เตือนหยุดเลี้ยงกุ้งในภาวะวิกฤติ COVID-19

alivesonline.com : อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรฯ รัฐบาลประยุทธ์ 1 ออกโรงเตือนผู้เลี้ยงกุ้ง “ต้องเอาตัวให้รอด” ชะลอ หรือหยุดเลี้ยงกุ้งในสถานการณ์วิกฤติ COVID-19 และปัจจัยลบรอบด้าน เตือนยุคทองการเลี้ยงกุ้งที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมีผลผลิตประมาณ 4-5 แสนตันจะไม่กลับมาอีกแล้ว โดยเฉพาะตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นอเมริกาและญี่ปุ่นที่ลดการนำเข้า แนะทางออกลดขนาดโรงเพาะฟักให้มีขนาดเล็ก พร้อมลดปริมาณการผลิตลูกกุ้งเหลือเดือนละ 500-700 ล้านตัว

นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมัยนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 1 เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ขณะนี้ผู้เลี้ยงกุ้งอาจได้รับผลกระทบซึ่งจะเลวร้ายยิ่งกว่ายุคเศรษฐกิจล่มสลายจากฟองสบู่แตก ปี 2540 รวมถึงการระบาดของโรค EMS และยิ่งกว่าทุก ๆ เรื่องที่มีผลต่อการเลี้ยงกุ้ง เนื่องจากสถานการณ์นี้ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไร ตลอดจนปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริโภคชะลอตัว อาทิ สายการบินหยุดการบิน โรงแรม ร้านอาหาร และภัตตาคารปิด การท่องเที่ยวหยุดชะงัก กีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นเลื่อน ธนาคารชาติออกแถลงเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 ว่า GDP ของประเทศไทยจะติดลบ 5.3% ตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ถ้าขายกุ้งเนื้อไม่ได้ก็จะส่งผลกระทบมายังผู้เพาะลูกกุ้ง ดังนั้นจึงขอเตือนและแจ้งไปยังผู้ผลิตลูกกุ้งต้องลดปริมาณการผลิตลงมากกว่า 50% จากเดิมที่เคยใช้ลูกกุ้งในแต่ละเดือนเฉลี่ยประมาณ 2 พันล้านตัว ให้เหลือแค่ 500-700 ล้านตัว โดยลดขนาดโรงเพาะฟักให้มีขนาดเล็กลดลงพอเลี้ยงตัวเองและลูกจ้างได้ ยกเว้นหากผู้เลี้ยงกุ้งที่มีตลาดอยู่แล้วก็สามารถทำสัญญาสั่งซื้อลูกกุ้งได้

สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการในขณะนี้คือผู้เลี้ยงกุ้งต้องเอาตัวให้รอด โดยต้องชะลอหรือหยุดการเลี้ยงกุ้ง เพราะการขายกุ้งทำได้ลำบาก ยุคการเลี้ยงกุ้งที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมีผลผลิตประมาณ 4-5 แสนตันจะไม่กลับมาอีกแล้ว ประเทศไทยปีนี้มีผลผลิตถึง 1 แสนตันก็เก่งมากแล้ว เนื่องจากตลาดสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น น่าจะหายไปอย่างมาก ส่วนตลาดจีนยังพอมีความหวังบ้าง แต่ก็มีเปอร์เซ็นต์การนำเข้ากุ้งจากไทยเพียง 10-20% ดังนั้น ตลาดหลักเรายังเป็นสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ขณะที่ความต้องการภายในประเทศก็มีแนวโน้มลดลง เราต้องเข้าใจกันว่ากุ้งไม่ใช้อาหารที่จำเป็น เพราะมีสินค้าโปรตีนประเภทอื่นที่ทดแทนได้ กุ้งเป็นสินค้า สำหรับเศรษฐกิจที่ดี คนต้องมีเงินถึงจะกินกุ้งได้ การบริโภคกุ้งภายในประเทศ เดิมมีประมาณ 6-7 หมื่นตันต่อปี เราปิดเมือง ปิดการท่องเที่ยว คนซื้อกุ้งจากจังหวัดต่าง ๆ จึงมีปริมาณลดลงอย่างมาก

“ผมเป็นผู้ผลักดันให้สร้างชมรมการเลี้ยงกุ้ง สมาพันธ์การเลี้ยงกุ้งในทุกภูมิภาค ซึ่งมีอุปสรรคมากมาย เราเคยล้มและเราก็สามารถลุกขึ้นมาได้ เรากลับมาจากปัญหา EMS ด้วยระบบจุลินทรีย์ ด้วยระบบการปรับปรุงพันธุ์กุ้ง ด้วยระบบความสมดุลแร่ธาตุเพื่อสุขภาพของกุ้ง ด้วยระบบพ่อแม่พันธุ์ปลอดโรค เรามีระบบคลัสเตอร์ ซึ่งทำให้เข้าใจถึงต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มาสู่การมีข้อมูลอย่างสมบูรณ์ มีการผลิตลูกกุ้งเท่าไรในแต่ละเดือน มีแหล่งผลิตอยู่ที่ไหน แต่ละเดือนมีผลผลิตกุ้งเท่าไร ตามรายงานของ FMD มีการขายกุ้งเนื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยระบบ MD ข้อมูลการส่งออกจากศุลกากร ทราบว่ามีการส่งออกเท่าไร มีการประเมินการบริโภคภายในประเทศ ทราบถึงราคา มีการแจ้งราคาของแพกุ้ง มีการพูดคุยของคณะกรรมการฯ ที่พูดถึงความสำเร็จและความล้มเหลวของแต่ละกิจกรรม ผมกล้าพูดได้เลยว่าไม่มีสินค้าเกษตรตัวอื่นที่จะทำข้อมูลได้สมบูรณ์เท่ากับกุ้ง ผมยังนำหลักการการบริหารโดยใช้ข้อมูลในสินค้าตัวอื่น เช่น ลำไย และทุเรียน ในสมัยที่เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คนเลี้ยงกุ้งในทุกภูมิภาคให้ความร่วมมือกันทำให้ฝ่าฟันอุปสรรคได้เสมอ โดยเฉพาะท่านประธานชมรมการเลี้ยงกุ้งในทุกจังหวัด และสมาพันธ์ฯ”นายนิวัติ กล่าว

ทั้งนี้ จากข้อมูลการผลิตลูกกุ้งของกรมประมงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ประเทศไทยสามารถผลิตลูกกุ้งได้ 2.5 พันล้านตัว ส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออก มากกว่า 1 พันล้านตัว ภาคใต้มาจากจังหวัดสงขลา และภูเก็ตประมาณ 400 ล้านตัว ส่วนกุ้งเนื้อในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 มีผลผลิต 1.5 หมื่นตัน ส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออก มากกว่า 4 พันตัน โดยเฉพาะจังหวัดฉะเชิงเทรา และตราด ส่วนภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย มีผลผลิต 4 พันตัน ส่วนใหญ่มาจากสุราษฎร์ธานี และสงขลา ส่วนภาคใต้ฝั่งอันดามัน มีผลผลิต 3 พันตัน ส่วนใหญ่มาจากตรัง

กอนช.ย้ำเหตุน้ำท่วมซ้ำรอยปี 54 เป็นข่าวเก่า

alivesonline.com : “กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ” วอนหยุดแชร์ข่าวกรณีนักวิชาการให้สัมภาษณ์จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ซ้ำรอยปี 54 ย้ำเป็นข่าวเก่า หวั่นสังคมเกิดความสับสน

