะ พร้อมปรับโฉมบัญชีทางการ หรือ LINE Official Account ของ LINE ประเทศไทย (@linethailand) เป็น โควิด-19 อินโฟ ฮับ ให้ผู้ใช้เข้าถึงรายงานอัปเดตล่าสุด เรื่องราวน่ารู้ พร้อมร่วมมือกับพาร์ทเนอร์สร้างเครื่องมือดิจิทัลสำหรับติดตามและประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับ COVID-19 ได้อย่างครบครันและรวดเร็ว ด้วย 6 บริการ ได้แก่ สถิติการระบาด แบบประเมินสุขภาพ อัปเดตสถานการณ์ โรงพยาบาลที่เกี่ยวข้อง เช็คพื้นที่เสี่ยง และ LINE TIPS รวบรวมข้อแนะนำในการดูแลสุขภาพและการปฏิบัติตัว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:https://linecorp.com/th/pr/news/th/2020/3173)

HELP พลิกวิกฤติเป็นโอกาสด้วยเทคโนโลยี

เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ธุรกิจทุกขนาดในประเทศไทย ให้สามารถก้าวผ่านวิกฤติ สภาวการณ์ที่เกิดขึ้นได้ LINE ประเทศไทย เตรียมจัดทัพ สัมมนาออนไลน์ตลอดเดือนเมษายน เพื่อแบ่งปันความรู้ เทรนด์สำคัญ เทคนิคต่าง ๆ รวมถึงเทคโนโลยีและออนไลน์โซลูชันที่แนะนำในการดำเนินธุรกิจฝ่าวิกฤติ COVID-19 พร้อมกรณีศึกษาจากเพื่อนผู้ประกอบการที่น่าสนใจ เพื่อให้ทุกธุรกิจได้เรียนรู้ เริ่มปรับใช้เทคโนโลยีมาพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามกำหนดการและรับชมได้ผ่าน LINE Official Account : LINE for Business [@linebizth]

โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี และพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ LINE ยังได้พัฒนาเครื่องมือใหม่ล่าสุดอย่าง MyShop” มาช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถเปิดร้านค้าออนไลน์ได้ฟรี บน MyShop ซึ่งสามารถสมัครได้ง่าย ๆ ที่ https://linemyshop.com พร้อมแคมเปญ MyShop เปิดร้านฟรี ฝากร้านได้ อยู่บ้านขายดี 24 ชม. เปิดโอกาสช่วยเหลือร้านค้าออนไลน์ในช่วงวิกฤติ COVID-19 ที่นอกจากจะสามารถเปิดร้านออนไลน์ฟรีได้ผ่านเครื่องมือ MyShop แล้ว ยังสามารถฝากร้าน ฝากสินค้าโปรโมตได้ฟรีผ่าน LINE SHOPPING อีกด้วย ดูรายละเอียดแคมเปญเพิ่มเติมได้ที่ : https://today.line.me/th/pc/article/2lgkeP

ในขณะเดียวกัน LINE MAN ก็พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในช่วงวิกฤติด้วยการพัฒนาขั้นตอนการสมัครร้านขึ้นบน LINE MAN ให้รวดเร็วครบจบภายใน 1 วัน ก็สามารถเปิดร้านบน LINE MAN ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีด้านเดลิเวอรี่เป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับธุรกิจร้านอาหารในสภาวะเช่นนี้

ENTERTAIN ไม่เหงาเมื่อต้องอยู่บ้าน กับคอนเทนต์บันเทิงหลากหลาย และฟีเจอร์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Social Distancing

อยู่บ้านยาว ๆ คราวนี้ ไม่ต้องกลัวเบื่อ! LINE TV เตรียมขนทัพคอนเทนต์ความบันเทิง เสิร์ฟความสุขให้คนไทย โดยรวบรวมละครเด็ด ซีรีส์ดัง หนังโดน แอนิเมชันสุดฮิต พร้อมรายการดี ๆ หลากหลายแนวรวมกว่า 100 คอนเทนต์คัดสรรมาให้ดูกันแบบฟรี ๆ ใน แท็บ อยู่บ้านไม่เหงา (https://tv.line.me/t/10009_อยู่บ้านไม่เหงา) เอาใจคนอยู่บ้านช่วงนี้ ให้เวลาอยู่บ้านของคุณกลายเป็นเวลาคุณภาพสำหรับทุกคนในครอบครัว

