3 หน่วยงานหลักร่วมผลักดัน “ร้านค้าประชารัฐฯ” รุกโมเดลธุรกิจค้าปลีก

alivesonline.com : สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ร่วมกับ กรมบัญชีกลาง และ ธนาคารกรุงไทย ดึง “ร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง” ใช้แอปพลิชัน “ถุงเงินประชารัฐ” เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนและร้านค้ามีช่องทางชำระเงินในพื้นที่ของแต่ละชุมชน ก่อนพัฒนาเฟส 2 นำเครือข่ายร้านค้ากว่า 2 หมื่นแห่ง ร่วมต่อรองราคาสินค้าจากผู้ผลิต หวังเสริมแกร่งเศรษฐกิจในชุมชน

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตามแนวทางประชารัฐ เป็นมาตรการที่รัฐบาลให้ความสำคัญต่อเนื่องโดยให้ชุมชนเป็นผู้กำหนดอนาคตและจัดการหมู่บ้านและชุมชนด้วยคุณค่าและภูมิปัญญาของตนเองโดยคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม อีกทั้งยังเป็นแหล่งพัฒนาองค์ความรู้ คุณภาพชีวิต และสวัสดิการของสมาชิกในชุมชนด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน หรือเศรษฐกิจฐานรากของประเทศนับเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งเป็นการส่งเสริมสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ในส่วนของ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) มีการดำเนินโครงการมากมายอย่างต่อเนื่องมาตลอด 19 ปี เพื่อให้สมาชิกกองทุนฯ และชุมชนมีความแข็งแกร่ง ล่าสุดได้ร่วมกับ กรมบัญชีกลาง และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ขับเคลื่อนโครงการ “ถุงเงินประชารัฐ” แบบ One Stop Service เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงาน “ร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง” ต่อเนื่อง

โครงการ “ร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง” เป็นหนึ่งในโครงการที่รัฐบาลให้การสนับสนุนและให้งบประมาณในการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นศูนย์กลางในการซื้อ-ขายสินค้า และเป็นการลดรายจ่ายของประชาชนในชุมชน โดยในส่วนของการดำเนินงานของร้านค้าประชารัฐกองทุนฯ จากการสอบถามและติดตามทำให้ทราบว่ากองทุนบางแห่งสามารถทำยอดขายได้ถึง 20 ล้านบาท ขณะที่บางกองทุนได้ 1 ล้านบาท และบางกองทุนก็มีรายได้หลักแสนบาท แต่ทุกกองทุนเป็นหัวใจสำคัญของชุมชน โดยไม่ต้องไปพึ่งเครือข่ายร้านค้าอื่น ๆ

“การดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวมีโจทย์สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ประชาชนที่ได้รับสวัสดิการแห่งรัฐมีความสะดวกในการซื้อสินค้าจากร้านค้าประชารัฐกองทุนฯ โดยที่ผ่านมาเราใช้เครื่องชำระเงินฯ หรือ EDC  และในวันนี้ได้นำแอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐมาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ประชาชนและร้านค้าได้มีช่องทางในการชำระเงินในพื้นที่ของแต่ละชุมชน”

นายกอบศักดิ์ กล่าวในตอนท้ายด้วยว่า สทบ. ยังเตรียมนำเครือข่ายร้านค้าประชารัฐกองทุนฯ ที่มีประมาณ 2 หมื่นแห่ง เข้าไปต่อรองราคาสินค้าที่จะนำมาจำหน่ายให้ประชาชนในชุมชนจากผู้ผลิตโดยตรง ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่เพื่อจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น รวมทั้งยังจะทำให้ร้านค้าประชารัฐกองทุนฯ เป็นศูนย์กลางการจำหน่ายสินค้าประจำถิ่นซึ่งเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้เข้มแข็งอย่างแท้จริง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากความร่วมมือดังกล่าว สทบ. ได้มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2563 ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการจัดงานเพื่อให้ร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองได้ใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” แบบ One Stop Service โดยมีผู้แทนร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองร่วมประชุมจำนวน 600 ร้านค้า

การจัดกิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินงานการขับเคลื่อนการดำเนินงานร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง รวมถึงการสร้างเครือข่ายร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองและแนวทางการพัฒนาศักยภาพของเครือข่ายร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และเพื่อให้ร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองสามารถเข้าร่วมโครงการประชารัฐสวัสดิการของรัฐบาล พร้อมติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” แบบ One Stop Serviceเพื่อให้ความช่วยเหลือกับมีรายได้น้อยผ่าน “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ภายใต้โครงการธงฟ้าประชารัฐรวมถึงโครงการร้านค้าประชารัฐเคลื่อนที่ของกองทุนหมู่บ้านฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

นายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานของ สทบ. รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โดยปัจจุบันมี กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กทบ.) ดำเนินโครงการร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เพื่ออุปโภคบริโภคจำนวน 17,275 โครงการ เพื่อการเกษตรจำนวน 12,144 โครงการ และโครงการร้านค้าอื่น ๆ อีกประมาณ 702 โครงการ  ซึ่งที่ผ่านมา สทบ. ได้สนับสนุนการขับเคลื่อนร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านฯ ในหลายด้าน อาทิ การสนับสนุนทุนให้ร้านค้าเพื่อจำหน่ายสินค้าให้กับประชาชน การจัดอบรมให้ความรู้และส่งเสริมด้านศักยภาพร้านค้า พร้อมการสนับสนุนเครื่องชำระเงินฯ หรือ EDC ให้ร้านค้าประชารัฐกองทุนฯ กว่า 4 พันร้านค้า เป็นต้น

แอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” เป็นการพัฒนาของ ธนาคารกรุงไทย โดยใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อรับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากเดิมที่ใช้จ่ายซื้อสินค้าที่มีเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่อง EDC เท่านั้น โดย สทบ. ได้นำแอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” มาให้ร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านฯ เพื่อให้นำไปใช้ในการชำระค่าสินค้า เพิ่มความสะดวกให้ร้านค้าและผู้ซื้อสินค้า ภายใต้แนวคิด “ร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง รายได้สู่ชุมชน พัฒนาอย่างยั่งยืน”

