“สตาร์มาร์ค” ยกทัพชุดครัวพร้อมโปรชุดใหญ่ บุกงาน Homepro Expo ครั้งที่ 30

บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด ผู้นำด้านการออกแบบชุดครัวและผลิตเฟอร์นิเจอร์ Built-in เพื่อที่อยู่อาศัยครบวงจร มายาวนานถึง 37ปี โดดเด่นด้วยงานดีไซน์อย่างมีระดับและฟังก์ชัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างแท้จริง ชวนทุกท่านเนรมิตพื้นที่แห่งความสุขของครอบครัวด้วยเฟอร์นิเจอร์ชุดครัวจาก “สตาร์มาร์ค” ที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เป็นคุณได้ตรงใจที่สุด ในงาน โฮมโปรเอ็กซ์โป ครั้งที่ 30 มหกรรมเพื่อคนรักบ้านที่ใหญ่ที่สุดแห่งปีกับความมหัศจรรย์ของการออกแบบตกแต่งบ้านอย่างมีดีไซน์ โดยทีมดีไซเนอร์จาก “สตาร์มาร์ค” ที่จะมาให้คำปรึกษาห้องครัวไม่ว่าพื้นที่จะเล็ก หรือใหญ่ มีรูปแบบการใช้งานอย่างไร สามารถออกแบบได้ตามสไตล์และฟังก์ชันการใช้งานที่คล่องมือ รวมถึงฟรีบริการประเมินราคาอย่างตรงใจ พร้อมมอบโปรโมชันครั้งยิ่งใหญ่ลดสูงสุด 50%, ชอปครบตามเงื่อนไขรับฟรี iPhone 11 64GB มูลค่า 24,900 บาท หรือรับส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 17,000 บาทเฉพาะภายในงานนี้เท่านั้น

สัมผัสความพิเศษก่อนใครได้ที่ บูธ STARMARK ในงาน Homepro Expoครั้งที่ 30 ฮอลล์9-12 อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 15–24 พฤศจิกายน 2562 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line@ : @starmarkkitchen หรือคลิก https:// www.starmark.co.th / Facebook : Starmarkkitchen/ Instagram : Starmarkkitchen

IWG เปิดโอกาสทางธุรกิจแฟรนไชส์ครั้งแรกในไทย

alivesonline.com : IWG ผู้บริหารแบรนด์ด้านธุรกิจการบริการพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเปิดให้บริการมากกว่า 120 ประเทศ หรือมากกว่า 3.4 พันสาขาทั่วโลก ประกาศเปิดตัวรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ด้วยงบฯ ลงทุน 20 ล้านบาทต่อสาขา พร้อมสัญญาแฟรนไชส์ 15 ปี

กลยุทธ์ในรูปแบบแฟรนไชส์นี้จะสร้างความมั่นใจในความสำเร็จให้แก่นักลงทุนในประเทศไทยที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจในอุตสาหกรรมเวิร์คสเปซที่กำลังเป็นที่น่าจับตามองในปัจจุบัน พร้อมมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสที่คอยช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องและระบบในการดำเนินธุรกิจที่ครบวงจรที่ได้มีการพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยนอกจากเอื้อประโยชน์ต่อการขยายเครือข่ายระดับโลกให้แก่ IWG ยังเอื้อประโยชน์อีกมากมายให้แก่ภาคธุรกิจต่าง ๆ ในการใช้พื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นในประเทศไทยอีกด้วย

ในรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์นี้ IWG ได้ให้สิทธิ์แฟรนไซส์แก่นักลงทุนทั่วประเทศในการพัฒนาและขยายอย่างน้อย 3 สาขา ภายในอาณาเขตและระยะเวลาที่กำหนดแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Cluster Area Development Franchise) นอกจากนี้ แล้วนักลงทุนมีสิทธิพิเศษในการดำเนินธุรกิจโคเวิร์คกิ้งสเปซได้ทั้งสามแบรนด์ ได้แก่ Regus, Spaces และ HQ ที่มีความโดดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะแบรนด์และมีกลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการที่แตกต่างกัน โดยแต่ละสาขาจะมีขนาดเริ่มต้นที่ 800 ตารางเมตร และใช้งบลงทุนเริ่มต้นต่อหนึ่งสาขาอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านบาท พร้อมระยะเวลาสัญญาแฟรนไซส์ 15 ปี

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ คู่ค้าแฟรนไชส์จะได้รับประโยชน์จากผลตอบแทนในการลงทุนที่คุ้มค่าและคืนทุนในเวลารวดเร็ว รวมถึงการอบรมพนักงาน การสนับสนุนในการดำเนินธุรกิจและในด้านการตลาดที่พร้อมจะให้คำปรึกษา การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง ตลอดจนทีมงานที่มีประสบการณ์ในการออกแบบโดยใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเพื่อให้เกิดรายได้และคุ้มค่าต่อการลงทุนสูงสุด

นายแมทธิว เจมส์ เคนลีย์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจแฟรนไซส์ ในเอเซียแปซิฟิกของ IWG เปิดเผยว่า ธุรกิจโคเวิร์กกิ้งและสำนักงานให้เช่ากำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์นี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เข้ามามีส่วนร่วมในช่วงที่ธุรกิจกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมั่นใจว่ารูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์จะช่วยให้กลุ่มผู้ลงทุนประสบความสำเร็จและได้ผลตอบแทนในการลงทุนที่น่าพอใจ เพราะเรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมการทำงานนอกสถานที่และตารางงานที่ยืดหยุ่นซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับนักธุรกิจและผู้ประกอบการทั่วโลก”

ก่อนหน้านี้ IWG ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์เป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมที่ผ่านมาในงาน “Thailand Franchise & Business Opportunity 2019” และงาน “Thailand Franchise Discovery Day”

“จากทั้งสองงานดังกล่าวที่เราได้เข้าร่วมเปิดโอกาสธุรกิจเฟรนไซส์มานั้นได้รับผลตอบรับที่ดีทั้งจากกลุ่มนักลงทุนที่มีศักยภาพ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ นายหน้า และสถาบันการเงิน สะท้อนให้เห็นว่ารูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์กำลังเป็นที่น่าสนใจเป็นอย่างมากในประเทศไทย จึงทำให้เรามั่นใจมากขึ้นในการขยายและเพิ่มโอกาสการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ที่แตกต่างจากการทำธุรกิจแฟรนไชส์ในแบบเดิม ๆ ในฐานะที่เราเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำระดับโลก IWG ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างคอมมูนิตี้เวิร์คสเปซใหม่ ๆ ที่จะสามารถช่วยให้ผู้คนนับล้านและธุรกิจทั่วโลกสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและมีความสุขในการทำงาน”