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวการให้สัมภาษณ์ของนักวิชาการเมื่อปี 2558 ที่ระบุว่าในปี 2563 จะเกิดน้ำท่วมใหญ่เหมือนปี 2554 ที่ผ่านมา และมีการส่งต่อกันในโลกโซเชียลมีเดียซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความสับสนและตื่นตระหนกได้นั้น คณะทำงานภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้มีการติดตามสภาพอากาศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวิเคราะห์คาดการณ์สภาพอากาศ แนวโน้มการก่อตัวของพายุอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย กรมอุตุนิยมวิทยา และ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ซึ่งได้ประเมินวิเคราะห์ร่วมกัน จึงขอชี้แจงใน 4 ประเด็นหลัก คือ

1.การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศล่วงหน้าและระยะยาว 5 ปี (ปี 2558-2563)

ดังนั้นจะมีความคลาดเคลื่อนสูง

2.ในปี 2554 เป็นปีที่เกิดปรากฏการณ์ลานีญากำลังแรง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งให้เกิดฝนตกหนัก แต่ในปี 2563 ยังไม่เกิดปรากฏการณ์ลานีญาแต่อย่างใด

3.จากการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนล่วงหน้า 3 เดือน ช่วงเดือน เม.ย. – มิ.ย.63 จะมีฝนตกต่ำกว่าค่าปกติ 5% ยกเว้นภาคใต้ ส่วนเดือน ส.ค. – ต.ค.63 จะมีฝนตกเพิ่มขึ้น

4.เมื่อเปรียบเทียบสภาพฝนตกปี 2554 กับ ปี 2563 จะพบว่า ในปี 2554 ฝนเริ่มตกตั้งแต่ปลายเดือน เมษายน และเกิดฝนตกหนักในประเทศไทยซึ่งเริ่มตกตั้งแต่ภาคเหนือ โดยมีฝนมากกว่าค่าปกติเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ประกอบกับมีพายุเข้าประเทศไทยโดยตรง 1 ลูก ขณะที่พายุอีก 4 ลูกมีอิทธิพลทำให้ฝนตกหนักเพิ่มขึ้นเท่านั้น

ส่วนปัจจุบันจากการคาดการณ์ของ กรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. ยังไม่พบสัญญาณการเกิดฝนที่จะตกหนักตั้งแต่ต้นฤดูฝน รวมไปถึงในปี 2554 ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำเก็บกับต้นฤดูฝน มีปริมาณน้ำมากกว่า 50% แต่ปี 2563 น้อยกว่า 30% โดยเฉพาะ 4 เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ปัจจุบันมีช่องว่างรองรับน้ำอยู่มากถึง 16,000 ล้านลูกบาศก์เมตรซึ่งหากมีฝนตกแบบปี 2554 แหล่งน้ำต่าง ๆ จะสามารถเก็บกักปริมาณน้ำฝนที่ตกได้ ดังนั้น โอกาสเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมแบบปี 2554 หรือเหตุบ่งชี้ที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงน้ำท่วมจะเท่ากับปี 2554 นั้นจึงไม่มีความเป็นไปได้แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จะประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้คณะทำงานกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ในการติดตามสภาพอากาศเป็นระยะ ๆ และประเมินแนวโน้มสถานการณ์น้ำ ปริมาณฝน พายุ รวมถึงแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรอบคอบ ใกล้ชิด ตลอดจนมีการเตรียมการรับมือล่วงหน้า และแจ้งเตือนหน่วยงานเกี่ยวข้อง และประชาชน หากมีแนวโน้มของสภาพอากาศที่จะส่งผลกระทบในบริเวณกว้างโดยทันที

 

“ออมสิน” เลื่อนลงทะเบียนและยื่นกู้สินเชื่อฉุกเฉินเป็น 15 เม.ย.63

alivesonline.com : ธนาคารออมสิน เลื่อนเปิดรับลงทะเบียนพร้อมกรอกข้อมูลใบสมัครออนไลน์ช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) “โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน (สำหรับผู้มีอาชีพอิสระ)” และ “โครงการสินเชื่อพิเศษ (สำหรับผู้มีรายได้ประจำ) ตามมติ ครม. จากวันที่ 1 เม.ย.63 เป็น วันที่ 15 เม.ย.63 ย้ำลงทะเบียนพร้อมกรอกข้อมูลใบสมัครออนไลน์ในเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th เท่านั้น !

ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารออมสินได้แจ้งประชาสัมพันธ์เรื่อง เปิดให้บริการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) และสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความจำนงใช้บริการผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน ในวันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป และให้เริ่มกรอกข้อมูลใบสมัครออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน ได้ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2563 เป็นต้นไป นั้น ธนาคารฯ ขอเลื่อนกำหนดการดังกล่าว เป็น เปิดให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบและต้องการเข้าโครงการสินเชื่อดังกล่าว เริ่มลงทะเบียนแจ้งความจำนงใช้บริการและกรอกข้อมูลใบสมัครออนไลน์ ได้ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2563 เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th เท่านั้น เนื่องจากเกรงว่าประชาชนจะเกิดความสับสนกับการลงทะเบียนเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือชดเชยรายได้จากการได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา (COVID-19) ซึ่งกระทรวงการคลังได้เปิดรับลงทะเบียนเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา และกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

สำหรับ “โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน” ตามมติคณะรัฐมนตรีนั้น ธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท ให้บริการด้วยสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 1 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ย 0.10% ต่อเดือน (Flat Rate) ผ่อนชำระคืนนานถึง 2 ปี โดยไม่ต้องชำระเงินกู้ 6 งวดแรก ที่สำคัญคือไม่ต้องใช้หลักประกันใด ๆ คุณสมบัติผู้กู้ มีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีขึ้นไป มีถิ่นที่อยู่อาศัยแน่นอน สามารถติดต่อได้ ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้เดือนละไม่เกิน 3 หมื่นบาท ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เช่น พ่อค้าแม่ค้า คนขับรถโดยสารแท็กซี่-สามล้อ มัคคุเทศก์ เป็นต้น

ขณะที่ “โครงการสินเชื่อพิเศษ” ตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อเสริมสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท ด้วย สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 5 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน (Flat Rate) ให้ผ่อนชำระคืนนานถึง 3 ปี โดยการค้ำประกันสามารถใข้บุคคล หรือหลักทรัพย์ค้ำประกันก็ได้ เพียงมีอายุ 20 ปีขึ้นไป สัญชาติไทย มีถิ่นที่อยู่อาศัยแน่นอน สามารถติดต่อได้ เป็นผู้มีรายได้ประจำแต่รายได้ลดลงหรือขาดรายได้เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และภัยอื่น ๆ ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้ ธนาคารออมสินเปิดให้บริการจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563

 

“ตลาดไท” จัด “รถพุ่มพวง” วิ่งตรงถึงประชาชน

alivesonline.com : “ตลาดไท” ตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหารครบวงจรที่สำคัญของประเทศ ประกาศความร่วมมือกับ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าโครงการตลาดไทช่วยไทย สู้ภัย COVID-19ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือคนไทยให้ก้าวผ่านสถานการณ์อันยากลำบากจากการระบาดของ COVID-19 โดยภารกิจสำคัญคือการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากเกษตรกรทั่วประเทศ และอาหารสดอาหารแห้ง ส่งตรงไปถึงมือผู้ซื้อถึงหน้าบ้าน ให้ได้เลือกซื้อสินค้าตามที่ต้องการ นอกจากนั้น ยังเปิดให้ประชาชนทั่วไปที่ต้องการหารายได้ สามารถเข้าร่วมเป็นหนึ่งในรถเร่ หรือ “รถพุ่มพวง” ของ “ตลาดไท” ได้อีกด้วย

