ดร.ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ (ที่5 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับ รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ (กลาง) อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร อาจารย์ และนักศึกษา เนื่องในโอกาสเข้ารับรางวัลเชิดชูเกียรติ ด้านสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาส และร่วมเป็นวิทยากรในงานเสวนาหัวข้อ “From Love To Innovation : จากความรักสู่นวัตกรรม” ณ CP ALL Academy ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อเร็ว ๆ นี้
ผู้เขียน: admin2
มูลนิธิเฮอริเทจประเทศไทย สนับสนุนผู้พิการทางสายตา
มูลนิธิเฮอริเทจประเทศไทย ภายใต้การดูแลของ “เครือเฮอริเทจ” ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นำโดย นายธีรวัฒน์ กิตติธนทรัพย์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม บริษัท เฮอริเทจ สแน็ค แอนด์ ฟู้ด จำกัด และ นางสาววลัยทิพย์ ซื่อตรงมั่นคง (ซ้ายสุด) ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร “เครือเฮอริเทจ” และพนักงานในเครือ ร่วมมอบนมอัลมอนด์ภายใต้แบรนด์ “บลูไดมอนด์” เพื่อส่งมอบกำลังใจให้ผู้พิการทางสายตา พร้อมส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีในเดือนแห่งความรักนี้ โดยมีตัวแทนของศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอดเป็นผู้รับมอบ ณ ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด จังหวัดนนทบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้
คณบดีคนใหม่
นายธีระพงศ์ ปังศรีวงศ์ (ที่ 4 จากซ้าย) นายกสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหาร ร่วมแสดงความยินดีในโอกาสที่ รองศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ปานเทพ รัตนากร (ที่ 4 จากขวา) อุปนายกสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง คณบดีคณะสัตวแพทย์ศาสตร์และสัตววิทยาประยุกต์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ณ ห้องประชุมอาคารบี.เอ็ล.เอช. ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้
โรงแรมเคป เฮ้าส์ กรุงเทพฯ ต้อนรับแขกพิเศษ
นายภูมิภัทร นาวานุเคราะห์ (ซ้าย) ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว “เคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์” พร้อมด้วย นางธีรยา สมิตินนท์ (ขวา) ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเคป เฮ้าส์ กรุงเทพฯ ให้การต้อนรับ นายมาร์ค หว่อง (กลาง) รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก “สมอลล์ ลักชัวรี โฮเทลส์ ออฟ เดอะ เวิลด์” (Small Luxury Hotels of the World – SLH) ในวาระเยี่ยมชมโรงแรมฯ เพื่อพิจารณาคัดเลือกให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มโรงแรมขนาดเล็กที่หรูหราที่สุดในโลก ณ โรงแรมเคป เฮ้าส์ กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้
ALL ยกเสาเอกโครงการ “ดิ เอ็กเซล ลาซาล 17”
นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เป็นประธานในพิธียกเสาเอกโครงการ “ดิ เอ็กเซล ลาซาล 17” คอนโดโลว์ไรส์ ห้องใหญ่ เฟอร์นิเจอร์ครบ ใกล้ BTS สถานีแบริ่ง โดดเด่นด้วยสระว่ายน้ำยาว 50 เมตร ลอดผ่านตัวอาคาร สร้างบรรยากาศของการพักผ่อนอย่างแท้จริง พิเศษโปรโมชันราคาดีกับ 1 ห้องนอน 30 ตร.ม. เริ่มต้นที่ 1.49 ล้านบาท โครงการได้รับการพิจารณา EIA Approved เป็นที่เรียบร้อย สนใจรายละเอียดโครงการคลิก www.allinspire.co.th หรือสอบถาม โทร.0 2029 9999
“ออริจิ้น” จัดโปร Origin My First Home เอาใจคนอยากมีบ้านหลังแรก
