“ไวด์ เฟธ ฟู้ด” ร่วมสนับสนุนโครงการเพื่อสังคม

นางสาวกลอเรีย กัว (ที่ 2 จากซ้าย) รองกรรมการฝ่ายการตลาด บริษัท ไวด์ เฟธ ฟู้ด จำกัด ผู้ผลิต ข้าวแผ่นอบกรอบ ตรา “ไรซ์ บัดดี้” ขนมเพื่อสุขภาพที่ผลิตจากข้าวไทยแท้100% ใช้การอบแทนการทอด โดยใช้น้ำมันรำข้าว ไม่ใส่ผงชูรส ปราศจากสารกลูเตน, ไขมันทรานส์ และไม่มีคอเลสเตอรอล นำทีมเข้าร่วมสนับสนุนโครงการเพื่อสังคม “เส้นทางเศรษฐีสัญจร : เรียนรู้และแบ่งปัน ครั้งที่ 3” พร้อมกับแจกขนมให้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่านได้ลิ้มรสความอร่อยของผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 รสชาติ ได้แก่  รสสาหร่ายเกาหลี และรสพิซซ่า เมื่อเร็ว ๆ นี้

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” คว้าถ้วยรางวัล “เฮเฟเล่ ไทยแลนด์ คัพ ครั้งที่ 5”

นายโฟลเคอร์ เฮลสเติร์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมแสดงความยินดี พร้อมมอบเงินรางวัลให้แก่ทีม “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” (INDEX LIVINGMALL) ซึ่งชนะเลิศคว้าถ้วยรางวัลพระราชทานพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ในการแข่งขันฟุตซอล “เฮเฟเล่ ไทยแลนด์ คัพ ครั้งที่ 5” พร้อมตอบแทนสังคม นำเงินรายได้จากการแข่งขันทั้งหมดมอบ “กองทุนยาพระวรราชาทินัดดามาตุ สำหรับผู้ติดเชื้อเอดส์ สภากาชาดไทยในพระอุปถัมภ์ฯ” ณ สนามซุปเปอร์คิก (Super Kick) ซอยลาดพร้าว 80 เมื่อเร็ว ๆ นี้

EPG ให้ข้อมูลแผนธุรกิจ

รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ (ขวา) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นางสาวประภาวดี ณ ระนอง (ซ้าย) ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ร่วมงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) เพื่อให้ข้อมูลผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2561/62 (ต.ค.- ธ.ค.2561) พร้อมให้ข้อมูลแผนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้

PPS รับประกาศนียบัตรการต่อต้านทุจริต

ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS รับมอบประกาศนียบัตรจาก ดร.กอปร กฤตยากีรณ รองประธานกรรมการ CAC ในฐานะได้รับการต่ออายุสมาชิกแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (Thailand’s Private Sector Collective Action Coalition Against Coruption : CAC)  โดย PPS ได้รับการรับรองครั้งแรกในปี 2559  ซึ่งใบรับรองมีอายุ 3 ปี ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เมื่อเร็ว ๆ นี้

[ชมคลิป] “ออมสิน” จัดโครงการยกระดับอาหารริมทาง

alivesonline.com : ธนาคารออมสิน พัฒนาร้านอาหารริมทางทั่วไทย เปิดโครงการ “GSB Street Food เปลี่ยนชีวิต” (กล้าคิด ชีวิตเปลี่ยน) จัดแข่งขันแสดงความคิดสร้างสรรค์ ในหัวข้อ “พัฒนาสตรีทฟู้ด 4 มิติ” ชิงเงินรางวัลกว่า 2 ล้านบาท เปิดรับสมัคร 15 มี.ค.-15 เม.ย.62 พร้อมเชิญผู้สนใจเชียร์และชมการแข่งขันผ่านรายการเรียลลิตี้สตรีทฟู้ด รายการแรกของไทยทางช่อง True4U 24

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้ก้าวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการพัฒนายกระดับอาชีพต่าง ๆ รวมถึงการค้าขายริมทางเท้า หรือ “สตรีทฟู้ด” ที่มีการนำนวัตกรรม เทคโนโลยี ตลอดจนสาธารณสุข เข้ามาช่วยยกมาตรฐานทั้งความอร่อย ความสะอาด ถูกสุขอนามัย โดย ธนาคารออมสิน ได้เป็นแหล่งทุนสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดมานานกว่า 16 ปี ผ่านโครงการธนาคารประชาชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับกลุ่มผู้ประกอบการนี้มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ธนาคารออมสิน เปิดโอกาสครั้งสำคัญให้กลุ่มผู้ประกอบการสตรีทฟู้ด ด้วยโครงการ “GSB Street Food เปลี่ยนชีวิต” (กล้าคิด ชีวิตเปลี่ยน) ด้วยการจัดประกวดร้านค้าริมทางเท้า เปิดโอกาสแสดงความคิดเพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับธุรกิจร่วมแข่งขันภายใต้หัวข้อ “พัฒนาสตรีทฟู้ด 4 มิติ” หรือ “4 D Street Food Upgrade” โดยเปิดรับสมัครทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม ถึงวันที่ 15 เมษายน 2562

