“ภูเก็ต…เด็ดทั้งเกาะ” นำเสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวราคาพิเศษ

 

alivesonline.com : ภูเก็ต ระดมพลังภาครัฐ-เอกชนจัดงานใหญ่มหกรรมท่องเที่ยว “ภูเก็ต…เด็ดทั้งเกาะ” 30 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2563 ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน ขนทัพผู้ประกอบการนำเสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวราคาพิเศษรองรับพี่น้องชาวไทย และกลุ่ม Expat ในไทย พร้อมเตรียมกิจกรรมหลากหลายสร้างสีสันเต็มที่ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2563 มุ่งกู้วิกฤติหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19

นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า วิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวประเทศไทยและสร้างความเสียหายเชิงเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ตที่มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวและพึ่งพาจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยได้มีการประมาณการจากภาคเอกชนว่าในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2563 นั้น ธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตสูญเสียรายได้ไม่น้อยกว่า 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งถ้าหากยังไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งได้ ตัวเลขความสูญเสียทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้น และส่งผลให้เกิดปัญหาภาวะการจ้างงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทางจังหวัดและองค์กรเอกชนเห็นตรงกันถึงความเร่งด่วนและความสำคัญในการฟื้นฟูและกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ จึงได้สร้างสรรค์กลยุทธ์ที่เน้นกระตุ้นการเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตในครึ่งปีหลัง โดยมอบหมายให้สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์แผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวระยะสั้นร่วมกับองค์กรเอกชน และผู้ประกอบการ

แผนแรกที่ลงมือทำโดยทันที ภายใต้การสนับสนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คือ การจัดงานมหกรรมท่องเที่ยว “ภูเก็ต…เด็ดทั้งเกาะ” ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2563 ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ โดยมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวยกทีมมานำเสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวราคาพิเศษเพื่อรองรับพี่น้องชาวไทย และกลุ่ม Expat ในประเทศไทยให้ได้โอกาสมาเยี่ยมภูเก็ตในเวลาที่ดีที่สุดและเด็ดที่สุด

สำหรับกิจกรรมที่ได้เตรียมไว้หลังจากงานมหกรรมการท่องเที่ยว “ภูเก็ต…เด็ดทั้งเกาะ” เป็นกิจกรรมด้านอาหาร โดยจังหวัดภูเก็ตร่วมมือกับพาณิชย์จังหวัดภูเก็ต ททท. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต ได้สร้างสรรค์งาน “Phuket Tastival Seafood & Gastronomy : หรอยริมเล เฟสติวัล” ในช่วงสิงหาคมถึงกันยายน โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 15-17 สิงหาคม 2563 โดยจะมีกิจกรรมทุกสุดสัปดาห์ในพื้นที่แต่ละชายหาด ได้แก่ สะพานหิน ราไวย์ ป่าตอง อ่าวฉลอง เมืองเก่าภูเก็ต และเชิงทะเล

การจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นการตอกย้ำความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารภูเก็ตที่ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านวิทยาการอาหาร เป็นการเชื่อมโยงอาหาร วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมการแสดงดนตรี ‘เพลินริมเล’ ที่จะเป็นการแสดงดนตรีกลางแจ้งริมทะเลแบบ New Normal โดยมีศิลปินเฉลียงสามฝ่าย และศิลปินชาวภูเก็ตที่มีชื่อเสียงเช่น แก้ม เดอะสตาร์, นนท์เดอะวอยซ์ ในวันที่ 12 กันยายน 2563 ณ บริเวณปลายแหลมสะพานหิน

“จากความพยายามของภาคราชการ ในการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองท้องถิ่น และภาคเอกชนในจังหวัดภูเก็ต จะทำให้เกิดกิจกรรมมากมายที่จะกระตุ้นการเดินทางของพี่น้องชาวไทย รวมถึงพี่น้อง อสม.ที่สามารถใช้สิทธิประโยชน์จากโครงการกำลังใจที่ทางรัฐบาลจัดสรรให้ และจะช่วยให้พี่น้องผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตได้มีโอกาสรับใช้ดูแลพี่น้องคนไทยด้วยกันบนมาตรฐานการบริการที่ดี พร้อมจะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ทุกท่านที่มาเยือน” นายณรงค์ กล่าวในตอนท้าย

นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนให้เกิดการเดินทางภายในประเทศถือเป็นนโยบายสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวในประเทศให้ผ่านวิกฤติการณ์เศรษฐกิจอันเป็นผลมาจากการระบาดของโรค COVID-19 ได้ โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตที่ได้รับสมญานามว่า “ไข่มุกอันดามัน” นั้น ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง การที่ภาคราชการและเอกชนได้ร่วมทีมกันจัดมหกรรมการท่องเที่ยว “ภูเก็ต…เด็ดทั้งเกาะ” ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสดีของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรมที่ถูกสร้างสรรค์มา พร้อมโปรโมชันพิเศษสุด

“ททท. ขอชื่นชมมิติใหม่ในความร่วมมือที่เข้มแข็งของทุกภาคส่วนในจังหวัดภูเก็ตที่ร่วมมือกันในการสร้างโอกาสให้ตัวเอง อันจะเป็นแบบอย่างที่ดีต่อแหล่งท่องเที่ยวอื่น นอกจากนี้ ททท. ยังได้ร่วมจัด Amazing Thai Taste Festival #Localfood @ Phuket ระหว่างวันที่ 12-13 กันยายน 2563 ณ ถนนกลาง และบริเวณลานมังกร จังหวัดภูเก็ต อีกด้วย”