นายโชคชัย คลศรีชัย รองประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด (ตลาดไท) กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยและประชาชนคนไทยทั้งประเทศกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่จากการระบาดของ COVID-19 “ตลาดไท” ขอเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมด้วยช่วยกันทำในสิ่งที่ทำได้ เพื่อช่วยกันนำพาประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปให้ได้ โดยใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของ “ตลาดไท” ในฐานะตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหารครบวงจรที่สำคัญของประเทศต่อยอดระบบนิเวศทางการค้าที่เอื้อโอกาสและอำนวยความสะดวกตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อช่วยเหลือทั้งเกษตรกรผู้ผลิต พ่อค้าแม่ค้า และผู้บริโภค

“โดยปกติจะมีผู้ประกอบการรถเร่ที่หมุนเวียนเข้ามาซื้อสินค้าจาก ตลาดไท ทั้งผัก ผลไม้ และอาหารสด จำนวนประมาณ 500 คันต่อวัน เพื่อนำออกไปวิ่งรถขายให้ประชาชนตามที่ต่าง ๆ ซึ่งในช่วงสถานการณ์นี้จะเน้นกระจายและจัดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด โดยผสมสินค้าทั้งอาหารสดอาหารแห้งที่หลากหลายเพื่อให้มีความครบครันทางโภชนาการ รวมถึงมีสินค้าที่จำเป็นสำหรับสถานการณ์แบบนี้ ประเภทอื่น ๆ เช่น เจลล้างมือ ไปพร้อมกันด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ต้องการสินค้า แต่ไม่สามารถ หรือไม่ต้องการเดินทางออกจากที่พัก”

ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการถูกพักงาน หรือถูกเลิกจ้างอย่างกระทันหันในสภาวะวิกฤติครั้งนี้ “ตลาดไท” จึงเดินหน้าขยายเครือข่ายผู้ประกอบการรถเร่ หรือรถพุ่มพวง ขายอาหารสด อาหารแห้ง และสินค้าอื่น ๆ โดยขอเชิญชวนผู้ที่มีรถกระบะและสนใจหารายได้ หรืออาชีพเสริม เข้าร่วมโครงการ “ตลาดไทช่วยไทย สู้ภัย COVID-19” โดย “ตลาดไท” ได้จัดเตรียมพื้นที่จอดรถซึ่งสามารถรองรับรถเร่หรือรถพุ่มพวงได้อย่างเพียงพอไว้อำนวยความสะดวก

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมเป็นเครือข่ายรถเร่ของโครงการ “ตลาดไทช่วยไทย สู้ภัย COVID-19” สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง โทรศัพท์ 0 2264 6264 หรือแอดไลน์ (LINE) พิมพ์ @talaadthai

“ออมสิน” จับมือ “สำนักสลากกินแบ่งรัฐบาล” ขึ้นเงินรางวัลสลากฯ งวดแรก 16 พ.ค.63

alivesonline.com : ธนาคารออมสิน ร่วมกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้บริการรับขึ้นเงินรางวัลสลากฯ ให้ประชาชนและผู้รับซื้อทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1 ผ่านธนาคารออมสิน 1,062 สาขาทั่วประเทศ เริ่มงวดแรก 16 พ.ค.ศกนี้

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะประธานกรรมการธนาคารออมสิน และประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการขึ้นรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ระหว่าง ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และ พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดย ธนาคารออมสิน จะเป็นตัวแทนในการให้บริการรับขึ้นเงินรางวัล ผ่านธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มทางเลือกและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ถูกรางวัลสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล

ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารฯ พร้อมเป็นตัวแทนสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในการให้บริการรับขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ผ่านช่องทางธนาคารออมสินสาขาทั่วประเทศ ที่มีอยู่กว่า 1,062 แห่ง เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนผู้ถูกรางวัลและผู้รับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล/สลากการกุศล สามารถขึ้นเงินรางวัลได้ง่ายและสะดวกสบายขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความปลอดภัยสูง เพราะสามารถฝากเงินเข้าบัญชี เพื่อทำธุรกรรมอื่น ๆ ของธนาคารได้ทันที รวมถึงสาขาของธนาคารออมสินทุกแห่ง สามารถตรวจสอบสลากฯ ด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันปัญหาการปลอมแปลง

ทั้งนี้ การขอรับขึ้นเงินรางวัล ผู้ถูกรางวัลจะต้องนำสลากกินแบ่งรัฐบาล/สลากการกุศล ฉบับจริง มาติดต่อด้วยตนเองที่ธนาคารออมสินสาขา โดยธนาคารจะรับขึ้นเงินทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 และรับเฉพาะสลากงวดปัจจุบันเท่านั้น ซึ่งสามารถขึ้นรางวัลได้ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันออกรางวัลในงวดนั้น ไปจนถึงเวลา 12.00 น. ของวันออกรางวัลในงวดถัดไป โดยจะคิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 1 ของมูลค่ารางวัลแต่ละรางวัล และค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ 0.5–1.0 ของมูลค่ารางวัล ตามประเภทของสลาก รวมเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.5–2.0 ของมูลค่ารางวัล ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการขึ้นรางวัลสลากฯ ได้ตั้งแต่งวดแรกวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

ด้าน พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สำนักงานสลากฯ มีตัวแทนให้บริการรับขึ้นเงินรางวัลผ่าน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารกรุงไทย จากเดิมสามารถขึ้นเงินรางวัลได้ที่สำนักงานสลากฯ ถนนสนามบินน้ำ จังหวัดนนทบุรี เพียงแห่งเดียว หรือตามแผงลอตเตอรี่และร้านค้าบางแห่ง ซึ่งคิดค่าธรรมเนียมสูงถึงร้อยละ 2-5 สำหรับความร่วมมือนี้ในครั้งนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ถูกรางวัลมีทางเลือกมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมที่ถูกเรียกเก็บเมื่อนำสลากไปขึ้นเงินรางวัลที่แผงลอตเตอรี่หรือร้านค้าบางแห่ง และสามารถช่วยบรรเทาปัญหาการนำสลากฯ ปลอมมาขึ้นเงินรางวัลได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากสาขาของธนาคารออมสินมีมาตรฐานในการตรวจสอบสลากฯที่ดี มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย และมีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการอบรมเป็นอย่างดี

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ www.gsb.or.th, Line Official, Facebook : GSB Society หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115

 

กระทรวง อว. เยี่ยมความพร้อม “ศิริราช” รับมือ COVID-19

วันนี้ (27 มี.ค.63) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เดินทางไปที่โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัย มหิดล เพื่อตรวจเยี่ยมความพร้อมของโรงพยาบาลในการรับมือสถานการณ์โรค COVID-19 ทั้งในด้านการรักษาพยาบาลและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ยืนยันโรงพยาบาลของโรงเรียนแพทย์จะเป็นกำลังสำคัญร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการดูแลคนไทย โดยมี ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ซึ่งดูแลมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศมีคณะแพทยศาสตร์และโรงพยาบาลของโรงเรียนแพทย์ในสังกัดกระทรวง ฯ จำนวนกว่า 23 แห่ง ซึ่งมีความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งในด้านกำลังคน แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยจำนวนมากเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการรองรับกับสถานการณ์ดังกล่าว

ในโอกาสนี้ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และ รศ.นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ได้นำ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เยี่ยมชมการปฏิบัติงานของคลินิกโรคอุบัติใหม่ (EID Clinic) ที่เป็นด่านหน้าในการรองรับผู้ป่วยและติดตามการปฏิบัติงานตามแผนการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลศิริราชต่อการรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโรค COVID-19 ทั้งด้านการบริหารจัดการเวชภัณฑ์ และการเตรียมโรงพยาบาล การจัดกำลังคน ตลอดจนการดูแลความปลอดภัยทั้งส่วนของผู้ปฏิบัติงาน แพทย์ พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ และบุคคลภายนอกด้วยมาตรการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ภายนอกโดยจัดเตรียมและใช้ห้องผู้ป่วยความดันลบ (Negative Pressure Room) และมีหอผู้ป่วยโรค COVID-19 แยกออกมาไว้สำหรับการปฏิบัติงานโดยเฉพาะ รวมทั้งเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ BSL-3 ของโรงพยาบาลซึ่งใช้สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรค COVID-19 โดยวิธีทางพันธุกรรม ขณะนี้ได้รองรับการตรวจเป็นจำนวนมากแล้ว

