“ทีเส็บ” ดันไมซ์ซิตี้ “ต้นแบบ” ลดการใช้พลาสติก “Zero Plastic Events”

alivesonline.com : “ทีเส็บ” เดินหน้าลดการใช้พลาสติกในการประชุม นำร่อง 5 เมืองไมซ์ซิตี้ ผ่านแคมเปญ “Zero Plastic Events” ร่วมโครงการ แยก แลก ยิ้ม จาก ปตท. สนับสนุนจัดประกวดโครงการจัดงานอย่างไร ลดการใช้พลาสติก “Say No To Plastic” ณ จังหวัดขอนแก่น ส่งเสริมไอเดียสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ลดการใช้พลาสติกในการจัดประชุมสัมมนาทั่วประเทศ สร้างโอกาส สร้างรายได้ให้ชาวบ้าน ร่วมสร้างสังคมชุมชนรักษ์โลก

นางสาววิชญา สุนทรศารทูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานบริหาร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ “ทีเส็บ” ร่วมกับโครงการ “แยก แลก ยิ้ม” จาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สนับสนุนโครงการประกวด จัดงานอย่างไรลดการใช้พลาสติก “Say No To Plastic” ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อรณรงค์ลดการใช้พลาสติกในการจัดประชุมสัมมนาทั่วประเทศ ตามแนวทางการดำเนินงานของ “ทีเส็บ” ที่มุ่งมั่นพัฒนาการจัดงานอย่างยั่งยืน พร้อมกับผลักดันไมซ์ซิตี้สู่เมืองแห่งไมซ์ที่ยั่งยืน โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้ประกาศความร่วมมือกับเมืองไมซ์ซิตี้ทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ และขอนแก่น ร่วมกันดำเนินงานแคมเปญแรกที่จะผลักดันในปีนี้คือ “Zero Plastic Events” มีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนขวดพลาสติกที่ใช้ในการประชุมใน 5 เมืองไมซ์ซิตี้ ซึ่งมีปริมาณสูงถึง 17,345,674 ขวด ให้ลดลง 50% เหลือ 8,672,837 ขวด ภายใน 1 ปี

“ขอนแก่นเป็นเมืองไมซ์ซิตี้หลักและเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยล่าสุดในปี 2562 มีจำนวนนักเดินทางธุรกิจไมซ์ หรือนักเดินทางในประเทศที่เข้าร่วมงานธุรกิจที่เกิดขึ้นในจังหวัดขอนแก่น เป็นจำนวน 2,045,693 คน โดยขอนแก่นยังเป็นจังหวัดแรกที่ได้มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้พลาสติกในพื้นที่และสถานที่จัดงาน ทั้งในห้องประชุม การจัดเลี้ยง อุปกรณ์และบรรจุภัณฑ์ สนับสนุนการจัดอาหารและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการใช้พลาสติกและลดค่าใช้จ่ายจากการจัดงานภายในปี 2563 ไม่ต่ำกว่า 50 %”

 

สำหรับโครงการประกวดจัดงานอย่างไร ลดการใช้พลาสติก “Say No To Plastic” มีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ลดการใช้พลาสติกในการจัดงาน ผ่านการให้ความรู้เรื่องการจัดงานอย่างยั่งยืนเพื่ออนุรักษ์พลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างความเข้าใจเรื่องลดการใช้และการสร้างขยะพลาสติกในกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย นักเรียน นักศึกษา เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ หน่วยงาน ผู้ประกอบธุรกิจจัดงาน และองค์กรต่าง ๆ ตลอดจนจัดประกวดผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อทดแทนการใช้พลาสติกในการจัดประชุมสัมมนาโดยใช้วัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น

หลักเกณฑ์พิจารณาจาก 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การนำไปใช้ประโยชน์ ความสวยงาม ความละเอียดประณีต และความน่าสนใจของการนำเสนอ ซึ่งมีผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจำนวน 10 ทีม จาก 7 จังหวัดทั่วประเทศ โดยในงานประกาศผลการประกวดโครงการฯ ที่จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีผู้ชนะ 3 ทีมที่ได้รับรางวัล แบ่งเป็นรางวัลชนะเลิศ รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง และรองชนะเลิศอันดับสอง ส่วนอีก 7 ทีมได้รับรางวัลชมเชย โดยทั้ง 10 ทีม ได้รับประกาศนียบัตรและเงินรางวัลมูลค่ารวม 1 แสนบาท

ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีมลำพูนสร้างสรรค์ จ.ลำพูน ด้วยผลงานโครงการ “งานกล้วย ช่วยรักษ์โลก” เป็นการนำกาบกล้วย ก้าน และใบตองที่แห้งแล้วมาประดิษฐ์เป็นของใช้ต่าง ๆ แทนพลาสติก เช่น จานใส่อาหาร ที่รองแก้ว ปากกา ป้ายชื่อ กระเป๋าใส่เอกสาร แฟ้มเอกสาร ซองใส่เอกสาร ซองใส่แก้ว ดอกไม้ตกแต่งในงาน กล่องทิชชู ป้ายชื่อตำแหน่ง ฯลฯ

รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ ทีมกราฟฟิก R ตานี จ.ปัตตานี ด้วยผลงานโครงการ “บรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ” โดยนำวัสดุธรรมชาติที่มีอยู่มากมายในท้องถิ่น เช่น กาบกล้วยตานี มาใช้แทนพลาสติก ประดิษฐ์เป็นบรรจุภัณฑ์ใส่อาหารว่าง โดยนำตีหมาสำหรับตักน้ำของชาวใต้มาเป็นแนวคิดในการออกแบบรูปทรงบรรจุภัณฑ์

รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่ ทีมวิถีลาวบ้านสะนำ จ.อุทัยธานี ด้วยผลงานโครงการ “ใบไม้เปลี่ยนเมือง” เป็นการนำกาบหมากที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในสวน ซึ่งมีต้นหมากเป็นจำนวนมากในหมู่บ้านสะนำ นำมาผลิตเป็นภาชนะบรรจุอาหารแทนการใช้โฟม หรือพลาสติก ช่วยลดขยะในชุมชน และรักษาสิ่งแวดล้อมให้โลก

ด้าน นางศิริลักษณ์ จักรแก้ว จากทีมลำพูนสร้างสรรค์ ชุมชนประตูป่า อ.เมือง จ.ลำพูน ผู้คว้ารางวัลชนะเลิศ กล่าวว่า โครงการฯนี้ เป็นโครงการที่ดี เพราะนอกจากจะช่วยรักษ์โลกแล้ว ยังช่วยสร้างโอกาสในการสร้างงาน สร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้านด้วย พร้อมเล่าถึงผลงานที่ส่งเข้าประกวดว่า เป็นการนำวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นคือ ใบตองแห้ง กาบกล้วย และส่วนต่าง ๆ ของต้นกล้วยที่ถูกตัดทิ้งแล้วมาทำผลิตภัณฑ์ เป็นการนำเศษวัสดุธรรมชาติมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

“ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเป็นงานทำมือ เป็นทั้งงานศิลป์และงานฝีมือ ใช้งานได้หลายอย่าง เช่น จาน แฟ้มเอกสาร กระเป๋า แล้วแต่โจทย์ที่ได้รับ โดยใช้ทุนน้อย วัสดุหาง่ายเพราะต้นกล้วยในท้องถิ่นมีอยู่มาก ใช้ต้นกล้วยที่ออกลูกแล้วซึ่งต้นจะถูกตัดทิ้ง เราจะเอาต้นที่ถูกทิ้ง ใบตองแห้ง กาบกล้วย มาทำ ใส่ไอเดียเข้าไป ทำงานออกมาให้สวยจะช่วยสร้างมูลค่าได้จึงต้องอาศัยฝีมือ เริ่มทำงานนี้เพราะความชอบ ของบางชิ้นราคาไม่กี่บาท แต่เราชอบ ทำแล้วมีความสุข”

นางศิริลักษณ์ กล่าวต่อในตอนท้ายว่า ปัจจุบันทางกลุ่มฯ รับทำผลิตภัณฑ์ให้กับแบรนด์ที่ทำเป็นสินค้าส่งออกและคาดหวังว่าจะมีโอกาสได้พัฒนาแบรนด์เป็นของตนเอง ตลอดจนการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายสินค้า นอกจากนี้ยังต้องการสร้างโอกาสขยายงานให้กับผู้สูงวัยในท้องถิ่น เนื่องด้วยงานมือที่ทำจากต้นกล้วยเป็นงานที่ไม่หนัก แต่ต้องใจเย็น จึงน่าจะเหมาะที่จะส่งเสริมให้ผู้สูงวัยทำอยู่กับบ้าน มีรายได้ ทำให้เกิดความภูมิใจ และมีสุขภาวะที่ดี

“ไทวัสดุ” ชู “หนองจอกโมเดล” รับกระแสดิจิทัล

alivesonline.com : ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างของคนไทย “ไทวัสดุ” ยึดทำเลถนนเลียบวารี หนองจอก เปิดสาขาที่ 50 พัฒนาเป็น“ต้นแบบ” โมเดลธุรกิจใหม่ในรูปแบบ New Format แห่งแรก “ไทวัสดุ ก่อสร้าง ฮาร์ดแวร์ สุขภัณฑ์” ชูกลยุทธ์หลัก “ลดพนักงาน กระชับพื้นที่ขาย ใช้เทคโนโลยี” พร้อมปรับรูปแบบสินค้า 3 ประเภท มั่นใจแอปฯ “Easy Shopping App” ช่วยกรุยรายได้ปีแรก 360 ล้านบาท ก่อนต่อยอดขยายเพิ่มอีก 2-3 สาขาในกลุ่มเมืองรอง และเขตชุมชนขนาดเล็ก-กลาง

นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้าน บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา “ไทวัสดุ” ได้ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นกระจายสาขาออกสู่หัวเมืองและต่างจังหวัด เพื่อมุ่งหวังการขยายฐานลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ พร้อมเจาะกลุ่มลูกค้าให้ครบทุกภูมิภาคของประเทศ โดยล่าสุดได้เปิดสาขาหนองจอก ตั้งอยู่บนถนนเลียบวารี เป็นลำดับที่ 50 พร้อมพัฒนารูปแบบ New Format “ไทวัสดุ ก่อสร้าง ฮาร์ดแวร์ สุขภัณฑ์” เป็นแห่งแรก

การพัฒนา “ไทวัสดุ ก่อสร้าง ฮาร์ดแวร์ สุขภัณฑ์” สาขาหนองจอก มีความแตกต่างหลายด้าน ด้วยรูปแบบตัวอาคารเป็นสีน้ำเงิน พร้อมลดขนาดพื้นขายให้เหลือเพียง 1 หมื่นตารางเมตร เพื่อให้เข้าถึงแหล่งชุมชนได้มากขึ้น แต่ยังครบครันด้วยสินค้าเพื่อบ้านและวัสดุก่อสร้างมากกว่า 2 หมื่นรายการในหมวดสินค้า วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ไฟฟ้า ฮาร์ดแวร์ เครื่องมือช่าง ประปา สี กระเบื้อง และสุขภัณฑ์ โดยเป็นสินค้าที่ได้รับการคัดสรรและเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมวดหมู่นั้น

นายสุทธิสาร กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ยังได้เพิ่มรูปแบบการชอปปิงผ่าน e-Cordering ที่จะให้ลูกค้าสามารถชอปสินค้าเพิ่มได้อีกกว่า 2 หมื่นรายการ ทั้งสินค้าโปรโมชัน และสินค้าอื่น ๆ ที่ลูกค้าต้องการ โดยในสาขาหนองจอกยังมีการพัฒนาระบบการชอปปิงผ่านแอปพลิเคชันภายใต้ชื่อ “Easy Shopping App” เพียงลูกค้า สแกนคิวอาร์โค้ดของสินค้าที่ต้องการ เลือกจำนวน กดยืนยัน และชำระเงิน ที่จุด Check-Out ก็จะได้รับสินค้าภายใน 15 นาที โดยไม่ต้องหยิบสินค้าใส่รถเข็น ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้า พร้อมกันนั้นยังมีบริการจากทีมช่าง vFix มืออาชีพที่จะให้บริการให้คำปรึกษา การซ่อมแซมบ้าน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าในรูปแบบ One Stop Service อีกด้วย นับเป็นมิติใหม่ของการชอปปิงไร้ขีดจำกัด สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค

“ในช่วงที่ผ่านมาในกลุ่มธุรกิจประเภทนี้ยังไม่มีใครใช้โมเดลแบบนี้ จึงถือเป็น New Format ที่แตกต่างจากเดิม โดยมีการใช้พนักงานน้อยลง ลดขนาดพื้นที่ไปกว่าครึ่ง ขณะเดียวกันยังเป็นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการให้บริการ แต่ยังคงไว้ซึ่งสินค้าที่มีจำหน่ายมากเท่าเดิม เพียงแค่มีสมาร์ทโฟนเดินเข้ามา ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ลงทะเบียนผู้ใช้งาน จากนั้นสามารถเดินเลือกซื้อของในร้านได้เลย”

สำหรับ “ไทวัสดุ” สาขาหนองจอก แบ่งสินค้า 3 รูปแบบ ได้แก่ สินค้าที่ใช้งานประจำ เช่น เทป น็อต หลอดไฟ เป็นต้น โดยสินค้าเหล่านี้จะถูกจัดอยู่บนชั้นวางสินค้าเพื่อให้ลูกค้าสามารถหยิบจากตรงนั้นได้เลย รูปแบบที่สองคือ สินค้าที่เป็นโครงสร้างต่าง ๆ เช่น เหล็ก ปูน กระเบื้อง และอื่น ๆ ซึ่งจะมีสินค้าจัดวางแสดงสเปกและแบบให้ดูอย่างชัดเจน หากลูกค้าสนใจสามารถสแกนคิวอาร์โค้ด แล้วสินค้าจะถูกบันทึกไว้ในแอปพลิเคชันตามความต้องการ ขณะที่รูปแบบที่สามเป็นสินค้าประเภทที่มีเฉพาะสินค้าตัวอย่างตั้งแสดงไว้ ลูกค้าก็จะสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อลงบันทึกในแอปพลิเคชันเช่นกัน และเมื่อลูกค้าชำระเงิน พนักงานจะเตรียมสินค้าที่อยู่ในสต็อกออกมาให้ รวมถึงสินค้าโครงสร้างที่สามารถขับรถเข้าไปรับของชิ้นใหญ่ได้ทันที