นายนพดล กล่าวด้วยว่า ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวประเทศไทยอย่างมากทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม แต่ที่สำคัญมากคือ ภูเก็ตเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญของภาคการท่องเที่ยว มีโรงแรมระดับนานาชาติและโรงแรมบูติคที่ได้มาตรฐานสากล มีร้านอาหารระดับมิชลิน มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามระดับโลก มีมาตรฐานการบริการที่สูง รวมถึงเป็นจังหวัดที่มีผู้ประกอบการได้รับตราสัญลักษณ์ SHA มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย รองจากกรุงเทพมหานคร องค์ประกอบสำคัญเหล่านี้ ทำให้จังหวัดภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยว และแหล่งเรียนรู้สำคัญที่พร้อมจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้ผู้ประกอบการจากจังหวัดอื่นได้ในช่วงเวลานี้

ด้าน นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในจังหวัดภูเก็ตได้ยุติลงแล้ว และทางจังหวัดสามารถควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังทางศูนย์บริหารสถานการณ์ COVID-19 ได้มีการคลายล็อกดาวน์และอนุมัติให้เปิดบริการท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศตั้งแต่เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล้วนเป็นปัจจัยบวกให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในจังหวัดเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว มีสายการบินภายในประเทศ 5 สายการบิน 12 เที่ยวบินต่อวัน จากกรุงเทพมหานคร เกาะสมุย เชียงราย และอู่ตะเภา และคาดว่าจะเริ่มบินจากพื้นที่อื่น ๆ เช่น อุดรธานี เชียงใหม่ ในอีกไม่นาน

สภาพเศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ตที่ผ่านมาได้รับการขับเคลื่อนจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 14.4 ล้านคนในปี 2562 แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวไทย 4 ล้านคน มีรายได้รวมจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรวม 4.8 แสนล้านบาท สถานการณ์ COVID-19 จึงส่งผลให้เกิดการชะงักงันของเศรษฐกิจของภูเก็ตอย่างมาก สมาคมฯ จึงได้ร่วมกับองค์กรเอกชนต่าง ๆ และหน่วยงานภาครัฐที่จะเร่งหามาตรการในการช่วยเหลือ และเยียวยาผู้ประกอบการที่มีอยู่กว่าหลายพันรายในภูเก็ต แม้จะไม่สามารถชดเชยรายได้ที่หายไปจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่อย่างน้อยจะทำให้ผู้ประกอบการอยู่รอดจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวการณ์ปกติ ซึ่งคาดว่าเร็วที่สุดคือ กลางปี 2564

นายภูมิกิตติ์ กล่าวด้วยว่า การจัดงานมหกรรมการท่องเที่ยว “ภูเก็ต…เด็ดทั้งเกาะ” เป็นหนึ่งในหลายกลยุทธ์ที่สมาคมฯ ร่วมกับทุกภาคส่วนในการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภูเก็ตให้สามาถนำเสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวตรงสู่กลุ่มลูกค้า รวมถึงการสร้างสรรค์กิจกรรมต่าง ๆ ตอบสนองต่อกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายภายใต้คอนเซ็ปต์ “เจ็ดทีเด็ด…Phuket Only” โดยแต่ละทีเด็ดนั้นจะมีกิจกรรมปลีกย่อยรองรับและเชื่อมโยงกัน เพื่อให้เกิดประสบการณ์ใหม่แก่กลุ่มเป้าหมายในการเดินทางมาท่องเที่ยวที่ภูเก็ต ซึ่งสมาคมฯ จะเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ตามตารางกิจกรรมจากเดือนสิงหาคมจนถึงธันวาคม 2563

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตได้ให้ความสำคัญกับมาตรฐานการให้บริการตามมาตรฐานใหม่ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข ในการร่วมกันปรับกระบวนการให้บริการตามมาตรฐาน SHA โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตได้รับตราสัญลักษณ์ไปแล้วกว่า 350 ราย

“ทีเส็บ” เลือก “โคราช” ประชุมบอร์ดกระตุ้นไมซ์ในประเทศ

alivesonline.com : ดร.อรรชกา สีบุญเรือง (กลาง) ประธานกรรมการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” สนองนโยบายรัฐบาล ใช้การจัดประชุมกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคและขับเคลื่อนไมซ์ในประเทศ โดยนำคณะกรรมการ “ทีเส็บ” จัดประชุมที่จังหวัดนครราชสีมา พร้อมทั้งจัดวาระการประชุมร่วมกับจังหวัดนครราชสีมา นำโดยนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัด ในการขับเคลื่อนจังหวัดนครราชสีมาสู่เมืองไมซ์ ณ โรงแรมแคนทารี โคราช โดยทางจังหวัดได้ให้ชุมชนมาจัดแสดงผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นนำเสนอความหลากหลายที่พร้อมสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับผู้มาประชุม พร้อมนำคณะกรรมการ “ทีเส็บ” เยี่ยมชมชุมชนท้องถิ่นและสถานที่จัดงานประชุมใหม่ของจังหวัดนครราชสีมา เมื่อเร็ว ๆ นี้

เปิดโครงการคัดนักธุรกิจการเกษตรรุ่นใหม่สู่เวทีโลก

alivesonline.com : กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดโครงการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมต้นแบบอัจฉริยะ หรือ “จีเนียส เดอะ ครีเอชั่น” (Genious THE CREATION) เพื่อติวเข้มองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมที่ดีพร้อมใน 3 ทักษะสำคัญ ประกอบด้วย ทักษะการเป็นสมาร์ทฟาร์มมิ่ง เพื่อการบริหารจัดการฟาร์มที่ดีพร้อม ทักษะการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องของผู้บริโภค และทักษะการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างวิสัยทัศน์และพลังแห่งการสร้างสรรค์ด้านเกษตรกรรม เพื่อคัดเลือก 10 สุดยอดไอดอลเกษตรกรไทย เพื่อวางวิสัยทัศน์ในการออกแบบ และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ขานรับนโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในการมุ่งมั่นยกระดับศักยภาพเกษตรกรไทยให้มีรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน เปลี่ยนเกษตรกรวิถีดั้งเดิม ผ่านกระบวนการส่งเสริมองค์ความรู้ เทคโนโลยีเครื่องจักรกลที่ทันสมัย เพื่อพัฒนาให้เป็นเกษตรอุตสาหกรรมที่ดีพร้อม จึงได้จัดกิจกรรม “พัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมต้นแบบอัจฉริยะ” หรือ “จีเนียส เดอะ ครีเอชั่น” เพื่อติวเข้มองค์ความรู้เกษตรกรให้พร้อมก้าวสู่เกษตรอุตสาหกรรมที่ดีพร้อม ใน 3 ทักษะสำคัญประกอบด้วย