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เอาใจคนอยากมี “บ้านหลังแรก” ขนทัพ 14 โครงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าหลากทำเล ทั้งโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและโครงการพร้อมอยู่ มาร่วมแคมเปญ “Origin My First Home” ในราคาเริ่มต้นสบาย ๆ เพียง 1.59 ล้านบาท ผ่อนเบา ๆ เพียงพันกว่าบาทต่อเดือน พร้อมรับสิทธิประโยชน์เพียบ อาทิ ฟรีทุกค่าใช้จ่าย ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า 5 รายการ รวมถึงสิทธิ์รับ Cashback สูงสุดกว่าครึ่งล้านบาท
ใครอยากมีบ้านหลังแรก มาพบกันได้วันที่ 12-16 ก.พ.63 ณ ลาน Fashion Hall ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่ https://bit.ly/2RDVrh3 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0 2030 0000
รายชื่อโครงการคอนโดมิเนียม 14 โครงการที่เข้าร่วม
โครงการพร้อมอยู่ (Ready to move)
- Kensington Sukhumvit Thepharak
- B-Loft Sukhumvit 107
- B-Loft Lite Sukhumvit 115
- Notting Hill Sukhumvit Praksa
- KnightsBridge Phaholyothin Interchange
- KnightsBridge Prime Sathorn
- Kensington Phaholyothin 63
โครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง
- KnightsBridge Collage Ramkhamhaeng
- KnightsBridge Collage Sukhumvit 107
- The Origin Phahol – Saphanmai
- The Origin Ratchada – Ladprao
- The Origin Ramintra 83
- The Origin Sukhumvit 105
- The Origin Ladprao 15
สทนช.ลงพื้นที่ “อยุธยา-ปทุมฯ” ติดตามสถานการณ์แม่น้ำเจ้าพระยา
alivesonline.com : สทนช. เร่งโครงการคลองระบายน้ำหลาก “บางบาล-บางไทร” จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมจัดมาตรการควบคุมน้ำเค็มและประเมินสถานการณ์น้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปาในช่วงฤดูแล้ง ขีดเส้นผลศึกษาจัดลำดับความเร่งด่วนพัฒนา 9 แผนหลักจัดการน้ำลุ่มเจ้าพระยาแล้วเสร็จภายในเดือน ก.พ. ศกนี้ มั่นใจช่วยบริหารจัดการลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้เกิดประสิทธิภาพในระยะยาว
เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้นำคณะสื่อมวลชนลงเรือเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี พร้อมติดตามความก้าวหน้าโครงการคลองระบายน้ำหลาก “บางบาล-บางไทร” จ.พระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ ยังได้ตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจุดบรรจบ “แม่น้ำน้อย–แม่น้ำเจ้าพระยา” จ.พระนครศรีอยุธยา รวมถึงเดินทางไปยังสถานีสูบน้ำสำแล (กปน.) ตำบลบ้านกระแชง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี เพื่อประชุมหารือกับ การประปานครหลวง (กปน.) เกี่ยวกับสถานการณ์น้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปา มาตรการควบคุมน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงฤดูแล้งและแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาภายใต้โครงการศึกษาจัดลำดับความสำคัญแผนงานเพื่อบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยต่อภาวะน้ำแล้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างมาก โดยได้กำชับให้ สทนช. เร่งหาแนวทางยับยั้ง บรรเทา และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงมาตรการเชิงป้องกันพื้นที่อื่น ๆ ไม่ให้ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประชาชนต้องไม่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
สำหรับสถานการณ์ปัญหาสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาในปัจจุบัน สทนช. กำลังเร่งรัดติดตามความก้าวหน้า โครงการคลองระบายน้ำหลาก “บางบาล-บางไทร” จ.พระนครศรีอยุธยา ภายใต้โครงการศึกษาจัดลำดับความสำคัญ 9 แผนงานบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยความก้าวหน้าล่าสุดได้มีการดำเนินการตามแผน (Road Map) ในปี 2562 ได้ดำเนินการออกแบบรายละเอียดคลองระบายน้ำหลาก พร้อมศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA การเวนคืนที่ดินและจัดเตรียมพื้นที่เพื่อการก่อสร้าง