IWG ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจให้บริการพื้นที่สำนักงานที่มีรูปแบบที่ยืดหยุ่น หรือโคเวิร์คสเปซ นับตั้งแต่ได้ก่อตั้งในปี 2532 และได้พิสูจน์ถึงความสำเร็จนับแต่ก้าวเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยเมื่อปี 2542 ภายใต้แบรนด์ Regus เป็นแบรนด์แรก นับแต่นั้นเป็นต้นมาได้ขยายพื้นที่สำนักงานให้เช่าไปยัง 26 แห่งใน 4 หัวเมืองหลัก ๆ ในประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้รับการพิสูจน์แล้วว่ารูปแบบธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จและสามารถให้ผลตอบแทนการลงทุนที่น่าดึงดูดแก่นักลงทุนได้อย่างแท้จริง

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปิดโอกาสธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทยกับ IWG สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.franchise.iwgplc.com ติดต่อสอบถามผ่านอีเมล franchise.sea@iwgplc.com หรือโทร.08 6078 9797

“พีเอ็นเอ็น แค็ปปิตอล” ชวนนักลงทุนไทยบุกตลาดอสังหาฯ UK

“พีเอ็นเอ็น แค็ปปิตอล” ที่ปรึกษาด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเมกะโปรเจกต์ จัดงานสัมมนา PNN Capital : Future-Proof The UK Property Investment ชวนนักลงทุนไทยบุกตลาดสหราชอาณาจักร ลุย UK Hot Spot กว่า 10 โครงการ พร้อมรับผลตอบแทนสูงสุด 10% ต่อปี หลังตลาดคอนโดฯ หรืออะพาร์ตเมนต์ใน UK โตต่อเนื่องเฉลี่ย 3-5% ต่อปี

พร้อมพบโอกาสทองได้ในงานสัมมนา ‘PNN Capital : Future-Proof The UK Property Investment’ ในวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2019 เวลา 10.00-15.00 น. แบ่งเป็นภาคเช้า 10.00-12.30 น. และภาคบ่าย 13.30-15.00 น. ณ โรงแรม Sheraton Grande Sukhumvit Bangkok ห้องสุขุมวิท ชั้น 2 พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย

ติดต่อลงทะเบียนเข้าร่วมงาน เพื่อรับข้อเสนอ และส่วนลดพิเศษได้ที่ โทร.0 2643 0744 หรือ Line : @pnncapital Inbox : facebook.com/pnncapital

คอนโดฯ “เมทริส พัฒนาการ–เอกมัย” จัดพลีเซล 16-17 พ.ย.62

alivesonline.com : “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เปิดโครงการ “เมทริส พัฒนาการ–เอกมัย” มูลค่า 1.35 พันล้านบาท ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.5 ล้านบาท ด้วยความเป็นส่วนตัวสูงสุดในจำนวนยูนิตเพียง 15 ยูนิตต่อชั้น พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษในงาน PreSale Metris วันที่ 1617 พ.ย.62 จองในงาน รับทันทีอุปกรณ์ Home Automation สั่งงานและควบคุมภายในห้องอย่างอัจฉริยะ พร้อมร่วมลุ้นรับรางวัล iPhone 11 Pro, ที่พักสุดชิคจาก Centra Maris Resort Jomtien และแลกซื้อชุดเฟอร์นิเจอร์ครบเซตราคาพิเศษ

นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ใช้งบลงทุน 1.35 พันล้านบาท เปิดตัวโครงการ “เมทริส พัฒนาการ – เอกมัย” ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ High Rise ภายใต้แบรนด์ “METRIS” ในย่านธุรกิจใหม่ทำเลพัฒนาการ ฝั่งขาเข้าเมือง ตั้งอยู่บนทำเลที่โดดเด่นติดถนนพัฒนาการ ซอย 12 ทำให้สามารถเข้า-ออกเมืองได้ง่ายขึ้น เพียง 5 นาทีถึงเอกมัย ใกล้ทางด่วน รามอินทรา–อาจณรงค์ เพียง 100 เมตร ห่างรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ สถานีรามคำแหงเพียง 900 เมตร

 

โครงการ “เมทริส พัฒนาการ – เอกมัย” มีจำนวน 341 ยูนิต ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.5 ล้านบาท เน้นพื้นที่ใช้สอย พร้อมพื้นที่ส่วนกลางหลากหลายและสามารถเลี้ยงสัตว์ได้ ยึดแนวคิดเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ภายใต้คอนเซปต์ “Mid-Century Modern” ผสมผสานความคลาสสิกและความทันสมัยเข้าด้วยกัน เพื่อให้เข้ากับทุกยุคสมัยอยู่เสมอ รวมถึงใช้โทนสีเหลืองมัสตาร์ด ทำให้ตัวโครงการมีจุดเด่นและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น บนพื้นที่ใช้สอยในโครงการขนาด 2-4-65 ไร่ ทำให้โครงการมีพื้นที่สวนขนาดใหญ่ เหมาะกับการพักผ่อนและหายใจรับอากาศดี ๆ ให้เต็มปอด

นอกจากนี้ ยังแวดล้อมไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ที่เต็มไปด้วยร้านแฮงค์เอาท์สำหรับชอป ชิม ชิลล์ ในช่วงวันหยุด หรือวันทำงาน ใกล้ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์มากมาย อาทิ เดอะ ไนน์ พระราม 9, เดอะมอลล์ รามคำแหง, ฟู้ดแลนด์ และเทสโก้โลตัส อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเพชรเวช, โรงพยาบาลกรุงเทพ และใกล้สถานศึกษา อาทิ โรงเรียนเอกมัยอินเตอร์ หรือโรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส

สำหรับรายละเอียดโครงการเป็นคอนโดมิเนียม High Rise 29 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 341 ยูนิต มีแบบห้อง 2 แบบ ได้แก่ ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 30-31.5 ตร.ม. จำนวน 250 ยูนิต และขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 53.5-62 ตร.ม. จำนวน 91 ยูนิต แต่ละห้องเพดานสูงถึง 2.60 เมตร ให้ความรู้สึกโล่งโปร่งสบาย ตามมาด้วยความเป็นส่วนตัวสูงสุดในจำนวนยูนิตเพียง 15 ยูนิตต่อชั้น พร้อมเทคโนโลยีสาย Neutron ทุกยูนิต เพื่อรองรับระบบ Home Automation ด้วยราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 8.3 หมื่นบาทต่อตร.ม. สำหรับพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางออกแบบไว้อย่างทันสมัย พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบ Super Facilities ไม่ว่าจะเป็น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ สวนหย่อมรอบโครงการ ห้อง Co-working Space / Meeting Room ได้ฟิลเหมือนอยู่บ้านจริง ๆ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ยิ่งขึ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการ คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2564

