“แอมไชน่าทาวน์” มิกซ์ยูสแห่งใหม่ ใหญ่สุดในเยาวราช

alivesonline.com : เปิดตัวยิ่งใหญ่ต้อนรับ “เทศกาลตรุษจีน 2563” สำหรับ โครงการมิกซ์ยูสสไตล์ Modern Chinese “แอมไชน่าทาวน์” (I’m Chinatown) มูลค่าการลงทุนกว่า 3 พันล้านบาท บนพื้นที่แปลงสุดท้ายของเยาวราชที่รวบรวมศูนย์การค้า คอนโดมิเนียม และโรงแรมแนวคิดใหม่ไว้บนพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 4 หมื่นตารางเมตร ขนาดใหญ่ที่สุดในย่านเยาวราช

“แอมไชน่าทาวน์” โชว์จุดเด่นในพิธีเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา บนถนนเจริญกรุง ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีวัดมังกร เพียง 50 เมตร ด้วยขบวนแห่มังกรโชคลาภ โดยได้รับเกียรติจาก นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติจากวงการต่าง ๆ มากมาย พร้อมด้วยศิลปินรับเชิญ “หมาก ปริญ สุภารัตน์” และมินิคอนเสิร์ตจากสองหนุ่มวงลิปตา “คัตโตะ และแทน”

“แอมไชน่าทาวน์” สร้างความแปลกใหม่ด้วยร้านค้าชั้นนำ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาตรฐานครบครัน และที่จอดรถชั้นใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในย่านเยาวราช รองรับรถยนต์ได้มากกว่า 300 คัน ตั้งเป้าให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่บนถนนเยาวราช เพิ่มสีสันให้ถนนสายวัฒนธรรมไทย-จีนมีความคึกคัก พร้อมเป็นจุดเชื่อมโยงให้คนรุ่นใหม่ทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ ได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของย่านไชน่าทาวน์อย่างใกล้ชิดและมีหลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น

นายสุวรรณ เลิศปัญญาโรจน์กรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ “แอมไชน่าทาวน์” เปิดเผยว่า เยาวราชถือเป็นทำเลศักยภาพลำดับต้น ๆ ของเมืองไทย ซึ่งนอกจากจะมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีวิถีชีวิตที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ยังเป็นแหล่งธุรกิจที่มีเอกลักษณ์ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ถนนสายมังกรของเมืองไทย” จึงทำให้มีดีมานด์สูงทั้งในด้านที่อยู่อาศัย การค้าขาย ตลอดจนเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจมาพักอาศัยอยู่ในย่านนี้เป็นจำนวนมาก ประกอบกับในปัจจุบันการเดินทางมายังเยาวราชได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูใหม่ให้ผู้คนสามารถเข้าถึงเยาวราชได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ศูนย์การค้า “แอมไชน่าทาวน์” จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าชาวไทยและต่างชาติเป็นอย่างดี และกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของย่านเยาวราชในอนาคตอันใกลอย่างแน่นอน

นายกฤษดา กวีญาณ กรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ “แอมไชน่าทาวน์” กล่าวเสริมว่า การเปิดตัวโครงการ “แอมไชน่าทาวน์” ภายใต้แนวคิดอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานสไตล์ Modern Chinese ที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในเยาวราช เป็นความตั้งใจในการพัฒนาที่ดินในเยาวราชให้เกิดประโยชน์ชุมชนและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้ย่านเยาวราชโดยรวม โดยได้พัฒนาโครงการบนพื้นที่กว่า 4 หมื่นตารางเมตรจากโรงภาพยนตร์เก่าซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ซึ่งได้ศึกษาและทำความเข้าใจกับชุมชนในย่านนี้และบริเวณโดยรอบก่อนที่จะเริ่มดำเนินโครงการ ทำให้การก่อตั้งโครงการตอบโจทย์ความต้องการและไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญกับชุมชน

โครงการ “แอมไชน่าทาวน์” เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ให้บริการครบวงจรรายแรกและรายเดียวในย่านเยาวราช ที่ไม่ได้มีเพียงแค่ศูนย์การค้า แต่ยังมีทั้งโรงแรมและคอนโดมิเนียมที่อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์คนทำงานและผู้อยู่อาศัยในชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทุกเพศทุกวัย ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการศูนย์การค้าฯ แล้วมากกว่า 8,000-10,000 คนต่อวัน โดยคาดว่าเมื่อโครงการเปิดให้บริการครบทุกส่วนจะมีผู้ใช้บริการมากกว่า 2 หมื่นคนต่อวัน

โครงการ“แอมไชน่าทาวน์” ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ

1.“โรงแรมที่พัก” โดยร่วมมือกับ โรงแรม “อาศัย” (ASAI) ในเครือดุสิตธานี ให้บริการตั้งแต่ชั้น 4-8 ของอาคารศูนย์การค้า เน้นกลุ่มไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนักเดินทางที่มองหาประสบการณ์ที่แตกต่าง ต้องการเข้าถึงวิถีชุมชน หรือ Live Local มีจำนวนห้องทั้งสิ้น 224 ห้อง ให้บริการตั้งแต่ชั้น 4-8 ของศูนย์การค้าฯ เปิดรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยคาดว่า 40% จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน รองลงมาเป็นญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรป คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2563

2.“เรสซิเดนซ์ คอนโดมิเนียม” แบบตกแต่งเสร็จพร้อมอยู่ 8 ชั้น จำนวน 43 ยูนิต ใช้ชื่อว่า I’m Chinatown Residence พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการสำหรับผู้ที่มองหาที่พักอาศัยภายในย่านนี้ เช่น เจ้าของกิจการและผู้ประกอบการที่มีธุรกิจภายในย่านเยาวราช โดยจะมีการใช้ระบบลิฟต์แยกตามชั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เข้า-ออก โครงการด้วยระบบคีย์การ์ด ปัจจุบันทำการก่อสร้างแล้วเสร็จและปิดการขาย 100% และกำลังอยู่ระหว่างการส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้า