“การทำงานเพื่อบริการลูกค้าของเราจะมีการศึกษาพฤติกรรมลูกค้าที่ปัจจุบันถือเป็น Digital Transformation ซึ่งภาคธุรกิจค้าปลีกอย่างเราต้องตามให้ทัน เราจึงมีบริการออนไลน์ Chat & Shop หลายช่องทางทั้ง Line@Thaiwatsadu, Facebook thaiwatsadu, Call Center 1308 รวมถึง Click & Collect เพื่อตอบโจทย์ Omni-Channel เต็มรูปแบบ โดยในปีแรกตั้งเป้ายอดขายของสาขาหนองจอก ประมาณ 30 ล้านบาทต่อเดือน จากนั้นในปี 2563 มีแผนเปิดไทวัสดุในรูปแบบใหม่นี้เพิ่มอีก 2-3 สาขา ในกลุ่มเมืองรอง และเขตชุมชนขนาดเล็ก-กลาง เพื่อให้เข้าถึงความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม” นายสุทธิสาร กล่าวในตอนท้าย

กางรายได้คนเจนวาย : คำตอบและเหตุผลที่ “เมิน” งานประจำ

alivesonline.com : “กลุ่มคนยุคมิลเลนเนียล” (Millennials) หรือ “เจนเนอเรชั่นวาย” (Gen Y) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2523-2543 ถือเป็นกลุ่มคนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนกว่า 2 พันล้านคน คิดเป็น 32% ของประชากรโลก ทั้งยังมีแนวโน้มว่าในอนาคตจะมีจำนวนมากกว่าเจนเนอเรชั่นอื่น ๆ

ขณะที่ในประเทศไทยมีกลุ่มคนเจนเนอเรชั่นวายประมาณ 21 ล้านคนของประชากรทั้งหมด ทั้งยังมีวิถีการดำเนินชีวิตและรูปแบบการทำงานของกลุ่มดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการจ้างงานในรูปแบบการจ้างงานระยะสั้นประเภทต่าง ๆ

นอกจากนี้ คนเจนเนอเรชั่นวายบางกลุ่มยังเลือกการผสมผสานรูปแบบการทำงานทั้งแบบงานประจำควบคู่กับงานพาร์ทไทม์ที่ทำนอกเวลางาน จึงเกิดเป็นคำเรียกลักษณะงานนี้ว่า GIG Economy ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่ผู้ทำงานรับงานเป็นครั้ง ๆ ตามความต้องการ (On Demand) หรืออาจจะหมายถึง ทำงานแบบชั่วคราวไม่เต็มเวลา มีความเป็นอิสระ ทำงานตามความสมัครใจ ไม่เหมือนการทำงานแบบดั้งเดิมของการเป็นลูกจ้างบริษัท อาทิ งานนอกเวลา งานด่วน งานจ้างตามสัญญา งานชั่วคราว งานอิสระ งานรับเหมา งานออนไลน์ การทำงานบนแพลตฟอร์ม รวมถึงคนที่ทำงานประจำและทำงานพิเศษในเวลาเดียวกัน“แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย” ผู้นำด้านแรงงานเชิงนวัตกรรมและผู้เชี่ยวชาญในการสรรหาพนักงานระยะสั้นทั้งประเภทชั่วคราวและสัญญาจ้าง วิเคราะห์พฤติกรรมดังกล่าวว่า แนวโน้มและทิศทางของรูปแบบการทำงานในยุคปัจจุบัน หรือ “ยุคดิจิทัล” ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ไลฟ์สไตล์ของผู้คนและวิถีการดำเนินชีวิตกับการทำงานก็เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่แรงงานเลือกทำงานประจำที่สร้างรายได้หลักเท่านั้น แต่เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป แรงงานเลือกรูปแบบการทำงานตามความสามารถเพื่อเป็นรายได้เสริมงานหลัก โดยเฉพาะกลุ่มคนเจนเนอเรชั่นวายยังเลือกทำงานที่ไม่ใช่งานประจำอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย” จึงได้จัดทำ ผลสำรวจรายได้งานระยะสั้นครั้งแรก (Temp Job Market Salary Trend 2019 – 2020) จากกลุ่มลูกค้าจำนวน 325 รายในส่วนการจ้างงานในรูปแบบงานระยะสั้น พร้อมกับคำถามว่า ตอบโจทย์และฉีกกฎการทำงานยุคนี้ได้จริงหรือ? ความมั่นคงมีไหม? ทำอย่างไรให้ได้ค่าตอบแทนสูง? ทักษะ (Skill) สำคัญเพียงใด? แล้วทำไมจึงเลือกทำงานในรูปแบบงานระยะสั้นมากกว่าการทำงานประจำ? โดยอิงจากประสบการณ์ทำงาน 0–3 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละสายงานดังนี้

สายงานด้านการตลาด (Marketing) อาทิ ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด (Data Analyst) มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นที่ 25,000–35,000 บาท  ตำแหน่งดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นที่ 18,000–25,000 บาท ตำแหน่งพัฒนาธุรกิจ (Business Development) มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นที่ 18,000–25,000 บาท ส่วนตำแหน่งอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง และมาร์เก็ตติ้ง มีรายได้เริ่มต้นที่ 15,000–25,000 บาท

สายงานด้านบัญชีและการเงิน (Accounting & Finance) ซึ่งมีตำแหน่งงานตามทักษะและประสบการณ์ อาทิ ตำแหน่งผู้ตรวจสอบบัญชี (Audit) ที่ต้องมีใบรับรองการทำงาน มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นที่ 25,000–30,000 บาท ตำแหน่งไฟแนนซ์-บัญชี มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นที่ 20,000–40,000 บาท

สายงานด้านบุคคล (Human Resource Executive) เป็นอีกหนึ่งในสายงานที่สามารถทำงานในรูปแบบงานระยะสั้น ตำแหน่งฝ่ายบุคคล รายได้เฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นที่ 20,000–25,000 บาท ฝ่ายพัฒนาและอบรมบุคลากร รายได้เฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นที่ 20,000–30,000 บาท  เป็นต้น

สายงานด้านการขนส่ง (Logistics Staff) ก็มีเลือกใช้รูปแบบการจ้างงานในลักษณะระยะสั้นด้วย โดยตำแหน่งดูแลคลังสินค้า มีรายได้เริ่มต้น 12,000-15,000บาท หรือจ้างแบบรายวันเฉลี่ย 500-700 บาท ตำแหน่งงานในส่วนแพคสินค้าและดูแลจัดการสโตร์ มีรายได้เริ่มต้น 12,000-15,000บาท หรือจ้างแบบรายวันเฉลี่ย 500-700 บาท ส่วนพนักงานที่ทำงานด้านการเทรดดิ้งระหว่างประเทศ มีรายได้เริ่มต้น 16,000-23,000บาทต่อเดือน

สายงานด้านการให้บริการลูกค้า (Customer Service) เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งแคชเชียร์ มีรายได้เริ่มต้น 13,000-15,000 บาทต่อเดือน ส่วนตำแหน่งงานที่ต้องมีทักษะความรู้ที่เพิ่มขึ้นสำหรับงานด้านการให้บริการลูกค้า อาทิ คอลเซ็นเตอร์ (ไทย) รายได้เฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นที่ 15,000–20,000 บาท แต่ถ้าเป็นคอลเซ็นเตอร์ที่ต้องใช้ทักษะภาษาอังกฤษรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 20,000–35,000 บาท ส่วนพนักงานต้อนรับ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นที่ 18,000–25,000 บาท   เป็นต้น