การแข่งขันภายใต้หัวข้อ“พัฒนาสตรีทฟู้ด 4 มิติ” ประกอบด้วย 1.D Food ด้านอาหารที่นอกเหนือจากส่วนผสมและวัตถุดิบที่นำมาปรุงให้มีรสชาติที่ดีเลิศ รวมถึงกระบวนการปรุงที่ดีด้วยแล้วจะต้องปรับปรุงอาหารให้มีมิติใหม่ 2.D Innovation ด้านนวัตกรรม นำนวัตกรรมดี ๆ ทั้งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยปรับปรุงอาหารให้น่าสนใจ 3.D Design การออกแบบและการใช้ความคิดสร้างสรรค์อาหาร 4. D Marketing ด้านการตลาด ต้องมีมุมมองด้านการตลาดใหม่ ๆ ซึ่งการแข่งขันนี้จะมีการนำเสนอภาพการแข่งขันในรายการเรียลลิตี้สตรีทฟู้ด ซึ่งถือเป็นรายการเรียลลิตี้สตรีทฟู้ดรายการแรกของไทย ผ่านสถานีโทรทัศน์ ช่อง True4U 24 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 12.30-13.30 น.

 

สำหรับผู้สมัครเข้าร่วมโครงการต้องมีสัญชาติไทย มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ และประกอบอาชีพค้าขายอาหารสตรีทฟู้ดเป็นอาชีพหลัก ทั้งอาหาร หรือเครื่องดื่มที่พร้อมบริโภค โดยจำหน่ายริมทางเท้า หรือที่สาธารณะ ทั้งร้านตึกแถว ซุ้มขายอาหาร รถเข็นอาหาร หาบเร่ รถเร่ หรือรถบรรทุกอาหาร โดยมีเงินรางวัลรวมกว่า 2 ล้านบาท ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ทางเฟซบุ๊กโครงการ www.facebook.com/gsbstreetfoodtv

นายชาติชาย กล่าวในตอนท้ายว่า ในช่วงที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสตรีทฟู้ดได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการธุรกิจสตรีทฟู้ดมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับ ธนาคารออมสิน ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้ประกอบการธุรกิจนี้ โดยมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนในหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ผู้ประกอบการธุรกิจสตรีทฟู้ดมาแล้วทั่วประเทศ โดยครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหลักที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันอาหาร และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA

เปิดสูตรแบรนด์ “เขียง” เจาะตลาดร้านอาหารตามสั่ง

alivesonline.com : “เขียง” ชูคอนเซปต์ ร้านอาหารตามสั่ง พร้อมสโลแกน “รสชาติจัดจ้าน ถึงเครื่องถึงใจ” ทุกจานเร็วพร้อมเสิร์ฟถึงโต๊ะภายใน 5 นาที เตรียมขยายแฟรนไชส์ทั่วประเทศก่อนขยายสู่ต่างประเทศ

‘ศิรุวัฒน์ ชัชวาลย์’ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจใหม่ บริษัท เซน คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์ “เขียง” คือ การที่คนไทยชอบรับประทานอาหารตามสั่ง เราจึงเน้นการนำเสนอเมนูอาหารตามสั่งประมาณ 15 เมนู ใช้พื้นที่ขายเพียงไม่เกิน 50 ตารางเมตร รองรับลูกค้าประมาณ 25 ท่าน โดยแต่ละสาขาใช้พนักงาน 7 คน

“เขียง” เกิดจากความตั้งใจจริงที่จะสร้างแบรนด์อาหารตามสั่งไทยให้ดังไกลทั่วโลก โดยกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ “เขียง” คือคนที่ชอบอาหารไทยและอาหารตามสั่งที่เน้นความธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาในรายละเอียด โดยตั้งเป้าเปิดสาขาครอบคลุมพื้นที่กระจายในทุกที่ ทั้งห้างสรรพสินค้า ตึกแถว คอนโดมิเนียม สถานีบริการน้ำมัน ด้วยงบลงทุน 3 ล้านบาทต่อ 1 สาขา โดยปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 2 สาขา ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. เจษฎาบดินทร์ และ ปตท. เกษตรนวมินทร์ จากเป้าหมายในเฟสแรกที่จะเปิด 4 สาขาในสถานีบริการน้ำมัน และคอมมูนิตี้มอลล์ ก่อนที่จะขยายสู่ระบบขายแฟรนไชส์ต่อไป