นางสาวเพชรลดา กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ มีแผนขยายตลาดผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำการตลาด เพื่อสร้างประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้นด้วยการทำ Online Booking ผ่านฟีเจอร์ Messenger Chatbot ที่ทำให้การซื้อคอนโคฯ เป็นเรื่องง่าย ครบ จบ ในที่เดียว สร้าง Customer Experience ที่เหนือกว่าใคร โดยที่ผ่านมาได้เปิดรอบโควตาสำหรับชาวต่างชาติ และรอบ VVIP โดยได้รับกระแสตอบรับค่อนข้างดี มีลูกค้าลงทะเบียนจองกว่า 40 ยูนิต สะท้อนว่ามีนักลงทุนให้ความสนใจในทำเลพัฒนาการเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมจัดงานพรีเซล ในวันที่ 16-17 พ.ย.62 ตั้งแต่เวลา 9.30-18.30 น. โดยผู้ร่วมงานจะได้พบกับปรากฏการณ์เอาใจชาวมิลเลนเนียลด้วย โชว์เคสเพ้นท์กราฟฟิตี้ จาก “อเล็ก เฟส” (Alex Face) ที่มาเล่าเรื่องราวผ่านลวดลายสตรีทอาร์ตสนุก ๆ ในคาแร็กเตอร์ของ “น้องมาร์ดี” (Mardi) บริเวณหน้า Sale Gallery และยังได้ลิ้มรสความอร่อยของร้านอาหาร Food Truck ชื่อดังที่มาเสิร์ฟเมนูเด็ดให้ลอง พร้อมร่วมลุ้นรับโชคกับโปรโมชันสุดโดน รางวัลสุดพิเศษมากมาย อาทิ iPhone 11 Pro วันละ 2 เครื่อง, ที่พัก Centra Maris Resort Jomtien จำนวน 2 คืน, ทุกยูนิตที่จองในงานรับติดตั้งระบบ Home Automation สั่งงานพร้อมควบคุมอุปกรณ์ภายในห้องอย่างอัจฉริยะ และยังสามารถแลกซื้อชุดเฟอร์นิเจอร์ครบเซตในราคาพิเศษอีกด้วย

UQINU Homme Dermatology เพื่อผิวหน้าใส แข็งแรง สุขภาพดี

 

“เอ็นเอส 2478” ขอนำสิ่งดี ๆ แก่ผู้มีปํญหาเรื่องผิว เพียง 50 ท่านแรกเท่านั้น “ฟรี” ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี โดยสามารถขอผลิตภัณฑ์เวชสำอาง “UQINU Homme Dermatology – ยูคินุ ออม เดอร์มาโทโลจี้” ขนาดเดินทาง 1 ชุด ประกอบด้วย Derma Zero Cleanser (30 มล), Derma Moist Toner (50 มล), Derma Moist Lotion (50 มล) และ Derma Moist Cream (50 มล) ไปไช้ได้นานถึง 1 เดือน มูลค่า 2,600 บาท โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น และสามารถซื้อ “ยูคินุออม” ราคาพิเศษ ตลอดชีพ เพียงแจ้งเรื่องปัญหาผิวที่ท่านมีปัญหาอยู่มาที่ LINE ID : polkul78 หรือ โทร.06 2951-5499 ถึง 25 ธันวาคม 2562

“UQINU Homme Dermatology – ยูคินุ ออม เดอร์มาโทโลจี้” กำลังดังมากและเป็นที่นิยมที่เกาหลี ใช้ได้ทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวเป็นสิว หรือผิวแพ้ง่าย หรือผิวอักเสบจากสิวและแดด หรือโกนหนวด โดยปราศจากการระคายเคือง สารความงามมาเต็ม ปกป้องมลพิษภายนนอกสู่ผิว เนื้อผลิตภัณฑ์ละเอียดอ่อนเต็มไปด้วยสารความงามและอ่อนโยนต่อผิว ปลอบประโลมผิวแพ้ง่าย ให้ชุ่มชี่น สดใส ให้พลังงานฟื้นฟูผิว ผิวฉ่ำน้ำ ถึง 48 ชั่วโมง ไม่เหนอะผิว ปลอดสิวอุดตัน มีการผลัดเซลส์ผิวดีขึ้น ผิวจึงละเอียดใส มีภูมิต้านทานดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น ผิวเป็นประกาย

ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นได้รับการตรวจสอบทางคลินิกอย่างเข้มงวดแล้ว มีจำหน่ายที่ ร้าน All About You 31สาขา, ร้านสหกรณ์จุฬาฯ ศาลาลพระเกี้ยว, และ Beauty 24 – Park Lane เอกมัย 63 และที่ เว็บไซต์ shopee.co.th, Lazada.co.th, และ Beautynista.com

 

“นมไทย-เดนมาร์ค” คว้าสุดยอดแบรนด์สินค้าในดวงใจคุณแม่

ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ให้เกียรติเข้ารับรางวัล “Amarin Baby and Kids Awards 2019” โดย “นม UHT ไทย-เดนมาร์ค” ได้รับเลือกให้เป็นสุดยอดแบรนด์สินค้าในดวงใจคุณแม่ จากคะแนนโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ด้วยหวังเป็นสื่อกลางข้อมูลคุณภาพจากแม่สู่แม่ (Mom to Mom Sharing ) ณ. ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

สมาคมอุตฯ การแสดงสินค้าโลก ยกไทยกวาดกำไรสูงสุดในอาเซียน

alivesonline.com : สมาคมอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าโลก มั่นใจศักยภาพไทย เลือก กรุงเทพมหานคร จัดงานใหญ่ประจำปี The 86th UFI Global Congress พร้อมนำผู้บริหารในวงการอุตสาหกรรมไมซ์กว่า 550 คน จาก 50 ประเทศทั่วโลก ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ด้าน “ทีเส็บ” กำหนด 5 กลยุทธ์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติ ตามแนวทาง “Exhibition Redefined ; 360 Exhibition Success” หวังดึงนักเดินทางกลุ่มไมซ์ต่างชาติในกลุ่มการแสดงสินค้านานาชาติ 2.77 แสนคน พร้อมสร้างรายได้ 2.11 หมื่นล้านบาท