สายงานที่ใช้ทักษะด้านภาษาในการติดต่อสื่อสาร (Interpreter) เป็นอีกหนึ่งตำแหน่งงานที่หลายองค์กรใช้การจ้างงานแบบระยะสั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นองค์กรที่มีผู้บริหาร หรือต้องติดต่อธุรกิจกับต่างชาติโดยเฉพาะทักษะภาษาจีนและญี่ปุ่น เป็นสองภาษาที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง จากผลสำรวจระบุว่าแรงงานงานนี้มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเริ่มต้นที่ 18,000-100,000 บาท หรือจ้างแบบรายวันอยู่ที่ 1,200-10,000 บาทต่อวันเลยทีเดียว

สายอาชีพทางด้านผู้เชี่ยวชาญ (Technician) ซึ่งมีตำแหน่งหลากหลาย อาทิ Computer, Telecommunication Technician มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตั้งแต่ 18,000-20,000 บาท ตำแหน่งงานด้านวิศวกรเครือข่าย (Network Engineer) มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตั้งแต่ 18,000-25,000 บาท Project Engineer, Computer and Systems Engineer มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตั้งแต่ 18,000-35,000 บาท เป็นต้น

 

แนวโน้มแรงงานในยุคดิจิทัลยังมีรูปแบบการทำงานระยะสั้นที่เติบโตและมีความหลากหลายมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางและรูปแบบการทำงานที่มีความยืดหยุ่น สามารถตอบโจทย์วิถีไลฟ์สไตล์ การดำเนินชีวิตในปัจจุบันได้ อีกทั้งบางกลุ่มยังเลือกทำงานแบบผสมผสานทั้งงานประจำและงานระยะสั้น เพื่อเสริมรายได้โดยใช้ทักษะความรู้ความสามารถที่ตนเองถนัด โดยสามารถทำงานทั้งรายวัน รายเดือน และรายโปรเจกต์ซึ่งมีตั้งแต่ 3-18 เดือน หรือบางกลุ่มก็มากกว่าขึ้นอยู่กับลักษณะและรูปแบบงาน 

นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงรายได้ที่เกิดขึ้นซึ่งเมื่อเทียบกับคนทำงานประจำก็ไม่น้อยทีเดียว “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย” ในฐานะที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญในตลาดแรงงาน จึงหวังว่าข้อมูลแนวโน้มและทิศทางแรงงานในปี 2019-2020 จะทำให้แรงงานใช้เป็นแนวทางและการเตรียมตัวกับงานในรูปแบบใหม่ตามยุคสมัย เทคโนโลยี เทรนด์ ความต้องการของนายจ้างที่เปลี่ยนไป

ประการสำคัญ ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใด ๆ คนรุ่นใหม่จำเป็นต้องเรียนรู้และพัฒนาความรู้ความสามารถสร้างทักษะและประสบการณ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและรักษาความมั่นคงในชีวิตต่อไปเพื่อรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

 

ALL เร่งจังหวะชิงรายได้โค้งสุดท้ายปี 62

alivesonline.com : “ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ส่งซิกโค้งสุดท้ายเติบโตอย่างโดดเด่น ระบุ Q4/62 พีคสุดในรอบปี มั่นใจรายได้ปี 2562 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ย้ำมาตรการภาครัฐหนุนภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สดใส เผย ตุน Backlog 11,400 ล้านบาท คาดเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 4/62 ประมาณ 40%

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เปิดเผยถึงกรณีที่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ออกมาประเมินภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2562 และอัตราการเติบโตปี 2562 โดยมองว่า ALL มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ประเภทคอนโดมิเนียม ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2562 ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีจะเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้บริโภคจะมีกำลังซื้อ ประกอบกับภาครัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ส่งท้ายปี ยิ่งส่งผลเชิงบวกทางด้านจิตวิทยาต่อผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันตลาดอสังหาริมทรัพย์ในยุคปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคเรียลดีมานด์ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่ง ALL สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่อยู่อาศัยได้ครบทุกมิติของคอนโดมิเนียม จากปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลให้ช่วงโค้งสุดท้ายของกลุ่มธุรกิจ ALL มีความคึกคักและมีสีสันอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับโครงการ ALL ที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย 1.โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 50 (The Excel Hideaway Sukhumvit 50) 2.โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 71 (The Excel Hideaway Sukhumvit 71) 3.โครงการ ดิ เอ็กเซล คูคต (The Excel Khukhot) 4.โครงการ ไรส์ พระราม 9 (Rise Rama 9) 5.โครงการ เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว-นวมินทร์ (The Vision Ladprao-Nawamin) 6.โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ รัชดา-ห้วยขวาง (The Excel Hideaway Ratchada-Huai Khwang) และ 7.โครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว-สุทธิสาร (The Excel Ladprao-Sutthisan)

โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 71

นายธนากร กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มี Backlog ที่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้และจะโอนกรรมสิทธิ์ในปีต่อไป (2563) มูลค่ารวมกว่า 40% จาก Backlog ทั้งหมด 1.14 หมื่นล้านบาท โดยกว่า 40% ของโครงการทั้งหมดที่มีคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 8 พันล้านบาท เป็นโครงการที่มีระดับราคาขายตั้งแต่ 1.5-3 ล้านบาท สอดคล้องกับมาตรการที่จะช่วยลดค่าโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ซึ่งผลจากมาตรการดังกล่าว ทำให้เชื่อว่า ตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงปีหน้าจะมีแรงซื้อจากมาตรการดังกล่าวทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“จากมาตรการดังกล่าว ผนวกกับกลยุทธ์การเจาะตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานและอัตราการเติบโตในปี 2562 มีแนวโน้มเติบโตเป็นอัตราร้อยละที่ไม่น้อยกว่า 2 หลัก เมื่อเทียบกับจากก่อนที่มีรายได้รวม 2,342.97 ล้านบาท ซึ่งรายได้รวมดังกล่าวคาดว่าเป็นรายได้ที่ทำสถิติสูงสุด ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ โดยจะเห็นได้จากในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ มีความสามารถในการทำรายได้รวมแล้ว 2,339.38 ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมการเติบโตของ ALL ในไตรมาส 4/2562 จะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 2562 เติบโตกว่าที่คาดการณ์ไว้ไม่ต่ำกว่า 4.5 พันล้านบาท” นายธนากร กล่าว.ในตอนท้าย

ทั้งนี้ ยอด Backlog ทั้งหมดเป็นสินค้าในกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์โฮม จำนวน 300 ล้านบาท โครงการประเภท High Rise จำนวน 3.4 พันล้านบาท และโครงการประเภท Low Rise จำนวน 7.7 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องถึงปี 2565

  • 2 โบรกฯ ประสานเสียง เชียร์ “ซื้อหุ้น ALL”