3.ศูนย์การค้า เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00–22.00 น. โดยปัจจุบันสามารถปล่อยเช่าพื้นที่ได้เต็ม 100% แล้ว มีร้านค้าชั้นนำครอบคลุมพื้นที่ 4 ชั้น มีสินค้าและบริการสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหารยอดนิยมที่ทันสมัย ร้านอาหารดังและสตรีทฟู้ดที่มีเสน่ห์ของเยาวราช ศูนย์รวมของฝากซึ่งจะทำให้เป็นจุดนัดพบของนักท่องเที่ยวผู้มาจับจ่ายใช้สอย โดยร้านค้าที่เข้ามาให้บริการในศูนย์การค้าตอบโจทย์สำคัญของย่านเยาวราช 2 ส่วนคือ การนำแบรนด์ร้านค้าที่ไม่เคยมีมาก่อนในเยาวราชมาเปิดให้บริการเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ ๆ ให้ชุมชน และการเปิดพื้นที่ให้ร้านค้าในเยาวราชเข้ามาเปิดบริการในศูนย์เพื่อเป็นการเปิดตลาดและขยายโอกาสทางธุรกิจให้หลาย ๆ ร้านค้าในย่านเยาวราช

4.อาคารจอดรถ เปิดให้บริการพื้นที่จอดรถใต้ดินขนาดใหญ่ 6 ชั้น สามารถรองรับรถยนต์ได้ถึง 300 คัน เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ถือเป็นที่จอดรถที่ทันสมัยและปลอดภัยที่สุดในเยาวราช

ถึงแม้ว่าจะเป็นศูนย์การค้าใหม่ในชุมชนนี้ แต่ “แอมไชน่าทาวน์” ให้ความสำคัญกับการเป็นส่วนหนึ่งที่กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันกับชุมชน ยึดแนวทางในการอนุรักษ์คุณค่าของศิลปะวัฒนธรรมจีนที่มีมาแต่ดั้งเดิมในการออกแบบ ทั้งยังให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อเติมเต็มและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนในย่านนี้ ตลอดจนผู้ที่หลงใหลในเสน่ห์ของเยาวราช

“แอมไชน่าทาวน์” จึงเป็นเสมือนประตูสู่ใจกลางเยาวราชที่พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนทุกคน

 

เอกชนกระตุ้น “อนุทิน” ยกระดับสาธารณสุขสู่ “Medical & Wellness Hub”

alivesonline.com : หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ยกทีมพบเจ้ากระทรวงสาธารณสุข หารือแนวทางส่งเสริมและยกระดับกิจกรรมด้านสาธารณสุขของประเทศไทยครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเสนอให้มีองค์กรศูนย์กลางดูแลอากาศสะอาดแบบเบ็ดเสร็จ พร้อมขับเคลื่อนงาน “Healthy Living Asia 2020” เร่งให้การรับรอง “การแพทย์ธรรมชาติบำบัด” ตลอดจนส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสู่การเป็น “Wellness Hub”

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการนำคณะกรรมการเข้าพบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ว่า การเข้าพบครั้งนี้มีวัตุประสงค์เพื่อหารือ ตลอดจนผลักดันข้อเสนอภาคเอกชนในการขับเคลื่อนแนวทางส่งเสริมและยกระดับกิจกรรมด้านสาธารณสุขของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญ อาทิ

1.นำเสนอหลักการของร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดที่ภาคเอกชนผลักดันอยู่ขณะนี้ โดยเสนอให้มีองค์กรที่เป็นศูนย์กลางดูแลอากาศสะอาดแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อบริหารจัดการปัญหามลพิษทางอากาศในระยะเร่งด่วน ระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายบังคับใช้

2.เชิญชวน กระทรวงสาธารณสุข ให้ความร่วมมือและร่วมเป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อนงานมหกรรม “Healthy Living Asia 2020” ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าและบริการด้านสุขภาพสู่การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีการแพทย์และสาธารณสุขแบบครบวงจรของประเทศไทย ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3–6 ก.ย.63 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ

3.เสนอให้กระทรวงฯ พิจารณาให้การรับรอง “การแพทย์ธรรมชาติบำบัด” เป็นสาขาแพทย์ทางเลือกในประเทศไทย โดยมีกฎหมายรองรับ เพื่อส่งเสริมการใช้วิธีรักษาแนวธรรมชาติและเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย “Medical & Wellness Hub” ของรัฐบาล

4.เสนอให้มีการกำหนดมาตรการลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพของคนไทย โดย กระทรวงฯ เห็นชอบและมอบหมายให้ กรมอนามัย เป็นผู้ประสานงานร่วมกับภาคเอกชน รวมทั้ง ประสานงานร่วมกับ กระทรวงการคลัง ต่อไป

5.ผลักดันให้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการให้บริการโทรเวชกรรม (Telemedicine) ในประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญในการคุ้มครองสิทธิผู้ป่วย การรักษาความลับและการควบคุมมาตรฐานเพื่อสามารถประกอบกิจการได้อย่างถูกต้อง โดย กระทรวงฯ ได้แจ้งว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลอยู่แล้ว ทั้งนี้ การจะให้โครงการที่เกิดผลในทางปฏิบัติจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที เช่น ระบบการสื่อสารแบบ 5 G ที่มีเสถียรภาพรองรับด้วย

6.เสนอให้มีการออกกฎ/ระเบียบ เพื่อให้การดำเนินกิจการน้ำพุร้อนของประเทศไทยเป็นไปอย่างถูกต้องและมีมาตรฐาน เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสู่การเป็น Wellness Hub ของประเทศไทย โดยปัจจุบัน กระทรวงฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อออกเป็นกฎกระทรวงฯ รองรับต่อไป

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้รับข้อเสนอต่าง ๆ ของภาคเอกชน เพื่อพิจารณาผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติ นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังได้ขอความร่วมมือจากภาคเอกชนในการส่งเสริมแนวทางการสร้างมูลค่าของสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้มีคุณภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ตลอดจนสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ โดยภาครัฐจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชน ตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม เพื่อร่วมขับเคลื่อนบริบทประเทศไทยสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืน

1 เม.ย.63 กรมการท่องเที่ยว ย้ายที่ทำการไป ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ

 

alivesonline.com : กรมการท่องเที่ยว แจ้งย้ายที่ทำการจากเดิมที่ตั้งอยู่ที่สนามแห่งกีฬาชาติ ไปยัง ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.63 พร้อมประกาศปิดทำการ ในวันที่ 27, 30 และ 31 มี.ค.63 เพื่อขนย้ายครุภัณฑ์และเอกสารทางราชการ และจะปิดระบบอินเทอร์เน็ตของหน่วยงาน ในวันที่ 27–31 มี.ค.63 เพื่อย้ายระบบสารสนเทศไปติดตั้งที่แห่งใหม่ ทำให้ไม่สามารถให้บริการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวทางออนไลน์ การขอใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ทางออนไลน์ และการตรวจสอบใบอนุญาตก่อนเลือกซื้อทัวร์ของสำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์