ทั้งนี้ กระทรวง อว. โดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ได้สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยเชื้อโรค COVID-19 เพื่อให้ห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยของประเทศไทยมีน้ำยาตรวจเพียงพอ สามารถผลิตน้ำยาตรวจมาตรฐานได้ในประเทศและมีราคาถูก และให้ทุนวิจัยและพัฒนาชุดการตรวจแบบใหม่ ๆ ทั้งการตรวจหาแอนติบอดีและแอนติเจน ในส่วนน้ำยาตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อด้วยเทคนิค RT-PCR (Real Time Reverse Transcription Polymerase Chain Reaction) ที่เป็นวิธีมาตรฐานสากลนี้ โดย กระทรวง อว. ได้สนับสนุนให้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ร่วมกับ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาชุดตรวจมาตรฐานดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันพร้อมสำหรับการส่งมอบเป็นครั้งแรกจำนวน 2 หมื่นชุดภายในสัปดาห์หน้า โดยมีกำลังการผลิต 1 แสนชุดต่อเดือน และเตรียมที่จะขยายกำลังการผลิตให้เป็น 2 แสนชุดต่อเดือนในระยะต่อไปเพื่อให้เพียงพอกับการใช้งานของประเทศ

เปิดตัว RADO Captain Cook Bronze การหลอมรวมระหว่างความคลาสสิกและโมเดิร์นอย่างลงตัว

ไม่ปล่อยให้สาวกราโดเลิฟเวอร์ต้องคอยอีกต่อไป เมื่อ ราโด (RADO) ส่งตรงเรือนเวลา Rado Captain Cook รุ่นใหม่จัดจำหน่ายสู่ประเทศไทย ด้วยรูปทรงอันไร้ที่ติและรูปลักษณ์ที่สามารถดึงดูดความสนใจของ Rado Captain Cook รุ่นใหม่ตัวเรือนผลิตจากบรอนซ์ และไฮเทคเซรามิก มาพร้อมมอบประสิทธิภาพ อันถูกใจ และรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่ง รูปทรงเท่ห์ผสานรวมวัสดุเก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างเข้าไว้กับวัสดุ ล้ำสมัย ซึ่งเป็นแนวทางอันชัดเจนของ ราโด แสดงถึงความพยายามอย่างเต็มความสามารถ และคุณสามารถสัมผัสได้!
จุดเด่นอันน่าประทับใจของ Captain Cook นำโทนสีเขียวชอุ่มและสีของบรอนซ์ซึ่งเป็นสีที่มีความเป็นธรรมชาติ และสร้างความ ‘โดดเด่น’ ให้ซึ่งกันและกัน ถือเป็นความสำเร็จแห่งการผสมผสานอย่างแท้จริง โดยได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ยืนหยัดได้แม้ภายใต้การทดสอบของกาลเวลาและเหนือกว่าปัจจุบันตัวเรือนสมบูรณ์แบบจากการผสมผสานตัวเรือนบรอนซ์ คริสตัลแซฟไฟร์ทรงสี่เหลี่ยม ขอบหน้าปัดสีบรอนซ์ แทรกด้วยไฮเทคเซรามิกและด้านหลังตัวเรือนที่ทำจากไทเทเนียมพร้อมกับคริสตัลแซฟไฟร์และสายนาฬิกาหนังสีเขียวเข้มช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับชิ้นงานที่ไร้ที่ติ มาพร้อมกับกลไกการเดิน ETA C07 คุณภาพสูงจากสวิส สำรองพลังงานนานถึง 80 ชั่วโมง
ความโบราณและสมัยใหม่ วินเทจและร่วมสมัย ดั้งเดิมและนวัตกรรมยั่งยืนและพัฒนา คำจำกัดความเหล่านี้ทำให้ Rado Captain Cook Bronze บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ความแตกต่างอย่างแท้จริง พร้อมทั้งการออกแบบ ให้คงความงดงามตลอดอายุการใช้งาน ถือเป็นนาฬิกาคอลเลกชันที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสร้างตำนานแห่งยุคด้วยความงดงามของบรอนซ์ซึ่งจะเปลี่ยนสีไปตามกาลเวลา และการใช้งาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้แต่ละเรือน ตัดกับไฮเทคเซรามิกสีเขียวซึ่งจะเห็นความแตกต่างที่สัมผัสได้
สัมผัสเรือนเวลาอันโดดเด่นจากคอลเลกชันล่าสุดได้แล้วในราคา 86,100.00 บาทที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป คิงพาวเวอร์ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และ Shopee หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร.0 2610 0200

[ชมคลิป] BE A BAG ประดิษฐกรรมรักษ์โลกจากครีเอทีฟโฆษณามืออาชีพ

alivesonline.com : แม้ช่วงเวลานี้สังคมและพื้นที่สื่อส่วนใหญ่ต่างให้ความสำคัญในเรื่องของสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังคงลุกลามไปทั่วโลก แต่อีกประเด็นหนึ่งที่เรามิอาจปฏิเสธได้ว่าจะเพิกเฉยอย่างไร้ความรับผิดชอบคือ “กระแสรักษ์โลก” เพราะ “เมืองไทยของเรา” ถือได้ว่าเป็นประเทศที่มี “ขยะ” มากในลำดับต้น ๆ ของโลก ๆ โดยเฉพาะ “ขยะพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง” หรือ Plastic Single Use นั้น กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่าประเทศไทยมีการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วในจำนวนมหาศาลถึง 4.5 หมื่นล้านใบต่อปี !

นั่นเองที่เป็นเหตุผลสำคัญให้ชายคนหนึ่งผู้ใช้ชีวิตการทำงานบนถนนสายเอเจนซี่โฆษณาและการแต่งเพลงระดับมืออาชีพที่สร้างผลงานมามายนับไม่ถ้วนถึงกับ “เจียนจนแต้ม” กับ “โจทย์” ที่ภาครัฐประกาศนโยบายรณรงค์งดการใช้ถุงพลาสติก !

“ผมเป็นพ่อบ้านที่นอกจากจะต้องทำงานประจำแล้ว ยังต้องมีวิถีชีวิตประจำวันในการจับจ่ายใช้สอยในร้านสะดวกซื้อซึ่งเมื่อเขาไม่มีถุงพลาสติกใส่สินค้า ผมก็พร้อมที่จะสนองรับกับนโยบายรัฐบาลในการงดใช้ถุงพลาสติก เพราะโดยส่วนตัวก็เลี่ยงการใช้ถุงพลาสติกเป็นเดิมทุนและเห็นด้วยที่จะช่วยชาติในการลดขยะพลาสติกซึ่งถือเป็นมลภาวะที่มีผลเสียอย่างใหญ่หลวงอยู่แล้ว แต่ก็เริ่มมีปัญหารู้สึกเคอะเขินในการถือ หรือสะพายถุงผ้าไปซื้อของ ทำให้พยายามคิดหาทางออกในการมีถุงผ้าไปซื้อของแบบไม่กระอักกระอ่วนใจ”

นั่นคือเหตุผลของ “ลอร์ด – ธวัฐไชย ฤดีอมรเกียรติ” ครีเอทีฟโฆษณาและนักแต่งเพลงมืออาชีพ ซึ่งในที่สุดได้ครีเอทอีกหนึ่งผลงานที่ “ฉีกแนวการทำงานเดิม” ด้วยการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์การใช้สอยในรูปแบบของ “หมวกและถุงผ้า” BEABAG ในลักษณะ 2 in 1 จนสามารถนำไปจดอนุสิทธิบัตร (Petty Patent) จาก กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ พร้อมเริ่มทำตลาดได้อย่างเป็นทางการคล้อยหลังจากวันประกาศรณรงค์การงดใช้ถุงพลาสติกได้ไม่นานนัก