โครงการคลองระบายน้ำหลาก “บางบาล-บางไทร” จ.พระนครศรีอยุธยา มีระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้าง ตั้งแต่ปี 2562-2566 ภายใต้กรอบวงเงินรวมประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย 1.ขุดคลองระบายน้ำสายใหม่จากบริเวณ อ.บางบาล – อ.บางไทร และอาคารประกอบตามแนวคลอง ระยะทาง 22.4 กิโลเมตร ระบายน้ำได้สูงสุด 1.2 พันลูกบาศก์เมตรต่อวินาที 2.ก่อสร้างถนนบนคันคลองทั้ง 2 ฝั่ง รวมความกว้างเขตคลอง 245 เมตร 3.ประตูระบายน้ำในลำน้ำสาขา 2 แห่ง และปลายคลองขุดใหม่ 1 แห่ง และ 4.ก่อสร้างเขื่อนพระนครศรีอยุธยาในแม่น้ำเจ้าพระยา
“เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะส่งให้แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สามารถรองรับอัตราการระบายเพิ่มขึ้นได้รวม 2 พันลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อช่วยลดพื้นที่น้ำท่วมในเขตเศรษฐกิจ โบราณสถานสำคัญ และพื้นที่ชุมชนเมืองพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นบริเวณที่ลำน้ำแคบที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาการระบายน้ำมากกว่า 800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที มักจะเกิดผลกระทบต่อชุมชนริมตลิ่ง อีกทั้งบริเวณเกาะเมืองอยุธยายังเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำป่าสัก ทำให้เกิดการชะลอน้ำบริเวณจุดบรรจบทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งอยู่เป็นประจำ โครงการดังกล่าวจึงเป็นการลดอัตราการไหลแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยบายพาสน้ำส่วนเกินผ่านช่องลัด”
ดร.สมเกียรติ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ สทนช. ได้ดำเนินโครงการศึกษาจัดลำดับความสำคัญ 9 แผนงานบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ได้แก่ 1.โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง 2.โครงการคลองระบายน้ำหลากชัยนาท-ป่าสัก-อ่าวไทย 3.โครงการคลองระบายน้ำควบคู่ถนนวงแหวนรอบที่สาม 4.โครงการปรับปรุงโครงข่ายระบบชลประทานฝั่งตะวันตก 5.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา 6.โครงการบริหารจัดการพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ 7.โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร 8.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำแม่น้ำท่าจีน และ 9.โครงการพื้นที่รับน้ำนอง
“คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จตามแผนภายในเดือนกุมภาพันธ์ ศกนี้ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการนำผลการศึกษาไปใช้เป็นแผนแม่บทให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นแนวทางและแผนปฏิบัติการสำหรับการพัฒนาและบริหารจัดการน้ำ เพื่อให้การตัดสินใจดำเนินโครงการเป็นไปอย่างรอบคอบถูกต้องตามหลักวิชาการ นำไปสู่การแก้ปัญหาและการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในมิติของวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจและสังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการน้ำต่อไปในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากทั้ง 9 แผนงานเป็นโครงการขนาดใหญ่และใช้งบประมาณดำเนินการค่อนข้างสูง จึงจำเป็นต้องศึกษาการจัดลำดับความสำคัญในหลากหลายมิติ เพื่อให้แผนงานโครงการที่จะดำเนินการในแต่ละปีเกิดความคุ้มค่าและเกิดประสิทธิผลสูงสุดโดยผ่านกระบวนการทบทวนและวิเคราะห์สภาพปัญหาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต รวมทั้งมีการเปิดเวทีรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อโครงการ การรวบรวมแผนงานโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันกับการระบายน้ำของ 9 แผนงานเพื่อให้ทราบถึงภาพรวมการดำเนินโครงการทั้งหมด
นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มเติมรายละเอียดคันกั้นน้ำ หรือการสร้างถนน หรือยกระดับถนนขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับสภาพการไหลเมื่อมีการไหลผ่านพื้นที่ลุ่มต่ำต่าง ๆ รวมถึงการจำลองเหตุการณ์น้ำท่วมปีต่าง ๆ ร่วมกับการจำลองโครงการของแผนบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยกำหนดกรณีฐานและเพิ่มเติมกรณีศึกษาให้ครอบคลุมทุกความเป็นไปได้ที่เหมาะสม เพื่อให้ทราบถึงประสิทธิผลและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยในแต่ละกรณีต้องวิเคราะห์ทุกมิติบนหลักเกณฑ์เดียวกัน
[ชมคลิป] “แม็คโคร” จับคู่ผู้ผลิตถุงขยะ “แชมเปี้ยน” จุดพลุแคมเปญ “แยกขยะ”
alivesonline.com : บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) จับมือ บริษัท ดนุเดชอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตถุงขยะ “แชมเปี้ยน” เปิดตัวแคมเปญรักษ์โลกครั้งใหญ่ “แยกขยะ=ลดขยะ” ดึงทูตมหาสมุทร “โต่โน่-ภาคิน” ร่วมปลุกจิตสำนึก แก้วิกฤติขยะล้นเมือง พร้อมเปิดจุดรับบริจาคขวดพลาสติกใส ชนิด PET 14 สาขาทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่งมอบวัดจากแดง สร้าง “เส้นใยมหัศจรรย์” ผลิต “จีวรพระ เสื้อยืด กระเป๋า รองเท้า”
พระทิพากร อริโย วัดจากแดง จ.สมุทรปราการ เปิดเผยว่า วัดจากแดง มีการจัดการปัญหาขยะมานาน 14 ปี จนปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการจัดการขยะชุมชนอย่างครบวงจร ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้การจัดการขยะ รวมถึงเป็นแหล่งรวบรวมขยะพลาสติกจำนวนมากสู่การบริหารจัดการแยกขยะแต่ละชนิด เพื่อให้ง่ายต่อการหมุนเวียนกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยร่วมกับภาคเอกชนนำขวดพลาสติกเข้ากระบวนการ Upcycled ขยะพลาสติกให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ โดยปัจจุบันสามารถนำไปผลิตได้ 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ จีวรพระ กระเป๋าผ้า รองเท้าผ้าใบ และเสื้อยืด โดยล่าสุดได้รับความร่วมมือจาก บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ดนุเดชอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตถุงขยะ “แชมเปี้ยน” ที่จะบริจาคขยะพลาสติกและมอบขวดพลาสติกให้วัดนำไปใช้ประโยชนได้ต่อซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้แก่วัดและชุมชนอีกด้วย
พระทิพากร ยกตัวอย่างถึงการนำขวดพลาสติกนำมาเข้าสู่กระบวนการ Upcycled ในการผลิตจีวรว่า ผ้าจีวรแต่ละผืนมีส่วนผสมของคอตตอน 60% โพลีเอสเตอร์ 30% และส่วนผสมของพลาสติก Upcycled 10% ซึ่งต้องเป็นขวดพลาสติกใส ชนิด PET เท่านั้น โดยขวดพลาสติก PET ขนาด 1.5 ลิตร จำนวน 37 ขวดจะมีน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ในขณะที่ผ้าจีวรหนึ่งผืนใช้ขวดพลาสติก 15 ขวด แต่ถ้าใช้ผลิตผ้าไตรจีวรหนึ่งชุด ทั้งจีวร อังสะ และสบง ต้องใช้ขวดพลาสติก 60 ขวด
ด้าน นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วิกฤติการณ์ขยะที่เกิดขึ้นในปัจจุบันยังคงเป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันจากปริมาณขยะมูลฝอยในชุมชนที่เกิดขึ้นประมาณ 28 ล้านตัน รวมถึงปริมาณขยะต่อคนยังเพิ่มขึ้นจาก 1.13 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน เป็น 1.15 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้ขยะมีปริมาณสูงขึ้นมาจากวิธีการจัดการ การกำจัด และคัดแยกที่ไม่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนผู้คนยังขาดความใส่ใจเท่าที่ควร ทำให้ขยะถูกถูกนำไปรีไซเคิลได้น้อย