สำหรับแผนการตลาดของการทำแบรนด์ “เขียง” จะเน้นเรื่องรสชาติอาหารในลักษณะ “อร่อยบอกต่อ” พร้อมใช้โซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ โดยในอนาคตยังจะมีการเปิดบริการเดลิเวอรี่ พร้อมคอลล์เซ็นเตอร์ เพื่อรองรับในเรื่องช่องทางการสั่งและส่งอาหาร โดยต้องการยกระดับอาหารตามสั่งให้กลุ่มนักชิมที่ชื่นชอบความสะอาด รสชาติเสถียร ในเวลาจำกัดโดยราคาอาหารเริ่มต้นที่ 50-150 บาท

“เขียง” เลือกเมนูที่ถูกดีไซน์และพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนทุกระดับทุกเซ็กเมนต์โดยเชฟที่มีประสบการณ์ สูตรอาหารที่แม่นยำ พร้อมเสิร์ฟภายใน 5 นาที โดยมีจุดเด่นคือ 1.ความน่าสนใจ เน้นรสชาติจัดจ้านถึงเครื่องถึงใจผู้บริโภค 2.สุขอนามัยของวัตถุดิบที่มีคุณภาพ 3.ความเร็วของการทำเวลา 4.ความน่าเชื่อถือในแบรนด์คุณภาพ 5.สูตรอาหารที่มีความแตกต่าง 6.ราคาที่สมเหตุผลกับรสชาติและความพึงพอใจ 7.สานที่ตั้งของสาขาที่ดี

การเปิดตัวแบรนด์ “เขียง” ครั้งนี้จึงเป็นการตอกย้ำว่าอาหารไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกและจะทำให้กลุ่มผู้รับประทานอาหารตามสั่งมีมุมมองที่เปลี่ยนไป โดยพร้อมยกระดับวงการอาหารตามสั่งไทยให้พัฒนายิ่งขึ้นต่อไป ผู้สนใจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2318 0872-77 ต่อ 603-604 หรือ 06 2601 2520 e-Mail : business.development@zengroup.co.th

 

“เอมิเรตส์” เปิดตัวมหกรรมท่องเที่ยวครั้งยิ่งใหญ่ถึงวันที่ 3 มี.ค.62

alivesonline.com : “เอมิเรตส์ ทราเวล แฟร์ 2019”  สุดยอดงานประจำปีที่ควรค่าแก่การเข้าร่วมงานเริ่มต้นแล้ววันนี้ พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษมากมายไปยังจุดหมายปลายทางยอดนิยมทั่วโลก รวมถึงกิจกรรมพิเศษให้เหล่าคนรักการท่องเที่ยวได้ร่วมสนุกเพื่อลุ้นรับบัตรโดยสารและของสมนาคุณต่าง ๆ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 3 มีนาคม 2562 ณ แฟชั่นฮอล์ ชั้น 1 สยามพารากอน เวลา 10.00 – 21.00 น.

หากคุณกำลังวางแผนท่องเที่ยวในปี 2562 หรือกำลังมองหาแรงบันดาลใจไปท่องเที่ยวในสถานที่ใหม่ ๆ ต้องห้ามพลาดร่วมงาน “เอมิเรตส์ ทราเวล แฟร์ 2019” โดยในปีนี้ “เอมิเรตส์” ได้จัดเตรียมดีลบัตรโดยสารสุดคุ้มให้ได้เดินทางสู่กว่า 60 จุดหมายปลายทางในเครือข่าย “เอมิเรตส์” ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย, ออสเตรเลีย, ตะวันออกกลาง, ยุโรป, อเมริกาเหนือ-ใต้ และแอฟริกา โดยราคาบัตรโดยสารพิเศษที่น่าสนใจมีทั้งที่นั่งชั้นประหยัดและชั้นธุรกิจ เช่น บัตรโดยสารไปกลับฮ่องกงในราคาเริ่มต้นเพียง 6,020 บาท สำหรับบัตรโดยสารชั้นประหยัด และ 12,935 บาท สำหรับบัตรโดยสารชั้นธุรกิจ หรือบัตรโดยสารไปกลับลอนดอน ราคา 21,905 บาท สำหรับบัตรโดยสารชั้นประหยัด และ 89,655 บาท ในชั้นธุรกิจ

บัตรโดยสารราคาสุดพิเศษภายในงานเอมิเรตส์ ทราเวล แฟร์ 2019  มีรายละเอียดดังตารางด้านล่างนี้

จุดหมายปลายทาง ราคาบัตรโดยสารชั้นประหยัด

เริ่มต้นที่

ราคาบัตรโดยสารชั้นธุรกิจ

เริ่มต้นที่

ฮ่องกง 6,020 บาท 12,935 บาท
ลอนดอน 21,905 บาท 89,655 บาท
นิวยอร์ก 27,980 บาท 120,460 บาท
ปารีส 22,515 บาท 92,345 บาท
มอสโก 20,930 บาท 96,900 บาท
ซูริค 21,195 บาท 92,990 บาท
ซิดนีย์ 19,555 บาท 86,275 บาท
ดูไบ 15,935 บาท 46,565 บาท
เวียนนา 22,005 บาท 89,435 บาท
ลอสแอนเจลิส 37,140 บาท 148,150 บาท