อนุสิทธิบัตร จาก กรมทรัพย์สินทางปัญญา ดังกล่าวคือ หนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์จะมีลักษณะคล้ายกันกับการประดิษฐ์ แต่เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมาก หรือเป็นการประดิษฐ์คิดค้นเพียงเล็กน้อยและมีประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น

“ผมใช้เวลา 2-3 วันในการคิดว่าจะพกพาถุงผ้าไปกับอะไร จนในสุดก็สรุปเป็นหมวก โดยครั้งแรกคิดจะทำเป็นหมวกแก๊ป แต่ในที่สุดก็มาลงตัวที่หมวกปีกรอบเพราะสามารถนำหมวกปีกรอบมาใช้เป็นก้นถุงเพื่อรองรับน้ำหนักสิ่งของได้มากขึ้นด้วย”

เขาเล่าด้วยว่า ก่อนที่คิดแนวคิดเขาจะถูกจุดระเบิด เขาได้ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลจากสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียทั้งในและต่างประเทศว่า ประดิษฐกรรมชิ้นนี้ของเขามีใครเคยทำมาก่อนหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นเขาก็พร้อมจะพับโครงการ แต่เมื่อไม่พบว่ามีใครเคยทำมาก่อน เขาจึงเริ่มต้นจากทดลองเย็บมือด้วยตัวเองจนเห็นว่าใช้ได้ แล้วลองให้ร้านเย็บผ้าเล็ก ๆ ทดลองทำให้จนเขาพอใจ

แต่กว่า BE A BAG จะกลายมาเป็นประดิษฐกรรมรักษ์โลก “หมวกและถุงผ้า” 2 in 1 ในวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ “ลอร์ด – ธวัฐไชย ฤดีอมรเกียรติ” เพราะเขาต้องตระเวนเสาะหาโรงงานผู้ผลิตหมวกพร้อมสายรัดคาง และถุงผ้า โดยใช้วัตถุดิบจากผ้าฝ้าย 100% เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์สู่ผู้สนใจในราคาคุ้มค่า เพียงชุดละ 350 บาท รวมค่าจัดส่ง โดยผู้สนใจสามารถติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อ พร้อมรับโปรโมชันพิเศษได้ที่ เฟซบุ๊ก : https://www.facebook.com/beabag.lord/ หรือ โทร.08 1697 3301

ในเบื้องต้น “ลอร์ด – ธวัฐไชย ฤดีอมรเกียรติ” ทำการตลาด “หมวกและถุงผ้า” BEABAG ผ่านโซเชียลมีเดียทางเฟซบุ๊กแฟนเพจเท่านั้น แต่ก็ถือว่าได้รับผลตอบรับที่ดีไม่น้อย จนมีผู้สนใจติดต่อที่จะนำผลิตภัณฑ์ไปวางจำหน่ายในสถานที่ต่าง ๆ หลังจากที่ผ่านพ้นสถานการณ์ปิดสถานที่ชั่วคราวตามประกาศกรุงเทพมหานคร ไปแล้ว โดยเขายังพร้อมที่จะเปิดร้านบริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีต่าง ๆ เพิ่มเติม รวมถึงศึกษาช่องทางตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งให้ความนิยมผลิตภัณฑ์ประเภทนี้อีกด้วย

“สำหรับโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้คือ BE A BAG Village ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะเข้าไปร่วมมือกับชุมชนต่าง ๆ ที่มีผลิตภัณฑ์ชุมชนเกี่ยวกับผ้าพื้นบ้าน เช่น ผ้ามัดย้อม ผ้าไหม และอื่น ๆ โดยผมจะให้ชาวบ้านเป็นผู้ผลิตหมวกและถุงผ้า BE A BAG ตามแบบต้นฉบับ เพียงแต่ใช้วัตถุดิบของแต่ละชุมชน โดยดำเนินธุรกิจในลักษณะผลิตภัณฑ์ชุมชน หรือ สินค้าโอทอป เพื่อเป็นการสร้างงานและกระจายรายได้ให้แต่ละชุมชนซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้หลังจากที่สถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น”

นับเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่ย่างอย่างมั่นคงและไม่หวาดหวั่นกับกระแสวิกฤติ COVID-19 ที่โหมกระหน่ำใส่ทุกภาคธุรกิจ เพราะการวางแผนงานอย่างรัดกุมของ BE A BAG “ประดิษฐกรรมรักษ์โลก” จากสำนึกของชายคนหนึ่งที่ต้องการลดปริมาณขยะพลาสติกให้น้อยลงจากที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้.

 

“สปา ดารารัตน์” รีสอร์ทสปาสไตล์หรูหราบนถนนรัตนาธิเบศร์

alivesonline.com : เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่า ๆ ที่เพิ่งเปิดบริการตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ถือได้ว่า “จุดประกายความสนใจ” ของผู้พิสมัยการผ่อนคลายผ่านการนวดท่ามกลางบรรยากาศแวดล้อมด้วยธรรมชาติย่านถนนรัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ได้ไม่น้อย !

"สปา ดารารัตน์" สปาหรูเปิดใหม่ตำบลไทรม้า จังหวัดนนทบุรีรับสมัครพนักงาน Therapist.คุณสมบัติ-เพศหญิง-อายุระหว่าง 20-35 ปี-บุคลิกดี-มีใจรักในงานบริการ-พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ-วุฒิ ม.3 ขึ้นไปสวัสดิการ-ชุดพนักงาน-ประกันสังคม-วันหยุดพิเศษ-พักร้อน**ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ติดต่อ 064-9763176 087-7667745 091-9142955

โพสต์โดย SpaDararat เมื่อ วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2019

ด้วยเหตุที่ “สปา ดารารัตน์” ถือเป็นสปาสไตล์รีสอร์ทที่มีความโดดเด่นด้วยรูปแบบการก่อสร้างในลักษณะอาคารชั้นเดียวบนพื้นที่ 4 ไร่ พร้อมพื้นที่จอดรถกว้างขวางรองรับได้มากกว่า 20 คัน ทั้งยังตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีไทรม้า เพียง 300 เมตรเท่านั้น จึงไม่แปลกที่จะมีผู้สนใจไม่น้อยที่แวะเวียนเข้ามาสอบถามเพื่อขอรับบริการตั้งแต่ยังไม่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ

เหตุผลสำคัญคือในละแวกถนนรัตนาธิเบศร์ เรื่อยไปยังบางใหญ่ บางบัวทอง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัดนนทบุรียังไม่เคยมีสปาในลักษณะเช่นนี้มาก่อน จนเมื่อ “สว่าง หาญศิริสวัสดิ์” ประธาน บริษัท สุพรรณิการ์ (2017) จำกัด ผู้บริหาร “สปา ดารารัตน์” ตัดสินใจปักหมุดเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ต้นปี 2562 ก่อนใช้เวลาอีก 9 เดือนในการเนรมิตโครงการจนแล้วเสร็จ

“ผมซื้อที่ดินผืนนี้ประมาณปี 2543 ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจโรงงานแปรรูปไม้สักโดยซื้อไม้ซุงสักจากประเทศเมียนมาร์จนทางการเมียนมาร์ห้ามส่งออกเมื่อปี 2559 ประกอบกับอุปนิสัยส่วนตัวผมชอบเล่นกอล์ฟจึงทำให้ต้องใช้บริการสปาเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อมีโอกาสผมจึงตัดสินใจที่จะดำเนินธุรกิจสปาในสไตล์รีสอร์ทระดับพรีเมียมเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้พักอาศัยในย่านถนนรัตนาธิเบศร์ซึ่งไม่มีสปาในลักษณะนี้ เพราะส่วนมากมักจะเป็นสปาในห้างสรรพสินค้ามากกว่า โดยสปาสไตล์รีสอร์ทที่ใกล้ที่สุดคือย่านถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา-เอกมัย”