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2562 อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติของประเทศไทยมีสัดส่วนประมาณ 20% ของอุตสาหกรรมไมซ์ทั้งระบบ โดยมีโอกาสต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์ต่างชาติในกลุ่มการแสดงสินค้านานาชาติ รวมจำนวนทั้งสิ้น 264,005 คน เติบโตเพิ่มขึ้น 13.25% คิดเป็นรายได้ 20,292 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 5.92% โดยประเทศที่มีนักเดินทางมากที่สุด 5 ลำดับแรกคือ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ตามลำดับ ขณะที่ผู้เข้าร่วมแสดงงาน (Exhibitor) 5 ลำดับแรกคือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสิงคโปร์ ส่วนผู้ร่วมชมงาน (Visitor) 5 ลำดับแรกคือ จีน มาเลเซีย อินเดีย เวียดนาม และสิงคโปร์

จากข้อมูลของ สมาคมอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าโลก (Union des Foires Internationales : UFI) ยังระบุด้วยว่า ในปี 2562 ประเทศไทยมีรายได้จากการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติอยู่ในอันดับสูงสุดในอาเซียน คิดเป็นเงิน 232.71 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการจัดงานทั้งสิ้น 104 งาน เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ซึ่งมีการจัดงาน 94 งาน โดยมีพื้นที่การจัดงานรวมทั้งสิ้น 663,250 ตารางเมตร เฉลี่ยพื้นที่การจัดงานต่องานสูงถึง 6,377 ตารางเมตร

“ถึงแม้ว่าในปี 2562 ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา แต่เราก็ยังคงได้รับความไว้วางใจให้จัดงานแสดงสินค้านานาชาติใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2561 ที่มีการจัดงานใหม่ 8 งาน และเพิ่มเป็น 17 งานในปี 2562 ส่วนในปี 2563 คาดว่าจะมีการจัดงานใหม่เพิ่มอีก 24 งาน โดยเฉพาะงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องจักรกล อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมสาธารณูปโภคพื้นฐาน อุตสาหกรรมขนส่ง อุตสาหกรรมกรตลาด อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมกีฬา เป็นต้น ส่วนจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์ต่างชาติในกลุ่มการแสดงสินค้านานาชาติคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 277,000 คน พร้อมสร้างรายได้ 21,100 ล้านบาท”

สร้างภาพลักษณ์เป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลก

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า ล่าสุดประเทศไทย โดย กรุงเทพมหานคร ได้รับเกียรติจาก สมาคมอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าระดับโลก ให้เป็นเจ้าภาพจัดประชุม The 86th UFI Global Congress เมื่อวันที่ 6-9 พ.ย.ที่ผ่านมา ถือเป็นการประชุมสำคัญที่ใหญ่ที่สุดของ UFI ซึ่งรวบรวมผู้บริหารระดับสูงในอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติจากทั่วโลกมาร่วมประชุมหารือ แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ สร้างเครือข่าย และรับทราบทิศทางรวมถึงเทรนด์ใหม่ของอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ โดย “ทีเส็บ” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ TEA สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ TICA สมาคมโรงแรมไทย และกลุ่มบางกอก ริเวอร์ พาร์ทเนอร์ส ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งนี้ซึ่งถือเป็นการจัดครั้งที่ 2 หลังจากที่เคยจัดมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2550

ในงานดังกล่าว “ทีเส็บ” จัดโซนประเทศไทย (Thai Town) เป็นโซนพิเศษสำหรับแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติของไทยและไมซ์ซิตี้ พร้อมกับการมีสัมมนาเชิงธุรกิจ หัวข้อ “ประเทศไทย” จุดหมายใหม่แห่งอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าของโลก (Focus on Thailand) ซึ่งเป็นเวทีสร้างความเชื่อมั่นในด้านต่าง ๆ ต่อผู้จัดงานต่างประเทศเพื่อนำงานแสดงสินค้าให้เข้ามาจัดในประเทศไทย พร้อมกับให้มีเวทีเจราจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมฯไทยและต่างประเทศ (Speed Dating) โดยมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมเจรจาธุรกิจกว่า 20 ราย รวมทั้งสิ้นกว่า 400 นัดหมาย

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า การเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุม The 86th UFI Global Congress จะส่งผลทางด้านเศรษฐกิจ โดยประมาณการผู้เข้าร่วมงานประชุมครั้งนี้กว่า 550 คน จาก 50 ประเทศทั่วโลก จะสร้างรายได้รวมกว่า 42 ล้านบาท (รายละประมาณ 79, 790 บาท) ทั้งยังสามารถดึงงานแสดงสินค้าใหม่มาจัดที่ประเทศไทยอย่างน้อย 3 งาน ก่อให้เกิดผลบวกทางเศรษฐกิจมากกว่า 81.14 ล้านบาท (คำนวณจากการจัดงานหนึ่งงานบนขนาดพื้นที่ 1-3 พันตร.ม. คิดเป็นงานละประมาณ 27 ล้านบาท) โดยคาดว่าจะมีธุรกิจ (Business Lead) เกิดขึ้น 20 งาน สร้างรายได้กว่า 135 ล้านบาท นอกจากนั้นยังจะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ สร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจในประเทศไทย และประกาศความพร้อมของกรุงเทพมหานครและประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพการจัดงานระดับโลก ตอกย้ำไทยในฐานะศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติในภูมิภาคอาเซียน

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติของไทยในปี 2563 “ทีเส็บ” จะยึดแนวทาง “Exhibition Redefined ; 360 Exhibition Success” โดยแบ่งเป็นกลยุทธ์ 5 ด้าน คือ 1) การดึงงานใหม่เข้ามาจัดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้น 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย S curve อาทิ การบินและลอจิสติก ดิจิทัล บริการสุขภาพแบบองค์รวม ยานยนต์แห่งอนาคต ฯลฯ 2) การเตรียมความพร้อมสู่การเป็นเจ้าภาพการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติด้านการบิน โดยมุ่งเน้นการดึงงานไมซ์ในอุตสาหกรรมลอจิสติกและการบินเข้ามาจัดในประเทศไทย 3) การเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไทยในการจัดงานแสดงสินค้าให้มีมาตรฐาน โดยร่วมมือกับ สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) 4) การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก อาทิ การเจาะกลุ่มเป้าหมายผ่านกิจกรรม UFI Asia Pacific Conference Site Trip และ ASEAN Association Meeting และ 5) การสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้าแบบครบวงจร ยกระดับมาตรฐานการจัดงานสู่สากล เพิ่มจำนวนผู้ร่วมแสดงงานมุ่งเน้นกลุ่มประเทศจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน และเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมงานชาวต่างชาติจากกลุ่มประเทศ ASEAN+6 และ CLMV