“การใช้แอปพลิเคชันนี้จะเปิดให้ทั้งร้านค้าประชารัฐกองทุนฯ ทั้งที่ยังไม่ได้รับเครื่องชำระเงินฯ และที่เคยได้รับเครื่องชำระเงินฯ สามารถลงทะเบียนในการใช้บริการชำระเงินทางแอปพลิเคชันได้ เพื่อให้การดำเนินงานของร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านฯ ได้สร้างประโยชน์ให้กับชุมชน ก่อให้เกิดมีสวัสดิการในชุมชน สมาชิก กทบ. มีงาน มีอาชีพ มีรายได้และสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศได้มากยิ่งขึ้น โดยมั่นใจว่าถุงเงินประชารัฐจะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับร้านค้าประชารัฐ กทบ. และตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมเพิ่มความสะดวกให้ประชาชนและเป็นกลไกสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากตามความมุ่งหวังของรัฐบาลอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายนที กล่าวในตอนท้าย

 

 

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินเปิดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ ครั้งที่ 37”

alivesonline.com : สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2563” อ.ส.ค. โชว์สุดยอดวิทยาการด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมนมไทยในรอบปี ภายใต้แนวคิด “รักนม รักฟาร์ม สืบสาน รักษา ต่อยอดโคนมอาชีพพระราชทาน” พร้อมจัดประกวดโคนม ครั้งที่ 37 ชิงถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๑๐ และ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเปิดเวทีกระตุ้นให้เกษตรกรพัฒนาโคนมให้เทียบเท่ามาตรฐานระดับสากล  

วานนี้ (29 ม.ค.63) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2563” ณ บริเวณเชิงเขาตาแป้น อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี โดยมี นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ หัวหน้าส่วนราชการภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีและหัวหน้าส่วนราชการระดับสูงจังหวัดสระบุรี ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ดร.อาทิตย์ เพ็ชรรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ อ.ส.ค., ผู้บริหาร และพนักงาน อ.ส.ค. พร้อมด้วยเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และประชาชนเข้าเฝ้ารับเสด็จ

นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) จัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” เป็นประจำทุกปี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่พระองค์ได้พระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมให้แก่ปวงชนชาวไทยและเพื่อถ่ายทอดความก้าวหน้าการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ของการเลี้ยงโคนม รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนความรู้ทัศนคติและประสบการณ์ระหว่างเกษตรกรผู้เลี้ยงโคน และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนมในประเทศ

ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมประกวดโคนมประเภทต่าง ๆ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมพระราชทานถ้วยรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศการประกวดโค ประเภทโคนมมากท้องแรก อายุไม่เกิน 28 เดือน และได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานถ้วยรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศการประกวดโค ประเภทโคนมมาก ไม่จำกัดอายุ ซึ่งนับเป็นเกียรติประวัติสูงสุดแก่ผู้ประกอบอาชีพการเลี้ยงโคนมและวงการอุตสาหกรรมโคนมของประเทศไทย ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมเกิดความภาคภูมิใจในอาชีพ ทำให้คนไทยได้เข้าใจความเป็นมาและวิถีอาชีพการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมโคนมของประเทศไทย ส่งผลให้มีการบริโภคนมเพิ่มมากขึ้น สร้างความมั่นคงยั่งยืนต่ออาชีพการเลี้ยงโคนม โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 มกราคม-9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ บริเวณเชิงเขาตาแป้น อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี

ด้าน ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวเพิ่มเติมถึงกิจกรรมที่น่าใจภายในงานว่า การจัดงานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2563 อยู่ภายใต้แนวคิด “รักนม รักฟาร์ม สืบสาน รักษา ต่อยอดโคนมอาชีพพระราชทาน” โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ จัดเวทีประกวดโคนม ครั้งที่ 37 ชิงถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

นอกจากนี้ ยังมีงานสัมมนาวิชาการและนิทรรศการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเกษตร อาทิ การเสาวนาเรื่อง “Dairy 4.5:Smart Application to Smart  Farmer : โคนม 4.5 เลือกเทคโนโลยีที่ใช้ให้กับฟาร์มโคนม”, การสัมมนาเรื่อง การบริหารฟาร์มยุคใหม่ก้าวไกลด้วยแอปพลิเคชัน “เซียน” และการสัมมนาเรื่อง “การตรวจยีนในโคนมเพื่อเพิ่มมูลค่า” เป็นต้น

โซนนิทรรศการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเกษตร / การสาธิตและการจัดแสดงผลงานวิจัยด้านการพัฒนาโคนมและอุตสาหกรรมโคนม โดยได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชน / โซนบูธออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์และมีการเปิดให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลองชิมผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ครสชาติใหม่ ๆ  / การประกวดแข่งขันโคนมประเภทต่าง ๆ / การออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP และสินค้าที่เกี่ยวกับการเกษตรต่าง ๆ / สัมผัสบรรยากาศฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค / การเปิดให้เยี่ยมชมโรงงานผลิตนมไทย-เดนมาร์ค / ชมสาธิตการรีดนมโค และการทำปุ๋ยนมสดจากผู้เชี่ยวชาญของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค และกิจกรรมที่พลาดไม่ได้เลยคือ งาน “Thai-Denmark Milksic Festival ครั้งที่ 3” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งผู้มาร่วมงานจะได้พบปะกับศิลปินต่าง ๆ มากมาย เป็นต้น

ดร.ณรงค์ฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า โคนมอาชีพพระราชทานเป็นอาชีพอันทรงคุณค่าที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานไว้ให้แก่เกษตรกรไทย ด้วยทรงเล็งเห็นว่า อาชีพการเลี้ยงโคนมจะทำให้ชาวไทยได้บริโภคอาหารที่มีคุณค่าทั้งยังสร้างรายได้ให้เกษตรกรไทยได้มีอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน

ในด้านการรณรงค์การบริโภคนมของคนไทย อ.ส.ค.ได้มุ่งเน้นการสร้างวัฒนธรรมการบริโภคนมในสังคมไทยให้เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน และคนรุ่นใหม่เพื่อเป็นการเสริมสร้างโภชนาการและสุขอนามัยที่ดี ซึ่ง กระทรวงเกษตรฯ ก็ได้มีการมอบนโยบายแก่ อ.ส.ค. มาโดยตลอด ในเรื่องการตอกย้ำเพื่อสร้างการรับรู้ในการบริโภคมนมเพื่อกระตุ้นให้เยาวชนไทยหันมาดื่มนมกันมากขึ้น โดยมีเป้าหมายการเพิ่มปริมาณจาก 18 ลิตรต่อคนต่อปี เป็น 25 ลิตรต่อคนต่อปี ภายในปี 2569 ซึ่งการบริโภคนมคุณภาพดีที่ได้มาจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทยนอกจากจะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยมีสุขภาพที่ดีแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของกระทรวงเกษตรฯ ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทยและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางภาคการเกษตร ตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมนมไทยให้พัฒนายิ่งขึ้นไปอีกด้วย