นั่นจึงทำให้ “สปา ดารารัตน์” ถูกออกแบบและตกแต่งด้วยความประณีตด้วยสไตล์ Chippendale ของประเทศอังกฤษ ที่ได้รับความนิยมในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยเน้นความโปร่ง โล่ง พร้อมตบแต่งมุมต่าง ๆ ด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ เพื่อให้ผู้เข้ามาใช้บริการรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมให้ความเป็นส่วนตัวอย่างเต็มที่ โดยมีการจัดห้องให้บริการส่วนตัวถึง 15 ห้อง แบ่งเป็น ห้องนวดอโรมา 7 ห้อง ห้องนวดแผนไทย 3 ห้อง ห้องนวดเท้า 2 ห้อง และห้อง V.I.P. 3 ห้อง โดยในส่วนของห้อง V.I.P. ยังถือว่ามีความโดดเด่นทั้งเรื่องความเพียบพร้อมของอ่างจากุซซี่ ห้องซาวน่า และห้องสุขา โดยแต่ละห้องยังสามารถชมทัศนียภาพของต้นไม้ประจำแต่ละห้องคือ สุพรรณิการ์, ลีลาวดี และบุหงาส่าหรี ที่สำคัญคือผู้ใช้บริการที่เป็น Member ระดับ VIP สามารถขับรถอ้อมเข้าทางด้านหลังโดยไม่ต้องผ่านเคาน์เตอร์ด้านหน้าเพื่อความเป็นส่วนตัวได้อีกด้วย

ด้วยเหตุที่ “สปา ดารารัตน์” กำหนดตัวเองเป็นสปาสไตล์รีสอร์ทระดับ “ซูเปอร์พรีเมียม” จึงทำให้ต้องคัดกรองพนักงานนวดอย่างดีที่สุด ทั้งบุคลิก กิริยา มารยาท และวุฒิการศึกษาขั้นต่ำ ม.3 เพื่อให้การปรนนิบัติต่อผู้ใช้บริการได้รับความพึงพอใจมากที่สุด โดย “สว่าง หาญศิริสวัสดิ์” ย้ำเป็นพิเศษว่า “ต้องมีอายุไม่เกิน 35 ปี” เพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ใหม่ ๆ ให้พนักงาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปัจจุบัน พนักงาน “สปา ดารารัตน์” ทั้งหมด 10 คนคือ พนักงานต้อนรับ 2 คน และพนักงานนวด 8 คน ต่างมีอายุเฉลี่ยเพียง 27-28 ปี โดยในส่วนของพนักงานนวดยังถือเป็นพนักงานที่มีประสบการณ์มาแล้ว 3-4 ปีถึง 6 คน โดยในอนาคตอันใกล้นี้กำลังจะเพิ่มพนักงานนวดเป็น 16 คน เพื่อรองรับกับลูกค้าที่เริ่มมาใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของลูกค้าสมาชิกที่มีถึง 20 รายในระยะเวลาเพียงประมาณ 1 เดือนที่ยังไม่ได้ทำตลาดอย่างจริงจัง

“ปัจจุบันเรามีลูกค้าเฉลี่ยวันละประมาณ 16 ราย ขณะที่ลูกค้าสมาชิกจะมาใช้บริการเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ในช่วงนี้เราจึงต้องเตรียมพนักงานไว้ให้พร้อมเพื่อรองรับลูกค้าตลอดเวลา โดยเฉพาะในอนาคตอันใกล้เราจะเริ่มทำตลาดลูกค้ายุโรปโดยเน้นกลุ่มลักซ์ชัวรี่ในลักษณะ Niche Market กรุ๊ปละประมาณ 6 คน ในอัตราค่าบริการคนละประมาณ 100 เหรียญสหรัฐ ก่อนที่จะขยายงานในเฟสสองคือเปิดศูนย์สุขภาพ Wellness ในพื้นที่ที่เหลืออีกประมาณ 1 ไร่”

สำหรับอัตราค่าสมาชิกของ “สปา ดารารัตน์” มีหลายระดับราคา เริ่มต้นตั้งแต่ 1 หมื่นบาท จะได้รับสิทธิพิเศษสามารถใช้บริการได้ถึง 1.2 หมื่นบาท สมาชิก 2 หมื่นบาท สามารถใช้บริการได้ 2.5 หมื่นบาท สมาชิก 5 หมื่นบาท สามารถใช้บริการได้ 6.5 หมื่นบาท และสมาชิก 1 แสนบาท สามารถใช้บริการได้ 1.5 แสนบาท โดยสมาชิกสามารถโอนสิทธิให้ผู้อื่นมาใช้บริการได้ด้วย

ในส่วนของการให้บริการที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของ “สปา ดารารัตน์” ที่ “สว่าง หาญศิริสวัสดิ์” มั่นใจว่า “แตกต่างไม่เหมือนใคร” คือประสบการณ์สุดพิเศษในการบำรุงและดูแลปรนนิบัติผิวด้วย “ทานาคาสด” สมุนไพรอันเลื่องชื่อของประเทศเมียนมาร์ อันเป็นผลมาจากประสบการณ์การทำธุรกิจค้าไม้กับประเทศเมียนมาร์ในอดีต ผนวกกับภรรยาคือ “ซูซี่ สมศรี หาญศิริสวัสดิ์” เป็นชาวเมียนมาร์ ทำให้มีช่องทางในการนำเข้า “ทานาคา” มาให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างเพียงพอทุกเวลา

เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่า ๆ ที่เพิ่งเปิดบริการ “สปา ดารารัตน์” ในวันนี้จึงเป็นที่ยอมรับของผู้พำนักในย่านถนนรัตนาธิเบศร์ว่า เป็นสปาสไตล์รีสอร์ทที่ให้บริการระดับซูเปอร์พรีเมียมในราคาพรีเมียม อันเป็นผลมาจากประสบการณ์การใช้บริการสปา การศึกษาตลาด และรูปแบบการบริหารงานของ “สว่าง หาญศิริสวัสดิ์” อย่างแท้จริง.

“สปา ดารารัตน์” ตั้งอยู่บนถนนรัตนาธิเบศร์ (ขาออก) ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีไทรม้า 300 เมตร (ติดโครงการ “ไทรม้า มาร์เก็ต คอมมูนิตี้ มอลล์”) เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 11.00–23.00 น. ติดต่อสอบถาม หรือจองบริการล่วงหน้าได้ที่ โทร.0 2085 8995, 06 4976 3176 หรือ www.facebook.com/pg/SpaDararat

RECOMMENDED MASSAGE

Dararat Signature Facial Treatment 

นวดหน้าด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ และสมุนไพรต่างๆเพื่อความผ่อนคลาย และพอกหน้าด้วย “ทานาคาสด” อันเป็นเอกลักษณ์ของ “สปา ดารารัตน์” ซึ่งเป็นสมุนไพรจากรากไม้ เคล็ดลับความกระจ่างใสมาแต่ช้านานของชาวเมียนมร์ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ลบเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ และปลดปล่อยความตึงเครียดปรับผิวให้กระจ่างใสมากขึ้น ยกกระชับใบหน้าให้เต่งตึง นอกจากนี้ยังช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด และบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน

 

JURLIQUE Facial Treatment 

นวดหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกชื่อดังจากออสเตรเลียอย่าง “Jurlique” เน้นความผ่อนคลาย ชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าอย่างหมดจด และบำรุงอย่างล้ำลึก