ตามมาด้วยพื้นที่โซเชียลใหม่ใน หน้าไทม์ไลน์ของ LINE (แท็บที่ 3 ใน LINE) ไม่ว่าจะเป็น Story” ให้คุณเพลินไปกับการอัปเดตไลฟ์สไตล์ชิค ๆ ในรูปแบบวิดีโอสั้นคลายเหงา พร้อมเอฟเฟกต์หลากหลายให้เลือกเอาตามใจชอบ! และฟีเจอร์ใหม่ Explore” ตรงมุมบนขวาของหน้าไทม์ไลน์ ไว้ติดตามเทรนด์โซเชียลบน LINE ใครโพสต์อะไร สามารถเลือกดู เลือกติดตามได้แบบไม่ต้องเพิ่มเพื่อน ทำให้การอยู่บ้านของคุณมีสีสันขึ้น ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป (ทำความรู้จักฟีเจอร์ ‘Explore’ ให้มากขึ้นได้ที่นี่: https://today.line.me/TH/article/v9nVKK)

พร้อมกันนี้ ยังมี สติกเกอร์เซ็ต ดูแลสุขภาพ ให้คุณใช้สื่อแทนใจ ส่งสารทุกความห่วงใยไปยังคนรอบข้างในแบบน่ารัก ๆ ผ่านแชท โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายสติกเกอร์เซ็ตนี้ยังบริจาคเพื่อบำรุงสภากาชาดไทยอีกด้วย (ดาวน์โหลดได้ที่ Sticker Shop (In App) : http://lin.ee/qJdPbSb/sknj/PR หรือผ่านทาง LINE STORE ที่ : https://lin.ee/7WcJGWD/sknj/PR)

อีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยคนไทยผ่อนคลาย รวมถึงอำนวยความสะดวกในขีวิตประจำวันคนไทยได้ในช่วงนี้คือการชอปปิงออนไลน์ LINE SHOPPING จึงมาพร้อม แคมเปญ อยู่บ้านสบายกาย ช็อปผ่าน LINE SHOPPING สบายใจให้คนไทยสามารถจับจ่ายซื้อหาของใช้จำเป็นต่าง ๆ ในยามนี้แบบคุ้มค่า ผ่าน LINE SHOPPING พร้อมได้รับ LINE POINT เพื่อแลกซื้อสติกเกอร์และสินค้าอื่น ๆ จาก LINE Store ได้อีกด้วย (อ่านรายละเอียดแคมเปญ https://today.line.me/th/pc/article/xL8DOj)

มาตรการทั้ง 3 ด้านของ LINE ประเทศไทยตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นภายใต้พันธกิจ “Closing the Distance” คือการเชื่อมโยงผู้คน ข้อมูลข่าวสาร และบริการที่เป็นประโยชน์เข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น และธุรกิจทุกภาคส่วนยังสามารถก้าวต่อไปได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์.

Shoplus เครื่องมือช่วยร้านค้าเพิ่มช่องทางขายออนไลน์

alivesonline.com : Shoplus เครื่องมือช่วยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการสั่งปิดห้างสรรพสินค้าและร้านค้าอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 สามารถเพิ่มช่องทางขายสินค้าออนไลน์ได โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ด้วยระบบจัดที่มีประสิทธิภาพผสานกับเทคโนโลยี AI อัจฉริยะ ที่รวมการไลฟ์สดและการจัดออเดอร์เข้าไว้ด้วยกัน ช่วยให้ร้านค้าสามารถเปิดการขายผ่านไลฟ์สดบนเพจเฟซบุ๊กของร้านได้โดยตรง