รายงานข่าวจาก กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แจ้งว่า กรมการท่องเที่ยว เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยวในด้านบริการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว ธุรกิจนําเที่ยว มัคคุเทศก์และผู้นําเที่ยว มาตรฐานอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ความปลอดภัยทางการท่องเที่ยว รวมถึงการสร้างภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยให้สอดคล้องกับกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันตั้งอยู่ที่สนามกีฬาแห่งชาติ อาคารกรมการท่องเที่ยว ถนนพระรามที่ 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เปิดให้บริการงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ส่วนกลาง) และศูนย์บริการอนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย รวมถึงการให้บริการออนไลน์ทางเว็บไซต์ www.dot.go.th และ DOT Call Center 0-2401-1111 ตลอด 24 ชั่วโมง

รายงานข่าวแจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป กรมการท่องเที่ยว จะย้ายไปยังที่ตั้งแห่งใหม่ ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ชั้น 2 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร และจะเปิดทำการ ณ ที่ตั้งเดิม (สนามกีฬาแห่งชาติ) ในวันที่ 26 มีนาคม 2563 เป็นวันสุดท้าย

ทั้งนี้ กรมการท่องเที่ยว จะปิดทำการ ในวันที่ 27, 30 และ 31 มีนาคม 2563 เพื่อขนย้ายครุภัณฑ์และเอกสารทางราชการ และจะปิดระบบอินเทอร์เน็ตของหน่วยงาน ในวันที่ 27–31 มีนาคม 2563 เพื่อย้ายระบบสารสนเทศไปติดตั้งที่แห่งใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้เว็บไซต์ของกรมการท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าใช้งานได้ และกระทบต่อ  ทั้งส่วนกลางและสาขา ได้แก่ สาขาภาคตะวันออก (จังหวัดชลบุรี) สาขาภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่) สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดนครราชสีมา) สาขาภาคใต้ 1 (จังหวัดสุราษฎร์ธานี) และสาขาภาคใต้ 2 (จังหวัดภูเก็ต) โดยระหว่างปิดระบบอินเทอร์เน็ต สำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ทั้ง 5 สาขา จะยังเปิดให้บริการรับพิจารณาตรวจสอบเอกสารตามปกติ

การย้ายที่ตั้งของ กรมการท่องเที่ยว มายังศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ นับเป็นการสนับสนุนการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการติดต่อประสานงานระหว่างประชาชนกับหน่วยงาน และระหว่างหน่วยงานกับหน่วยงานได้เป็นอย่างดี

สำหรับการเดินทาง ประชาชนสามารถเดินทางเข้าถึงศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ด้วยรถประจำทางสาย 66 ศูนย์ราชการฯ – สายใต้ใหม่ (ตลิ่งชัน) และสาย 166 ศูนย์ราชการฯ – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หรือการขนส่งสาธารณะอื่นที่ผ่านเส้นทางไปศูนย์ราชการฯ

นอกจากนี้ ภาครัฐยังได้จัดทำเส้นทางการเดินทางไว้รองรับในอนาคตอีกด้วย อาทิ สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีหลักสี่ โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ซึ่งเป็นระบบขนส่งมวลชนที่รองรับประชาชนที่จะมาติดต่อกับหน่วยงานราชการภายในศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ

 

“ทีเส็บ” จัดโครงการกระตุ้นตลาด Meetings and Incentives ประเดิมต้นปี 63

alivesonline.com : “ทีเส็บ” จับมือ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ และสมาชิกผู้ประกอบการไมซ์กว่า 200 หน่วยงาน เปิดตัวโครงการแรก “ประชุมเมืองไทย ส่งเสริมเศรษฐกิจไทย” ภายใต้แคมเปญมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” จัดงบสนับสนุนองค์กรบริษัท กระตุ้นตลาดประชุมสัมมนาและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศ ตั้งเป้าดึงตลาดประชุมองค์กร 500 กลุ่ม สร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศกว่า 70 ล้านบาท ภายในเดือน ก.ค.63

นางสาววิชญา สุนทรศารทูล รักษาการรองผู้อำนวยการ สายงานบริหาร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียนในประเทศนั้น

“ทีเส็บ” เล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมการจัดประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล หรือ Meetings and Incentives (MI) เป็นอุตสาหกรรมที่มีจำนวนนักเดินทางและสร้างรายได้สูงสุดในธุรกิจไมซ์ โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและสามารถช่วยผลักดันให้เกิดการกระจายรายได้สู่ภูมิภาคและกระตุ้นการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจภายในท้องถิ่นชุมชน

จากพฤติกรรมการเดินทางของกลุ่มพนักงานบริษัท เป็นกลุ่มการเดินทางขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเชิงธุรกิจภายในองค์กรหรือระหว่างองค์กร ซึ่งมีการตัดสินใจในการเดินทางที่รวดเร็ว ทั้งการจัดประชุมสัมมนาองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล “ทีเส็บ” จึงเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลุ่มเป้าหมายองค์กรและบริษัท เพื่อเพิ่มจำนวนนักเดินทางกลุ่มประชุมสัมมนาให้มีการเดินทางภายในประเทศสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซัน เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นให้ขับเคลื่อนไปได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล

“ทีเส็บ” จึงร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ผนึกกำลังสมาชิกผู้ประกอบการไมซ์กว่า 200 หน่วยงาน เข้าร่วมโครงการแรก “ประชุมเมืองไทย ส่งเสริมเศรษฐกิจไทย” ภายใต้แคมเปญมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น สนับสนุนกลุ่มองค์กรบริษัท (Corporate) ในการจัดประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลภายในประเทศ ภายใต้ข้อกำหนดว่ากิจกรรมจะต้องจัดขึ้นคนละจังหวัดกับที่ตั้งของบริษัทนั้น ๆ โดยต้องมีวันพักค้างอย่างน้อย 1 คืน มีผู้เข้าร่วมงานอย่างน้อย 40 คนขึ้นไปต่อกลุ่ม จะได้รับเงินสนับสนุนในรูปแบบบัตรกำนัล (Voucher) มูลค่า 2 หมื่นบาทต่อกลุ่ม และให้ดำเนินการจัดงานผ่านบริษัทผู้รับจัดบริการเดินทางที่เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศไทย หรือ DMC (Destination Management Company) ที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยการรับรองของ สทท. ซึ่งมีสมาชิกผู้ประกอบการด้านไมซ์ ทั้ง DMC โรงแรมที่พัก ศูนย์ประชุม บริการขนส่ง และแหล่งนันทนาการต่าง ๆ อยู่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศที่พร้อมต้อนรับและให้บริการนักเดินทางด้วยไมตรี