“แม็คโคร” เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าวจึงได้ร่วมมือกับ บริษัท ดนุเดชอุตสาหกรรม ผู้ผลิตถุงขยะ “แชมเปี้ยน” จัดแคมเปญ “แยกขยะ=ลดขยะ” เพื่อสร้างจิตสำนึกให้คนไทยหันมาคัดแยกขยะที่ต้นทางอย่างจริงจัง พร้อมจัดโปรโมชันพิเศษให้ลูกค้า “ซื้อเยอะคุ้มกว่า” รับส่วนลดพิเศษจากปกติ 35% เมื่อซื้อถุงขยะ “แชมปเปี้ยน” ที่ร่วมรายการ
นางศิริพร กล่าวด้วยว่า แคมเปญ “แยกขยะ = ลดขยะ” มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการ ร้านค้า ลูกค้าประชาชน แยกขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ทิ้งขยะให้ถูกประเภท เพื่อนำไปรีไซเคิลลดปริมาณขยะได้ โดยถุงขยะสีเหลืองใช้สำหรับขยะรีไซเคิล สีน้ำเงินใช้สำหรับขยะทั่วไป สีเขียวใช้สำหรับขยะเปียก และสีแดงใช้สำหรับขยะอันตราย โดยเบื้องต้นได้เปิดจุดรับบริจาคขวดพลาสติกใน 14 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประกอบด้วย สาขาลาดพร้าว, แจ้งวัฒนะ, ศรีนริครินทร์, บางบอน, รังสิต, จรัลสนิทวงศ์, สาทร, สามเสน, รามอินทรา, บางพลี, ศาลายา, นครอินทร์, บางบัวทอง และปทุมธานี จากนั้นจะมีการรวบรวมเพื่อนำไปมอบให้วัดจากแดง จังหวัดสมุทรปรากการ เพื่อ Upcycled เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อไป
ตลอดเวลาการดำเนินงานมากว่า 30 ปี “แม็คโคร” งดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วและสามารถลดปริมาณขยะถุงพลาสติกได้ปีละกว่า 200 ล้านใบ หรือคิดเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 5.4 พันล้านใบ เนื่องจากมีเจตนารมย์ด้านสิ่งแวดล้อมชัดเจนเป็นรายแรกของไทย ภายใต้โครงการ “Say Hi to Bio, Say No to Foam : แม็คโครรักษ์โลก ชวนคุณใช้ผลิตภัณฑ์รักสิ่งแวดล้อม” โดยในส่วนของแคมเปญ “แยกขยะ=ลดขยะ” ได้เริ่มสร้างการรับรู้ให้พนักงานทุกสาขากว่า 132 แห่งทั่วประเทศรับทราบร่วมกันมาตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค.63 ก่อนที่จะเปิดแคมเปญสู่ผู้บริโภคอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ม.ค.63
ด้าน นายศักดิ์ชัย ดนุเดชสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดนุเดชอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตถุงขยะ “แชมเปี้ยน” กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจผลิตถุงขยะแบรนด์ต่าง ๆ เช่น aro พร้อมให้ความใส่ใจสิ่งแวดล้อมมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องการจัดการขยะ จึงได้ร่วมกับ “แม็คโคร” คิดนวัตกรรมถุงขยะแยกสีขึ้นจำหน่ายเฉพาะ “แม็คโคร” เท่านั้น มีจำหน่ายทั้งหมด 4 สี ได้แก่ เขียว เหลือง น้ำเงิน และแดง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าผู้ประกอบการในการคัดแยกขยะได้ง่ายมากขึ้น
“การแยกขยะมีประโยชน์หลายด้าน ทั้งช่วยลดปริมาณขยะ เพราะเมื่อแยกวัสดุส่วนที่ยังมีประโยชน์ เช่น แก้ว กระดาษ พลาสติก ฯลฯ จะทำให้เหลือขยะเพื่อนำไปกำจัดน้อยลง รวมทั้งยังสามารถนำวัสดุเหล่านั้นกลับมาหมุนเวียนได้ โดยเบื้องต้นบริษัทฯ ผลิตถุงขยะแยกสีเพื่อส่งมอบให้ “แม็คโคร” จำนวน 1.2 หมื่นหีบ พร้อมจัดโปรโมชันพิเศษลดราคาถุงขยะแยกสีขนาด 26 x 34 นิ้ว ขนาดบรรจุ 15 ใบ เหลือเพียง 29 บาท จากราคา 39 บาท รวมระยะเวลา 3 เดือนตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.63 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ แคมเปญ “แยกขยะ = ลดขยะ” ยังได้เปิดตัวพรีเซนเตอร์ “โตโน่- ภาคิน” พร้อมภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “แยกขยะเท่ากับลดขยะ” โดยเริ่มออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์พร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.63 เป็นต้นไป
ชู “เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563” กระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย
alivesonline.com : สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เผยมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยปี 2553-2560 ขยายตัวต่อเนื่อง 5.61% ผลักดัน “เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563” เป็นหนึ่งเมกะอีเวนต์ ระดมไอเดียออกแบบกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่อยู่รอดได้ทุกสถานการณ์ พร้อมขยายย่านสร้างสรรค์ใหม่ ขานรับการเป็น “เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก”
นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการสร้างและใช้องค์ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และทรัพย์สินทางปัญญาที่เชื่อมโยงกับพื้นฐานทางวัฒนธรรม การสั่งสมความรู้ของสังคม เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการผลิตสินค้าและบริการใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศได้ปรับเปลี่ยนทิศทางไปอิงกับระบบเศรษฐกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) โดยใช้ต้นทุนจากองค์ความรู้เดิมร่วมกับความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อต่อยอดและเพิ่มคุณค่าให้กับสินค้าและบริการเดิมที่มีอยู่ นำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมหาศาล
ในปี 2560 ประเทศไทยมีมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 15 สาขา คิดเป็น 9.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หรือประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท มีอัตราขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2553-2560 เติบโตเฉลี่ย 5.61% สูงกว่าจีดีพีที่เติบโตเฉลี่ย 5.24% โดยอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 3 สาขาที่มีมูลค่าสูงสุดคือ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 285,179 ล้านบาท รองลงมาคือ อาหารไทย 197,741 ล้านบาท และการออกแบบ 187,934 ล้านบาทตามลำดับ
ภายใต้แผนปฏิบัติการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ปี 2562-2565 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการผลักดันมูลค่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เติบโตไม่น้อยกว่า 5% ของจีดีพี และส่งเสริมให้เกิดเมืองสร้างสรรค์ (Creative City) เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวและธุรกิจของประเทศนั้น CEA จำเป็นต้องเดินหน้าผลักดันให้เกิดการพัฒนาบุคลากรสร้างสรรค์ (Creative People) การเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ธุรกิจสร้างสรรค์ (Creative Business) และการพัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์ (Creative Place) ดังนั้น การจัดงาน “เทศกาลออกแบบกรุงเทพฯ” หรือ “Bangkok Design Week” จึงเป็นกิจกรรมใหญ่ประจำปีที่สะท้อนถึงภารกิจทั้ง 3 ด้านนี้ได้อย่างชัดเจน โดยจากการจัดงาน 2 ปีที่ผ่านมามีผู้เข้าชมงานทั้งไทยและต่างประเทศรวมแล้วไม่น้อยกว่า 4 แสนคน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า จากการจัดงานที่ผ่านมาทั้ง 2 ปี จะเห็นได้ว่าย่านเจริญกรุงซึ่งเป็นย่านหลักของการจัดงานมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน เช่น การท่องเที่ยว เพราะเป็นพื้นที่ที่มีการกระจุกตัวของอาคารสำคัญทางประวัติศาสตร์ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็น TCDC ที่อยู่ในบริเวณเดียวกับอาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก, ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย ธนาคารแห่งแรกของประเทศไทย, อาคารศุลกสถาน อาคารริมน้ำเจ้าพระยาทรงนีโอคลาสสิก ที่ทำการเก็บภาษีสินค้าขาเข้า และ มัสยิดชุมชนฮารูณอายุกว่า 100 ปี เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนใหม่ ๆ โดยภาคเอกชนหลายรายเข้ามาลงทุนและเปิดให้บริการในย่านนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมบูทีคโฮเต็ล รวมถึงแกลเลอรีศิลปะที่มากกว่า 10 แห่ง ตลอดจนพื้นที่จัดงานสร้างสรรค์ เช่น Warehouse 