สำหรับประวัติความเป็นมา “วันโคนมแห่งชาติ” ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.2503 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในคราว เสด็จฯ ประพาสทวีปยุโรปได้เสด็จประทับแรม ณ ประเทศเดนมาร์ก ทรงสนพระทัยในกิจการฟาร์มโคนมของชาวเดนมาร์กเป็นอย่างมาก ด้วยทรงเห็นว่าอาชีพการเลี้ยงโคนมน่าจะเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวไทย

หลังจากเสด็จฯ นิวัติประเทศไทย รัฐบาลเดนมาร์กได้ถวายโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมเป็นของขวัญแด่ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ เพื่อให้ดำเนินโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมในประเทศไทยบรรลุตามเจตนารมณ์ ที่ตั้งไว้ พร้อมทั้งได้มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 20ตุลาคม 2504 โดยได้ดำเนินการจัดตั้ง “ฟาร์มโคนม” และ “ศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย–เดนมาร์ค” ที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2505 โดย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระเจ้าเฟรดเดอริคที่ 9 แห่งประเทศเดนมาร์ก ทรงประกอบพิธีเปิด “ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค” อย่างเป็นทางการ

รัฐบาลไทยจึงได้กำหนดให้วันที่ 17 มกราคมของทุกปีเป็น “วันโคนมแห่งชาติ” จากนั้นมา “วันโคนมแห่งชาติ” จึงถือเป็นวันสำคัญยิ่งต่อเกษตรกรที่ประกอบอาชีพการเลี้ยงโคนมในประเทศไทย และ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย อ.ส.ค. จะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของในหลวงรัชกาลที่ ๙

 

“หอการค้าไทย” วิตกเศรษฐกิจวูบ ร่วมเสนอรัฐแก้วิกฤติ “ฝุ่น PM2.5-โคโรนา”

alivesonline.com : “หอการค้าไทย” ชี้ปัญหา “ฝุ่น PM2.5-โคโรนา” ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและเศรษฐกิจประเทศ แนะรัฐแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ ด้วยการควบคุมและป้องกันด้านการเกษตร ขนส่ง ก่อสร้าง และส่งเสริมพื้นที่สีเขียว พร้อมเสนอให้จัดอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายของ “ไวรัสโคโรนา” อย่างเพียงพอ และเร่งทำความสะอาดรถโดยสารสาธารณะ

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 และมลพิษทางอากาศเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายกำลังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีมาตรการหลายด้านจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดย หอการค้าไทย ได้เสนอแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ในหลาย ๆ ด้าน อาทิ

ด้านการเกษตร ควรส่งเสริมให้มีการเพิ่มมูลค่าเศษวัสดุที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ใบอ้อย ต้นและซังข้าวโพด มาอัดเป็นก้อนแล้วขายให้โรงงานไฟฟ้าชีวมวลในท้องถิ่น รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ พร้อมขยายโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีวัตถุดิบทางการเกษตรเพื่อลดการเผาทิ้ง โดยให้เผาเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าระบบปิดแทน ทั้งนี้ ควรมีการจัดทำแผนลดการเผาข้าวและข้าวโพด เหมือนกรณีอ้อยที่มีแผนการลดการเผาเป็น 0% ในปี 2565 โดย หอการค้าไทย เห็นด้วยกับมาตรการลงโทษของภาครัฐ สำหรับเกษตรกรที่มีการเผาพื้นที่ไร่นา เช่น งดให้เงินช่วยเหลือจากภาครัฐสำหรับเกษตรกร

“ภาครัฐควรส่งเสริมการจัดการแปลงที่ดิน เช่น การจัดเวลาเพาะปลูก การรวมแปลง เพื่อรองรับการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรให้เหมาะสมและคุ้มทุน รวมทั้งอาจจะส่งเสริมให้เกษตรกร สหกรณ์การเกษตร และวิสาหกิจชุมชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำในการซื้อเครื่องจักรกลทางการเกษตร เพื่อรับจ้าง หรือให้บริการเกษตรกรรายย่อย ในขณะเดียวกันก็ควรสนับสนุนให้มีการ Share Utilization เครื่องจักรกลการเกษตร หรือนำมารับจ้างเก็บเกี่ยวผลผลิตและไถกลบ หรือรวบรวมชีวมวลที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวไปใช้ประโยชน์ เพื่อลดการเผาทำลาย ทั้งใน ข้าว อ้อย และข้าวโพด นอกจากนั้นควรมีการส่งเสริมธุรกิจบริการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ตลอดจนให้เกษตรกรรายใหญ่ช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยในการเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วย”

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

ด้านการขนส่ง ขอให้ภาครัฐเข้มงวดการตรวจจับรถควันดำทุกประเภทและให้มีการตรวจวัดควันดำตั้งแต่ต้นทางของบริษัทรับขนส่งสินค้าเพื่อลดความแออัด เสนอให้มีการตรวจสภาพรถบรรทุกและรถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2 ครั้ง และขอให้มีการทบทวนมาตรการการเดินรถวันคู่-วันคี่ และการจำกัดเวลาเดินรถ นอกจากนั้น ขอให้ยกเลิกรถบริการสาธารณะทุกประเภทที่หมดอายุการใช้งาน และให้เปลี่ยนเป็นรถที่ใช้พลังงานสะอาด รวมทั้งให้มีมาตรการจูงใจลดหย่อนภาษีให้กับผู้ใช้รถยนต์เก่า (10 ปีขึ้นไป) ที่ต้องการเปลี่ยนเป็นรถยนต์ Hybrid หรือ EV ขณะเดียวกันก็ขอให้มีสถานีบริการสำหรับรถยนต์ EV มากขึ้น