ทางด้าน บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส จำกัด แนะนำ “ซื้อ” หุ้น ALL กำหนดราคาเป้าหมายที่ 6.48 บาทต่อหุ้น โดยประเมินว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/2562 (ต.ค.-ธ.ค.62) จะโดดเด่นที่สุดของปี โดยคาดว่าจะมียอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ระดับ 1.1 พันล้านบาท จากคอนโดมิเนียมใหม่ “ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 50” ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนที่จะเริ่มโอนเดือนธันวาคม ศกนี้ คาดว่าจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมทุนสุทธิที่ 8 ล้านบาท และหนุนกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 4/2562 อยู่ที่ระดับ 144 ล้านบาท อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4/2562 ยังมีการส่งมอบคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการคือ โครงการ “อิมเพรสชั่น ภูเก็ต” และโครงการ “ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 71” ขณะที่ปัจจุบันมียอด Backlog ของ 2 โครงการดังกล่าวรวม 2.7 พันล้านบาท

โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 50

นอกจากนี้ ALL ยังมีโครงการเดิมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 14 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 7.8 พันล้านบาท พร้อมที่จะสร้างยอดขายช่วงไตรมาส 4/2562 เพื่อเติมเต็มเป้า Presales ปี 2562 ที่ ALL ตั้งไว้ที่ 7 พันล้านบาท หลังจากช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค.-ก.ย.62) มียอดขายสะสมรวมแล้ว 6.5 พันล้านบาท

ในปี 2563 ALL มีแผนรุกโครงการแนวราบมากขึ้น ทั้งในรูปแบบทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว หลังจากเปิดโครงการ เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว-นวมินทร์ มูลค่า 1.4 พันล้านบาท และได้รับตอบรับที่ดี ด้วยยอดขาย 47% (เปิด 2 เฟส จากทั้งหมด 3 เฟส) ขณะที่คอนโดมิเนียมจะขยายในกลุ่ม Low Rise (200–300 ยูนิต/โครงการ) แบรนด์ The Excel (มี 2 โครงการที่เลื่อนจากปีนี้ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท) รวมถึงยังมองโอกาสในเพิ่มรายได้ Recurring Income (รายได้ประจำ)

โครงการ เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว-นวมินทร์

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ยังได้ประเมินผลการดำเนินงานในปี 2562–2563 ของ ALL ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 คาดว่า ALL จะมีกำไรสุทธิ 486 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 343 ล้านบาท และจะมีรายได้รวมที่ระดับ 3,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวมที่ 2.3 พันล้านบาท ส่วนในปี 2563 คาดว่า ALL จะมีกำไรสุทธิ 519 ล้านบาท และจะมีรายได้รวมที่ 4,336 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กำหนดราคาเป้าหมายหุ้น ALL ที่ 6.25 บาทต่อหุ้น โดยประเมินว่ามาตรการรัฐทั้งการลดค่าธรรมเนียมและช่วยลดเงินดาวน์จะช่วยเร่งการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาส 4/2562 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1/2563 ประกอบกับการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องจะเสริมการรับรู้รายได้ในอนาคต อีกทั้งบริษัทฯ เน้นเพิ่มรายได้ Recurring Income โดยได้ลงทุนในสิทธิการเช่า The New Forum Plaza ซึ่งเป็น Commercial Property คาดเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาส 2/2563 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4/2562 – 2/2563 จะมีโครงการแล้วเสร็จใหม่ราว 5-6 พันล้านบาท ซึ่งมี Take Up Rate เฉลี่ยอยู่ในระดับที่สูง 80-85% โดยคาดว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงเวลาดังกล่าวที่โดดเด่นจากแรงหนุนการส่งเสริมของภาครัฐทั้งมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง เหลือ 0.01% รวมไปถึงโครงการ “บ้านดีมีดาวน์” ซึ่งช่วยลดเงินดาวน์ (Cash Back) จำนวน 5 หมื่นบาท เนื่องจากโครงการที่แล้วเสร็จส่วนใหญ่มีราคาที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้ซื้อได้ประโยชน์จากทั้ง 2 มาตรการดังกล่าวที่ออกมาส่งเสริม

โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ รัชดา-ห้วยขวาง

 

“พริ้นซิเพิล แคปิตอล” นำร่องใช้ระบบ Healthcare Ecosystem ในไทย

alivesonline.com : ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกธุรกิจ รวมไปถึงธุรกิจการแพทย์ โดยเฉพาะ เทคโนโลยีสุขภาพ หรือ (HealthTech) ได้เข้ามามีบทบาทอย่างเห็นได้ชัด เช่น การนำระบบฐานข้อมูลมาช่วยคิดวิเคราะห์ข้อมูลการรักษา ระบบการจัดการทางการแพทย์ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น และยังมีอีกหลายระบบที่อยู่ระหว่างการศึกษาพัฒนาเพื่อให้การรักษาผู้ป่วยมีความแม่นยำและการดำเนินงานภายในโรงพยาบาลมีความคล่องตัวมากขึ้น

“พริ้นซิเพิล แคปิตอล” ผู้ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลและธุรกิจเพื่อสุขภาพภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือ “พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์” เป็นองค์กรที่เห็นความสำคัญในการนำ HealthTech มาใช้ โดยเป็นผู้นำร่องรายแรกของไทยในกลุ่มเฮลท์แคร์ที่มีการนำระบบ “Healthcare Ecosystem” หรือระบบการเกื้อหนุนกันทางด้านสาธารณสุขมาใช้กับโรงพยาบาลในเครือข่าย เพื่อตอบโจทย์การพัฒนางานด้านสาธารณสุขให้ประชาชนที่เข้ามารับบริการทางการแพทย์ได้ประโยชน์สูงสุด โดยมีเป้าหมายให้เกิดเครือข่าย Healthcare Ecosystem เพื่อพัฒนาระบบการแพทย์ของไทยก้าวสู่สากลในอนาคต โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตร 10 รายที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันในแต่ละสาขาในการพัฒนาระบบ Healthcare Ecosystem ได้แก่

1.บริษัท Human Centric จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชัน Hospital Information System โดยเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบคลาวด์เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกและแม่นยำ

2.บริษัท MEDCury จำกัด ผู้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อการแพทย์ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับการป้องกันและรักษาโรค รวมถึงอำนวยความสะดวกให้กับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนผ่านแอปพลิเคชัน

3.คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ช่วยด้านการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงการบูรณาการองค์ความรู้ทางการแพทย์เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่

4.วิวัฏฏะคลินิก ผู้ให้คำปรึกษาบำบัดโรคเรื้อรังด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน แผนไทยประยุกต์ และธรรมชาติบำบัดด้วยสมุนไพรและโภชนาการเฉพาะบุคคล

5.มูลนิธิพงษ์ศักดิ์วิทยากร จัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงการจัดทำบทเรียนออนไลน์เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้แสวงหาความรู้ทางด้านสุขภาพและสุขอนามัย

6.บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านกระดูกและข้อให้กับกลุ่มคนระดับกลางทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการแพทย์ระหว่างเครือข่าย

7.สถาบันสุขภาพและความงามครบวงจร Prima Aesthetica by Renovia ที่มีความชำนาญด้านนวัตกรรมสุขภาพและความงามมากกว่า 20 ปี

8.บริษัท NK Group ผู้ประกอบการด้านการดูแลผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์มากว่า 50 ปี

9.Healthcare Information and Management Systems Society หรือ HIMSS ที่ให้การรับรองมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศโรงพยาบาลในกลุ่มมาตรฐาน EMRAM