“ไทย” ตลาดการแสดงสินค้านานาชาติสร้างผลกำไรสูงสุดอาเซียน

นายไค ฮัทเทนดอฟ กรรมการผู้จัดการและประธานบริหาร สมาคมอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าโลก กล่าวว่า จากรายงานสถิติการสำรวจอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติแห่งภูมิภาคเอเชียปี 2562 พบว่าประเทศไทยเป็นตลาดงานแสดงสินค้านานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มมากขึ้นในด้านจำนวนงานและพื้นที่การจัดงาน ประเทศไทยยังมีศูนย์การจัดงานแสดงสินค้าที่มีมาตรฐานในระดับโลก มีบริษัทผู้จัดงานที่มีมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐบาลยังให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2562 ประเทศไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการเป็นเจ้าภาพการจัดงาน The 86th UFI Global Congress ที่สามารถสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นตลาดอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติที่สร้างผลกำไรสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน โดยการจัดงานในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนทั้งสิ้น 550 คนจาก 50 ประเทศทั่วโลก ทั้งยังมีจำนวนการจับคู่ธุรกิจเกิดขึ้นภายในงานเป็นจำนวนมาก สามารถสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติไทยได้เป็นอย่างดี ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของไทยในการร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้ประเทศไทยเป็น 4.0 อีกด้วย

เอกชนปลื้มได้โอกาสแสดงศักยภาพ

ด้าน นายทาลูน เทง นายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ TEA กล่าวว่า ในฐานะสมาคมที่มีบทบาทโดยตรงต่อการพัฒนาและสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจให้กับสมาชิก เน้นสร้างความร่วมมือระหว่างกัน การรวมตัวของบริษัทผู้เชี่ยวชาญ เพราะในการจัดงานแสดงสินค้าแต่ละงานต้องใช้มืออาชีพในแต่ละส่วนทั้งบริษัทผู้จัดงานแสดงสินค้า ศูนย์การแสดงสินค้า บริษัทขนย้าย บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น การเป็นเจ้าภาพการจัดงาน The 86th UFI Global Congress 2019 จึงนับเป็นโอกาสดีสำหรับอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าไทยในการแสดงศักยภาพความพร้อมและความเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานซึ่งผู้จัดงานแสดงสินค้าจากทั่วโลกจะได้สัมผัสประสบการณ์จริง การเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการไทยที่เป็นมืออาชีพแบบตัวต่อตัว อีกทั้งจะได้เห็นความพร้อมของบุคลากรมืออาชีพ และเป็นโอกาสหาพันธมิตรระหว่างสมาชิกของเรากับสมาชิกของ UFI ทั่วโลก โดยการจัดงานครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทสมาชิกตอบรับเข้าร่วมประชุมทั้งสิ้น 80 ท่าน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณส่วนหนึ่งจากนโยบายความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติไทยของ “ทีเส็บ”

กรุงเทพมหานคร ขานรับแผนพัฒนาไมซ์อย่างยั่งยืน

นายพิชญา นาควัชระ รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐตามนโยบายรัฐบาล กรุงเทพมหานคร ในฐานะเมืองเจ้าภาพมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมเป็นเจ้าภาพงาน The 86th UFI Global Congress 2019 และงานเลี้ยงรับรองผู้เข้าประชุม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือสนับสนุนและศักยภาพความพร้อมของกรุงเทพมหานครในฐานะไมซ์ซิตี้ของประเทศไทย พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือในการทำการตลาดระดับนานาชาติ สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติในการให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวธุรกิจ โดยส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางการจัดประชุมและนิทรรศการนานาชาติของโลก และแผนพัฒนากรุงเทพมหานครที่ตั้งเป้าหมายให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองจัดประชุมนิทรรศการในอันดับแรกของภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นการเป็นเจ้าภาพร่วมงานประชุมครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวและไมซ์ของกรุงเทพมหานครอย่างยั่งยืน และยังเป็นการประชาสัมพันธ์อุตสาหกรรมไมซ์ของกรุงเทพมหานครให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายเป็นไปตามความร่วมมือของ กรุงเทพมหานคร และ “ทีเส็บ”

ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร ยังให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมภายในงาน The 86th UFI Global Congress อาทิ การอำนวยความสะดวกในการจัดงาน ด้านความปลอดภัย และการประชาสัมพันธ์ เป็นต้น เพื่อเป็นการต่อยอด และส่งเสริมภาพลักษณ์ของกรุงเทพมหานครในฐานะที่เป็น Exhibition City of ASEAN อีกด้วย

 

สำนักข่าว “ซินหัว” จับมือ Business Today เผยแพร่ข่าวในไทย

alivesonline.com : สำนักข่าวระดับโลกแดนมังกรเยือนไทย ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือกับกลุ่มบริษัท MEI นำข้อมูลข่าวสารเศรษฐกิจจากสำนักข่าวซินหัว ประเทศจีน เผยแพร่ในทุกแพล็ตฟอร์มของ Business Today พร้อมร่วมจัดเสวนา, อบรม, Business Trip, Business Matching และอื่น ๆ

ดร.ธะนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ กลุ่มบริษัท Media Expertise International (MEI) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ กลุ่มบริษัท MEI ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับ สำนักข่าวซินหัว ประเทศจีน  ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อนำข่าวสารและข้อมูลด้านเศรษฐกิจ จากสำนักข่าวซินหัว มาเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม Business Today อันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านและผู้ชมทางสื่อออนไลน์และหนังสือพิมพ์ ทั้งยังร่วมมือที่จะจัดเสวนา, อบรม, Business Trip, Business Matching และอื่น ๆ จึงเป็นโอกาสดีของนักธุรกิจไทยและนักธุรกิจจีน ซึ่งทั้งสององค์กรจะเป็นตัวประสานสำหรับผู้สนใจอยากรู้ข้อมูลข่าวสาร

ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสนใจเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับประเทศจีนมาก ทั้งในส่วนของอี-คอมเมิร์ซ, เทคโนโลยี, รถไฟไฮสปรีด และอื่น ๆ เพราะฉะนั้นในโอกาสที่กลุ่มซินหัว หรือในเครือ China Economic Information Service (CEIS) หรือ Xinhua Silkroad ซึ่งรับผิดชอบเรื่องข่าวธุรกิจตามเส้นทางสายไหม ประกาศร่วมมือกับเราครั้งนี้จะช่วยทำให้เรามีโอกาสในการพึ่งพาอาศัยข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อนำมาเผยแพร่ในทุกแพลตฟอร์มของ Business Today ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ในรูปแบบของภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน

นายสวี ยื่อฉางChairman and President of China Economic Information Service (CEIS) กล่าวว่า ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในวันนี้จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ระหว่างไทยและจีน ทั้งในด้านการเมือง การปกครอง ธุรกิจและในทุก ๆ ด้าน จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้คนทั้งสองประเทศรวมถึงธุรกิจของทั้งสองประเทศได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนและสามารถที่จะลงทุนซึ่งกันและกันให้มากขึ้น

ด้าน นายหมิง ต้าจุน ผู้อำนวยการสำนักข่าวซินหัว ประจำประเทศ กล่าวว่า การมาเยือนครั้งถือว่าเป็นความร่วมมือที่เราหวังผลจริงจัง ซึ่งเชื่อมั่นว่าจากการที่เราได้พูดคุยในกรอบความร่วมมือที่เราได้พูดถึง ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การอำนวยความสะดวกให้เกิด Business Matching ระหว่างไทยและจีน หรือการจัดสัมมนาในสาระสำคัญที่คนไทยคนจีนสนใจร่วมกัน ความร่วมมือเหล่านี้จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย

อนึ่ง สำนักข่าวซินหัว (China Xinhua News) เป็นองค์กรสื่อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน รวมถึงเป็นสำนักข่าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสำนักงานมากกว่า 170 แห่งทั่วโลก และ 31 แห่งในประเทศจีน ทั้งยังเป็นสถาบันระดับกระทรวงที่อยู่ในสังกัดรัฐบาลกลางของประเทศจีน

เจาะอินไซต์ตลาดอาหารออนไลน์ “มื้อเย็น” คนสั่งมากสุด

alivesonline.com : หลังจากฉลองครบรอบ 10 ล้านทริปไปได้ไม่นาน และขึ้นมาเป็นแอปพลิเคชันสั่งอาหารอันดับต้น ๆ ของคนกรุงเทพฯ GET (เก็ท) แอปพลิเคชันไลฟสไตล์ออนดีมานด์ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อช่วยให้ร้านค้าสามารถเติบโตได้ในยุคที่การสั่งอาหารออนไลน์กลายมาเป็นไลฟ์สไตล์แบบใหม่ พร้อมชวนพูดคุยกับเจ้าของธุรกิจร้านอาหารรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ในการเจาะกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล พร้อมเผยพฤติกรรมผู้ที่ชอบสั่งอาหารออนไลน์อย่างน่าสนใจ

วงศ์ทิพพา วิเศษเกษม ผู้อำนวยการฝ่ายแพลตฟอร์มโอเปอเรชั่น GET กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าหลักของ GET เป็นคนกลุ่มมิลเลนเนียล หรือคนที่เป็นกลุ่มระหว่าง GEN Z และ GEN Y ที่อยู่ในช่วงอายุ 23-38 ปี และเป็นคนกลุ่มที่เติบโตมาในช่วงของการพัฒนาทางเทคโนโลยี โดยในช่วงที่ผ่านมาเราได้มีการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้ของลูกค้ามาวิเคราะห์โดยตลอด เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาช่วยให้ร้านค้าสามารถพัฒนาสินค้าและบริการได้ตอบโจทย์และตรงใจคนสั่งอาหาร

จากการสังเกตพบว่าคนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการสั่งอาหารแบบ Order for One หรือสั่งรับประทานคนเดียว โดยจะสั่งแค่ 1 หรือ 2 เมนูต่อหนึ่งออเดอร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คนโสดเพิ่มมากขึ้นและครอบครัวเดี่ยวมีจำนวนมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้หญิงชอบสั่งอาหารเดลิเวอรี่มากกว่าผู้ชาย ในขณะที่มื้ออาหารที่คนนิยมสั่งมากที่สุดคือมื้อเย็น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ร้านอาหารสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ได้มากขึ้น

“ในหนึ่งเดือน GET มียอดสั่งชานมไข่มุกกว่า 3 แสนแก้วซึ่งตอกย้ำกระแสชานมไข่มุกที่ยังแรงไม่ตก ในขณะเดียวกันนอกจากอาหารมื้อหลักและเครื่องดื่มแล้ว คนกรุงเทพฯ ยังมีพฤติกรรมการสั่งอาหารตลอดทั้งวัน โดยมีการสั่งอาหารว่างทั้งมื้อเช้า มื้อบ่าย และมื้อดึก คิดเป็นยอดประมาณ 28% ของยอดสั่งตลอดวัน เช่น ขนมปังไส้ต่าง ๆ ที่เป็นของกินเล่นนั้นมียอดขายต่อเดือนกว่า 1.9 แสนชิ้นในเดือนตุลาคม GET จึงอยากเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่สามารถสร้างธุรกิจ หรือต่อยอดธุรกิจของตัวเองได้โดยการมาเป็นพาร์ทเนอร์กับเราและร่วมเติบโตไปด้วยกัน”

อย่างไรก็ตาม ในตลาดการสั่งอาหารออนไลน์ไม่เพียงแต่ผู้บริโภคเท่านั้นที่เป็นกลุ่มคนมิลเลนเนียล เพราะในส่วนของผู้ประกอบการเองก็อยู่ในกลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก ดังเช่นเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ทั้ง 4 ท่านที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การสร้างธุรกิจและการร่วมงานกับ GET FOOD เพื่อต่อยอดธุรกิจให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น

พรภวิศย์ อบสุวรรณ (อายุ 29 ปี) จากร้าน “ปังเด็ด” เล่าว่า

“ผมเป็นคนชอบกินและมีโอกาสได้ไปต่างประเทศ ไปลองกินขนมปังของที่ต่าง ๆ เลยมาคิดว่าเรายังไม่เคยเห็นขนมปังแบบนี้ในไทย เลยนำมาทำเป็นธุรกิจร้านขนมปังไส้เยิ้มกรอบนอกนุ่มในด้วยความชอบเป็นการส่วนตัว ก็มาพัฒนาสูตรเอง จากสาขาแรกที่สีลมเมื่อ 4 ปีก่อน ตอนนี้มี 4 สาขา ซึ่งโชคดีที่ช่วงที่เริ่มธุรกิจเองก็มีบริการฟู้ดเดลิเวอรี่เข้ามา ทำให้ร้านเล็ก ๆ ของเรามียอดขายมากขึ้นเพิ่มจากหน้าร้าน อย่างเฉพาะที่ขายกับ GET ก็มียอดขายเดือนละหลักล้านบาท”