ประเทศไทยมีสถานที่สวยงามและมีกิจกรรมหลากหลายที่น่าสนใจ โดย DMC ที่เข้าร่วมโครงการฯ ล้วนเป็นมืออาชีพที่พร้อมให้คำแนะนำและเป็นทั้งผู้จัดหาและจัดการตอบโจทย์ความต้องการในการจัดงานครบวงจร สร้างสรรค์ประสบการณ์จัดงานที่แตกต่างและน่าประทับใจ เริ่มสมัครได้เลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยองค์กร หรือบริษัท ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (ส่วนภูมิภาค) โทรศัพท์ 0 2694 6000

“ทีเส็บตั้งเป้าหมายกระตุ้นรายได้กว่า 70 ล้านบาท ภายใน 31 กรกฎาคม 2563 จากการจัดการประชุม สัมมนาองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศของกลุ่มบริษัทองค์กรได้ไม่ต่ำกว่า 500 กลุ่ม หรือเฉลี่ย 2-4 หมื่นคนที่จะร่วมกระจายรายได้สู่ชุมชนทั่วภูมิภาคและเพื่อช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศ” นางสาววิชญา กล่าวในตอนท้าย

 

เปิดผลโพลรับปี 2020 ธุรกิจใดใจป้ำ ! “ซื้อใจ” พนักงาน

alivesonline.com : “เอ็กซ์พีริส” (Experis) ในเครือแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดผลสำรวจการจ่ายโบนัสประจำปี 2019 และการขึ้นเงินเดือนปี 2020 ระบุองค์กรเล็ก-ใหญ่ รับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจแบบ “รัดเข็มขัด” ด้วยความระมัดระวัง พร้อมทั้งยังคงรักษากำลังคน โดยปรับขึ้นเงินเดือนในอัตราเฉลี่ย 3-5% เป็นมาตรฐาน พร้อมจ่ายโบนัส 1-2 เดือนเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้คนทำงาน  

“เอ็กซ์พีริส” (Experis) บริษัทในเครือแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ผู้นำด้านแรงงานเชิงนวัตกรรมและผู้เชี่ยวชาญในการสรรหาแรงงานในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและระดับผู้บริหาร เปิดเผยถึงผลสำรวจจ่ายโบนัสประจำปี 2019 และการขึ้นเงินเดือน ปี 2020 โดยทำการสำรวจจากกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งมีพนักงานตั้งแต่ 250 คนขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน 11% องค์กรขนาดกลางที่มีพนักงานตั้งแต่ 50-250 คน มีสัดส่วนมากที่สุด 64% และองค์กรขนาดเล็กซึ่งมีพนักงานต่ำกว่า 50 คน คิดเป็นสัดส่วน 25% โดยทำการสำรวจทั้งหมด 1 พันรายจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจให้บริการ (Service Providers) ในสัดส่วน 43% ธุรกิจการจัดจำหน่าย (Trader & Distributors) ในสัดส่วน 30% และธุรกิจด้านการผลิต (Manufacturers) ในสัดส่วน 27%

 

จากผลสำรวจระบุว่า แนวโน้มการปรับขึ้นเงินเดือนขององค์กรธุรกิจมีปัจจัยสนับสนุนโดยวัดจากประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละบุคคล ผนวกกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ จึงทำให้อัตราเฉลี่ยการปรับขึ้นเงินเดือน 3-5% มากที่สุดในทุกกลุ่ม นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า กลุ่มองค์กรขนาดใหญ่มีอัตราส่วนในการปรับขึ้นเงินเดือน 3-5% คิดเป็นสัดส่วน 45% จากทั้งหมด รองลงมาเป็นกลุ่มที่ปรับเงินเดือนขึ้น 5-7% คิดเป็นสัดส่วน 33% ซึ่งมีปัจจัยมาจากความต้องการสร้างความมั่นคงและดูแลรักษากำลังคนขององค์กร 

ส่วนองค์กรขนาดกลางมีแนวโน้มจากผลสำรวจเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ที่น่าจับตามองเป็นกลุ่มองค์กรขนาดเล็กซึ่งอัตราส่วนการปรับขึ้นเงินเดือน 10% ขึ้นไป สูงถึง 6% มากกว่าองค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยระบุว่าองค์กรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็น “สตาร์ทอัปใหม่” ซึ่งอาจจะต้องสร้างแรงจูงใจและดึงดูดพนักงาน พร้อมทั้งการรักษากำลังแรงงานให้ทำงานกับองค์กรด้วยการปรับขึ้นเงินเดือนในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับด้านไอทีโซลูชั่นต่าง ๆ และที่ปรึกษาด้านไอที ทั้งนี้ กลุ่มองค์กรขนาดเล็กซึ่งมีอัตราส่วนในการปรับขึ้นเงินเดือน 3-5% นั้นมีมากเกินกว่าครึ่ง

ผลสำรวจยังระบุอีกว่า กลุ่มธุรกิจให้บริการ มีอัตราส่วนการปรับขึ้นเงินเดือน 3-5% มีสัดส่วน 47% และอัตราส่วนปรับขึ้นเงินเดือนมากกว่า 5-7% มีสัดส่วน 34% ส่วนธุรกิจด้านการผลิตมีการปรับขึ้นเงินเดือน 3-5% คิดเป็น 50% ของกลุ่มธุรกิจนี้ แต่ที่ปรับเพิ่มมากกว่า 10% ขึ้นไปมีสัดส่วน 2% เท่านั้น ทางด้านธุรกิจการจัดจำหน่าย การปรับขึ้นเงินเดือน 3-5% มีสัดส่วนถึง 52% และปรับขึ้นเงินเดือน 5-7% มีสัดส่วน 34%

สำหรับผลสำรวจเรื่องการจ่ายโบนัสประจำปีระบุว่า มีแนวโน้มการจ่ายเฉลี่ย 1-2 เดือน มีสัดส่วนมากที่สุดทุกกลุ่มองค์กร โดยการจ่ายโบนัส 1 เดือนมีอัตราสูงสุด 42% รองลงมา 2 เดือน 34% และ 3-5 เดือน 13% ตามลำดับ สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการจ่ายโบนัสสูงถึง 5 เดือนขึ้นไปเป็นกลุ่มธุรกิจในอุตสาหกรรมรถยนต์ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกลุ่มธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต 