10.สถาบันพัฒนาบุคลากร White Rabbit Management ช่วยในเรื่องการออกแบบหลักสูตรการอบรมบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการตามกรอบมาตรฐานที่กำหนด

ดร.สาธิต วิทยากร ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวคิดในการนำระบบดังกล่าวมาใช้กับการบริหารธุรกิจโรงพยาบาลว่า Healthcare Ecosystem เป็นแนวคิดที่ “พริ้นซิเพิล แคปิตอล” นำมาใช้โดยลงทุนและพัฒนาระบบร่วมกับโรงพยาบาลในเครือข่ายและพันธมิตร เพื่อทำให้โรงพยาบาลในเครือข่ายเป็นโรงพยาบาลดิจิทัลที่มีการบูรณาการเทคโนโลยีระบบสารสนเทศเข้ากับบริการทางการแพทย์และกระบวนการทำงานภายในโรงพยาบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกและปลอดภัย สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้รับบริการเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยได้เริ่มต้นไปแล้วที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ และประสบความสำเร็จจนได้รับการรับรองมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศโรงพยาบาล ขั้นที่ 7 (HIMSS Analytics Stage 7) ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดของมาตรฐาน EMRAM หรือ Electronic Medical Record Adoption Model นับเป็นโรงพยาบาลแรกและโรงพยาบาลเดียวในประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐานนี้ ทั้งยังเป็นประเทศที่ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อจากสิงคโปร์ โดยบริษัทฯ จะนำระบบนี้ไปใช้งานยังโรงพยาบาลอื่น ๆ ในเครือ และต่อยอดไปยังระบบอื่นๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยต่อไป

ล่าสุด “พริ้นซิเพิล แคปิตอล” ได้เปิดให้บริการ โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีความพร้อมในการให้บริการทางการแพทย์อย่างรอบด้าน และพริ้นซิเพิล แคปิตอล ยังมีเป้าหมายที่จะให้โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นศูนย์กลาง (Hub) ในด้าน Healthcare Ecosystem ให้กับโรงพยาบาลในเครือข่ายด้วย โดยในพิธีเปิดได้มีการจัดเสวนาใน 2 หัวข้อที่น่าสนใจ หัวข้อแรก ได้แก่ The Rise of AI : The Future of Healthcare” ร่วมเสวนาโดยนายพานนท์ สุภิรัตน์ COO บริษัท MEDCury จำกัด นายจตุภล ชวพัฒนากุล กรรมการใหญ่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท แบ็คยาร์ด จำกัด ดร.รัตน์ชัยนันท์ ธรรมสุจริต ประธานหลักสูตร Data Science for Healthcare ภาควิชาระบาดวิทยาคลินิกและชีวสถิติ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งผู้ร่วมเสวนาได้กล่าวถึง บทบาทของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่จะเข้ามาอำนวยความสะดวกในการทำงานของมนุษย์มากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแพทย์ในอนาคตที่ AI สามารถช่วยให้การรักษาผู้ป่วยมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เนื่องจากเป็นระบบที่สามารถวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลที่มีอยู่มหาศาลออกมาเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งในทางการแพทย์ AI สามารถวิเคราะห์เชื้อโรคจากภาพถ่าย รวมไปถึงสกัดข้อมูลที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยโรคได้

สำหรับหัวข้อที่สอง ได้แก่ Digital Hospital : The Journey of HIMSS EMRAM STAGE 7 Achievement” ร่วมเสวนาโดยนายแพทย์กิตติพงษ์ ประวีณวงศ์วุฒิ กรรมการบริษัท ฮิวแมน เซนทริค จำกัด นายวิทมนต์ ภริตานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิวแมน เซนทริค จำกัด นายแพทย์บุญชนะ เพชรพลอยงาม รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ เภสัชกรพัฒนศักดิ์ ถนัดค้า รองผู้จัดการฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลพริ้นซ์ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ โดยใจความสำคัญในหัวข้อนี้กล่าวถึงเส้นทางความสำเร็จของโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ในการนำระบบไอทีมาใช้จนได้รางวัล HIMSS Analytics EMRAM Stage 7 ซึ่งการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในส่วนของความปลอดภัยของข้อมูลคนไข้ที่จัดเก็บในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์บนระบบคลาวด์ ทำให้สามารถค้นหา หรือดึงข้อมูลออกมาใช้ได้ง่าย หรือกรณีที่แพทย์เขียนใบสั่งยาด้วยลายมือที่อ่านยาก แต่เมื่อเปลี่ยนจากการเขียนใบสั่งยาด้วยลายมือมาให้แพทย์ลงรายละเอียดในระบบจะช่วยให้เภสัชกรที่จัดยาทำงานได้ง่าย ลดความผิดพลาดที่จะเกิดได้มาก และยังช่วยลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรจากการใช้เอกสารจำนวนมาก (Paperless) ซึ่งการลงทุนระบบถึงแม้จะมีต้นทุนในด้านของค่าใช้จ่าย แต่สามารถปิดจุดอ่อนและสร้างมาตรฐานการดำเนินงานในองค์กรได้เป็นอย่างดี

“เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราไม่สามารถวางแผนการดำเนินงานในระยะยาวได้ การจะนำเทคโนโลยีอะไรมาใช้ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว ใช้แผนระยะสั้น มิฉะนั้นเทคโนโลยีจะ Disrupt เรา การทำ Healthcare Ecosystem เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกลุ่มพริ้นซิเพิล แคปิตอล เท่านั้น ในอนาคตนอกจากการวางระบบให้กับทุกโรงพยาบาลในเครือแล้ว เรามุ่งหวังจะต่อยอดเพื่อให้เครือข่ายขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ถือเป็นการสร้างสังคมและชุมชนแห่งการให้ที่เป็นปณิธานหลักขององค์กรเรา ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์ทุกคน และเป็นประโยชน์กับวงการสาธารณสุขของประเทศไทยในที่สุด“ ดร.สาธิต กล่าว

จึงนับเป็นโอกาสและความท้าทายสำหรับ “ธุรกิจเฮลท์แคร์” ซึ่งผู้ที่ปรับตัวรับมือกับการแข่งขันและสามารถก้าวทันเทคโนโลยีได้ก่อน ย่อมเป็นผู้ได้เปรียบในเชิงธุรกิจ โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์คือประชาชนที่จะได้รับการบริการที่ดีและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ  

“SMART ECO CARING COMMUNITY” ปฏิวัติเมืองสู่การเป็นมหานครใส่ใจสิ่งแวดล้อม

alivesonline.com : “เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป” โดย บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้นำในการยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตและประสบการณ์การอยู่อาศัย ผนึกแนวคิดคนรุ่นใหม่ต่อยอดการสร้างสรรค์คอมมิวนิตี้แห่งการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้กับคนเมืองในทุกมิติ ด้วยการกระตุ้นให้ผู้อยู่อาศัยกว่า 5.5 หมื่นครัวเรือน ในกว่า 240 โครงการภายใต้การดูแลของ “สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์” ให้เกิดจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านแคมเปญ “SMART ECO CARING COMMUNITY”