การขายสินค้าผ่านช่องทางไลฟ์สด (Live-Selling) มีการเติบโตโดยธรรมชาติของโซเชียลคอมเมิร์ซที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยมูลค่าการขายผ่านโซเชียลมีเดียของปี 2562 สูงถึง 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยร้อยละกว่า 70 ของผู้ขายออนไลน์ มีขั้นตอนการจัดการออเดอร์ต่าง ๆ ด้วยมือ Shoplus จึงสามารถเข้ามาช่วยดูแลระบบการขายให้แบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น การจัดการออเดอร์ การชำระเงิน การเปิดบิล รวมถึงการจัดส่ง เพื่อให้ผู้ขายสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายระหว่างไลฟ์สินค้าได้ โดยในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ร้านค้าในห้างสรรพสินค้ามีการปิดชั่วคราว พบว่าผู้ขายบนช่องทางออนไลน์ที่ใช้บริการของ Shoplus สามารถเพิ่มยอดขายได้มากกว่าเดือนก่อนหน้าถึง 12%

‘คิมมี เฉิน’ ผู้จัดการ Shoplus กล่าวว่า การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปิดหน้าร้าน เกิดการสูญเสียรายได้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี Shoplus จึงเปิดโอกาสให้เจ้าของร้านค้าสามารถกลับมาสร้างยอดขายได้อีกครั้ง โดยการขายผ่านเพจเฟซบุ๊กของตนเอง ด้วยบริการที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น ฟังก์ชัน AI-Live, AI Chatbot และ AI Messenger Plug-in ที่ตอบโจทย์กับธุรกิจทุกขนาด รวมถึงผู้ขายทางโซเชียลมีเดียให้สามารถใช้งานผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ทุกที่ทุกเวลาช่วยจัดการยอดขายที่มีปริมาณมากได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ผู้ขายสะดวกสบาย สามารถทุ่มเทกับการขาย การบริการลูกค้า และทำกำไรได้มากขึ้น

สำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก สามารถติดตั้ง Shoplus ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ด้วยการเชื่อมต่อกับเพจเฟซบุ๊กของร้านและเฟซบุ๊กส่วนตัวเจ้าของร้านเข้ากับระบบของ Shoplus ซึ่งสามารถเพิ่มจำนวนแอดมินได้หลายคนในการดูแลการไลฟ์และการจัดการคำสั่งซื้อ โดยสามารถเพิ่มสินค้าเข้าสู่ระบบด้วยรูปแบบเฉพาะของ Shoplus ที่ออกแบบมาให้จัดการการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นระหว่างการไลฟ์ขายสินค้า เมื่อพร้อมสำหรับการขายแล้ว เจ้าของร้านยังสามารถประกาศวันเวลาที่จะไลฟ์ขายสินค้าผ่านเพจเฟซบุ๊กของร้านได้อีกด้วย โดยระบบของ Shoplus จะเริ่มจัดการคำสั่งซื้อทันทีเมื่อการไลฟ์ขายสินค้าเริ่มขึ้น

ระหว่างการไลฟ์ขายสินค้า เทคโนโลยี AI ของ Shoplus จะจัดการระบบหลังบ้านทั้งหมดตั้งแต่ การชำระเงิน ข้อมูลการจัดส่ง จนถึงการจัดส่งสินค้าจนถึงมือลูกค้า

คอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังมีอัตรา Engagement สูงที่สุดบนเฟซบุ๊ก แต่การขายของผ่านโซเชียลมีเดียนั้นมีปัจจัยมากกว่าแค่การไลฟ์ โดย Shoplus ถือเป็นพาร์ทเนอร์เจ้าเดียวของเฟซบุ๊กที่รวบรวมบริการทั้งการไลฟ์ขายสินค้า การขายและการจัดการคำสั่งซื้อไว้ด้วยกัน ซึ่งเรารู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสในการเติบโตของประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนใช้ Shoplus ได้ฟรี เพื่อทดลองระบบการทำงานของ Shoplus ทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ iOS ในการช่วยจัดการการขายผ่านเฟซบุ๊กโพสต์ และสามารถใช้งาน Full Version ครบทุกฟังก์ชั่นได้เพียง 1.5 พันบาทต่อเดือน สามารถขายสินค้าไม่จำกัดจำนวนต่อการไลฟ์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกด้วย

พบเรื่องราวความสำเร็จของร้านค้าจากการใช้บริการ Shoplus เพิ่มเติม คลิกที่นี่