  • ทักษะการเป็นสมาร์ทฟาร์มมิ่ง พัฒนาองค์ความรู้ในการบริหารจัดการ พร้อมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรกล ตลอดจนเสริมทักษะการเป็นผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้รับความร่วมมือจาก นายโชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย ให้คำแนะนำตลอดการจัดกิจกรรม
  • ทักษะการออกแบบบรรจุภัณฑ์ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้มีความน่าสนใจ อีกทั้งการคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย และการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถือเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสนใจ ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก นายสมชนะ กังวารจิตต์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท พร้อมท์ ดีไซน์ จำกัด ให้ความรู้และคำแนะนำอย่างเข้มข้นตลอดกิจกรรม
  • ทักษะการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นต้นแบบ หรือ แรงสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพ และเกิดการพัฒนาอยู่เสมอ โดยได้รับความร่วมมือจาก นายฉัตรชัย ระเบียบธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยอด คอร์ปอเรชั่น จำกัด ให้ความรู้พร้อมสร้างวิสัยทัศน์และพลังแห่งการสร้างสรรค์ด้านเกษตรกรรมตลอดทั้งโครงการ

กิจกรรมดังกล่าว เปิดรับสมัครเกษตรกรทั่วประเทศ โดยครอบคลุม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมและเกษตรกรแนวคิดใหม่ เช่น เกษตรกรที่มีแปลงปลูก หรือแปรรูป เกษตรกรภาคบริการ (ฟาร์มสเตย์ คาเฟ่ ท่องเที่ยว) เกษตรแนวคิดใหม่ เกษตรอุตสาหกรรม ( สินค้าแปรรูปจากวัตถุดิบทางการเกษตร) และห่วงโซ่อุปทานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในรูปแบบบริษัท วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือ OTOP จากนั้นจึงทำการแบ่งรอบแข่งขันใน 3 รอบ ดังนี้ 1.คัดกรองนักธุรกิจเกษตร 100 รายจากยอดผู้เข้าสมัครทั้งหมด 2.คัดเลือกนักธุรกิจเกษตรเหลือเพียง 40 ราย และ 3.คัดเหลือเพียง 10 สุดยอดไอดอลเกษตรกรไทย เพื่อวางวิสัยทัศน์ในการออกแบบ และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

สามารถติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรมได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ ga.thecreation หรือ ที่ กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2202 4534 หรือสำนักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2202 4502 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.facebook.com/dipindustry และ www.dip.go.th

Karmart จัดงาน #CathyDollใช้คู่กันฟินยิ่งกว่า

alivesonline.com : นายพงศ์วิวัฒน์  ทีฆคีรีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ “เคที่ดอลล์” (Cathy Doll) จัดงานเปิดตัวสินค้า #CathyDollใช้คู่กันฟินยิ่งกว่า คอลเลกชันใหม่ล่าสุด Cathy Doll Nude Matte Series อาทิ รองพื้น Skin Fit Nude Matte Foundation, แป้งพัฟ Skin Fit Nude Matte Powder Pact, ลิปสติก Nude Matte Lipstick, Lip & Cheek Nude Matte Tint, Glow Gel Tint และบลัชออน Nude Matte Blusher พร้อมเปิดตัวสองหนุ่มพรีเซนเตอร์โอปป้าสุดฮอต “ไบร์ท-วชิรวิชญ์  ชีวอารี” และ “วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร” ณ โรงแรม อนันตรา กรุงเทพฯ (ราชดำริ) เมื่อเร็ว ๆ นี้

Kaidee เผยตัวเลขการใช้งานครึ่งปีแรก 63

alivesonline.com : Kaidee แหล่งซื้อ-ขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย เปิดเผยตัวเลขการใช้งานครึ่งปีแรก 2563 มีผู้เข้ามาใช้บริการถึง 13 ล้านคน หรือกว่า 139 ล้านครั้ง โดยมีสินค้าปิดการขายได้มากกว่า 6.3 แสนหมื่นรายการประกาศผ่านแพลตฟอร์ม Kaidee หรือนับโดยเฉลี่ยคือ ทุก ๆ 25 วินาทีจะมีสินค้าขายได้หนึ่งชิ้น

สำหรับหมวดหมู่หลักที่มีผู้ใช้งานสูงสุด 5 อันดับแรกใน Kaidee ได้แก่

1.รถมือสอง มีการใช้งานกว่า 23 ล้านครั้ง

2.มอเตอร์ไซค์ มีการใช้งานกว่า 14 ล้านครั้ง

3.อสังหาริมทรัพย์ มีการใช้งานกว่า 10 ล้านครั้ง

4.มือถือ แท็บเล็ต มีการใช้งานกว่า 9 ล้านครั้ง

5.พระเครื่อง มีการใช้งานกว่า 9 ล้านครั้ง

ส่วน 10 คำค้นหายอดฮิตจากผู้ใช้งาน Kaidee ในปีที่ผ่านมา ได้แก่

1.รถ/รถยนต์

2.บ้าน/บ้านเช่า

3.หน้ากากอนามัย

4.Apple Watch

5.ตู้เย็น

6.ที่ดิน

7.แมว

8.iPad

9.BMW

10.PCX

แนวโน้มการใช้งาน Kaidee ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเศรษฐกิจซบเซาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่คนไทยมีความต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายด้วยการเปลี่ยนสิ่งของที่ไม่ได้ใช้รอบตัวให้กลายเป็นเงิน รวมถึงการหารายได้เสริมในการขายสินค้าออนไลน์

ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น Kaidee จึงมีการขยายทีมงานอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ที่สนใจร่วมงานสามารถดูรายละเอียดตำแหน่งงานเพิ่มเติมได้ที่ Team.Kaidee.com

“ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี” เปิดบ้านต้อนรับ BOI เยี่ยมชมเทคโนโลยีระดับสากล

alivesonline.com : นายมานพ ธรรมสิริอนันต์ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SICT ให้การต้อนรับ นายชนินทร์ ขาวจันทร์ (ที่ 4 จากขวา) ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมกิจการในฐานะที่เป็นองค์กรชั้นนำด้านนวัตกรรมการออกแบบและจำหน่ายไมโครชิพอัจฉริยะ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงและมีการบริหารจัดการที่ดีเยี่ยมในระดับสากล โดยมีผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 2 หน่วยงานร่วมพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาธุรกิจในอนาคต ณ สำนักงานบริษัทฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

“อนาบูกิ ธนาฮาบิแทต” พร้อมเปิดตัว Q4/63

alivesonline.com : ยักษ์อสังหาฯ แดนปลาดิบ “อนาบูกิ โคซัน กรุ๊ป” กับก้าวแรกในการพัฒนาโครงการในไทย อาศัยความเชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ ด้านบริการสุขภาพ (Healthcare Service) และการดูแลผู้สูงวัย (Senior Service) มาตอบโจทย์การพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดยนอกจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้ว ยังโฟกัสธุรกิจและบริการเกี่ยวกับสังคมผู้สูงวัยอย่างครบวงจร (Senior Management Business) อีกด้วย

แหล่งข่าวจาก “อนาบูกิ โคซัน” เปิดเผยว่า ANABUKI GROUP เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ประกอบด้วยบริษัทต่าง ๆ กว่า 35 บริษัท เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ในฝั่งตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น มูลค่าผลประกอบการในปีที่ผ่านมามากกว่า 3 หมื่นล้านบาท ดำเนินธุรกิจหลักใน 5 ส่วนงานธุรกิจ ได้แก่ การพัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว ธุรกิจรับสร้างบ้าน ธุรกิจการเป็นนายหน้าและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ งานบริการทรัพยากรมนุษย์มีส่วนร่วมในการจัดหาพนักงานชั่วคราวจ้างการสรรหาและบริการสนับสนุนการจ้างงาน ส่วนงานสิ่งอำนวยความสะดวกมีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานของโรงแรมและสนามกอล์ฟ ส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลมีส่วนร่วมในการจัดการสถานพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุและการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาล โรงเรียนสอนวิชาชีพการพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ ฯลฯ ส่วนงานอื่น ๆ ประกอบธุรกิจนำเที่ยวธุรกิจตัวแทนโฆษณาธุรกิจพลังงานและธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ต

Anabuki ยังมีความรู้ในด้าน Medical Care (Assisted Living Management & Nursing Care Insurances) ภายใต้แนวคิด “We Support Individual Freedom” ที่ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยที่สะดวกสบาย มีเจ้าหน้าที่กว่า 5-6 พันคน เพื่อทำธุรกิจบริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้มากกว่า 2 แสนครอบครัวทั่วประเทศญี่ปุ่น และยังจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจ Property Management ซึ่งใหญ่เป็นอับดับที่ 12 ของญี่ปุ่น และยังเปิดการอบรมให้ทั้งพนักงานภายในและผู้ที่สนใจในการเรียนรู้ Property Management ในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้รับบริการอีกด้วย อาทิ โรงเรียน, ธุรกิจบันเทิงต่าง ๆ (Entertainment), Medical Care, ผลิตไฟฟ้า และ Supermarket เป็นต้น

ในตลาดการพัฒนาที่อยู่อาศัยของญี่ปุ่น Anabuki ถือเป็นลำดับที่ 6 ของบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่น โดยยึดปรัชญาในการบริหารที่ว่า “สร้างที่อยู่อาศัยที่เปี่ยมด้วยคุณค่าต่อผู้พักอาศัยและมีส่วนสนับสนุนต่อการสร้างวัฒนธรรมท้องถิ่นและประวัติศาสตร์ ทำให้ทั้งผู้อยู่อาศัยและสังคมมีความสุข” Anabuki Housing Service มีหลักการคือ ดูแลให้ลูกบ้านมีความสุข หลักการการบริหาร Property Management และทุกธุรกิจที่ Anabuki ทำ มีจุดมุ่งหมายเพื่อลูกค้าทุกคนมีชีวิตที่มีความสุข ดังนั้น การจะทำให้ลูกบ้านมีความสุข เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องก็ต้องมีความรู้หลายด้าน เป็น specialist ทั้งด้านก่อสร้าง และด้านบริการ

เมื่อเปรียบเทียบจำนวนประชากรของญี่ปุ่น 125 ล้านคน (50% มีอายุ 60 ปีขึ้นไป) ถือเป็น Super Senior Society ในขณะที่ประชากรของไทย 70 ล้านคน และมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ประมาณ 20% ของจำนวนประชากร ภายใน 2 ปีข้างหน้า (2565) สำหรับธุรกิจบริการของ Anabuki มีให้บริการครอบคลุมและจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีการจัดตั้ง Property Management Academy เพื่อฝึกฝนให้ผู้รับการอบรมมีความรู้ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Property โดยที่ Anabuki สามารถตอบสนอง ให้การสนับสนุนได้ทุกอย่าง เพื่อบุคลากรป้อนสู่งานบริการด้านนี้