เมื่อทำการสำรวจแบบเจาะไปที่กลุ่มธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจให้บริการ แนวโน้มการจ่ายโบนัสเฉลี่ย 1เดือนและ 2 เดือนมีสัดส่วนใกล้เคียงกันคือ 41% กับ 40% ส่วนธุรกิจด้านการผลิตมีการจ่ายโบนัส 1 เดือน คิดเป็นสัดส่วน 30% จ่ายโบนัส 2 เดือน สัดส่วน 39% และมีการจ่ายโบนัส 3-5 เดือนคิดเป็นสัดส่วน 19% ของกลุ่มธุรกิจนี้ ทางด้านธุรกิจการจัดจำหน่ายอัตราส่วนการจ่ายโบนัส 1 เดือน มีสัดส่วน 46% และจ่ายโบนัส 2 เดือน มีสัดส่วน 37% ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการจ่ายโบนัสประจำปีขององค์กรต่าง ๆ จะอิงตามผลประกอบการรวมขององค์กรเป็นหลัก

อาจกล่าวได้ว่า ผลการสำรวจการปรับเงินเดือนปี 2020 และจ่ายโบนัสประจำปี 2019 มีแนวโน้มและสัดส่วนไม่แตกต่างจาก 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยและผลพวงมาจากความผันผวนทางเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลให้หลายองค์กรมีการปรับตัวและพยุงตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศและเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า “กลุ่มแรงงาน” ยังคงให้ความสำคัญในเรื่องความมั่นคงและศักยภาพขององค์กรตลอดมา “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” จึงเชื่อมั่นว่า การพัฒนาศักยภาพและทักษะความสามารถของตนเองอยู่เสมอตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะรอบด้านและทักษะด้านเทคโนโลยีจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดงานที่มีการเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้ง ยังต้องมีการปรับตัวยืดหยุ่นกับทุกสถานการณ์ท่ามกลางโลกแห่งยุคทรานส์ฟอร์เมชั่นอีกด้วย

 หากผู้ประกอบการและแรงงานปรับตัวได้ทันก็จะพัฒนาสู่ความสำเร็จไปพร้อมกับการก้าวสู่ “ประเทศไทย 4.0”

NOSTRA จับมือ จส.100 พัฒนาแพลตฟอร์มให้ความช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง

alivesonline.com : NOSTRA ผู้ให้บริการข้อมูลแผนที่ดิจิทัล ร่วมมือกับ จส.100 ประกาศพร้อมให้บริการ “SOS API Premium Service” แพลตฟอร์มเชื่อมต่อศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านแอปพลิเคชันของธุรกิจตลอด 24 ชั่วโมง ทำงานผ่านเทคโนโลยีของ NOSTRA และทีมเจ้าหน้าที่จาก จส.100 ให้บริการรับเรื่องแจ้งเหตุ และติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเขตพื้นที่ใกล้เคียง สามารถติดตั้งได้ในทุกแอปฯ ของทุกธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการบริการ บริหารงานความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นและประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า 

นายวิชัย แสงหิรัญวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลบเทค จำกัด ในกลุ่มบริษัทซีดีจี ผู้ให้บริการข้อมูลแผนที่ดิจิทัล และโซลูชันด้าน IoT ภายใต้ชื่อ “NOSTRA” เปิดเผยว่า NOSTRA ร่วมกับ จส.100 พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมต่อศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือ หรือ SOS API Premium Service ซึ่งจะเป็นศูนย์ประสานงานการให้ความช่วยเหลือทุกประเภท ผ่าน Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเหตุฉุกเฉิน อุบัติเหตุบนท้องถนน คนหาย หรือขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยลูกค้าที่ใช้งานในระบบสามารถสร้างและบันทึกข้อมูลส่วนตัวเก็บไว้ เช่น ประวัติส่วนตัว การแพ้ยา โรคประจำตัว หรือสิ่งที่ควรระวัง พิกัดที่อยู่ปัจจุบัน หมายเลขติดต่อของญาติ หรือผู้ติดต่อในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในกรณีที่ผู้แจ้งไม่ได้อยู่บ้าน แต่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ประสานความช่วยเหลือกับบุคคลอื่นที่บ้าน เจ้าหน้าที่สามารถทราบพิกัดของผู้แจ้ง หรือที่พักที่ลงทะเบียนไว้ และประสานความช่วยเหลือได้ โดยข้อมูลทั้งหมดจะแสดงต่อเจ้าหน้าที่ Call Center ทันทีที่ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือ โดยมีเทคโนโลยีของ NOSTRA แผนที่อัจฉริยะในการระบุตำแหน่งของผู้ใช้งานพรีเมียมที่ได้ลงทะเบียนบันทึกข้อมูลพื้นฐานไว้ในระบบ และสถานที่ต่าง ๆ ในบริเวณใกล้เคียง เพื่อคำนวณระยะเวลาและเส้นทาง พร้อมทั้งนำทางผู้ให้ความช่วยเหลือไปยังจุดหมายโดยเร็วที่สุด

“แพลตฟอร์มดังกล่าวจะช่วยภาคธุรกิจในการให้บริการลูกค้าด้านความปลอดภัย จากการเชื่อมต่อเพื่อเรียกใช้บริการนี้บนแอปพลิเคชันเดิมที่มีอยู่แล้วของธุรกิจต่าง ๆ ผ่าน Application Programming Interface (API) เพื่อให้บริการ SOS Premium Service แก่ลูกค้าผู้ใช้บริการแอปฯ ด้วยการกดปุ่ม SOS ในแอปฯ เพียงครั้งเดียว โดยไม่ต้องลงทุนจัดหาทีม Call Center ของตัวเองก็สามารถดูแลลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง”

นายวิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับธุรกิจในยุคดิจิทัล ประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้ามีความสำคัญสูงสุด การใช้บริการแพลตฟอร์ม SOS API Premium Service จะเพิ่มโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ สร้างประสบการณ์ใหม่ในการดูแลลูกค้า และยังช่วยลดต้นทุนการจ้างทีมงานฮอตไลน์ของธุรกิจได้อีกด้วย