เหล่าคนรักการท่องเที่ยวยังสามารถลุ้นรับรางวัลบัตรโดยสารชั้นประหยัดไปกลับ กรุงเทพ-มอสโก ได้อย่างง่าย ๆ โดยสายการบิน “เอมิเรตส์” ได้ร่วมกับเพจเฟสบุ๊ก ติดโปร – pro addict ให้เหล่าแฟนเพจในกรุงเทพฯ ได้ร่วมกิจกรรมลุ้นรับรางวัลนี้ เพียงถ่ายภาพคู่กับมาสคอตสุดน่ารัก หรือพนักงานต้อนรับของสายการบิน “เอมิเรตส์” แล้วแชร์ภาพลงในคอมเมนต์ของกิจกรรมในเพจเฟสบุ๊ค ติดโปร – pro addict พร้อมติดแฮชแท็ก #FlyEmiratesFlyBetter และ #EmiratesAirline

นอกจากนี้ ยังมีรางวัลสุดพรีเมี่ยมสำหรับนักชอปมือหนัก (Top Spender Award) ซึ่งมอบให้แก่ลูกค้าที่ใช้จ่ายมากที่สุดในแต่ละวันด้วยบัตรโดยสารชั้นธุรกิจไปกลับ กรุงเทพ-ฮ่องกง ทั้งยังมีธนาคารพันธมิตรเข้าร่วมมอบสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เมื่อซื้อบัตรโดยสารภายในงานอีกด้วย

บัตรโดยสารราคาพิเศษภายในงาน “เอมิเรตส์ ทราเวล แฟร์ 2019” ให้ผู้โดยสารออกเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม – 12 ธันวาคม 2562 โดยราคาบัตรโดยสารดังกล่าวได้รวมค่าภาษีสนามบินและค่าธรรมเนียมแล้ว โดยอัตราค่าโดยสารอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราในแต่ละวัน โดยเงื่อนไขและข้อกำหนดเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ทั้งนี้ “เอมิเรตส์” เป็นสายการบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันให้บริการเดินทางสู่จุดหมายปลายทางทั่วโลกกว่า 150 แห่ง ใน 86 ประเทศ เปิดให้บริการ 35 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากสนามบินนานาชาติภูเก็ตสู่ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ (ในช่วงฤดูหนาว) โดยให้บริการเที่ยวบินทุกวันสู่ฮ่องกงและซิดนีย์ ทั้งยังมีตารางการบินหลากหลายเวลาให้สามารถเลือกได้ตลอดทั้งวันเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้โดยสารได้อย่างเต็มที่และใช้เวลาในการรอเปลี่ยนเครื่องสู่เส้นทางอื่น ๆ ได้อย่างน้อยที่สุด

[ชมคลิป] “วันเดอร์ฟูล เพิร์ล” เตรียมแผนต่อเรือสำราญลำที่ 5


alivesonline.com :
เรือท่องเที่ยวเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์บนแม่น้ำเจ้าพระยารายแรกของไทย เมินสงครามราคาชิงนักท่องเที่ยว ยืนจุดขาย “เน้นคุณภาพ
-มาตรฐานบริการ” เผยแรงส่งออนไลน์บวกกระแสบอกต่อแบบปากต่อปากส่งผลนักท่องเที่ยวจีน เกาหลี ยุโรป แห่ใช้บริการวันละกว่า 500 คน เตรียมแผนต่อเรือลำใหม่หรูหราและทันสมัยกว่าเดิม พร้อมเปิดโอกาสให้คนไทยมีส่วนร่วมสร้างความภาคภูมิใจ จัดโปรโมชันลดราคาพิเศษจากคนละ 2.5 พันบาท เหลือเพียง 1.5 พันบาท

นายพิชิต กุลเกียรติเดช ประธานบริษัท วันเดอร์ฟูล เพิร์ล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ถือเป็นผู้ริเริ่มดำเนินธุรกิจเรือภัตตาคารและเรือท่องเที่ยวเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์บนแม่น้ำเจ้าพระยารายแรกของประเทศไทยเมื่อ 23 ปีที่ผ่านมา หรือประมาณปี 2539 โดยเรือลำแรกที่ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวคือ “เพิร์ล ออฟ ไซแอม” (PEARL OF SIAM) รองรับผู้โดยสารจำนวน 80 ที่นั่ง ใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท จากนั้นจึงขยายบริการเพิ่มเป็นขึ้นเป็นเรือ “แกรนด์ เพริ์ล” (GRAND PEARL) รองรับผู้โดยสารจำนวน 250 ที่นั่ง และ “แกรนด์ เพิร์ล 2” (GRAND PEARL 2) รองรับผู้โดยสารจำนวน 150 ที่นั่ง