Anabuki มองว่า บริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยในปัจจุบันยังไม่มีใครทำด้าน Senior Management Business อย่างจริงจัง จึงเล็งเห็นว่า นี่เป็นโอกาสในการนำความรู้ ความเชี่ยวชาญของ Anabuki ที่จะนำมาผสมสานร่วมกันกับความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยในเมืองไทยของ กลุ่มธนาสิริ ในการมุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างครอบครัวในสังคมที่ร่มรื่นและอบอุ่นให้แก่ลูกค้าในทุกช่วงจังหวะชีวิต โดยร่วมกันเปิดมิติใหม่ของ Property ในเมืองไทย จึงร่วมกันก่อตั้ง “บริษัท อนาบูกิ ธนาสิริ (ประเทศไทย) จำกัด” ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ธนาสิริกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) กับ บริษัท อนาบูกิ โคชัน จำกัด และ บริษัท ไทยโคโนอิเกะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 50%, 49% และ 1% ตามลำดับ โดย “อนาบูกิ โตซัน” เชื่อว่า สังคมที่ดีจะต้องเริ่มต้นจากการมีชุมชนที่ดี ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยใช้หลักการทำงานที่คำนึงถึงคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ “ธนาสิริ” ในการมุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างครอบครัวในสังคมที่ร่มรื่นและอบอุ่นให้แก่ลูกค้าในทุกช่วงจังหวะชีวิต เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดี ให้ความสำคัญกับชุมชน

สำหรับบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะทยอยพัฒนาโครงการต่าง ๆ ร่วมกันในคอนเซ็ปต์ที่จะผสานความเป็นอยู่ของ 3 เจนเนอเรชั่นเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ใช่แค่การพัฒนาที่อยู่อาศัย แต่ต้องการพัฒนาให้เป็น “บ้าน” ที่มีความสุขของสมาชิกทุกคนในครอบครัว โดยโครงการแรกที่จะพัฒนาคือ โครงการ “อนาบูกิ ธนาฮาบิแทต”  ด้วยสังคมส่วนตัวเพียง 88 ยูนิต มูลค่าโครงการที่ 600 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพติดถนนใหญ่ ใกล้สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ โอบล้อมด้วยธรรมชาติสุดร่มรื่น ใกล้แม่น้ำจ้าพระยา และติดพื้นสีเขียวขนาดใหญ่ โดยจะเปิดตัวประมาณไตรมาส 4/2563

เปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นพลังงานกับ “โรงแรมไฮโดรเจน” แห่งแรกของโลก

alivesonline.com : ขยะพลาสติกกำลังทำลายท้องทะเลและมหาสมุทรของเรา มลพิษทางทะเลกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของโลก ดังจะเห็นได้จากการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G 20 (G20 Summit) ในปี ค.ศ.2019 ที่ผ่านมา ประเด็นนี้ถูก หยิบยกขึ้นมาพูดคุยเพื่อหาทางออก

ทุกวันนี้เราจึงเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการที่บรรดาร้านค้าต่าง ๆ ยกเลิกการใช้หลอดพลาสติก หรือเริ่มคิดเงินค่าถุงพลาสติกซึ่งปกติจะใส่ให้ฟรี ดังจะเห็นได้ว่าในประเทศญี่ปุ่นทั้งภาครัฐและเอกชนมีความก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัดสำหรับ “กลยุทธ์วัฏจักรวัสดุพลาสติก” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2018 ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อนำวัสดุพลาสติกไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แทนที่จะทิ้งให้กลายเป็นเพียงเศษขยะเท่านั้น

หนึ่งในวิธีการรับมือกับปัญหานี้ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ใจกลางกรุงโตเกียวในปัจจุบัน คือโครงการภายใต้การดูแลของเมืองคาวาซากิที่มีชื่อว่า “ยุทธศาสตร์ไฮโดรเจนแห่งคาวาซากิ” แม้ว่าในปัจจุบัน คาวาซากิจะเป็นเมืองที่กำลังเติบโตและมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ในอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยประสบกับปัญหามลพิษอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม จุดเด่นอย่างหนึ่งของเมืองคาวาซากิคือ มีบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากตั้งอยู่ ซึ่งหลายแห่งก็ได้พัฒนาเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมขั้นสูงเพื่อช่วยต่อสู้กับปัญหามลพิษในเมือง ณ ขณะนี้ทางเมืองก็ได้จับมือกับบริษัทใหญ่หลายบริษัทในการพัฒนาและนำพลังงานไฮโดรเจนมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในโครงการที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือนี้คือ “โรงแรมไฮโดรเจน” แห่งแรกของโลก ซึ่งเปิดทำการเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.2018 โดยมีเป้าหมายในการผลิตพลังงานไฮโดรเจนด้วยขยะพลาสติกและนำพลังงานที่ได้มาใช้งานภายในโรงแรม

ในบทความนี้ เราได้พูดคุยถึงการทำงานเบื้องหลังโครงการนี้กับตัวแทนจากบริษัท โชวะ เดนโกะ เค เค (Showa Denko K.K.) ซึ่งเป็นผู้นำโครงการ และบริษัท โตชิบา เอ็นเนอร์ยี่ ซิสเต็มส์ แอนด์ โซลูชัน คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนหลัก

“โรงแรมไฮโดรเจน” แห่งแรกของโลก

โรงแรมไฮโดรเจนประจำเมืองคาวาซากิแห่งนี้ มีชื่อเต็มว่า โรงแรม คาวาซากิ คิง สกายฟรอนต์ โตคิว เร (Kawasaki King Skyfront Tokyu REI Hotel) ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ.2018 ท่ามกลางความสนใจจากสื่อจำนวนมาก ด้วยนวัตกรรมอันโดดเด่นของตัวโรงแรมที่สามารถผลิตไฮโดรเจนจากขยะพลาสติกและนำพลังงานที่ได้มาใช้ภายในโรงแรม คิดเป็น 30% ของปริมาณพลังงานทั้งหมดที่โรงแรมต้องการ ซึ่งในปีแรกที่เปิดทำการ ทางโรงแรมได้ทดลองรีไซเคิลขยะพลาสติกทุกอย่าง แม้แต่ของใช้ต่าง ๆ ในห้องพัก (อย่างเช่น แปรงสีฟัน หรือหวี) เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตไฮโดรเจน ในขณะที่แขกที่มาเข้าพักที่โรงแรมเองก็ชื่นชอบเอกลักษณ์ความแปลกใหม่ของโรงแรมเป็นอย่างมาก โดยบอกว่ามันทำให้พวกเขาใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไปโดยปริยาย เราจึงพูดได้ว่า โรงแรมนี้มีส่วนสำคัญในการสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง

กระบวนการรีไซเคิลขยะพลาสติก

จับมือกันไขปัญหาห่วงโซ่อุปทานไฮโดรเจน

โรงแรมไฮโดรเจนแห่งนี้ เกิดขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีของ โชวะ เดนโกะ และโตชิบา นายโชทาโร่ ทาคายามะ ผู้จัดการกลุ่มการวางแผนงาน โรงงานคาวาซากิ บริษัท โชวะ เดนโกะ เค เค (Showa Denko K.K.) ย้อนนึกถึงการทำงานในโครงการนี้ว่า

“โครงการนี้ เราต้องทำการเชื่อมต่อทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ทีละจุด จากขยะพลาสติกไปสู่โรงแรม โดยภารกิจสำคัญที่เราต้องทำคือการค้นหาว่า เราจะเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานไฮโดรเจนนี้เข้ากับเมืองคาวาซากิได้อย่างไร”

ที่บริษัท โชวะ เดนโกะ มีการรีไซเคิลขยะพลาสติกกว่า 195 ตันต่อวัน และได้พัฒนานวัตกรรมที่เรียกว่า กระบวนการรีไซเคิลพลาสติกคาวาซากิ (KPR)” ซึ่งนำขยะพลาสติกมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตแอมโมเนีย โดยกระบวนการนี้จะทำการรีไซเคิลขยะพลาสติกให้กลายเป็นไฮโดรเจน จากนั้นก็นำไฮโดรเจนที่ได้มาใช้เป็นพลังงานในโรงแรม แต่การจะทำให้ห่วงโซ่อุปทานนี้สมบูรณ์ พวกเขาต้องการเทคโนโลยีที่จะสามารถเปลี่ยนไฮโดรเจนให้กลายเป็นพลังงานความร้อนและพลังงานไฟฟ้าได้

สำนักงานใหญ่ของบริษัท โตชิบา เอ็นเนอร์ยี่ ซิสเต็มส์ แอนด์ โซลูชัน คอร์ปอเรชั่น (Toshiba ESS) เองก็ตั้งอยู่ที่เมืองคาวาซากิเช่นกัน และด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงซึ่งได้สั่งสมมาตั้งแต่ช่วงปีทศวรรษ 1960 บริษัทจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ “H2Rex™” ซึ่งเป็นระบบเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนบริสุทธิ์ที่จะทำการเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นพลังงานความร้อนและพลังงานไฟฟ้า โดยไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่ง ณ เวลาที่โครงการนี้ได้ถือกำเนิดขึ้น ทางบริษัทฯ ได้ติดตั้งระบบที่ว่านี้มากกว่า 100 สถานที่ รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อด้วย

ไม่นานทั้งสองบริษัทก็ตระหนักว่า เทคโนโลยีทั้งสองตัวนี้สามารถนำมารวมกันให้เกิดสิ่งที่น่าอัศจรรย์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างห่วงโซ่อุปทานไฮโดรเจนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

นี่เป็นครั้งแรกที่ระบบเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนบริสุทธิ์ “H2Rex™” จะถูกนำมาติดตั้งกับโรงแรมขนาดใหญ่อย่างโรงแรมไฮโดรเจนแห่งนี้ ซึ่งในระหว่างที่ดำเนินการทดลองระบบ พวกเขาก็พบว่า โหลดพลังงานไฟฟ้ามีความผันผวนสูงเกินกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้มาก พวกเขาจึงต้องหาวิธีมาควบคุมความผันผวนนี้

นายทาคาฮิโกะ อาเบะ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ แผนกออกแบบระบบฝ่ายธุรกิจพลังงานไฮโดรเจน บริษัท โตชิบา เอ็นเนอร์ยี่ ซิสเต็มส์ แอนด์ โซลูชัน คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า

“เราทำการลองผิดลองถูก โดยอาศัยความรู้ที่เราได้จากกรณีศึกษาอื่น ๆ ที่ผ่านมา จนในที่สุดระบบก็เสร็จสมบูรณ์ก่อนที่โรงแรมจะเปิดทำการเพียงไม่กี่วัน ตอนนั้นเรากังวลกันมากว่าจะสามารถวางระบบได้สำเร็จก่อนวันเปิดทำการหรือไม่ แต่สุดท้ายทั้งทีมเซลส์และทีมเทคโนโลยี รวมถึงทีมงานจากโชวะ เดนโกะ ก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจนประสบผลสำเร็จด้วยดี พวกเราจึงสามารถสร้างระบบเซลล์เชื้อเพลิงที่มีความเสถียรในการส่งกระแสไฟฟ้าสู่โรงแรมได้ในที่สุด”

แต่ในตอนนั้น พวกเขาไม่รู้เลยว่ามีอุปสรรคที่ใหญ่กว่ากำลังรอพวกเขาอยู่เบื้องหน้า

ระบบท่อส่งไฮโดรเจน

เขตโทโนมาจิในเมืองคาวาซากิได้ลงทะเบียนเป็นโซนพิเศษเชิงยุทธศาสตร์แห่งชาติในชื่อ “เขตยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศโทโนมาจิ” ที่นี่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรม อีกทั้งยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็วเพื่อเปลี่ยนเขตนี้ให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับการวิจัยและพัฒนาและการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ระดับสูงสุดของโลก