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่เหมาะสมกับการใช้แพลตฟอร์มดังกล่าว ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ประกันภัย โรงพยาบาล ศูนย์บริการด้านสุขภาพ และรถยนต์ ซึ่งการนำไปใช้งานมีความหลากหลาย ตัวอย่างเช่น กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ใช้ในส่วนการจัดการอาคาร สำนักงาน ตลอดจนที่อยู่อาศัย เรื่องของความปลอดภัย ความอุ่นใจของลูกบ้านต้องมาก่อน หากมีความสามารถนี้เพิ่มเข้าไปในแอปฯ ของโครงการฯ จะช่วยสร้างความมั่นใจในการให้ความช่วยเหลือลูกบ้านอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ (Healthcare) ยังสามารถเพิ่มบริการพิเศษเพื่อการดูแลลูกค้าและคนใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงและจำเป็นต้องได้รับบริการฉุกเฉินต่าง ๆ เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้สูงวัย โดยการกด SOS เพียงปุ่มเดียวจะสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้ทันที เป็นต้น

ด้าน คุณหญิงสุวิมล ผึ่งประเสริฐ กรรมการบริหาร บริษัท แปซิฟิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า แพลตฟอร์ม SOS API Premium Service ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยธุรกิจยกระดับการบริหารความปลอดภัยลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น เสริมด้วยจุดแข็งของทีมงาน JS100 Call center ที่ทำงานด้านนี้มากว่า 30 ปี ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับเรื่องและให้ความช่วยเหลือทั่วประเทศ ผ่านเครือข่ายหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ตำรวจ กู้ภัย อบต. ดับเพลิง โรงพยาบาล หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปที่เป็นจิตอาสาเข้าช่วยเหลือ ทำให้การประสานความช่วยเหลือมีประสิทธิภาพและเข้าถึงบุคคลที่ต้องการรับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว โดย จส.100 ยังสามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นกับผู้ประสบอุบัติเหตุว่าควรทำอย่างไร จากประสบการณ์ที่ได้รับมายาวนาน จึงมั่นใจได้ว่าความช่วยเหลือจะถูกส่งต่อได้อย่างทันท่วงที

“จากสถิติในปีที่ผ่านมาสามารถจำแนกประเภทการขอความช่วยเหลือออกเป็น 5 กลุ่ม เรียงลำดับจากสถิติสูงที่สุด ได้แก่ อันดับ 1.แจ้งอุบัติเหตุนอกเหนือจราจร เช่น ขอรถพยาบาล/กู้ชีพ/กู้ภัย/งูเข้าบ้าน/คนหาย และอื่น ๆ อันดับ 2.แจ้งอุบัติเหตุ อันดับ 3.แจ้งรถเสีย อันดับ 4.แจ้งเหตุบนท้องถนน และอันดับ 5.แจ้งหาย/แจ้งพบ โดยเราพร้อมให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดในการประสานภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย เน้นความรวดเร็วภายในไม่เกิน 5 นาทีในการประสานแจ้งขอความช่วยเหลือกับหน่วยงาน  โดยเราสามารถปิดเคสได้ประมาณ 95% ของจำนวนเคสที่แจ้งเข้ามาทั้งหมด” คุณหญิงสุวิมล กล่าวในตอนท้าย

สำหรับหน่วยงานที่สนใจใช้บริการ SOS API Premium Service สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2266 9940 หรือ www.nostramap.com/SOSapi

“แม็คโคร” จัดแคมเปญตรุษจีนรับพฤติกรรมผู้ประกอบการยุคดิจิทัล

alivesonline.com : “แม็คโคร” จับมือพันธมิตรต้อนรับปีหนูทอง แจกใหญ่ “อั่งเปา ออนไลน์” กว่า 3 แสนคูปอง ตอบรับกระแสผู้ประกอบการยุคดิจิทัล ขนทัพสินค้ากว่า 500 รายการ จัดโปรโมชันแรง ย้ำกลยุทธ์ “ซื้อเยอะ ยิ่งคุ้ม” เพิ่มโอกาสทำกำไร หวังอัดฉีดเศรษฐกิจฐานรากรับ “ตรุษจีน”

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่หลายคนมองกันว่าเป็นเวลาของความคึกคักของเศรษฐกิจโดยรวมที่ประชาชนพากันจับจ่ายใช้สอยนั้น เวลาสำคัญดังกล่าวยังเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย หรือโชวห่วย ร้านอาหาร โรงแรม ร้านกาแฟ ธุรกิจจัดเลี้ยง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าสมาชิก “แม็คโคร” ที่มีอยู่กว่า 3.3 ล้านรายด้วย “แม็คโคร” จึงได้จัดแคมเปญการตลาดใหญ่เป็นประจำทุกปี โดยปีนี้ใช้คอนเซ็ปต์ว่า “แม็คโครที่เดียว จ่าย ไหว้ เที่ยว รวยรับตรุษจีน” มุ่งเน้นกลยุทธ์ซื้อเยอะยิ่งคุ้ม เชื่อมบริการออฟไลน์-ออนไลน์ อีกทั้งยังร่วมกับพันธมิตรจัดรายการสินค้าราคาพิเศษ รวมถึงยังแจก “อั่งเปา ออนไลน์” เป็นจำนวนกว่า 3 แสนคูปอง ตั้งแต่วันที่ 15-28 มกราคม 2563

“แม็คโคร” ยังร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ นำสินค้ามากกว่า 500 รายการมาจัดโปรโมชันครั้งใหญ่ในทุกช่องทาง เพื่อตอบรับพฤติกรรมผู้ประกอบการยุคปัจจุบันที่ก้าวสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น โดยพบว่ามีลูกค้าเป็นจำนวนมากกว่า 10% สั่งซื้อสินค้าในรูปแบบ O2O มากขึ้น และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างคุ้มค่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ “แม็คโคร” จึงสร้างสรรค์แคมเปญและกลยุทธ์ต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการมากขึ้น

สำหรับโปรโมชันภายใต้แคมเปญ “แม็คโครที่เดียว จ่าย ไหว้ เที่ยว รวยรับตรุษจีน” ชูกลยุทธ์สำคัญคือ “ซื้อเยอะยิ่งคุ้ม” ด้วยการนำสินค้าทั้งอาหารสด อาหารแห้ง อุปกรณ์เพื่อธุรกิจอาหาร เมนูมงคลเพิ่มกำไรให้ผู้ประกอบการ มาจัดรายการและยังลุ้นรับ “อั่งเปา ออนไลน์” เป็นจำนวนกว่า 3 แสนคูปอง โดยสามารถกดรับอั่งเปาได้ตั้งแต่วันที่ 15-28 มกราคม 2563 และสามารถใช้อั่งเปาได้ตั้งแต่วันที่ 15-28 มกราคม 2563 พร้อมบริการฟรีเดลิเวอรี่ เมื่อสั่งซื้อสินค้าเทศกาลตรุษจีนผ่าน “แม็คโคร แอปพลิเคชัน” ครบ 2 พันบาท