“ส่วนในภาคเอกชน ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนตรวจสภาพรถยนต์ของตนเองให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ พร้อมตรวจเช็คสภาพอุปกรณ์กรองไอเสียให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และให้ศูนย์บริการรถยนต์ ศูนย์ตรวจสภาพรถเอกชน ให้คำแนะนำและเสนอบริการที่จะลดควันดำด้วย โดยภาคเอกชนต้องร่วมกันกำกับดูแลคู่ค้าที่เป็นเครือข่ายการรับส่งสินค้าให้มีรถที่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ พร้อมทำงานและไม่มีควันดำ”

ด้านการก่อสร้าง ภาครัฐจะต้องกำกับดูแลให้พื้นที่ก่อสร้างที่อยู่ในโซนที่มีค่ามลภาวะทางอากาศวิกฤติ ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม มาตรการของภาครัฐในการขยายเขตพื้นที่จำกัดรถบรรทุกเข้ากรุงเทพฯ และการห้ามรถบรรทุกเข้าพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ แม้ว่าจะเป็นมาตรการที่ดีในช่วงวิกฤติ แต่อาจจะกระทบต่อระบบงานก่อสร้างตามโครงการต่าง ๆ ดังนั้น ขอให้รัฐพิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เช่น การขยายเวลาก่อสร้างโครงการภาครัฐให้เป็นไปตามช่วงเวลาที่ต้องหยุดเดินรถเข้าเขตพื้นที่ที่กำหนด

ในส่วนของผู้ประกอบการก่อสร้างก็จะต้องดำเนินการตามแผน EIA อย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้พื้นที่ก่อสร้างเป็นพื้นที่ที่สร้างมลพิษทางอากาศ นอกจากนั้นจะต้องรณรงค์ให้ผู้ประกอบการก่อสร้างมีการวางแผนและเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้างที่มีความเหมาะสม โดยใช้ชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) และนำมาประกอบที่หน้างาน (Prefab) เพื่อลดฝุ่นจากการขนส่งวัตถุดิบและการใช้เครื่องมือเครื่องจักรจำนวนรถบรรทุกดิน หรืออุปกรณ์ก่อสร้าง นอกจากนั้นควรมีการล้างล้อรถบรรทุกเพื่อไม่ให้ดินโคลนตกหล่นบนถนน และมีการใช้สเปรย์ฉีดพ่นน้ำในพื้นที่ก่อสร้างเพื่อป้องกันฝุ่นฟุ้งกระจาย

 

ด้านมาตรการส่งเสริมพื้นที่สีเขียว เสนอให้มีการลดหย่อนภาษีเงินได้และภาษีที่ดินสำหรับเอกชนผู้ปลูกป่าเศรษฐกิจเพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในการดูดซับมลพิษ

“หอการค้าไทยตระหนักว่า ปัญหามลพิษทางอากาศควรเป็นเรื่องที่ทุกคนควรมีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้น ภาครัฐอาจมีการเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งข้อมูลข่าวสารการกระทำความผิดที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ โดยจะรณรงค์ให้ประชาชนใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการแจ้งข้อมูลและติดตามการกระทำความผิดที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ เพื่อให้ภาครัฐนำข้อมูล Real Time มาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อออกมาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป”

นายกลินท์ กล่าวอีกว่า สำหรับการเฝ้าระวังปัญหาเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญของคนไทยในขณะนี้นั้น หอการค้าไทย มีความมั่นใจในมาตรการต่าง ๆ ของรัฐ ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่อยู่ในมาตรฐานสากล โดย หอการค้าไทย ยินดีให้ความร่วมมือและจะช่วยเป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องไปสู่สมาชิกและเครือข่าย และขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐเสนอ ที่สำคัญคือการให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้ป่วยและประชาชน เพื่อป้องกัน เฝ้าระวัง และเข้าใจในธรรมชาติของไวรัส สร้างความพร้อมในการแก้ไขปัญหาและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยขอให้ประชาชนมีสติ ไม่ตื่นตระหนก และติดตามข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอ โดยภาครัฐควรกำหนดหน่วยงานที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากกระแสข่าวออนไลน์ที่อาจสร้างความสับสนและผิดพลาดได้

“สำหรับสถานพยาบาล คลินิก โรงพยาบาล หน่วยงาน หรือองค์กรที่เป็นสถานที่ดูแลป้องกันรักษาผู้ป่วย จะต้องเพิ่มความระมัดระวังและมีมาตรการป้องกันการแพร่เชื้ออย่างเข้มงวด โดยอาจจะเพิ่มจุดคัดกรองพิเศษเพื่อตรวจสอบผู้ที่สงสัยว่าอาจจะติดเชื้อ ทั้งนี้ หอการค้าไทย สนับสนุนแนวทางของสถานประกอบการประเภทโรงแรมในหลายจังหวัดที่มีมาตรการคัดกรองนักท่องเที่ยวที่มาพัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้มาใช้บริการอีกด้วย หรือในกรณีที่มีนักท่องเที่ยวมาพักเป็นกลุ่มใหญ่ก็อาจจะแจ้งหน่วยงานสาธารณสุขในจังหวัด เพื่อขอความร่วมมือให้มีหน่วยเคลื่อนที่มาตรวจสอบคัดกรอง”

นอกจากนั้น ขอเสนอให้ภาครัฐจัดสรรอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสให้แก่ประชาชนอย่างเพียงพอ เช่น ชุด Kit Set ที่ประกอบไปด้วย หน้ากาก กระดาษทิชชูแบบพกพา และเจลล้างมือ โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น เด็กอนุบาล หรือผู้สูงอายุในชุมชนแออัด รวมทั้งผู้โดยสารในสถานีขนส่งมวลชนทางบกและทางน้ำ นอกจากนั้น ขอเสนอให้มีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคในรถบริการสาธารณะ เช่น รถประจำทาง หรือรถแท็กซี่ที่มารับผู้โดยสารในสนามบิน เป็นต้น

ตลาดเครื่องสำอางไทย 1.3 แสนล้านบาท ชูจุดแข็ง “Made in Thailand Product”

alivesonline.com : บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ต จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการจัดงานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจ อุตสาหกรรม และนวัตกรรมที่กำลังเติบโต ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย แถลงข่าวการจัด งาน Cosmoprof CBE ASEAN 2020” (คอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน แบงค็อก 2563) งานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลกที่จะมาสร้างบรรทัดฐานใหม่ของอุตสาหกรรมความงามในภูมิภาคอาเซียนที่จะเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านความงามไทยฝ่าวิกฤติเปิดทางออกปัญหาเศรษฐกิจโลก ผ่าน งานเสวนา “ฝ่าวิกฤติ กับโอกาสการลงทุนเครื่องสำอางไทยในตลาดโลก ปี 2563” จากผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดความงามและเครื่องสำอางชั้นนำ ณ ห้อง Attitude ชั้น 25 โรงแรมเดอะเวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ รองกรรมการผู้จัดการ “อินฟอร์มา มาร์เก็ต ประเทศไทย”