30 ขณะที่การเติบโตของชุมชนมีการต่อยอดของสินค้าเก่าแก่ภายในชุมชนซึ่งได้พัฒนารูปแบบการให้บริการ ผลิตภัณฑ์ ให้เหมาะกับโลกยุคใหม่มากขึ้นให้สามารถจำหน่ายหรือสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ เหล่านี้เป็นตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของย่านเจริญกรุง ที่เกิดจากการเดินหน้าร่วมกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และผู้คนในชุมชน จึงทำให้ภาพของย่านสำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์เด่นชัดมากขึ้นในทุก ๆ ปี
สำหรับ “งานเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563” หรือ “Bangkok Design Week 2020” (BKKDW 2020) จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1-9 กุมภาพันธ์ 2563 ภายใต้ธีม “Resilience : New potential for living ปรับตัว > อยู่รอด > เติบโต” โดย CEA ร่วมกับผู้ร่วมจัดงานทั้งภาครัฐและเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศกว่า 60 หน่วยงาน นักออกแบบและธุรกิจสร้างสรรค์กว่า 2 พันราย ระดมไอเดียในการสร้างศักยภาพใหม่ ๆ ให้กรุงเทพฯ สำหรับรองรับประชากรที่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในอนาคต ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคมที่มีความแตกต่าง สร้างความปลอดภัยและส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณะ เป็นเมืองที่มีความสามารถในการอยู่รอดและเติบโตได้ในทุกสถานการณ์ พร้อมขานรับการเป็นหนึ่งใน “เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก” ด้วยการขยายพื้นที่จัดงานจากเจริญกรุง-ตลาดน้อย ไปยังสามย่าน, อารีย์-ประดิพัทธ์ และทองหล่อ-เอกมัย
ในส่วนของกิจกรรมหลักของการจัดงาน มี 5 รูปแบบได้แก่ (1) Showcase & Exhibition กลุ่มผลงานจากนักสร้างสรรค์และภาคธุรกิจที่นำเสนอแนวทางของการพัฒนาคน ชุมชน ธุรกิจ และเมือง ที่ใช้กระบวนการออกแบบและเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตในหลากหลายแง่มุม โดยมีไฮไลท์สำคัญที่สะท้อนถึงการมีชีวิตอยู่ในยุคสภาวะอากาศและสิ่งแวดล้อมอ่อนแอลงทุกวัน เช่น “หลุมหลบภัยทางอากาศ: Bangkok #Safezone Shelter” และ “Everlasting Forest by GC” (2) Talk & Workshop จากนักคิดนักสร้างสรรค์ที่จุดประกายความคิดในการออกแบบอย่างยั่งยืน โดยการลด เลือกใช้ หรือหมุนเวียนทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อคนในสังคม อาทิ “7 Wonders Of Business Resilience ประสบการณ์: ปรับตัว>อยู่รอด>เติบโต ของ 7 ธุรกิจ” และ Bangkok Design Week 2020 Powered by PechaKucha
(3) Creative District กิจกรรมส่งเสริมย่านเจริญกรุงสู่ความเป็นย่านสร้างสรรค์ทั้งด้านธุรกิจและคุณภาพชีวิตด้วยการจัดทำต้นแบบการพัฒนาพื้นที่เพื่อให้เกิดการทดสอบและนำไปสู่การใช้งานจริง อาทิ “MADE IN CHAROENKRUNG” (4) Event & Program กิจกรรมเฉลิมฉลองให้กับความสร้างสรรค์ของชาวกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงดนตรี การฉายภาพยนตร์ ศิลปะ การแสดง เวิร์คช้อป และกิจกรรมการเปิดบ้าน และ (5) Creative Market ตลาดนัดสร้างสรรค์เพื่อสร้างโอกาสในการขายสินค้าและการขยายเครือข่ายธุรกิจของผู้ประกอบการเก่าและใหม่ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ และพบกับ Pinkoi Market in Bangkok 2020 ที่รวบรวมงานดีไซน์จาก ไทย ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ThaiGa Creative Market 2020 ตลาดสินค้าจากสตูดิโอออกแบบและนักสร้างสรรค์ไทย Meta Food market ตลาดอาหารกลายพันธุ์ การประยุกต์ใช้ความคิดสร้างสรรค์กับอาหาร ตั้งแต่วิธีการคิดและผลิต