ล่าสุด บริษัทฯ ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาทในการต่อเรือสำราญลำที่ 4 คือ “วันเดอร์ฟูล เพิร์ล” (Wonderful Pearl) เมื่อประมาณปี 2558 สามารถรองรับผู้โดยสารจำนวน 500 ที่นั่ง เน้นจุดเด่นในด้านความหรูหรา ทันสมัย และสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน อาทิ บันไดเลื่อน ประตูเลื่อนอัตโนมัติ ทางลาดสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการทั้งทางลงเรือและภายในเรือ น้ำพุบนดาดฟ้า วงดนตรีระดับคุณภาพจากประเทศฟิลิปปินส์ สามารถเล่นและร้องได้ทั้งเพลงสากล ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่น ๆ โดยเฉพาะอาหารที่หลากหลาย ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ยุโรป มากกว่า 100 รายการ รวมถึงบริการอาหารโดยเชฟมืออาชีพระดับห้าดาว

สำหรับผู้ใช้บริการ เรือ “วันเดอร์ฟูล เพิร์ล” ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ โดยเฉพาะจีน เกาหลีใต้ และยุโรป ซึ่งรับรู้ผ่านเอเย่นต์ และช่องทางออนไลน์ รวมถึงกระแสบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth) จนทำให้ติดต่อเข้ามายังสำนักงานขายโดยตรง (Walk-In) ที่ท่าเทียบเรือศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา ซึ่งมีร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่พักผ่อนขณะรอลงเรืออีกด้วย โดยเฉลี่ยมีผู้ใช้บริการวันละประมาณ 500-600 คน และจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงไฮ-ซีซั่นตั้งแต่เดือน พ.ย.-ก.พ. ของทุกปี

“ในช่วงที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสต้อนรับบุคคลสำคัญระดับโลกมาแล้วหลายท่าน อาทิ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย, นางเมกาวาตี บุตรี อดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย, นางมากาเร็ต แทชเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ, ดาราฮอลลีวู้ด สตีเวน ซีกัล, รวมถึงแจ็ค หม่า เป็นต้น แต่ที่สำคัญสูงสุดในชีวิตของผมและพนักงานบริษัทฯ ทุกคนคือ การได้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประทับที่เรือวันเดอร์ฟูล เพิร์ล เมื่อปี 2559 ทำให้ผมมีกำลังใจอย่างยิ่งที่จะพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวทางน้ำของประทศไทยให้คนทั่วโลกรู้จักและยอมรับว่าเราเป็นหนึ่งในด้านนี้”

นายพิชิต ยังกล่าวถึง ภาพรวมของธุรกิจเรือภัตตาคารบนแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยว่า ปัจจุบันมีเรือภัตตาคารตั้งแต่ขนาดเล็ก-ใหญ่ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 40 ลำ โดยส่วนใหญ่มักใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นปัจจัยหลักในการแข่งขัน ขณะที่เรือ “วันเดอร์ฟูล เพิร์ล” ให้ความสำคัญในเรื่องของคุณภาพและมาตรฐานบริการมากกว่าเพื่อสร้างความแตกต่างในทุก ๆ ด้าน ทั้งยังจะช่วยเกื้อหนุนให้ธุรกิจนี้สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีนโยบายที่จะสนับสนุนให้คนไทยท่องเที่ยวทางแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น จึงจัดโปรโมชันลดราคาพิเศษเฉพาะคนไทยจากคนละ 2.5 พันบาท เหลือคนละ 1.5 พันบาท ทั้งยังมีส่วนลด 10% สำหรับค่าเครื่องดื่มบนเรืออีกด้วย โดยร่วมมือกับ “เคาน์เตอร์เซอร์วิส ออลทิคเก็ต” จำหน่ายผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขาเท่านั้น

“แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแม่น้ำสำคัญของคนไทย อีกทั้งสองฝั่งแม่น้ำยังมีทิวทัศน์งดงามกับสถาปัตยกรรมอันสวยงามและล้ำค่าซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝันจะได้เห็น แต่คนไทยบางส่วนยังไม่มีโอกาสได้เห็นและชื่นชม ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีโครงการต่อเรือสำราญลำใหม่ที่มีความหรูหราทันสมัยเพิ่มขึ้นอีกเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของการท่องเที่ยวของประเทศไทย การจัดโปรโมชันครั้งนี้จึงเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยมีส่วนร่วมในการต่อเรือลำใหม่ครั้งนี้ด้วย” นายพิชิต กล่าวในที่สุด

อนึ่ง ปัจจุบัน เรือท่องเที่ยวทั้ง 4 ลำของบริษัทฯ ให้บริการวันละ 4 รอบคือ

เวลา 08.30-12.00 น. ท่าเทียบเรือศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา – ท่าเทียบเรือวัดช่องลม จ.นนทบุรี

เวลา 13.00-16.00 น. ท่าเทียบเรือวัดช่องลม จ.นนทบุรี – ท่าเทียบเรือศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา

เวลา 19.00-21.30 น. ท่าเทียบเรือศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา – สะพานพระราม 8 – สะพานสาทร – ท่าเทียบเรือศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา

เวลา 07.00 -16.00 น. (ทริปขึ้นรถบัสต่อเรือ) ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา – จ.พระนครศรีอยุธยา – ท่าเทียบเรือศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา

รายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0 2861 0255 ต่อ 201-204

 

 

“ทีเส็บ” ฟอร์มระบบพร้อมใช้งาน AI ก.ย.62

alivesonline.com : “ทีเส็บ” ดึงการใช้ข้อมูลอัจฉริยะผสานการวิเคราะห์ตอบโจทย์พฤติกรรมนักอุตสาหกรรมไมซ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จัดตั้งฝ่าย MICE Intelligence & Innovation (M2I) ดูแลงานด้านนวัตกรรมและข้อมูลไมซ์ หวังเปลี่ยนผ่านการให้บริการด้านข้อมูลทั่วไปสู่ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วด้วยบิ๊กดาต้าและระบบเทคโนโลยี AI คาดเห็นผลช่วงเดือน ก.ย.62 มั่นใจช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์เติบโตขึ้นถึงปีละ 20% จากเดิมที่เติบโตเพียง 5-10% ต่อปี

นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ในปี 2562 “ทีเส็บ” มุ่งขับเคลื่อนไมซ์เชิงคุณภาพและกระจายรายได้สู่เมืองต่าง ๆ โดยมีการจัดโครงสร้างทีมงานและแผนงานใหม่ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านนวัตกรรมและข้อมูลไมซ์ (MICE Intelligence & Innovation) หรือ M2I โดยเปิดแผนพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรมและข้อมูลตลอดระยะ 3 ปี (2562-2564) ที่ศึกษาจากพฤติกรรมความต้องการของนักเดินทางไมซ์และผู้ประกอบการเอกชน โดยมีแนวทางการทำงานและ16 โครงการไฮไลท์ที่จะดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมตลอดระยะ 3 ปีเต็มจากนี้เพื่อนำนวัตกรรมและข้อมูลมาใช้พัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ร่วมกับผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิดขับเคลื่อนไมซ์ให้เกิดผลลัพธ์จริงในการสร้างเศรษฐกิจและองค์ความรู้

“ทีเส็บ” มีการศึกษาแนวโน้มสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ระดับโลกในอนาคต ได้แก่ พฤติกรรมความต้องการของนักเดินทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การจัดงานมุ่งเน้นการผสมผสานครบวงจรภายในงาน ความต้องการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมงานที่มีเวลาเข้าร่วมงานน้อยแต่ต้องการผลลัพธ์สูงสุด เนื่องจากนักเดินทางไมซ์มีความสำคัญต่อการเติบโตเศรษฐกิจ รัฐบาลทั่วโลกจึงพยายามผลักดันธุรกิจและเพิ่มจำนวนนักเดินทางไมซ์ให้มากยิ่งขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมาการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์เป็นเพียงการสนับสนุนด้านงบประมาณทั้งในมิติของการพัฒนาบุคลากร สถานที่ หรือการดึงงานเข้าสู่ประเทศ ซึ่งยังคงไม่ตอบโจทย์ความต้องการและการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจ รัฐบาลหลายประเทศจึงเริ่มปรับเพิ่มกลยุทธ์การสนับสนุนด้านอื่น ๆ โดยหลาย ๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทยโดยการส่งเสริมการจัดงานของ “ทีเส็บ” กำลังเปลี่ยนผ่านจากการให้บริการด้านข้อมูลทั่วไปสู่ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์แล้ว (From Information To Insights) เพื่อวางแผนธุรกิจที่ตรงจุดขึ้นผ่านการวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Data Analytic & Artificial Intelligence)

นางศุภวรรณ กล่าวด้วยว่า “ทีเส็บ” มีการดำเนินโครงการ M2I เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและการนำนวัตกรรมและข้อมูลมาใช้เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมบนพื้นฐานความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการ สำรวจและสรุปความคาดหวังที่ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมไมซ์ต้องการในการนำนวัตกรรมและข้อมูลมาใช้ แล้วจึงออกแบบและพัฒนาแผนงานจนได้ 16 โครงการไฮไลท์ด้านข้อมูลและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการเพื่อดำเนินงานพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรมและข้อมูลตลอดระยะ 3 ปี (2562-2564) ภายใต้การดำเนินงานของฝ่าย M2I โดยขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดเก็บเป็นบิ๊กดาต้าก่อนที่จะมีการพัฒนาให้สามารถใช้งานจริงผ่านเทคโนโลยี AI ประมาณเดือนกันยายน 2562