นางศิริพร กล่าวในตอนท้ายว่า แม้ตรุษจีนปีนี้จะมีปัจจัยลบต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบกำลังซื้อ แต่สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการแล้ว ปีหนูทองนี้พวกเขามีวงจรชีวิตที่เปลี่ยนไป ด้วยการปรับตัวให้อยู่รอดท่ามกลางบริบทการค้าขายที่เปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของ “แม็คโคร” ที่มุ่งให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการในมิติต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจเศรษฐกิจฐานราก

 

“ห้างเซ็นทรัล” เชิญเสริมมงคล “เฮง เฮง เฮง” ฉลองตรุษจีนปีหนูทอง

ห้างเซ็นทรัล ร่วมกับ บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และ มาสเตอร์การ์ด ชวนชอป รับทรัพย์ รับโชค กับโปรโมชันพิเศษฉลองตรุษจีนปีหนูทอง ในงาน CENTRAL CHINESE NEW YEAR 2020” (เซ็นทรัล ไชนีส นิวเยียร์ 2020) ระหว่างวันที่ 15 ม.ค. – 2 ก.พ. 63 ที่ห้างเซ็นทรัล ทุกสาขา เนรมิต ห้างเซ็นทรัล ให้เป็นห้างแห่งความโชคดี ในคอนเซ็ปต์ “THE LUCKIEST STORE IN TOWN” ด้วยโปรโมชันรับศักราชใหม่ สินค้าราคาปกติ ลดสูงสุด 30% พร้อมลด/รับเพิ่ม สูงสุด 30% จากบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเครดิตชั้นนำ รับฟรีคูปองแทนเงินสด และเครดิตเงินคืน พร้อมบัตรของขวัญจาก บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน รวมสูงสุด 18% เมื่อชอป ในห้าง หรือออนไลน์ตามเงื่อนไข

พิเศษลูกค้าเดอะวัน เมื่อชอปในห้าง หรือออนไลน์ 3,000 บาท ขึ้นไป รับซองอั่งเปา 1 ชุด (4 ซอง) จำกัด 3 ชุด ต่อ 1 หมายเลขสมาชิกเดอะวัน (จำนวนจำกัด) และทุกการชอป 500 บาท จับ Lucky Draw ลุ้นรับรางวัล iPhone 11 Pro Gold 64 GB (จำนวนจำกัด) พิเศษ สำหรับลูกค้าเซ็นทรัลออนไลน์รับสิทธิ์ลุ้นรางวัล x2 สิทธิ์

นอกจากนี้ ยังมอบโชคคนปีชง ด้วยคูปองเงินสดสูงสุด 200 บาท (จำกัด 88 ท่าน/สาขา) เฉพาะวันที่ 25 ม.ค.63 สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ระหว่างวันที่ 22-28 ม.ค.63 เมื่อชอป ตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป รับคะแนนเดอะวันสูงสุด 20 เท่า (สะสมยอดจากทุกบริษัทในเครือ) จำกัด 8,000 สิทธิ์

พิเศษสุด สำหรับผู้มียอดชอป สูงสุด 5 ท่านแรก (เมื่อชอป สะสม 300,000 บาทขึ้นไป) ผ่านบัตร Master Card รับสิทธิ์ดูฮวงจุ้ยที่บ้านฟรี! โดยซินแสไฮโซ “อาจารย์ช้าง-ทศพร ศรีตุลา” และเมื่อชอปครบ 50,000 บาท จากบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน รับเครื่องรางมงคลจากประเทศญี่ปุ่นเสริมโชคลาภ (จำนวนจำกัด) ไม่เพียงแค่นั้น ยังเอาใจนักชอปออนไลน์ เมื่อชอปกับ เซ็นทรัลออนไลน์ (central.co.th) สินค้าลดสูงสุด 70% ชอปครบตามเงื่อนไข รับฟรีคูปองแทนเงินสูงสุด 5,500 บาท ระหว่างวันที่ 22-29 ม.ค.63

เอาใจสายกิน ชวนอิ่มอร่อยกับอาหารจีนมงคลที่ Living House ชั้น 7 ห้างเซ็นทรัล@เซ็นทรัลเวิลด์ ชวนลุ้นเที่ยวมาเก๊ากับ Living House ระหว่างวันที่ 16 ม.ค. – 31 ม.ค.63 เพียงรับประทานอาหารครบ 1,000 บาท ลุ้นรับสิทธิ์ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-มาเก๊า จากสายการบิน Air Macau จำนวน 3 รางวัล (รางวัลละ 2 ที่นั่ง) พร้อมเช็กดวงและโหงวเฮ้งกับ “อาจารย์ชัญญา – ชัญญาภัคร วิทยาอนุมาส” จากรายการ “อังคารเช็กดวง” สถานีวิทยุ EFM เพียงรับประทานอาหารครบ 1,000 บาท (รวมใบเสร็จได้ / จำกัด 30 ท่าน) ในวันที่ 18 ม.ค.63 และลุ้นเซอร์ไฟรส์อั่งเปาพิเศษ! จากขบวนแป๊ะยิ้ม และชมโชว์เชิดสิงโตมงคลจากเน็ตไอดอลชื่อดัง Conversation Thailand เต้-ชยพัทธ์ คงทรัพย์, มาร์ค-จิรันธนิน ตรัยรัตนยนต์ และมิวซ์-ณัฐวิทย์ ผิวงาม ในวันที่ 25 ม.ค.63 เวลา 12.00-14.00 น.

“ซิกน่าประกันภัย” คว้ารางวัลสุดยอดนายจ้างดีเด่น

นายธีรวุฒิ สุธนะเสรีพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซิกน่า ประกันภัย เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล “สุดยอดนายจ้างดีเด่น ประจำปี 2562” จากเวที “Thailand Best Employers Brand Awards 2020” ประเภทบริษัทที่สนับสนุนให้พนักงานมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ (Promote health in the work place) ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบัน World HRD Congress ซึ่งเป็นองค์กรเครือข่ายของบรรดาผู้ปฏิบัติงานด้านทรัพยากรบุคคลระดับอาวุโส เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรม พลาซ่า แอทธินี กรุงเทพฯ

อ.ส.ค.กระตุ้นคนไทยดื่มนม 25 ลิตรต่อคนต่อปี

alivesonline.com : อ.ส.ค. เตรียมจัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2563” น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่พระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนม พร้อมสืบสานพระราชปณิธาน พัฒนาอุตสาหกรรมโคนมไทยยุคใหม่ จัดตั้งโครงการ “ศูนย์การเรียนรู้และถ่ายทอดการศึกษาการเลี้ยงโคนมในโรงเรียน” ที่สกลนคร มุ่งก้าวสู่แบรนด์ “นมแห่งชาติ” กระตุ้นคนไทยดื่มนม 25 ลิตรต่อคนต่อปี

นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ (ขวา) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ (ซ้าย) ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)

นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า โคนมอาชีพพระราชทาน เป็นอาชีพอันทรงคุณค่าที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานให้แก่เกษตรกรไทย ด้วยทรงเล็งเห็นว่าอาชีพการเลี้ยงโคนมจะทำให้ชาวไทยได้บริโภคอาหารที่มีคุณค่า ทั้งยังสร้างรายได้ให้เกษตรกรไทยได้มีอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืนในด้านการรณรงค์การบริโภคนมของคนไทย ตลอดจนเป็นการสร้างวัฒนธรรมการบริโภคนมในสังคมไทยให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน และคนรุ่นใหม่เพื่อเป็นการเสริมสร้างโภชนาการและสุขอนามัยที่ดี

กระทรวงเกษตรฯ จึงได้มีการมอบนโยบายแก่ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ในเรื่องการตอกย้ำเพื่อสร้างการรับรู้ในการบริโภคมนม เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนไทยหันมาดื่มนมกันมากขึ้น โดยมีเป้าหมายการเพิ่มปริมาณการดื่มนมของคนไทยจาก 18 ลิตรต่อคนต่อปี เป็น 25 ลิตรต่อคนต่อปี ภายในปี 2569 เพราะการบริโภคนมคุณภาพดีที่ได้มาจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทย นอกจากจะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยมีสุขภาพดีแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของ กระทรวงเกษตรฯ ในการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางภาคการเกษตร ตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมนมไทยให้พัฒนายิ่งขึ้นไปอีกด้วย

นางสาวมนัญญา กล่าวอีกว่า เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ได้พระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมให้แก่ปวงชนชาวไทยและแสดงความก้าวหน้าของวิทยาการด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมโคนมของประเทศ ตลอดจนเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ไปสู่เกษตรกร อ.ส.ค. จึงกำหนดจัดเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2563 ระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ บริเวณเชิงเขาตาแป้น อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี โดยในวันที่ 29 มกราคม 2563 ชาวโคนมยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงาน พร้อมทั้งจะเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการต่าง ๆ ภายในบริเวณงานอีกด้วย

การจัดงานภายในปีนี้อยู่ภายใต้แนวคิด “รักนม รักฟาร์ม สืบสาน รักษา ต่อยอด โคนมอาชีพพระราชทาน” โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย อาทิ สัมมนาวิชาการ, นิทรรศการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเกษตร, การสาธิตและการจัดแสดงผลงานวิจัยด้านการพัฒนาโคนมและอุตสาหกรรมโคนมโดยได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชน, การบูธออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์และเปิดให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลองชิมผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ครสชาติใหม่ ๆ, การประกวดแข่งขันโคนมประเภทต่าง, การออกร้านจำหน่ายสินค้าโอทอปและสินค้าที่เกี่ยวกับการเกษตรต่าง ๆ, สัมผัสบรรยากาศฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค, การเปิดให้เยี่ยมชมโรงงานผลิตนมไทย-เดนมาร์ค, สาธิตการรีดนมโค และการทำปุ๋ยนมสดจากผู้เชี่ยวชาญของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค รวมถึงกิจกรรม “Thai-Denmark Milksic Festival ครั้งที่ 3” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งผู้ร่วมงานจะได้พบปะกับศิลปินต่าง ๆ มากมาย

ด้าน ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวว่า วันที่ 17 มกราคมของทุกปีเป็น “วันโคนมแห่งชาติ” ซึ่งเป็นวันสำคัญยิ่งต่ออาชีพและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศไทย อ.ส.ค. จึงได้ให้ความสำคัญในการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคนมในประเทศอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับนโยบายของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องการให้คนไทย ทุกเพศ ทุกวัย รักการดื่มนมมากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจากนมโคสดแท้ 100% ที่ได้จากเกษตรกร เนื่องจากเห็นว่านอกจากจะส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้คนไทยแล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้มั่นคงในการประกอบอาชีพโคนมอีกด้วย

อ.ส.ค. มุ่งสร้างแหล่งความรู้ด้านกิจการโคนมและอุตสาหกรรมนมอย่างครบวงจรให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั่วประเทศไทยซึ่งถือเป็นพันธกิจหลักของ อ.ส.ค. โดยที่ผ่านมาได้จัดทำแผนแม่บทส่งเสริมการเลี้ยงโคนม 4.0 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการภายใต้แผนวิสาหกิจ 5 ปี (พ.ศ.2560-2564) โดยมุ่งส่งเสริมความรู้เกษตรกรเพื่อพัฒนาคุณภาพน้ำนมดิบ พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้น้ำนมดิบและหาช่องทางจำหน่ายใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีการพัฒนายกระดับประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมดิบให้ได้มาตรฐาน พร้อมวิจัย พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้การเลี้ยงโคนมให้เกษตรกร ตลอดจนส่งเสริมเกษตรกรสมาชิกให้มีความมั่นคงและเติบโตในอาชีพการเลี้ยงโคนม

ดร.ณรงค์ฤทธิ์ กล่าวอีกว่า อ.ส.ค. ยังได้จัดตั้งโครงการ “ศูนย์การเรียนรู้และถ่ายทอดการศึกษาการเลี้ยงโคนมในโรงเรียน” ซึ่งจัดตั้งขึ้นแห่งแรกของประเทศไทยที่จังหวัดสกลนคร พร้อมเปิดหลักสูตร “ห้องเรียนศาสตร์พระราชา” โดยมีวิชาหลักคือวิชาการผลิตโคนม เพื่อการส่งเสริม สนับสนุนให้มีการสานต่ออาชีพการเลี้ยงโคนมจากรุ่นสู่รุ่นโดยการสร้างเยาวชนให้มีความสนใจและภาคภูมิใจในอาชีพการเลี้ยงโคนมซึ่งเป็นอาชีพพระราชทาน ควบคู่กับการส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยง การผลิต การแปรรูป ภายใต้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ทันสมัยแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมให้เทียบเท่ากับมาตรฐานสากล เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมโคนมไทยให้เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติและสืบสานแนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  บรมนาถบพิตร ให้มีความมั่นคง ยั่งยืนสืบไป