  • Cosmoprof CBE ASEAN 2020 หนุนแบรนด์โชว์ศักยภาพ

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ รองกรรมการผู้จัดการ “อินฟอร์มา มาร์เก็ต ประเทศไทย” ผู้เชี่ยวชาญในการจัดงานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจ อุตสาหกรรม และนวัตกรรมที่กำลังเติบโต โดยมีการจัดงานแสดงสินค้าและกิจกรรมสำหรับการเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและเวชภัณฑ์กว่า 550 งานกล่าวถึงภาพรวมของตลาดเครื่องสำอางไทยว่า ตลาดเครื่องสำอางถือเป็นตลาดที่มีกำลังการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี สะท้อนความน่าเชื่อถือของเครื่องสำอางไทยในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งศักยภาพของประเทศไทยยังเอื้อต่อการเติบโตของตลาดเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านมาตรฐานภาคการผลิตในระดับสูง คุณค่าของวัตถุดิบที่สามารถต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมไปถึงความเป็นจุดศูนย์กลางของอาเซียนและมาตรฐานของระบบลอจิสติกส์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญให้อุตสาหกรรมความงามไทยมีความพร้อมและเป็นที่เชื่อมั่นของนักลงทุน

ด้วยจุดแข็งของตลาดเครื่องสำอางไทยที่มีผลช่วยให้เศรษฐกิจโดยรวมในประเทศมีการขับเคลื่อนและนำเม็ดเงินจากต่างชาติให้เข้ามาในประเทศมากขึ้น ทั้งยังเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเติบโตแข่งขันกับผู้เล่นเก่าและผู้เล่นต่างชาติได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่สินค้า Made in Thailand Products มีความต้องการซื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ทั้งในจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และออสเตรเลีย บริษัทฯ จึงจัดงานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน “Cosmoprof CBE ASEAN 2020” (คอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน แบงค็อก 2563) ระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2563 ณ ศูนย์การแสดงสินค้า และการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

“Cosmoprof CBE ASEAN 2020” เป็นงานจัดแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลก บนพื้นที่กว่า 2.5 หมื่นตารางเมตร เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ของอุตสาหกรรมความงามในภูมิภาคอาเซียนที่จะเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการความงามได้นำเสนอสินค้าและนวัตกรรมความงาม พร้อมจัดกิจกรรมให้ผู้ประกอบการมีโอกาสขยายธุรกิจ เช่น โปรแกรมจับคู่เจรจาธุรกิจ Business Matching โปรแกรมทางธุรกิจที่ออกแบบให้ผู้ออกงานได้พบกับคู่ค้าทางธุรกิจ หรือผู้ซื้อที่ตรงความต้องการได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น, โปรแกรม Hosted Buyer ไฮไลต์สำคัญของงานที่รวมตัวผู้ซื้อคุณภาพจากทั่วโลกให้มาพบกับผู้ประกอบการไทยภายในงานแบบสุดพิเศษ, กิจกรรม Cosmoprof CosmoTalks นำเสนอข้อมูลเชิงลึกรูปแบบใหม่ด้านแนวโน้มและลักษณะในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเวทีสัมมนาให้ความรู้ด้านการตลาดความงามแก่ผู้ประกอบการไทย ตลอดจนการแสดงสาธิตโดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทั้งไทยและต่างประเทศ

“จากการคาดการณ์ด้านเศรษฐกิจของนักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ พบว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทย รวมไปถึงในระดับโลกอาจยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวในเร็ว ๆ นี้ แต่ตลาดเครื่องสำอางและความงามไทยยังคงเป็นตลาดที่มีความแข็งแรงอยู่ ทั้งยังมีแนวโน้มที่สามารถเติบโตสวนทางกับกระแสเศรษฐกิจโลก และเพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตของผู้ประกอบการไทยและตลาดความงามไทย บริษัทฯ จึงใช้ประสบการณ์การจัดงาน Cosmoprof ทั่วโลกที่ผ่านมาและความเข้าใจในข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของธุรกิจจัดงานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงาม ผลักดันให้การจัดงานครั้งนี้ได้เติมเต็มศักยภาพของผู้ประกอบการไทยไปอีกขั้น เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนเครื่องสำอางไทยในตลาดโลก พร้อมพาตลาดความงามฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ไปด้วยกัน” นายสรรชาย กล่าวในท้าย

นางเกศมณี เลิศกิจจา ประธานกลุ่มคลัสเตอร์สุขภาพและความงาม ประธานกลุ่มเครื่องสำอาง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย

  • ชูจุดเด่น Made in Thailand Product แข่งตลาดโลก

นางเกศมณี เลิศกิจจา ประธานกลุ่มคลัสเตอร์สุขภาพและความงาม ประธานกลุ่มเครื่องสำอาง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย กล่าวถึงภาพรวมการแข่งขันในตลาดผู้ผลิตเครื่องสำอางว่า แม้ว่าตลาดเครื่องสำอางจะมีมูลค่าการเติบโตสูงขึ้นทุกปี แต่ในด้านของการแข่งขันก็มีไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะในปี 2562 มีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเกิดใหม่เพิ่มมากขึ้น ทั้งยังมีรูปแบบนำเสนอสินค้าที่หลากหลายกว่าเดิม อาทิ เทรนด์ผลิตภัณฑ์ที่แปลกใหม่ บรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างพกพาสะดวก ราคาต่อหน่วยที่ถูกลง โดยเฉพาะช่องทางการขายที่เข้าถึงได้ง่าย ทั้งจากช่องทางเดิม ๆ ในโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ร้านสุขภาพและความงาม ร้านค้าปลีกทั่วไป และช่องทางออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งมีต้นทุนต่ำ ใช้งบประมาณน้อย แต่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย รวมถึงการทำตลาดของกลุ่มสตาร์ทอัป ดารานักแสดง และเน็ตไอดอล ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การจงรักภักดีในตราสินค้าของผู้บริโภค หรือ Brand Royalty ลดน้อยลงและนำมาซึ่งการตัดสินใจใช้สินค้าใหม่ ๆ แบรนด์ใหม่ ๆ ง่ายขึ้น

จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคดังกล่าว ประกอบกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้ตลาดเครื่องสำอางมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มระดับกลางและระดับล่าง ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการใหม่ กลุ่มผู้ขายสินค้านำเข้า หรือแม้แต่กลุ่ม Global Brand ก็เริ่มพัฒนาสินค้าในคอลเลกชั่นที่ถูกล เพื่อเข้าหาลูกค้ากลุ่มทั่วไปมากขึ้น รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ Fighting Brand ใหม่ ๆ ในราคาที่จับต้องได้ในตลาดระดับรองลงมาและรักษาส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มสินค้านั้น ๆ

“ในปี 2563 สัดส่วนของผู้บริโภคจะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอายุของผู้บริโภคกลุ่มที่เริ่มใช้เครื่องสำอางมีค่าเฉลี่ยลดลง ทั้งยังมีโอกาสจากกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยและมองหาคู่ค้าไทยในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะในเวที Cosmoprof CBE ASEAN 2020 ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการชาวไทยสามารถส่งสินค้าในมือไปสู่ตลาดโลก เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันที่ขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

นางเกศมณี กล่าวในตอนท้ายว่า เศรษฐกิจประเทศไทยโดยเฉพาะด้านการส่งออกในระยะหลังค่อนข้างเติบโตช้า เนื่องมาจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งจากปัญหาเงินบาทแข็งค่า และสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา รวมถึงความขัดแย้งในพื้นที่ตะวันออกกลาง แต่นับเป็นเรื่องดีที่ตลาดเครื่องสำอางไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นสินค้าเครื่องสำอาง Made in Thailand Product ดังจะเห็นได้เห็นจากมูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางไทยในปี 2562 มูลค่ากว่า 1.3 แสนล้านบาท เติบโตกว่า 6% แต่การจะผลักดันให้มูลค่าตลาดเติบโตขึ้นต้องพึ่งพาความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการและภาครัฐ ในการผลักดันผลิตภัณฑ์ Made in Thailand Product ให้ชัดเจนและน่าเชื่อถือมากขึ้น รวมถึงต้องร่วมกันผลักดันงานแสดงสินค้าให้เป็นที่รับรู้มากขึ้น เพื่อที่จะส่งให้สินค้าความงามไทยไปอยู่ในสายตาโลกได้มากที่สุด

นายพงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน)

  • เผยสูตรสำเร็จ “พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการ”

ในส่วนของภาคผู้ประกอบการ นายพงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการสร้างความสำเร็จในตลาดความงามโลกว่า ตลาดเครื่องสำอางเป็นตลาดที่มีความใหญ่เป็นอันดับต้นทั้งในไทยและต่างประเทศ ดังนั้นสิ่งที่สามารถนำพาแบรนด์ไปสู่ความสำเร็จได้คือ การจับจุดเด่นตัวเองให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้มากที่สุด กล่าวคือตัวสินค้าต้องมีนวัตกรรมและคงคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจน รวมถึงต้องตามเทรนด์ใหม่ ๆ จับกระแสของโลกอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ แบรนด์ที่ดียังควรมีสินค้าหลายขนาด หลายรูปแบบ ไม่จำเจ เพื่อให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกหลากหลายในราคาที่เอื้อมถึง ที่สำคัญควรรู้จักประเทศคู่ค้าให้ดี อาทิ ทำความเข้าใจด้านกฎหมายการค้า กระบวนการภาษี การขนส่ง ราคาที่เหมาะสม และมีการส่งเสริมการตลาดที่ดี อย่างด้านโปรโมชัน หรือสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะประเทศนั้น ๆ เป็นต้น

นางรุ่งระวี กิตติสินชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมลอทท์ แลบบอราทอรีส์ จำกัด

  • แนะผู้ประกอบการพัฒนานวัตกรรมใหม่

อีกหนึ่งผู้ประกอบการคือ นางรุ่งระวี กิตติสินชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมลอทท์ แลบบอราทอรีส์ จำกัด กล่าวถึงกลยุทธ์สร้างผลิตภัณฑ์ในตลาดความงามโลกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความพร้อมในการผลิตและมีซัปพลายเชนที่ครบวงจร ทั้งยังมีแรงงานที่มีทักษะ รวมถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผู้ประกอบการใหม่จึงควรศึกษาถึงการใช้ทรัพยากรที่มีเพื่อพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงการ กำหนดสูตรต่าง ๆ (Formulate) ให้ทันสมัยและเป็นไปตามความต้องการของลูกค้า พร้อมคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปด้วย ตลอดจนควรเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคด้วยการสร้างสรรค์สินค้าให้มีคุณภาพและปลอดภัยในระดับผ่านการประเมินจากองค์กรที่มีการรับรองในระดับสากลทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการเสริมศักยภาพของตัวองค์กร อาทิ เป็นสินค้าที่มีสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบไปยังต่างประเทศ หรือการบริหารการจัดการให้มีคุณภาพ ตั้งแต่ด้านการผลิต การจัดเก็บ จนถึงการส่งมอบสินค้าให้ลูกค้า

 

 

เศรษฐกิจใน-นอก “ยังทรุด” ฉุดท่องเที่ยวไทยปี 63 “ทรงตัว”

alivesonline.com : “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” โชว์ผลงานท่องเที่ยวไทย ปี 62 ทำรายได้รวม 3.01 ล้านล้านบาท เผยมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม VOA กระตุ้นนักท่องเที่ยวแดนภารตะ โตพรวด ร้อยละ 24 คาดสถานการณ์ปี 63 อยู่ในภาวะ “ท้าทาย” เหตุปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว ค่าเงินบาทแข็ง สงครามการค้า การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดท่องเที่ยวโลก โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของ “เชื้อไวรัสโคโรนา” ในจีน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในปี 2562 สถานการณ์ท่องเที่ยวระหว่างประเทศของประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 39.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 จากปีที่ผ่านมา โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และลาว ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลจากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมฯ VOA ยังช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ขยายตัวสูงสุดถึงร้อยละ 24 จากปีที่ผ่านมา และมีจำนวนกว่า 1.99 ล้านคน ส่วนด้านรายได้ในปี 2562 นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสร้างรายได้กว่า 1.93 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.05 จากปีที่ผ่านมา โดยนักท่องเที่ยวที่สร้างรายได้สูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย จีน มาเลเซีย รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย ตามลำดับ