ผู้สนใจสามารถร่วมงาน “เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563” (BKKDW 2020) ตั้งแต่วันที่ 1-9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เจริญกรุง-ตลาดน้อย, สามย่าน, อารีย์-ประดิพัทธ์ และทองหล่อ-เอกมัย ติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมดี ๆ ภายในงานได้ทางเว็บไซต์ bangkokdesignweek.com เฟซบุ๊ก : https://www.facebook.com/BangkokDesignWeek/ อินสตาแกรม : bangkokdesignweek #BKKDW2020 และ #bangkokdesignweek
รวมพลังคนอาชีวะร่วมรายการ “Fin.ดี มีตังค์”
alivesonline.com : ธนาคารแห่งประเทศไทย จับมือ true4u และ มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เผยแพร่รายการ “Fin.ดี มีตังค์” ส่องแนวคิดนักศึกษาอาชีวะศึกษาในการสร้างตัวทางการเงินทาง true4u ช่อง 24 ทุกวันเสาร์เช้า เริ่ม 1 ก.พ.นี้
นางสาวนวพร มหารักขกะ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ริเริ่มจัดทำโครงการ “Fin.ดี We Can Do” ขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันการศึกษาด้านอาชีวศึกษาทั่วประเทศ ในการส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษาในสังกัดเข้าร่วมโครงการ เพื่อเรียนรู้แนวทางในการน้อมนำหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ของ พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการการเงิน โดยนอกจากนักศึกษาจะเรียนรู้วินัยทางการเงินและการพัฒนาธุรกิจแล้ว ยังปรากฏว่าสถาบันอาชีวะเริ่มบรรจุเรื่องการเงินและธุรกิจเข้าในการเรียนการสอน
“โครงการ Fin.ดี We Can Doเปรียบเหมือนพื้นที่แห่งจินตนาการให้เยาวชนชาวอาชีวะได้ทดลองคิดและออกแบบวิธีการนำความรู้ทางการเงินไปใช้ในชีวิตจริง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินที่เข้มแข็งแก่เพื่อน ๆ ในวิทยาลัยและขยายผลสู่ชุมชน ภายใต้แนวคิดผลงานของคนอาชีวะ เพื่อคนอาชีวะ”
นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้อำนวยการ สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ กล่าวว่า ปิดทองหลังพระฯ มีความยินดีที่มีส่วนร่วมในโครงการนี้ เพราะคาดว่าจะมีส่วนกระตุ้นให้เยาวชนมีความตระหนักรู้ทางการเงิน สอดคล้องกับแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงย้ำให้ระมัดระวังเรื่องการสร้างหนี้ ซึ่งปัจจุบันนับว่าเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของประเทศ
“ความพอเพียง พอประมาณ มีเหตุมีผล เป็นหลักยึดสำคัญที่จะทำให้มีชีวิตที่ดี และการที่มีรายการ Fin.ดี มีตังค์ เกิดขึ้นมา จะทำให้โครงการของ ธปท.ที่ร่วมกับสถาบันอาชีวะศึกษาต่าง ๆ มีความสมบูรณ์ขึ้น เปิดให้ผู้ชมได้ติดตามเรื่องของเด็กอาชีวะและเรียนรู้การประยุกต์ใช้แนวพระราชดำริไปพร้อม ๆ กัน”
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และประธานกรรมการ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า กลุ่มทรูมีความยินดีสนับสนุนโครงการดังกล่าวนี้อย่างยิ่ง เพราะมีความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ
“เรามีความร่วมมือกับปิดทองหลังพระฯ ในหลายพื้นที่และหลายกิจกรรม ทำให้ได้เรียนรู้และได้สร้างประโยชน์เป็นอย่างมาก รายการ Fin.ดี มีตังค์ จึงเป็นอีกงานหนึ่งที่ร่วมมือกัน แต่พิเศษที่เราขยับมาสนับสนุนกลุ่มเด็กอาชีวะซึ่งกำลังจะเป็นอนาคตสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ”
รายการ “Fin.ดี มีตังค์” จัดเป็นรายการประเภทเรียลลิตี้ ความยาวตอนละ 30 นาที จำนวน 12 ตอน โดยจะเผยชีวิตและแนวคิดของเด็กอาชีวะศึกษาในสถาบันต่าง ๆ ทั้งภาคเหนือ-ใต้-อีสาน-และตะวันออก ในการนำเอาความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาตนเองอย่างน่าสนใจ โดยมีครูที่ปรึกษาและ ธปท. เป็นพี่เลี้ยง มีกำหนดออกอากาศทาง true4u ช่อง 24 ทุกวันเสาร์เวลา 09.30 น เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 1 ก.พ.63 เป็นต้นไป โดยสามารถรับชมซ้ำได้ทุกวันศุกร์เวลา 09:30 น.ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 7 ก.พ.63 เป็นต้นไป