นายทาคายามะ กล่าวเพิ่มเติมว่า

“จริงอยู่ที่ว่าพวกเราโชคดีในหลาย ๆ เรื่อง อย่างเช่น โทโนมาจิ คิง สกายฟรอนต์ ซึ่งในตอนนั้นเป็นพื้นที่ที่กำลังพัฒนาใหม่ นั่นหมายความว่าเราสามารถเริ่มพูดคุยถึงการดำเนินโครงการนี้ได้ตั้งแต่ยังไม่มีการก่อสร้างอาคาร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะราบรื่นไร้ปัญหา เพื่อที่จะเชื่อมต่อท่อส่งไฮโดรเจนเข้ากับตัวโรงแรม เราต้องทำการขยายท่อส่งยาวขึ้นอีก 1 กิโลเมตร นอกจากนี้ การติดตั้งท่อส่งไฮโดรเจนเองก็เป็นเรื่องที่ใหม่มาก การผลักดันโครงการไปข้างหน้าจึงเต็มไปด้วยอุปสรรคจนบางครั้งเราเองก็รู้สึกหมดหวังเหมือนกัน”

ระบบท่อส่งไฮโดรเจนจะทำให้เราสามารถจัดส่งไฮโดรเจนในปริมาณมากได้อย่างมีเสถียรภาพ อีกทั้งยังเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดคาร์บอนต่ำ เนื่องจากการจัดส่งวิธีนี้ไม่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) อันที่จริงผลคำนวณที่ได้จากการทดสอบนั้นน่าทึ่งมาก เพราะทั้งห่วงโซ่อุปทานนี้ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ต่ำกว่าการใช้พลังงานประเภทอื่น ๆ ถึง 80%

“การต่อท่อส่งไฮโดรเจนเข้าสู่โรงแรมเป็นโครงการที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย เราจึงต้องไปอธิบายโครงการนี้ให้กับองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องฟัง องค์กรที่โดยปกติแล้วเราแทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ เลย ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐและเทศบาล บริษัทคู่ค้า สมาคมเพื่อนบ้าน ไปจนถึงผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ” นายทาคายามะ กล่าว

การเจรจากับองค์กรต่าง ๆ ดำเนินไปเป็นเวลาเกือบสองปี จนในที่สุด ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.2018 ห่วงโซ่อุปทานไฮโดรเจนก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์

โรงงานรีไซเคิลพลาสติก ที่โชวะ เดนโกะ คาวาซากิ (ซ้าย) / ระบบเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนบริสุทธิ์ “H2Rex™” ซึ่งติดตั้งที่โรงแรม คาวาซากิ คิง สกายฟรอนต์ โตคิว เร (ขวา)

นำ “คาวาซากิโมเดล” ไปใช้สำหรับทุกพื้นที่บนโลก

ณ ตอนนี้ เป้าหมายในอนาคตของทั้งสองบริษัทคืออะไร?

“เราอยากจะขยายโครงการที่เราได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นมากับทุกภาคส่วน และนำไปใช้งานกับสถานที่อื่น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโรงแรมเท่านั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราต้องทำ อย่างเช่นนำคนมาเยี่ยมชมโครงการของเรา ในช่วง 2-3 ปีมานี้ มีคนมากมายที่เดินทางมาจากต่างประเทศเพื่อมาเยี่ยมชมโครงการของเรา ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้รับความสนใจจากคนทั่วทุกมุมโลก โดยในปัจจุบันมันเป็นเรื่องยากขึ้นมากที่แต่ละประเทศจะส่งออกขยะพลาสติกไปกำจัดที่อื่นได้ ประเทศต่าง ๆ จะต้องหาทางแก้ปัญหานี้ด้วยตนเอง เราจึงคิดว่าเราต้องหาทางโปรโมตโครงการนี้ในทุกช่องทาง เพื่อเป็นกรณีตัวอย่างสำหรับการสร้างสังคมไฮโดรเจนที่จะสามารถแก้ไขปัญหาพลาสติกล้นโลกได้อย่างตรงจุด”

“ดังนั้น แทนที่จะนำเสนอโครงการนี้ให้คนฟังทีละคน เราอยากจะโปรโมตมันให้คนทั่วไปได้รับรู้ แสดงให้โลกเห็นว่ายังมีอีกหนึ่งวิธีในการจัดการกับปัญหาขยะพลาสติก และผมคิดว่ามันจะมีความหมายมากขึ้นเป็นพิเศษหากทางเมืองคาวาซากิเข้าร่วมการโปรโมตในด้านนี้ เพราะเมืองนี้เองก็เคยประสบปัญหาด้านมลพิษมาก่อน” นายทาคายามะ อธิบาย

ด้าน นายทาคุยะ ซูซูกิ ผู้ชำนาญพิเศษ แผนกพัฒนาธุรกิจ ฝ่ายธุรกิจพลังงานไฮโดรเจน บริษัท โตชิบา เอ็นเนอร์ยี่ ซิสเต็มส์ แอนด์ โซลูชัน คอร์ปอเรชั่น กล่าวเสริมว่า

“ในโครงการโรงแรมไฮโดรเจนนี้ เราได้ทำงานร่วมกับทาง โชวะ เดนโกะ ในการสร้างระบบที่สามารถผลิตพลังงานขึ้นจากขยะได้ การกำจัดขยะพลาสติกกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในสังคม ไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ในทุกพื้นที่ทั่วโลก เราจึงอยากจะใช้องค์ความรู้ที่เราได้รับจากการพัฒนาโรงแรมไฮโดรเจนแห่งนี้มาเป็นโซลูชันสำหรับพื้นที่ที่กำลังประสบปัญหาเช่นนี้ทุกหนแห่งในโลก”

“เรารู้ดีว่า นี่ยังห่างไกลจากความสำเร็จสูงสุดของโครงการนี้ เราหวังว่าอีกไม่นาน โซลูชันนี้จะก้าวไกลเกินกว่าบ้านเกิดอย่างเมืองคาวาซากิ ไปสู่สถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก พร้อมนำพาเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นร่วมทางไปด้วยเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาพลาสติกในทุก ๆ พื้นที่”

คือบทสรุปที่โครงการนี้คาดหวังและมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไป

กระทรวงวัฒนธรรม จัดงาน “สายธารพระเมตตา จากภูมิปัญญา สู่สากล” เทิดพระเกียรติสมเด็จฯ พระพันปีหลวง

alivesonline.com : กระทรวงวัฒนธรรม เตรียมจัดงาน “สายธารพระเมตตา จากภูมิปัญญา สู่สากล” นิทรรศการและการแสดงผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไหมไทย เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาผ้าไหมไทย ระหว่างวันที่ 3-23 สิงหาคม 2563 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน

ทั้งนี้ ในวันที่ 3 สิงหาคม 2563 จะมีพิธีเปิดนิทรรศการอันวิจิตรตระการตาที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ล้ำค่าผ้าไหมไทยสู่สากล” โดยจะมีการแสดงผลงานต่าง ๆ เพื่อเชิดชูผลงานและพระราชปณิธานของสมเด็จฯ พระพันปีหลวง ผ่านเรื่องราวอันเป็นที่มาของพระราชดำริในการนำศิลปหัตถกรรม อาทิ การแสดงถึงชีพจักรไหม, แสดงการย้อมสี, การทอผ้าไหม, ผลงานผลิตภัณฑ์จากผ้าไหม และการจัดแสดงการจัดชุดฝีพระหัตถ์ รวมถึงการแสดงหุ่นโชว์ชุดราตรีผ้าไหมไทย ฝีพระหัตถ์ ทรงออกแบบโดย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และผลงานของดีไซน์เนอร์ไทย 19 คน 19 สไตล์ ที่ร่วมออกแบบชุดราตรี “Thai Night” ในการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 และไฮไลต์แฟชั่นโชว์ชุดผ้าไหมไทยว่า 12 ชุด แสดงแบบโดย มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 อาทิ ฟ้าใส – ปวีณสุดา ดรูอิ้น, มิเรียม – ศรพรหมมาศ, เบลล่า – ธนัชพร บุญแสง, คิม – โดเชคาโลวา และ เฟริส – ภัทราพร หวัง

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.m-culture.go.th

“ทีเส็บ” ให้งบฯ เอกชน 1.5-3 หมื่นบาท “ประชุมเมืองไทย ปลอดภัยกว่า”

alivesonline.com : “ทีเส็บ” เปิดตัวโครงการ “ประชุมเมืองไทย ปลอดภัยกว่า” ให้งบฯ สนับสนุนองค์กรเอกชน 1.5-3 หมื่นบาท จัดประชุมสัมมนาและให้รางวัลพนักงานเดินทางในประเทศ กลุ่มละ 30 คนขึ้นไป มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงที่นักเดินทางไมซ์ต่างประเทศยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาทำกิจกรรมในประเทศได้

นายสราญโรจน์ สุทัศน์ชูโต ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ภาคกลางและภาคตะวันออก สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกที่ยังคงรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักธุรกิจไมซ์โดยเฉพาะกลุ่มประชุมสัมมนาจากต่างประเทศ ไม่สามารถเดินทางเข้ามาทำกิจกรรมในประเทศไทยได้ อีกทั้งจากนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมหน่วยงานรัฐและเอกชนจัดประชุม อบรมสัมมนา และการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลนอกสถานที่ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการและกระตุ้นเศรษฐกิจจากการจัดกิจกรรมในประเทศ

“ทีเส็บ” จึงเร่งจัดทำโครงการ “ประชุมเมืองไทย ปลอดภัยกว่า” เพื่อส่งเสริมหน่วยงานรัฐและเอกชนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกระจายรายได้ไปยังชุมชนในภูมิภาคต่าง ๆ ผ่านการจัดประชุมสัมมนาในประเทศ โดยให้การสนับสนุนงบประมาณการจัดงานกับองค์กร บริษัท และผู้ประกอบการไมซ์ที่มีแผนจะจัดประชุม (Meetings) การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentives) งานสัมมนา (Seminars) การอบรม (Training) กิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) กิจกรรมพนักงานสัมพันธ์ (Outing) หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่ใช้สถานที่ในประเทศ โดยตั้งเป้ามีหน่วยงานสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 534 กลุ่ม สร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจกว่า 235 ล้านบาท

คุณสมบัติของผู้รับการสนับสนุน คือ องค์กรเอกชน หรือบริษัทรับจัดการธุรกิจไมซ์ (Destination Management Company (DMC) บริษัทรับจัดประชุม บริษัทนำเที่ยว โรงแรม หรือสถานที่จัดงาน ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมทั้งโรงแรม หรือสถานที่จัดงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Thailand MICE Venue Standard (TMVS) หรือ ASEAN MICE Venue Standard (AMVS) หรือนิติบุคคลที่จัดตั้งตามกฎหมายไทย อาทิ องค์กรและสมาคมที่จดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด และมหาวิทยาลัยเอกชน

เงื่อนไขการสนับสนุนแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ 1.สนับสนุนงบประมาณในรูปแบบบัตรกำนัล (Voucher) ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทต่อกลุ่ม สำหรับการจัดกิจกรรมเป็นเวลา 1 วัน (ไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง) และ 2.สนับสนุนงบประมาณในรูปแบบบัตรกำนัล (Voucher) ไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อกลุ่ม สำหรับการจัดกิจกรรมอย่างน้อยเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน ทั้งนี้ สามารถจัดกิจกรรมนอกสถานที่ตั้งขององค์กรภายในจังหวัด หรือข้ามจังหวัด และมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่า 30 คนต่อกลุ่ม โดยขอรับการสนับสนุนได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 และจะต้องยื่นขอรับการสนับสนุนล่วงหน้า 10 วันก่อนเริ่มดำเนินกิจกรรม และจัดกิจกรรมให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563

ผู้ที่สนใจขอรับการสนับสนุนโครงการ “ประชุมเมืองไทย ปลอดภัยกว่า” สามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.thaimiceconnect.com / Facebook : Thaimiceconnect หรือ Line : @thaimiceconnect และสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร 0 2021 5515