ส่วนสถานการณ์ท่องเที่ยวภายในประเทศ ปี 2562 พบว่าชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศจำนวน 166 ล้านคน-ครั้ง อยู่ในภาวะทรงตัวจากปีก่อนหน้า โดยหดตัวร้อยละ 0.06 จากปีที่ผ่านมา แม้ว่าการท่องเที่ยวในเมืองหลักและเมืองรองจะมีจำนวนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาก็ตาม อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมพบว่า การท่องเที่ยวเมืองรองมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.88 ขณะที่เมืองหลักหดตัวร้อยละ 0.49

ขณะที่รายได้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวภายในประเทศของชาวไทย ในปี 2562 มีมูลค่า 1.08 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.18 จากปีที่ผ่านมา โดยจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวของชาวไทยสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต ตามลำดับ ส่งผลให้ในปี 2562 รายได้รวมจากการท่องเที่ยวของไทยมีทั้งสิ้น 3.01 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.37 จากปีที่ผ่านมา ตามการขยายตัวของรายได้ทั้งจากภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและภายในประเทศ

นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสงครามการค้า การแข็งค่าเงินบาท การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดท่องเที่ยวโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย อาจส่งผลกระทบต่อระดับการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวและระดับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวโดยรวมของประเทศ จึงคาดว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวในปี 2563 นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะยังคงขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3-4 หรือมีจำนวนประมาณ 40.5-41 ล้านคน โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญจากมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวและกระตุ้นการใช้จ่าย โดยในส่วนที่ได้ดำเนินการแล้ว เช่น การยกเว้นค่าธรรมเนียมฯ VOA และการอำนวยความสะดวกด้านการคืนภาษีในแหล่งท่องเที่ยว (Downtown VAT Refund) เป็นต้น และยังจะมีอีกหลายมาตรการที่จะมีเพิ่มเติมในปีนี้ เช่น มาตรการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า (Double Entries Visa และ Re-entry Permit) การขยายจุด Downtown VAT Refund รวมถึงการจัดกิจกรรมเมกะอีเวนต์ในด้านต่าง ๆ เช่น กิจกรรมเชิงกีฬา และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น

“ประเด็นท้าทายที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2563 คือ ความเสี่ยงใหม่จากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสสายพันธ์ใหม่โคโรนา 2019 ในประเทศจีนที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเดินทางโดยเครื่องบิน นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลกที่ยังมีทิศทางชะลอตัว ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่อาจรุนแรงขึ้น ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ และการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลก เช่น โอลิมปิกโตเกียว และฟุตบอลแห่งชาติยุโรป เป็นต้น”

นายพิพัฒน์ กล่าวในตอนท้ายว่า ในส่วนของการท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือไทยเที่ยวไทย ในปี 2563 ยังคงเผชิญความท้าทายจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบต่อรายได้ภาคเกษตรจากภัยแล้งที่คาดว่าจะรุนแรงและยาวนานกว่าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ปี 2563 ที่คาดว่าจะเริ่มต้นในไตรมาสที่ 1 และการท่องเที่ยวตามฤดูกาลจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การท่องเที่ยวภายในประเทศขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับปี 2562 โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2–3 หรือมีจำนวนประมาณ 170 ล้านคน-ครั้ง

Backpackers on an adventure

สัมมนาแห่งปี “How to รอด…รอดอย่างไรในสถานการณ์เศรษฐกิจร้อน การเมืองแรง”

ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูงด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (บสส.) รุ่นที่ 9 สถาบันอิศรา ขอเชิญผู้สนใจร่วมสัมมนา หัวข้อ “How to รอด…รอดอย่างไรในสถานการณ์เศรษฐกิจร้อน การเมืองแรง” เวทีแลกเปลี่ยนความคิดและมุมมองจากประสบการณ์ผู้รู้จริงทั้งแวดวงรัฐบาลและเอกชน ในเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 บ่ายโมงเป็นต้นไป ณ อาคารปฏิบัติการวิทยุโทรทัศน์ บมจ.อสมท.

 “How to รอด…รอดอย่างไรในสถานการณ์เศรษฐกิจร้อน การเมืองแรง” ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมเวที ได้แก่ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายกรัฐมนตรี, ดร.ชัยยงค์ สัจจิพานนท์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี, นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี และ นางสาวช่อผกา วิริยานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายต้นไม้ในเมือง

สัมมนาแห่งปีที่พลาดไม่ได้ “How to รอด…รอดอย่างไรในสถานการณ์เศรษฐกิจร้อน การเมืองแรง” วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 13.00-16.00 น. ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 6 อาคารปฏิบัติการวิทยุโทรทัศน์ บมจ. อสมท

สิทธิพิเศษสำหรับผู้ร่วมงาน มีสิทธิลุ้น Lucky Draw ที่พัก G Hua Hin Resort and Mall จำนวน 10 รางวัล รางวัลละ 4,000 บาท ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่ www.isra.or.th ด่วน! จำนวนจำกัด

บอสใหญ่ “พฤกษา” รับพระราชทาน ปริญญาเศรษฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานปริญญาเศรษฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้แก่ นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จากผลงานการบริหารงานด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่โดดเด่น โดยการนำเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้านที่ทันสมัยมาใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน จนทำให้ “พฤกษา เรียลเอสเตท” ประสบความสำเร็จก้าวขึ้นเป็นผู้นำในวงการอสังหาริมทรัพย์ของไทย

ในครั้งนี้นับเป็นปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ใบที่ 4 ที่ได้รับมา โดยในปี 2555 ได้รับปริญญาบัตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ต่อมาในปี 2557 ได้รับปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิศวกรรมโยธา จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม และในปี 2560 ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