 ธีรนัย จินดานุภาจิตต์ (อายุ 26 ปี) จากร้าน “ติดลมหมูทอดปลาร้า” เล่าว่า

“ผมจบทางด้านการทำอาหารมา เคยเปิดร้านข้าวต้มแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ตอนที่เห็นเทรนด์ของฟู้ดเดลิเวอรี่กำลังโต เลยตั้งใจที่จะเปิดร้านเพื่อเจาะตลาดกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เริ่มจากเลือกโลเคชั่นที่แรกที่ค่าเช่าไม่แพง ร้านอาหารน้อย แถว ม.เกษตรฯ จนตอนนี้ร้านมีที่ผมดูแลเอง 5 สาขา และเป็นเฟรนไชส์อีก 8 สาขา โดยยอดส่วนใหญ่ก็ยังมาจากบริการเดลิเวอรี่ อย่างกับที่ GET เองก็มียอดขายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เดือนละหลายแสนบาท”

อรรณพ จันทร์น้อย (อายุ 28 ปี) จากร้าน “วัวล้วนๆ ไม่มีควายผสม” เล่าว่า

“ตอนที่ผมเรียนจบใหม่ ๆ ช่วงแรกก็ทำงานประจำ จนได้มาคุยกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนร้านอาหารและชอบทำธุรกิจว่าเราอยากมีร้านอาหารของตัวเองด้วยกัน ก็เลยชวนกันมาเปิดร้านวัวล้วน ๆ ไม่มีควายผสม สาขาแรกที่เกษตรฯ ปรากฏว่าเดือนแรกยังขายไม่ดี แต่เราทำการตลาดกันหนักมาก เพราะเราเพิ่งเรียนจบกันไม่นานเราเลยมีความเข้าใจว่านักศึกษาเขาชอบอะไร เลยเน้นทำการตลาดกับกลุ่มนักศึกษา ทำให้เราเริ่มต้นมาได้ด้วยดีจนตอนนี้เรามี 22 สาขา และมีแผนว่าจะเปิดเพิ่มอีก 4 สาขา โดยผมมองว่าฟู้ดเดลิเวอรี่ช่วยเพิ่มยอดขายได้มากโดยเฉพาะสาขาในเมือง ที่สำคัญถ้าบางเมนูที่ปกติคนไม่นิยม แต่เราอยากให้คนได้ลองสั่งแล้วเรามาจัดโปรโมชันกับทาง GET จะสามารถเพิ่มยอดขายได้เป็น 10 เท่าเลยทีเดียว”

 ‘นปภัสสร ต่อเทียนชัย’ อายุ 26 ปี จากร้าน “Veganerie” เล่าว่า

“ด้วยเหตุที่ตัวเองรับประทานอาหารมังสวิรัติ ทำให้ตอนอายุ 19 ปี ได้เริ่มเปิด Pop-Up Store ที่ฟาร์มเมอร์มาร์เก็ต โดยขายอาหาร Vegan ทำเอง เพราะอยากให้ทุกคนมีสุขภาพดี จนอายุ 21 ปี จึงได้เปิดเป็นร้านอาหารอย่างจริงจังเป็นสาขาแรกที่เมอร์คิวรี่วิลล์ จนปัจจุบันมีถึง 5 สาขา โดยเห็นว่าเทรนด์อาหารสุขภาพได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับตัวเราที่สนใจทางด้านนี้ทำให้ธุรกิจเป็นไปด้วยดี ในขณะที่การที่มีธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่เข้ามาก็ช่วยตอบโจทย์คนเมืองได้มาก ทำให้คนสามารถสั่งอาหารของเราได้ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ทำให้เรามีลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น”

จะเห็นได้ว่าผู้บริโภคในกลุ่มมิลเลนเนียลเป็นกลุ่มที่อยู่ในวัยทำงานและมีกำลังซื้อ ในขณะเดียวกันยังมีไลฟ์สไตล์ที่ใช้เวลากับการออนไลน์มากขึ้น ดังนั้น การสั่งฟู้ดเดลิเวอรี่จึงเข้ามาตอบโจทย์ของคนกลุ่มนี้เป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนในกลุ่มวัยอื่นที่ถือเป็น Early Adopter ที่หันมาใช้บริการนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน จึงถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจที่จะหันมาใช้ประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจนี้ในการช่วยเพิ่มยอดขายของตนเองในอนาคต

 

 

แนะ 5 เคล็ดลับเลี่ยงอาการ “ออฟฟิศซินโดรม”

 alivesonline.com : “ออฟฟิศซินโดรม” (Office Syndrome) โรคที่เกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบ หรือความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อตรงบริเวณกระดูกสันหลัง เป็นโรคที่มักจะเกิดกับพนักงานออฟฟิศที่ต้องทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งในท่าซ้ำ ๆ

แม้อาการของผู้ป่วยเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมในระยะแรกอาจจะไม่รุนแรงมากนัก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาให้ถูกวิธี อาจจะลุกลามจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรังและเกิดอันตรายตามมาได้ เช่น ผลกระทบถึงกล้ามเนื้อ กระดูกสันหลัง ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินอาหาร การไหลเวียนของเลือด และความสามารถในการมองเห็นลดลง หรือสำหรับบางคนอาจมีอาการแสดงออกทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้าและความเหนื่อยล้าทางจิตใจ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้จะนำไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง

โรงพยาบาลสมิติเวช ได้เผยข้อมูลเชิงสถิติว่า คนไทยกว่า 80% ที่ทำงานในออฟฟิศมักมีอาการ “ออฟฟิศซินโดรม” ซึ่ง IWG ในฐานะผู้ดำเนินการบริหารแบรนด์ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับโลกอย่าง Regus (รีจัส), Spaces (สเปซเซส) และ HQ (เอชคิว) จึงขอนำเสนอ 5 เคล็ดลับง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ในที่ทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

  1. เปลี่ยนท่านั่ง ยืดกล้ามเนื้อ ปรับอิริยาบถบ่อยๆ

มนุษย์ออฟฟิศใช้เวลาในการนั่งทำงานอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ลองลุกจากที่นั่งแล้วออกห่างจากคอมพิวเตอร์บ้าง เพื่อยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายขยับร่างกาย อย่างน้อยทุก ๆ 20 นาที เพื่อป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการช่วยกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว ทุก ๆ 1 ชั่วโมง ลองเดินไปรอบ ๆ บริเวณโต๊ะทำงาน เพื่อยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แขน ข้อมือและขา เพราะนอกจากจะช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจได้ดีแล้ว ยังเป็นการช่วยพักสายตาได้ดีอีกด้วย