แคมเปญ “SMART ECO CARING COMMUNITY” มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างกระบวนการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพครบวงจร โดยเริ่มจากการมีส่วนร่วมของคนในคอมมูนิตี้ พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนผสานกำลังกันผ่านการจัดกิจกรรมเพื่อปลูกฝังแนวคิดด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้ทุกคนในสังคมได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสิ่งแวดล้อมและตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง

นายเมธา รักธรรม ผู้อำนวยการ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ในเครือเอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป กล่าวว่า ในปัจจุบันคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “ปัญหาขยะ” กลายเป็นปัญหาระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ในขณะที่ทุกคนในสังคมมีส่วนร่วมในการสร้างให้ปัญหานี้เกิดขึ้น เพราะเราทุกคนคือผู้สร้างขยะ ฉะนั้นการแก้ไขปัญหาขยะจึงต้องเกิดจากการร่วมมือกันของทุกกลุ่มในสังคม “สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์” ผู้เชี่ยวชาญด้านพร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ ในเครือ เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป ในฐานะผู้ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของผู้อยู่อาศัย จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการจุดประกายและรณรงค์ให้คนในสังคมหันมาตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการขยะ

“เมื่อมีระบบที่ดีแล้วจะนำมาซึ่งการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ เพราะเราเชื่อว่าการอยู่อาศัยในคอมมูนิตี้ที่มีคุณภาพนั้นย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ประกอบกับกระแสเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งการบริหารจัดการขยะและพลาสติก ผนวกกับวิสัยทัศน์ใหญ่ของ เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป ในการสร้างสรรค์โลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีที่จะนำมาสู่การเป็นอยู่ที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นจึงเชื่อว่าความตั้งใจทุกอย่างควรเริ่มต้นจากการปลูกฝังของคนในบ้าน ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคมก่อน แคมเปญนี้จึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ปลูกฝังการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ด้วยการให้ความรู้ในเรื่องการแยกขยะอย่างถูกวิธี เพื่อการรีไซเคิลที่ครบวงจร จูงใจให้ทุกคนมีส่วนร่วมด้วยการซื้อขายขยะในโครงการ พร้อมกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกในการรับผิดชอบในฐานะผู้ก่อขยะ”

นายชูเกียรติ โกแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านไบโอเทคและการจัดการขยะในครัวเรือน กล่าวว่า เมื่อเราพูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมมักจะมีไอดอลเป็นชาวญี่ปุ่น ยุโรป หรือสแกนดิเนเวีย หากลองย้อนคิดว่าทำไมสิ่งแวดล้อมประเทศเหล่านั้นจึงดีได้ คำตอบคือเขาเริ่มจากการคัดแยกขยะในระดับครัวเรือนทั้งนั้น ฉะนั้นสิ่งแรกที่อยากให้ทุกคนเปลี่ยนคือความเชื่อที่ว่าระบบของเมืองไทยไม่แยกขยะ เพราะหากไปดูที่ในระบบจริง ๆ จะมีการคัดแยกขยะเพื่อนำชิ้นที่รีไซเคิลได้ไปใช้ต่อ ฉะนั้นการคัดแยกตั้งแต่ที่บ้านจะทำให้ขยะที่จะนำไปรีไซเคิลมีประสิทธิภาพมากขึ้นและจะไม่เกิดปัญหาขยะที่นำไปใช้ต่อไม่ได้

“ผมรู้สึกยินดีมากที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งกับทีมสมาร์ทในการสร้างความตระหนักนี้ให้เกิดขึ้นกับคนในสังคม เพราะเชื่อว่าหากคนไทยรู้และตระหนักว่าต้นตอของปัญหาเกิดจากการแยกขยะ ผมเชื่อว่าทุกคนจะร่วมมือกันทำ เพื่อให้สังคมของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น”

นายนันทิวัต ธรรมหทัย ผู้อำนวยการองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า

“การผลักดันและส่งเสริมให้มีการแยกขยะที่ต้นทางเป็นปัจจัยสำคัญที่จะก่อให้เกิดการนำวัสดุรีไซเคิลมาแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ เราดีใจที่ได้เห็นกิจกรรมการซื้อขายขยะในโครงการของทีมสมาร์ทซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการทำงานของเรา จึงเชื่อว่าด้วยแนวทางนี้เราจะช่วยกันขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นคอมมูนิตี้ที่มีการจัดการขยะและวัสดุรีไซเคิลอย่างยั่งยืน เพราะไม่มีองค์กรใดองค์กรหนึ่งสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างแน่นอน”

นายลักษมณ์ เตชะวันชัย กรรมการ และรองประธานสภาดิจิทัลแห่งประเทศไทย และผู้อยู่อาศัยคอนโดมิเนียมโครงการ “อีควิน็อคซ์” กล่าวว่า

“การรณรงค์เรื่องการจัดการขยะถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะช่วยส่งเสริมให้คอมมิวนิตี้ของเราน่าอยู่ขึ้น การแยกขยะเป็นสิ่งใกล้ตัวที่สุด ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร สามารถเริ่มต้นได้ที่ตนเอง และวันนี้นอกจากจะได้รับความรู้เรื่องการแยกขยะเพิ่มขึ้นแล้ว ในฐานะผู้อยู่อาศัยยังได้รับความสนุกสนาน ความอบอุ่น และมิตรภาพดี ๆ ระหว่างคนในคอมมูนิตี้เดียวกันอีกด้วย ต้องขอขอบคุณสมาร์ทที่มุ่งมั่นตั้งใจสร้างสรรค์ให้คอมมิวนิตี้ของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น ด้วยการจัดกิจกรรมที่นำความสุขมาที่บ้านและเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้นในทุกย่างก้าวของการใช้ชีวิต”

นายประเสริฐ เคนพันค้อ ผู้อำนวยการโครงการในองค์การอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก และบรรณาธิการวารสารสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และผู้อยู่อาศัยคอนโดมิเนียมโครงการ “แอสปาย ศรีนครินทร์ กล่าวว่า

“ผมเชื่อว่าทุกกิจกรรมที่จัดขึ้นภายในคอมมูนิตี้ของเราจะทำให้สังคมและคนรอบตัวของเราเกิดความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น โดยแคมเปญ SMART ECO CARING COMMUNITY ที่จัดขึ้นถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่คนในคอมมูนิตี้ของเราจะเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสิ่งแวดล้อมได้ และจากกิจกรรมแยกขยะเล็ก ๆ ภายในโครงการของเราจะสามารถขยายวงกว้างและเป็นตัวอย่างให้ชุมชมอื่น ๆ ได้เห็นว่าประเทศไทยสามารถนำขยะมารีไซเคิลให้เกิดประโยชน์ได้ เพราะเราได้เริ่มจากการสร้างความตระหนักให้กับคนกลุ่มเล็ก ๆ ได้เห็นคุณค่าด้วยการสร้างให้เกิดรายได้กลับคืนจากสิ่งที่เขาลงมือทำด้วยตนเอง”

“อเล็กซ์ เรนเดลล์” ศิลปินดาราในฐานะตัวแทนคนรุ่นใหม่ กล่าวว่า

“กิจกรรมหลายอย่างเพื่อช่วยลดโลกร้อน เช่น การใช้ถุงผ้า การใช้หลอดกระดาษ และอื่น ๆ ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ผมเชื่อเรื่องการให้แรงบันดาลใจและความรู้ เพื่อการเปลี่ยนทัศนคติ จากตรงนั้นจะสามารถนำมาสู่การตัดสินใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มันดีขึ้น ที่ไม่ใช่ตัวเขาอย่างเดียว แต่นำไปสู่สังคม ครอบครัว คนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้น”