“โฮมโปร” จัดโปรโมชันสุดคุ้ม สู้วิกฤตฝุ่น PM 2.5

โฮมโปร ชวนคนรักบ้านฝ่าวิกฤตฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 มอบอากาศดี ๆ เพื่อสุขภาพของคนที่คุณรัก กบโปรโมชันสุดคุ้มรับปีใหม่ ชอปเครื่องฟอกอากาศกับ โฮมโปร รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท พร้อมปกป้องทุกคนในครอบครัวจากฝุ่นละอองได้อย่างมั่นใจ ด้วยเครื่องฟอกอากาศหลากหลายแบรนด์ ดูแลได้ทั้งห้องขนาดเล็กและห้องขนาดใหญ่ อาทิ Sharp, Philips, BWELL, Hitachi, Electrolux, Tefal, Robot สามารถฟอกอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีเสียงรบกวน ประหยัดไฟ ให้บ้านสะอาด ปลอดภัย ดักจับทุกฝุ่นละออง เชื้อโรค หมดกังวลเรื่องกลิ่น ห่างไกลจากภูมิแพ้ เติมเต็มอากาศบริสุทธิ์ได้ทุกช่วงเวลา

ร่วมสร้างอากาศดี ๆ เพื่อคนที่คุณรัก ได้แล้วถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 ที่ โฮมโปร ทุกสาขา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Call Center 1284 หรือ www.homepro.com

 

“โกแบร์” จัดแคมเปญ #GoBearFinChallenge

alivesonline.com : จากการสำรวจสุขภาพทางการเงินของคนไทยที่เว็บไซต์ “โกแบร์” GoBear.com/th ได้จัดทำขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา พบว่าคะแนนสุขภาพทางการเงินโดยรวมของคนไทยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ส่งผลให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ทั้งหนี้สิน การไม่มีเงินออม การไม่ได้วางแผนการเงินรองรับชีวิตหลังเกษียณ และอื่น ๆ ซึ่งสอดคล้องกับการสำรวจของ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ล้วนสรุปตรงกันว่า “คนไทยมีปัญหาทางการเงิน” จึงเป็นที่มาที่ทำให้หลายๆ หน่วยงานต้องออกมารณรงค์ให้คนไทยมีวินัยทางการเงินมากขึ้น

 ในส่วนของเว็บไซต์โกแบร์ ได้เปิดตัวแคมเปญGoBear Fin Detective #สืบฟินวินทุกเรื่องเงินเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ด้วยการสร้างสรรค์คลิปวิดีโอซีรี่ส์ GoBear Fin Detective รวม 3 เรื่อง เพื่อทำให้เข้าใจและจัดการปัญหาทางการเงินได้ดีขึ้น โดยนำเสนอเรื่องราวที่สนุกและน่าติดตามผ่าน “นักสืบโกแบร์” ที่จะพาเราสืบฟิน วินทุกเรื่องการเงินไปด้วยกัน โดยเรื่องแรกคือ “ใช้เงินยังไงให้ถึงสิ้นเดือน” เรื่องที่สอง “ลงทุนเริ่มต้นด้วยเงิน 1,000 บาท” และเรื่องสุดท้ายคือเรื่อง “วิธีหลีกหนี้” สามารถเข้าชมได้ทางเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/GoBearThailand/ ล่าสุดได้ต่อยอดแนวคิดดังกล่าวต่อ เพื่อให้คนไทยเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ทางการเงินในปี 2563 ที่คาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจไทยจะซบเซา ด้วยการเปิดตัว #GoBearFinChallenge #ท้าฟินวินเรื่องเงิน กับโกแบร์

 

นายเบา เวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเว็บไซต์โกแบร์ ประเทศไทยและเวียดนาม GoBear.com/th เว็บไซต์เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ใช้ง่าย ใช้ฟรี และเป็นกลาง กล่าวว่า โกแบร์จัดทำแคมเปญ #GoBearFinChallenge #ท้าฟินวินเรื่องเงิน กับโกแบร์ เพื่อปลุกกระแสชาเลนจ์ด้านการเงิน กระตุ้นให้คนไทยมีวินัยในการใช้เงินมากขึ้น โดยชวนทุกคนมาแชร์เทคนิคการบริหารจัดการเงินในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเงิน การลงทุน และการปลดหนี้ที่ได้แนวคิดมาจากการดูคลิปวิดีโอในซีรี่ส์ GoBear Fin Detective เช่น นำเงิน 1,000 บาท ไปลงทุนอะไรมา? เก็บเงินทุกเดือนด้วยการเก็บแบงค์ 50 หรือหักห้ามใจงดชอปเป็นเวลา 1 เดือน โดยแนบลิงค์คลิปวิดีโอตอนที่ได้แนวคิดนั้นมา แล้วท้าคนอื่นให้มาแชร์วิธีของตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ พร้อมใส่แฮชแทค #GoBearFinChallenge #ท้าฟินวินเรื่องเงินแคมเปญ “#GoBearFinChallenge #ท้าฟินวินเรื่องเงิน กับโกแบร์ จะเริ่มปลุกกระแสการชาเลนจ์เรื่องการเงินโดยใช้แพลตฟอร์มโซเชียลทั้งหมด ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ รวมทั้งชุมชนพันทิป ใครที่มีเทคนิคดี ๆ นำ แชร์แล้วโดนใจทีมงาน เตรียมรับของรางวัลจาก “โกแบร์” กันได้เลย

รพ.นครธน จัดโปรแกรมตรวจสุขภาพ 11 รายการ

โรงพยาบาลนครธน โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มุ่งมั่นพัฒนาการรักษาเพื่อดูแลทุกชีวิตในครอบครัว จัดโปรโมชัน Happy Check Up 2020 ครบรอบ 24 ปี เพื่อเป็นของขวัญให้ตัวคุณเองและคนที่คุณรักต้อนรับปีใหม่ โดยมอบสุขภาพดีให้กับลูกค้าคนพิเศษด้วยโปรแกรมตรวจสุขภาพสุดประหยัด ในราคา 2,400 บาท สามารถตรวจได้ 11 รายการ อาทิ ตรวจร่างกายทั่วไป, ตรวจระดับไขมันในเลือด, ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด, ตรวจการทำงานของตับ, ตรวจการทำงานของไต, ตรวจเอกซเรย์ทรวงอก ปอดและหัวใจ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถรับสิทธิ์ซื้อรายการตรวจเพิ่มในราคาพิเศษอีกหลายรายการ ผู้สนใจสามารถซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพสุดพิเศษนี้ได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สุขภาพนครธน ชั้น 11 โทร.0 2450 9999