Aroma การนวดน้ำหนักเบา

การนวดผสมผสานศาสตร์บำบัดด้วยกลิ่น โดยใช้น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ที่สกัดจากธรรมชาติ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ในขณะที่นวดน้ำมันจะซึมเข้าไปใต้ผิวหนังและเส้นเลือด สามารถคงอยู่ในร่างกายหลายชั่วโมง เพิ่มความสดชื่น มีชีวิตชีวา บรรเทาอาการเครียด ช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับลูกค้าที่ไม่ชอบการนวดหนัก ต้องการความผ่อนคลาย นอกจากนี้คุณสมบัติของน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ ทำให้ระบบภูมิต้านทานดีขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความสมดุลย์ของร่างกายและจิตใจ

Swedish  Massage นวดสวีดิช สไตล์ตะวันตก

การนวดโดยใช้น้ำหนักปานกลาง ด้วยเทคนิคการนวดโดยการใช้ฝ่ามือ นิ้ว และอุ้งมือ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อชั้นบน กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และลดอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อชั้นลึกที่เกิดความตึงตัว และพังผืดชั้นกลางเนื้อมัดลึก เพิ่มระดับออกซิเจนในกล้ามเนื้อซึ่งนำไปสู่กระบวนการขับสารพิษในกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับคนที่เป็นออฟฟิศซินโดรม หรือบุคคลที่ชอบออกกำลังกาย

Royal Milk Massage นวดบำรุงผิวใส

นวดผ่อนคลายด้วยการใช้น้ำนมนวดบำรุงผิว สำหรับคนที่ผิวแห้งเป็นขุยหรือผิวขาดความชุ่มชื้น และผิวที่ตากแดด นอกจากช่วยให้ผ่อนคลายแล้ว ยังลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม มีกลิ่นหอม แลดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

Calmante Massage นวดแบบอ่อนโยน

การนวดลงน้ำหนักเบาตามแบบฉบับของ สปา ดารารัตน์  การนวดด้วยเทคนิคการลูบวนบนผิวหนัง ไปตามทิศทางการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง ช่วยให้นอนหลับสบาย เหมาะสำหรับคนนอนหลับยาก

ASEAN Blend นวดกดจุด เน้นการนวดหนัก

การนวดในรูปแบบอาเซียน ด้วยเทคนิคการใช้นิ้วกดจุดผสมผสานกับการนวดด้วยน้ำมัน เพื่อคลายกล้ามเนื้อชั้นลึกที่เกิดความตึงตัว และพังผืดชั้นกลางเนื้อมัดลึก ช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากกิจวัตรประจำวันได้ เช่น การนั่งทำงานนาน ๆ ปวดศีรษะ ไมเกรน เน้นตรงจุดที่มีปัญหา เช่น บริเวณสะบัก ไหล่ คอ ศีรษะ และหลังส่วนล่าง เป็นต้น

Thai Oil Massage นวดน้ำมันไทยประยุกต์

ศาสตร์การนวดระหว่างการนวดไทยและนวดน้ำมันผสมผสานไปด้วยกัน โดยใช้การกดจุดตามเส้นประสาท เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต แล้วจึงทำการนวดน้ำมัน เพื่อเพิ่มความผ่อนคลายให้กับกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับคนที่เป็นออฟฟิศซินโดรม และบุคคลที่ออกกำลังกาย

Four Hands Massage (2 Therapists) นวดสี่มือ ผ่อนคลายแบบสมดุล

สัมผัสการนวดสุดพิเศษของศาสตร์การนวด 4 มือที่ความชำนาญของเทอราปิส 2 คน ในเวลาเดียวกัน            ด้วยเทคนิคการนวดที่กลมกลืนและพร้อมเพรียงกัน ทั้งน้ำหนักตัว ท่วงท่าจังหวะการนวดที่ต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ปรนนิบัติอย่างทั่วถึง ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ผสานกับความหอมอบอวลจากน้ำมันอโรมาสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ เหมาะสำหรับบุคคลที่มีเวลาจำกัด และต้องการความผ่อนคลาย

Thai Modern Massage การนวดไทยประยุกต์

เป็นการนวดด้วยท่วงท่าและกิริยาของชาววัง ช่วยคลายเส้น และการตึงตัวของกล้ามเนื้อจากความเมื่อย การนวดไทยประยุกต์เป็นศาสตร์ดั้งเดิมที่ช่วยระบบการทำงานของร่างกาย

ประชุมเมืองไทย “ชุมชนตะเคียนเตี้ย” ภูมิใจช่วยชาติ

alivesonline.com : แม้มหันตภัยไวรัส COVID-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วทุกระแหงอยู่ทุกขณะในวันนี้จะบั่นทอนให้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างหวั่นระแวงจนพาลไม่อยากออกนอกบ้านไปยังแหล่งชุมชนที่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่เราต้องยอมรับว่า “ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป” ขอเพียงเพิ่มความระมัดระวังให้มากเพียงพอเท่านั้น

โดยเฉพาะในเรื่องของ “เศรษฐกิจ” ที่ยังคงต้องเดินหน้าไม่ให้หยุดและสะดุดลง เพียงเพราะจำเป็นต้องพึ่งพาชาวต่างชาติเป็นหลัก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในระยะสั้น เพื่อกระตุ้นตลาดและเพิ่มค่าใช้จ่าย ส่งเสริมกลุ่มองค์กรเอกชนและหน่วยงานภาครัฐร่วมกันกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศผ่านการจัดงานประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อกระจายรายได้สู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตามความเห็นชอบของ คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 จึงเป็นเสมือนทางออกที่ “ไทยจะได้ช่วยไทย” อย่างเต็มภาคภูมิ

ขณะเดียวกันบรรดาองค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคบริการที่อาจประสบปัญหามีลูกค้าผู้ใช้บริการลดน้อยลง อาจถือวิกฤตินี้ผันเปลี่ยนเป็นโอกาสในการฝึกอบรมพนักงานผ่านการจัดประชุมสัมมนาซึ่งภาครัฐ โดย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” ได้กำหนดจัดแคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” ซึ่งต้องการกระตุ้นให้กลุ่มองค์กรบริษัทภาคเอกชน (Corporate) จัดประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลภายในประเทศ โดยจะสนับสนุนบัตรกำนัล (Voucher) มูลค่า 2 หมื่นบาท ให้บริษัทที่จัดสัมมนาอย่างน้อย 40 คนขึ้นไปต่อกลุ่มในพื้นที่คนละจังหวัดกับที่ตั้งของบริษัทนั้น ๆ โดยมีวันพักค้างอย่างน้อย 1 คืน ในการจัดกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งใน 6 กิจกรรม ได้แก่ การจัดประชุม (Meetings) การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentive Travel) การอบรมสัมมนา (Trainings / Seminars) กิจกรรมนอกสถานที่ทำการของบริษัท (Outings) กิจกรรมพนักงานสัมพันธ์ (Team Buildings) หรือกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR)

พื้นที่ตัวอย่างหนึ่งที่ “ทีเส็บ” ได้นำผู้แทนองค์กรและสื่อมวลชนเยี่ยมชมเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาคือ ชุมชนตะเคียนเตี้ย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนที่มีวิถีชีวิตแบบพอเพียง รักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีแบบไทยแท้ไว้ได้อย่างน่าชื่นชม จนทำให้ จังหวัดชลบุรี พัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การสนับสนุนให้เป็นชุมชนตัวอย่าง