เผย 6 ยุทธศาสตร์พัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรม

สำหรับโรดแมปการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรมและข้อมูลตลอดระยะ 3 ปี (2562-2564) ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์16 โครงการไฮไลท์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1.การสนับสนุนการจัดงานและผู้ประกอบการไมซ์ (Support & Sponsorship) มี 4 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการช่องทางสำหรับการขอรับบริการไมซ์เลน เพื่อต้อนรับแขก VIP ภายในสนามบิน หรือ Paperless MICE Lane Request (2) โครงการช่องทางออนไลน์เพื่อขอรับการสนับสนุนจากสสปน. หรือ TCEB Online Financial Support Request (3) โครงการระบบ AI เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ตอบคำถามเกี่ยวกับทีเส็บ หรือ TCEB Help Desk Chatbot) (4) โครงการช่องทางให้คำแนะนำเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตนำเข้าสินค้าเพื่อจัดแสดงและขอวีซ่า หรือ MICE Permit Advisor

ยุทธศาสตร์ที่ 2.การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไมซ์ (Developing MICE Supply) มี 3 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการช่องทางออนไลน์ให้ผู้ประกอบการขอใบรับรองและมาตรฐานไมซ์ หรือ MICE Online Standard Assessment (2) โครงการศูนย์รวมตำแหน่งงานและการแนะแนวอาชีพตามสายงานไมซ์ หรือ MICE Career Portal (3) โครงการแหล่งเรียนรู้ออนไลน์รวบรวมความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไมซ์ หรือ MICE Digital Learning Platform

ยุทธศาสตร์ที่ 3.การยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมงาน (Enhancing Attendee Experience) มี 1 โครงการ ได้แก่ โครงการแอปพลิเคชันสำหรับให้บริการผู้เข้าร่วมงาน เพื่ออำนวยความสะดวกอย่างครบวงจร หรือ Event Application for Attendee ยุทธศาสตร์ที่ 4.การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดงาน (Organizing Event with Efficiency) มี 2 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการแอปพลิเคชันมือถือสำหรับอำนวยความสะดวกผู้จัดงาน หรือ Organizer Mobile Application (2) โครงการระบบประเมินผลผู้เข้าชมงานด้วยภาพจากกล้องวิดีโอ หรือ Event Traffic Analytics

ยุทธศาสตร์ที่ 5.การเป็นศูนย์กลางการซื้อขายสินค้าและบริการไมซ์ (Connecting MICE Supply & Demand) มี 5 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการแหล่งรวบรวมรายชื่อและข้อมูลงานอีเวนต์ที่สามารถเข้าร่วมประมูลสิทธิ์ในการจัดงานได้ หรือ Event Opportunities Portal (2) โครงการศูนย์กลางการระดมเงินทุนเพื่อสนับสนุนการจัดงาน หรือ MICE Crowd Funding Platform (3) โครงการแหล่งรวบรวมผู้ประกอบการด้านไมซ์ หรือ MICE Supply Market Place (4) โครงการช่องทางโปรโมทอีเวนต์เพื่อให้ผู้สนใจลงทะเบียน หรือจองพื้นที่แสดงสินค้า หรือ Event Discovery Platform Platform (5) โครงการศูนย์กลางการซื้อขายสินค้าและบริการ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจก่อนและหลังการจบงาน หรือ e-Commerce Platform

ยุทธศาสตร์ที่ 6.ด้านการเป็นแหล่งข้อมูลอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE Intelligence & Resource Center) มี 1 โครงการ ได้แก่ โครงการฐานข้อมูลไมซ์เพื่อสร้างนวัตกรรมและเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ หรือ MICE Intelligence & Resource Center

จัดงานใหญ่แนะนำแผนงานและ 16 โครงการไฮไลท์

นางศุภวรรณ กล่าวอีกว่า ล่าสุด “ทีเส็บ” โดยฝ่าย M2I ได้จัดงาน “MICE INTELLIGENCE AND INNOVATION CONFERENCE 2019” (M2IC 2019) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Break Through the Hype – Uncover the Reality of Customer Insights” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดตัวแนะนำแผนงานและ 16 โครงการไฮไลท์เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรมและข้อมูลตลอดระยะ 3 ปี (2562-2564) รวมถึงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมไมซ์ เล็งเห็นความสำคัญของการใช้นวัตกรรมและข้อมูลอัจฉริยะวางแผนและกำหนดกลยุทธ์การพัฒนางานไมซ์ในอนาคต พร้อมเปิดตัวโครงการแรกคือ โครงการฐานข้อมูลไมซ์เพื่อสร้างนวัตกรรมและเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ (MICE Intelligence & Resource Center) หนึ่งในโครงการที่จะพลิกโฉมด้านนวัตกรรมและข้อมูลสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ เพื่อให้ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษา รวมถึงประชาชน เข้ามาใช้บริการข้อมูลไมซ์เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลองค์ความรู้ระหว่างภาคธุรกิจ โดยร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญระดับโลกด้านข้อมูล อาทิ ธนาคารโลก (World Bank) สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (PATA) บริษัทที่ปรึกษาด้านการวิจัย Frost & Sullivan และบริษัทจัดการข้อมูลอัจฉริยะ Meltwater Singapore

ภายในงานยังมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญระดับโลกทั้งในและต่างประเทศร่วมให้ความรู้ อาทิ นายกอร์ดอน อเล็กซานเดอร์ แคนเดอลิน จากบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารชื่อดังแมคเคนซี (McKinsey & Company) และนายคเณศ กิจเสรีบริรักษ์ จากไลน์ประเทศไทย (LINE Thailand) เป็นต้น โดยแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 วิทยากรนำเสนอเนื้อหาท่านละ 20 นาที ช่วงที่ 2 การแบ่งกลุ่มเพื่อให้ผู้สนใจสอบถามเชิงลึก และช่วงที่ 3 วิทยากรทั้งหมดขึ้นเวทีร่วมกันเปิดโอกาสให้สอบถาม นำคำถามที่น่าสนใจมาถามพร้อมกันบนเวที ซึ่งการจัดงานในรูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานได้โฟกัสในเนื้อหาได้อย่างแท้จริง

นางศุภวรรณ กล่าวในตอนท้ายว่า ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมไมซ์ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 5-10% ซึ่งหากมีเครื่องมือทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนจะมีโอกาสเติบโตได้ถึงปีละ 20% ขณะเดียวกันเทคโนโลยีจะเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมไมซ์ทุกกลุ่มได้เข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้งการสร้างพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่ง (Empowering Partnership) จะขยายจากผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเดิมสู่สตาร์ทอัป หรือกลุ่มธุรกิจอื่นที่ใช้ไมซ์เป็นแพลตฟอร์ม จะช่วยทำให้วงจรของอุตสาหกรรมไมซ์กว้างและเข้มแข็งขึ้น สร้างโอกาสทางธุรกิจ การแลกเปลี่ยนความรู้และการต่อยอดอุตสาหกรรมให้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่ความสามารถทางการแข่งขันที่ยั่งยืนต่อไป

 

“บีเอสเอ” เพิ่มเงินรางวัล 1 ล้านบาท! ให้ผู้ชี้เบาะแสการใช้งานซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย


alivesonline.com :
โอกาสสำหรับผู้แจ้งเบาะแสการใช้งานซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย ประเภทซอฟต์แวร์มูลค่าสูงที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม “บีเอสเอ” เพิ่มเงินรางวัลสูงขึ้นถึง 1 ล้านบาท ตั้งเป้าเจาะกลุ่มซอฟต์แวร์มูลค่าสูงที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม เพื่อลดปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์

รายงานข่าวจาก “บีเอสเอ” พันธมิตรซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นสมาคมชั้นนำผู้รณรงค์ ส่งเสริม และสนับสนุนอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์โลก แจ้งว่า “บีเอสเอ” จะเพิ่มเงินรางวัลถึง 1 ล้านบาทสำหรับผู้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับองค์กรที่ใช้งานซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย หรือไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ โดยเน้นซอฟต์แวร์มูลค่าสูงที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ซอฟต์แวร์ของ Altium, Autodesk, Aveva, Dassault Systémes, CNC MasterCAM, Siemens PLM และ Trimble (ซึ่งเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ Tekla) รวมถึงซอฟต์แวร์อื่น ๆ

ผู้สนใจสามารถเข้าไปแจ้งเบาะแสได้ทางเว็บไซต์ www.bsa.org โดยข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสจะถูกเก็บไว้เป็นความลับอย่างเคร่งครัด พร้อมรับสิทธิ์ได้รับเงินรางวัลสูงสุดถึง 1 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2562

“บีเอสเอ” ได้ปรับกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นไปยังกลุ่มซอฟต์แวร์มูลค่าสูงที่ใช้งานอุตสาหกรรม เนื่องจากพบว่ามีบริษัทเป็นจำนวนมากที่ใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย หรือไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมประเภทวิศวกรรม ออกแบบ การผลิต ยานยนต์ และอุตสาหกรรมการก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มอื่น ๆ

‘ดรุณ ซอว์เน่ย์’ ผู้อำนวยการอาวุโส ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก บีเอสเอ กล่าวว่า ในขณะที่บางบริษัทปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและลงทุนในซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิถูกต้องครบถ้วนและมีความปลอดภัย แต่หลายบริษัทกลับยังคงใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย หรือไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ สำหรับประเทศไทยและทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เรามุ่งเน้นรณรงค์เพื่อการแข่งขันทางการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรม เพื่อทำให้แน่ใจว่าบริษัทใช้ซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิถูกต้องครบถ้วน เงินรางวัลใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นนี้ถือเป็นก้าวแรกสำหรับทิศทางนี้

ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญของ “บีเอสเอ” พันธมิตรซอฟต์แวร์ ประเทศไทย ได้ที่หมวดการแจ้งเบาะแสซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ บนเว็บไซต์ www.bsa.org และเฟซบุ๊กรู้ทันภัยไซเบอร์