“การให้ความรู้เรื่องการแยกขยะก็เช่นกัน ถือเป็นการแชร์ความรู้ เพื่อสร้างทัศนคติใหม่ให้กับส่วนรวมรวมถึงเด็กที่ยังไม่เคยมีความรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน การให้ข้อมูลที่ถูกต้องจึงถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี จึงเป็นที่มาของการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของผมเพื่อให้เด็กเข้าใจกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้คนเมืองเชื่อว่าเขาคือส่วนสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อมได้จริง”

(จากซ้ายไปขวา) อเล็กซ์ เรนเดลล์ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ นายนันทิวัต ธรรมหทัย ผู้อำนวยการองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด นายเมธา รักธรรม ผู้อำนวยการ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด นายชูเกียรติ โกแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านไบโอเทค และการจัดการขยะในครัวเรือน และนางสาวสปัญญ์ ปาลีวงศ์ Business Development Director บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด

“Rain Shower” และ “ก๊อกซิงค์” 2 รูปโฉมใหม่นวัตกรรมแห่งสายน้ำ

Hons ก๊อกน้ำทางเลือกใหม่จากแนวคิด “Beyond Bathroom Solution” ขอนำเสนอ 2 รูปโฉมใหม่ของนวัตกรรมแห่งสายน้ำที่สรรค์สร้างความอิสระ เลือกใช้งานได้ในแบบที่เป็นตัวเองกับ “Rain Shower” ฝักบัวควบคุมอุณหภูมิทำให้เกิดแสง และ “ก๊อกซิงค์” ก๊อกน้ำระบบสัมผัสที่โดดเด่นด้วยฟังก์ชันการใช้งาน ที่สะดวกสบายสำหรับผู้ใช้ ลงตัวไปกับด้านงานดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร

“Rain shower” ฝักบัวดีไซน์เรียบหรู หน้ากว้าง 8 นิ้ว แข็งแรง ทนทาน ไม่เป็นสนิม โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์หนึ่งเดียวจาก Hons กับนวัตกรรมการควบคุมอุณหภูมิน้ำ เติมความสวยงามด้วยแสงสี สร้างความลงตัวเข้ากับทุกบรรยากาศ ทำงานด้วยแรงดันน้ำโดยไม่ใช้กระแสไฟฟ้า ส่งต่อน้ำไปยังหัวฝักบัว ใบพัดด้านในหมุนสร้างแสงสี  พร้อมทำงานสอดประสานไปกับชุดควบคุมอุณหภูมิ ช่วยเปลี่ยนแสงสีที่สะท้อนออกมาพร้อมสายน้ำ 3 รูปแบบ คือ แสงสีน้ำเงินในอุณหภูมิน้ำน้อยกว่า 33 องศา, แสงสีชมพูในอุณหภูมิน้ำระหว่าง 33-37 องศา และแสงสีแดงในอุณหภูมิน้ำมากกว่า 37 องศา

“ก๊อกซิงค์” ก๊อกน้ำระบบสัมผัส ทำจากวัสดุสแตนเลสสตีล 304 เกรดพรีเมียม พร้อมด้วยวาล์วเซรามิกชั้นดี ช่วยสร้างความแข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้นานกว่า 10 ปี เติมเต็มฟังก์ชันด้วยระบบสัมผัสทั่วตัวก๊อก ใช้งานง่ายเพียงแตะเบา ๆ ที่ตัวก๊อก เพื่อควบคุมการเปิด-ปิดน้ำอย่างอิสระ ตัวก๊อกออกแบบให้สามารถหมุนวนได้ 360 องศา เสริมด้วยสายสแตนเลสภายในสามารถยืดเข้าออก ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ทำความสะอาดง่าย เพิ่มความสะดวกสบาย สามารถใช้งานได้ในทุกพื้นที่

สัมผัส 2 รูปโฉมใหม่ของนวัตกรรมแห่งสายน้ำ ในแนวคิด “Beyond Bathroom Solution” ได้แล้ว ที่ HomePro และ Megahome ทุกสาขา และ www.facebook.com/HONSTHAILAND

“อัลมอนด์ บรีซ กิ๊ฟบ็อกซ์” ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข

บลูไดมอนด์โกรเวอร์ส สหกรณ์ผู้ผลิตอัลมอนด์จากเมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข มอบสุขภาพดี มอบอัลมอนด์ บรีซ กิ๊ฟบ็อกซ์ เป็นของขวัญเพื่อคนที่คุณรัก โดยคัดสรรนมอัลมอนด์คุณภาพเพื่อสุขภาพ ทั้ง 6 รสชาติ ได้แก่ รสออริจินัล, สูตรไม่เติมน้ำตาล, รสวานิลลา, รสช็อกโกแลต, รสมัทฉะ และรสลาเต้ ในชุดกล่องของขวัญสุดพิเศษเพื่อคนพิเศษ พร้อมบรรจุนมอัลมอนด์คละรส จำนวน 10 กล่อง วางจำหน่ายแล้ว เฉพาะที่ แม็คโคร ในราคาชุดละ 198 บาท ซื้อได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่าของจะหมด

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02813 0954-5 หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ ได้ที่ www.facebook.com/Bluediamondthailand และ IG : Bluediamondthailand

สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ ชวนเชฟซูชิระดับโลกจัดอบรม

สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) ตัวแทนอุตสาหกรรมอาหารทะเลของประเทศนอร์เวย์ นำโดย ดร.อัสบีเยิร์น วาร์วิค เรอร์ทเว็ท (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับ เชฟ ฮิโรโตชิ โอกาว่า (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการใหญ่ สถาบัน World Sushi Skills Institute (WSSI) จัดงาน Global Sushi Academy 2019 เพื่อทำการอบรมพิเศษสำหรับเชฟอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย ซึ่งครั้งนี้มีเชฟซูชิมืออาชีพจากร้านอาหารญี่ปุ่นชั้นนำในประเทศไทยจำนวน 19 คนเข้าร่วม เพื่อพัฒนาทักษะความสามารถและการทำอาหารโดยใช้แซลมอนจากนอร์เวย์ โดบได้รับเกียรติจาก นางมารีอานเน ฮาเก็น (กลาง) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ราชอาณาจักรนอร์เวย์ ในโอกาสที่เดินทางเยือนประเทศไทยเพื่อหารือเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนและกิจการทางทะเล ณ โรงเรียนศิลปะการอาหารและผู้ประกอบการคูลิเนอร์ ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม

MQDC คว้า 8 รางวัลในงาน Asia Property Awards

บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) ร่วมรับรางวัล “PropertyGuru Asia Property Awards”  รวม 8 รางวัลจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 4 โครงการ ได้แก่ โครงการวิสซ์ดอม เดอะ ฟอเรสเทียส์, โครงการมัลเบอร์รี่โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ (คอนโดฯ), โครงการมัลเบอร์รี่โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ (วิลล่า) และโครงการมัลเบอร์รี่โกรฟ สุขุมวิท ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้