“ชุมชนตะเคียนเตี้ย” ยังเป็นชุมชนที่มีกิจกรรมหลากหลายให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการปั่นรถจักรยานชมสวนมะพร้าวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของชุมชน การปล่อย “แตนเบียน” เพื่อช่วยกำจัดศัตรูของต้นมะพร้าวโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี การเยี่ยมชมวิถีชีวิตที่ “บ้านร้อยเสา” การชิมอาหารพื้นบ้านแบบไทย เช่น ขนมทองพับ แกงไก่กะลา และอื่น ๆ เป็นต้น

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เล่าถึงความตั้งใจในการนำคณะผู้บริหารระดับสูงขององค์กรบริษัทเอกชนมาจัดกิจกรรมและสัมมนาเยี่ยมชมสัมผัสประสบการณ์ตรงในการจัดกิจกรรมไมซ์ของ “ชุมชนตะเคียนเตี้ย” ในครั้งนี้ว่า

“ทีเส็บ มีโอกาสทำงานร่วมกับชุมชนตะเคียนเตี้ยตั้งแต่ปี 2560 โดยเห็นศักยภาพของชุมชนที่เข้มแข็งในการรองรับกลุ่มบริษัทองค์กรและหน่วยงานท่เยี่ยมชมดูงานและทำกิจกรรมไมซ์ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการจัดงานอย่างยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเข้ามาปรับให้มีมาตรฐานสำหรับรองรับการจัดงานประชุม รวมทั้งเพิ่มทักษะในเรื่องของการบริหารจัดการ ซึ่งแต่ละครั้งที่ได้มาเยือนชุมชนตะเคียนเตี้ย มีความประทับใจมากทั้งเรื่องอาหารที่มีรสชาติเอกลักษณ์และการตกแต่งจัดวางที่สวยงามไม่เหมือนที่ไหน การให้บริการ และกิจกรรมของชุมชนที่เหมาะมากสำหรับการทำกิจกรรมซีเอสอาร์ขององค์กร”

ก่อนหน้านี้ “ทีเส็บ” มีการหารือร่วมกับชุมชนเพื่อสะท้อนความต้องการว่ามีความสนใจที่จะเรียนรู้ต่อยอดการทำ “กาแฟราดกะทิมะพร้าว” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ อยากมีความรู้เทคนิคการชงกาแฟของบาริสต้าที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อนำมาต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิมของชุมชนและเปิดร้านกาแฟให้บริการผู้มาเยือนในวันเสาร์-อาทิตย์ นำมาสู่กิจกรรมการนำคณะผู้บริหารมาสัมผัสประสบการณ์การจัดกิจกรรมไมซ์ หรือการประชุมสัมมนา ฝึกอบรม การสร้างกิจกรรมพนักงานสัมพันธ์ กิจกรรมนอกสถานที่ การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล และกิจกรรมซีเอสอาร์ในครั้งนี้ ภายใต้แคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชนกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมและกระจายรายได้สู่ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาล

ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนอย่างยั่งยืน “ทีเส็บ” จึงได้เชิญบาริสต้ามืออาชีพมาจัดกิจกรรมเวิร์คชอป ให้ทั้งความรู้และความสนุกสนานแก่ผู้แทนชุมชนและผู้นำองค์กรธุรกิจที่มาร่วมงาน พร้อมทั้งร่วมยินดีกับชุมชนในการเปิดร้าน Coco Coffee by บ้านตะเคียนเตี้ย” ต่อยอดแบรนด์เพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์กาแฟของชุมชนอย่างเป็นทางการ

ด้าน นางวันดี ประกอบธรรม ประธานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนตะเคียนเตี้ย เล่าถึงที่มาของร้านกาแฟ “Coco Coffee by บ้านตะเคียนเตี้ย” ว่า

“ในช่วงที่ผ่านมาชุมชนเรามีกาแฟร้อนใส่กะทิ แต่กว่าจะได้ดื่มต้องสั่งล่วงหน้า 3 วัน ตอนนี้ ทีเส็บ ได้มาเปิดร้านกาแฟให้กับชุมชนและยังสอนเทคนิคการชงกาแฟให้ด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เดินทางเข้ามาทำกิจกรรมไมซ์หรือท่องเที่ยวในชุมชนตะเคียนเตี้ยสามารถดื่มกาแฟได้ทุกวันเสาร์และอาทิตย์”

สำหรับซิกเนเจอร์ของร้าน “Coco Coffee by บ้านตะเคียนเตี้ย” คือ “กาแฟเย็นน้ำมะพร้าว” โดย บาริสต้าหนุ่มรูปหล่อดีกรี Cleo Bachelor 2018 และ GQ MAN 2019 “แป๊ะ – วรกฤต  สกุลเลี่ยว” เจ้าของธุรกิจด้านอาหารมากมาย รับหน้าที่เป็นวิทยากรมาให้ความรู้กับชุมชน คิดเมนูใหม่เปิดร้าน ร่วมสร้างสีสันให้กับงานผ่านกิจกรรมเวิร์คช้อปสอนการชงกาแฟเย็นน้ำมะพร้าว ซึ่งเป็นสูตรที่คิดค้นขึ้นสำหรับร้านนี้โดยเฉพาะ

“เดิมทีชาวบ้านทำกาแฟโดยไม่รู้เรื่องการคำนวณช็อต หรือสัดส่วนกาแฟ รสชาติก็จะไม่คงที่ เราก็มาสอนชาวบ้านให้มีความรู้เรื่องกาแฟก่อนและการใช้อุปกรณ์อย่างเหมาะสม เพื่อให้กาแฟมีมาตรฐาน โดยสูตรที่สอนชาวบ้านจะเป็นสูตรกาแฟเย็น เพราะในตลาดส่วนใหญ่ขายกาแฟเย็นได้มากกว่ากาแฟร้อน แต่กาแฟเย็นน้ำมะพร้าวที่นี่จะมีความพิเศษ เพราะชุมชนมีมะพร้าวอยู่แล้ว เราจะใช้มะพร้าวเผาแท้ ๆ ซึ่งปัจจุบันในตลาดเหลือน้อย ส่วนมากจะเป็นมะพร้าวต้มจะไม่มีกลิ่นหอมของมะพร้าวเผา ส่วนมะพร้าวเผาของที่นี่จะหวานหอม ถือเป็นการต่อยอดด้วยการนำวัตถุดิบของชุมชนมาใช้ประโยชน์”

ทั้งนี้ “ชุมชนตะเคียนเตี้ย” ได้รับคัดเลือกจาก “ทีเส็บ” ให้เป็นหนึ่งในโครงการ 7 เส้นทางสายไมซ์” หรือ “Thailand 7 MICE Magnificent Themes” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของ “ทีเส็บ” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ โดยมุ่งเน้นพัฒนาพื้นที่เพื่อเพิ่มและยกระดับสถานที่จัดงาน รวมถึงเพิ่มกิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อรองรับการจัดงานไมซ์ ซึ่งปัจจุบันมีครอบคลุม 14 จังหวัดทั่วประเทศ ประกอบไปด้วย 5 เมืองไมซ์ซิตี้ ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ตและขอนแก่น และเมืองรองเชื่อมโยง 9 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร อุดรธานี เชียงราย ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา สงขลา และนครศรีธรรมราช โดยร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และภาคการศึกษา รวมถึงชุมชนในพื้นที่ บูรณาการพัฒนาธุรกิจไมซ์ในจังหวัดดังกล่าวร่วมกันสร้างความรู้ความเข้าใจถึงประโยชน์ของธุรกิจไมซ์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ และกระจายรายได้สู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

สำหรับองค์กรบริษัทเอกชนที่สนใจขอรับการสนับสนุนแคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” สามารถสมัครและศึกษารายละเอียดได้ที่ www.thaimiceconnect.com หรือ สอบถามได้ที่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (ส่วนภูมิภาค) โทร.0 2694 6000 ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มิถุนายน 2563 โดยจะต้องเดินทางประชุมสัมมนาภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2563