  1. ผ่อนคลายสายตา

คุณเคยมีอาการเมื่อยล้าทางสายตา (Digital eye strain) มาก่อนหรือไม่ นั่นคือผลกระทบที่คุณได้รับจากการจ้องมองคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานเกินไป ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ ควรพักสายตาทุก ๆ 10 นาที หรือกะพริบตาบ่อย ๆ เพราะจะช่วยให้ดวงตาของคุณชุ่มชื้นขึ้น หรือลองเนรมิตพื้นที่สีเขียวขนาดย่อมให้โต๊ะทำงานของคุณ เพื่อลดอาการปวดตา ในขณะเดียวกันการเข้าถึงแสงธรรมชาติอย่างเพียงพอ ยังสามารถช่วยลดผลกระทบของอาการปวดตา ซึ่งเป็นสาเหตุที่เราอยากแนะนำให้พนักงานออฟฟิศทุกท่านลองลดแสงจอคอมพิวเตอร์ลง เพื่อเป็นการลดปริมาณแสงสีน้ำเงินที่ปล่อยออกมาสัมพันธ์กับดวงตาให้น้อยที่สุด ซึ่งแสงสีน้ำเงินมักเป็นสีเจ้าปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียดทางตามากกว่าสีอื่น ๆ

  1. ไม่ไหวอย่าฝืน

การทำงานอย่างหนักเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่คุณควรรู้ถึงขีดจำกัดของตนเองไว้เสมอ หัดสังเกตอาการปวดและความรู้สึกเหนื่อยล้าที่มักเป็นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาการเหล่านี้คือสัญญาณที่ร่างกายกำลังฟ้อง เมื่ออาการปวดดูท่าจะไม่หายง่าย ๆ ลองหากิจกรรมอื่น ๆ ทำเพื่อเป็นการผ่อนคลายบรรเทาอาการปวด ลองลุกขึ้น ดื่มน้ำ หรือออกไปเดินบ้างเพื่อยืดหยุ่นกล้ามเนื้อและรับอากาศบริสุทธิ์เพื่อเปลี่ยนทิวทัศน์ แล้วคุณจะกลับมานั่งโต๊ะทำงานเหมือนเดิมได้ด้วยความรู้สึกสดชื่น พร้อมลุยต่อได้!

  1. จัดพื้นที่ทำงานให้ตรงตามหลักสรีรศาสตร์ของคุณ

ควรทำให้แน่ใจว่าพื้นที่ทำงานของคุณเหมาะกับการใช้งานตามหลักสรีรศาสตร์ของคุณ ซึ่งนั่นหมายถึงความสูงของเก้าอี้ ระยะห่างระหว่างอุปกรณ์บนโต๊ะทำงานต่าง ๆ รวมไปถึงท่านั่ง ซึ่งช่วยให้คุณมีความสุขและสนุกไปกับการทำงานแบบไม่ต้องปวดข้อ แต่ก็ต้องตรวจสอบให้มั่นใจอีกว่าความสูงของเก้าอี้นั้นไม่เตี้ยหรือไม่สูงจนเกินไป ควรอยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุด หรือเป็นตำแหน่งที่อยู่ในระยะสายตาที่คุณสามารถมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ รวมไปถึงระยะห่างคอมพิวเตอร์ควรอยู่ห่างจากคุณและดูให้แน่ใจว่าพื้นที่สำหรับวางเม้าส์นั้นเพียงพอต่อการรขยับแขนหรือไม่ แต่จะต้องพึงจำไว้ว่าแขนห้ามงอเด็ดขาด!

  1. ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของคุณ

มนุษย์ออฟฟิศนอกจากจะทำงานแล้วควรดูแลสุขภาพตัวเองอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน ควรรับประทานทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำ แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีอาหารใดที่จะช่วยบำรุง หรือป้องกันไม่ให้เกิดโรคออฟฟิศซินโดรมได้ แต่อาหารเพื่อสุขภาพอย่างเช่น ผัก ผลไม้ และไขมันจากปลาที่พอเหมาะ จะช่วยลดการอักเสบภายในร่างกายมากกว่ารับประทานอาหารจากคาร์โบไฮเดรตและอาหารแปรรูป ที่สำคัญห้ามลืมเด็ดขาด สำหรับการตรวจสุขภาพร่างกายอย่างเป็นประจำ เพราะถึงแม้ว่าอาการออฟฟิศซินโดรมอาจดูไม่รุนแรงในช่วงแรก แต่หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่ร้ายแรงต่อสุขภาพได้

จากผลวิจัยของ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยังเปิดเผยด้วยว่าความเชื่อมโยงระหว่างบุคคลภายในองค์กรที่มีคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีและบุคคลที่มีความสามารถทางด้านการรู้คิ จะช่วยให้พวกเขาพร้อมที่จะต่อสู้ดิ้นรนต่อความก้าวหน้าในชีวิตและยังรักษาความสมดุลในชีวิตของการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้มีความสุขและมีสุขภาพดีอีกด้วย โดย IWG มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชั่นสถานที่ทำงานที่ตอบโจทย์การทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นได้ให้กับลูกค้าที่หลากหลาย พร้อมมอบการบริการแบบครบวงจรด้วยการออกแบบหลักสรีรศาสตร์และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานที่ที่เหมาะสมทั่วโลก ซึงจะช่วยให้คุณและธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จในระยะยาว

ปัจจุบัน IWG บริษัทผู้ดูแลและบริหารแบรนด์พื้นที่สำนักงานชั้นนำพร้อมเปิดให้บริการแล้วกว่า 3,300 แห่ง ใน 1,100 เมืองใน 120 ประเทศ โดยลูกค้าในประเทศไทยสามารถเลือกใช้บริการได้ตามที่เอื้อต่อการทำงานจาก 3 แบรนด์ที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ IWG เช่น รีจัส (Regus) สเปซเซส (Spaces) และ เอชคิว (HQ) ทั้งในกรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ และศรีราชา โดยแต่ละแห่งจะตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางธุรกิจที่เหมาะแก่กลุ่มผู้ประกอบการ (Entrepreneurs), สตาร์ทอัป (Startup), เอสเอ็มอี (SMEs) ไปจนถึงบริษัทข้ามชาติรายใหญ่