“เสียวหมี่” ขึ้นแท่นอันดับ 1 แบรนด์ที่มิลเลนเนียลไทยพูดถึงมากที่สุด

alivesonline.com : ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก “เสียวหมี่” (Xiaomi) ได้รับคะแนนแบรนด์ที่มีการบอกต่อแบบปากต่อปากเพิ่มขึ้นมากที่สุด และเป็นสมาร์ทโฟนแบรนด์เดียวที่ได้รับการจัดอันดับจากผลสำรวจล่าสุดของ YouGovBrandIndex หน่วยงานด้านวิจัยและจัดทำผลสำรวจด้านการรับรู้แบรนด์ระดับโลก

ด้วยคะแนนที่เพิ่มขึ้น 12.4 คะแนน ทำให้ “เสียวหมี่” เป็นแบรนด์ที่ได้รับคะแนนจากกลุ่มมิลเลนเนียลชาวไทยที่มีการบอกต่อแบบปากต่อปากเพิ่มขึ้นมากที่สุดอันดับหนึ่ง จากการจัดลำดับของ YouGovBrandIndex ประจำปี 2561 ซึ่งวัดความแข็งแกร่งโดยรวมของแบรนด์ การรับรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับคุณภาพ คุณค่า ความประทับใจ ความพึงพอใจ ชื่อเสียง และความต้องการแนะนำแบรนด์ให้ผู้อื่นหรือไม่ จากผลการสำรวจไม่มีแบรนด์สมาร์ทโฟนอื่นได้รับการจัดอันดับร่วมด้วยในกลุ่มนี้

YouGov BrandIndex ได้ทำการคัดเลือก 450 แบรนด์ในรอบแรกที่ได้รับการกล่าวถึงในเชิงบวกและสอบถามความคิดเห็นถึงการรับรู้ในเชิงบวกของแต่ละแบรนด์ในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะผ่านทางช่องทางการโฆษณาสินค้า ข่าวสาร หรือการบอกเล่าปากต่อปาก แบรนด์ที่มีการรับรู้ต่ำกว่าเกณฑ์จะถูกคัดออก และทำการสำรวจต่อไปว่าแบรนด์ใดที่ผู้ตอบแบบสำรวจ ได้พูดคุยกับเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว (ไม่ว่าเป็นการพูดคุยผ่านการสนทนาตรง ผ่านระบบออนไลน์ หรือผ่านโซเซียลมีเดีย) ในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา จากผลการสำรวจ แบรนด์ต่าง ๆ จะได้รับการจัดลำดับจากคะแนนการบอกเล่าปากต่อปาก โดยกลุ่มผู้ทำการสำรวจอยู่ในกลุ่มอายุระหว่าง 18-34 ปี โดยได้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2559 – 31 สิงหาคม 2561

สำหรับ Global Mi Community ของ”เสียวหมี่” (Xiaomi) มีสมาชิกมากกว่า 7,977,108 คน ใน 18 ประเทศทั่วโลก หลังจากที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อในเดือนเมษายน 2553 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Main Board of the Hong Kong Stock Exchange ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 (1810.HK.) “เสียวหมี่” บริษัทให้บริการด้านอินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟน และสมาร์ทฮาร์ดแวร์ เพื่อเชื่อมต่อสู่แพลทฟอร์ม IoT โดยมีวิสัยทัศน์ของการเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานและการเป็นบริษัทที่โดดเด่นที่สุดในใจของลูกค้า จนปัจจุบันเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับที่ 4 ของโลก และได้สร้าง IoT แพลตฟอร์มสำหรับลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสมาร์ทดีไวซ์มากกว่า 132 ล้านผลิตภัณฑ์ (ไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป) ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์”เสียวหมี่” วางจำหน่ายมากกว่า 80 ประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก

นายจอห์น เฉิน ผู้จัดการประจำประเทศไทย “เสียวหมี่” เทคโนโลยี กล่าวว่า จากการที่ “เสียวหมี่” ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในครั้งนี้ นับเป็นรางวัลที่ตอกย้ำถึงความสำเร็จของโมเดลธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนด้วยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่นำเสนอด้วยราคาที่จริงใจ และความรู้สึกถึงการอยู่ร่วมกันเป็นคอมมิวนิตี้ที่อบอุ่น สำหรับในประเทศไทยเรามีจำนวนสมาชิก Mi Fans มากกว่า 1 แสนคนที่เราให้การดูแลเสมือนเพื่อนที่มีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเราในอนาคตด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันตลอดมา ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณ Mi Fans ในประเทศไทย และขอให้ทุกคนติดตามความสำเร็จของเราอีกหลายด้านที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้”

ผู้สนใจสามารถเข้าชมผลสำรวจการจัดลำดับแบรนด์ที่มิลเลนเนียลไทยพูดถึงมากที่สุดประจำปี 2018 (YouGov BrandIndex Thailand 2018  Millennial WOM Rankings) เต็มรูปแบบได้ที่ http://www.brandindex.com/ranking/thailand/2018-wom

ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยว”เสียวหมี่” สามารถเข้าชมได้ที่ http://www.mi.com/th

สทท.ตั้ง 3 คณะอนุกรรมการฯ ขับเคลื่อนนวัตกรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ

alivesonline.com : สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 3 คณะ “ด้านความปลอดภัย-การท่องเที่ยวอัจฉริยะ-ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ” ตั้งเป้าเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวแบบครบวงจร 10 ด้าน มุ่งส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศ พร้อมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์การท่องเที่ยวในยุค 4.0

นายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า ในปี 2561 ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 38.25 ล้านคน โดยคาดว่าปี 2562 จะมีมากกว่า 40 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ดังนั้น สทท. ซึ่งเป็นตัวแทนของฝั่งผู้ประกอบการ จึงต้องเร่งสร้างความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการให้สอดรับกัน ทั้งยังเป็นการลดความเหลื่อมล้ำของเมืองหลักและเมืองรอง ทั้งยังให้มีความทันสมัยรับกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในยุค 4.0 ที่เปลี่ยนไป เพื่อสร้างผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน มีเอกลักษณ์ ยั่งยืน และมีความอัจฉริยะ ตามแนวคิด 5s ( Safety Standard Signature Sustainable and Smart)

จากแนวคิดดังกล่าว สทท. จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 3 ด้าน ได้แก่ คณะอนุกรรมการความปลอดภัย (Safety Tourism) นำโดย ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร ประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้รวบรวมผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพื่อเดินหน้าบูรณาการตั้งแต่การวางมาตรฐาน การป้องกันภัย การเตือนภัย และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเชื่อมโยงคลัสเตอร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทั้ง 10 คลัสเตอร์คือ ด้านการเดินทาง ทั้งรถ เรือ ราง และเครื่องบิน ด้านที่พักแรม ด้านแหล่งท่องเที่ยวเชิงสันทนาการและชุมชน ด้านอาหารและเครื่องดื่ม ด้านสินค้าและร้านขายสินค้าสำหรับนักท่องเที่ยว ด้านบริษัทนำเที่ยวทั้งภายในและต่างประเทศ ด้านมัคคุเทศก์ ด้านท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเวลเนส ด้านท่องเที่ยวเชิงกีฬา อนุรักษ์และการผจญภัย รวมถึงด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี วิศวกรรม และไซเบอร์ซิเคียวริตี้ เพื่อสร้างค่านิยมและมาตรฐานความปลอดภัยให้แก่ผู้ประกอบการและสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยจะมีโครงการนำร่องเพื่อรณรงค์ลดอุบัติเหตุในช่วงวันสงกรานต์นี้ โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถบัสที่มีเป้าหมายลดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์

ด้านคณะอนุกรรมการท่องเที่ยวอัจฉริยะ (SMART Tourism) นำโดยนายประดิษฐ์ วัชระดนัย ประธานอนุกรรมการฯ มีเป้าหมายในการพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวเข้าสู่ยุค 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยยุทธศาสตร์ SMART ที่ประกอบด้วย (S) Signature Product คือ การสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่มีเอกลักษณ์ มีคุณค่า และเจาะกลุ่มเฉพาะ (M) Marketing O2O คือ การทำตลาดแบบออนไลน์ควบคู่กับออฟไลน์ให้มีประสิทธิภาพ (A) AI & Big Data คือ การนำข้อมูลดิจิทัลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ (R) Research & Development คือ การนำข้อมูลจากงานวิจัยมาพัฒนาให้เหมาะสมกับธุรกิจ (T) Technology & Transformation คือ การยกระดับองค์กรด้วยเทคโนโลยีทั้งด้านการตลาด การบริหารและบริการ

ด้านคณะอนุกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ (Domestic Tourism) นำโดยนายภูริวัจน์ ลิ้มถาวรรัตน์ ประธานอนุกรรมการฯ มีเป้าหมายในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและแหล่งท่องเที่ยวมีความสะดวก สะอาด ปลอดภัย มีเอกลักษณ์ และยั่งยืน เริ่มตั้งแต่การฟื้นฟู พัฒนาและอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวทั้งในเชิงธรรมชาติ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมให้ได้มาตรฐาน ส่งเสริมเทคนิคในการเล่าเรื่อง (Storytelling) เพื่อดึงเสน่ห์และคุณค่าของแต่ละท้องถิ่นไทย ทั้งด้านอาหาร ดนตรี งานประเพณี อาหารและการแต่งกาย เพื่อยกระดับมูลค่า และกระจายรายได้ไปยังชุมชน เมืองรอง รวมถึงพื้นที่รองในเมืองหลัก ให้เกิดความสมดุลในการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้และความสามารถในการแข่งขัน ให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวสามารถปรับตัว เติบโตและพัฒนาได้อย่างยั่งยืน

“ช้อป โกลบอล” จับมือ “คลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย” รุกตลาดโลก

alivesonline.com : ช้อป โกลบอลในเครือสหพัฒน์ จับมือ คลัสเตอร์เครื่องสำอางไทยภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลไทย ผนึกกำลังพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีขีดความสามารถด้านการผลิตสินค้าเครื่องสำอางไทยสู่ความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น พร้อมรุกตลาดเครื่องสำอางไทยสู่ตลาดโลก ผ่านช่องทางทีวีชอปปิ้ง หวังกระจายสินค้าสู่มือผู้บริโภค หลังครองแชมป์อันดับ 1 ตลาดเครื่องสำอางในอาเซียน และอันดับ 3 ในเอเชีย ด้วยยอดมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจมากถึงเกือบ 3 แสนล้านบาท

นายนาโอฮิซะ ยากิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2556 โดยความร่วมมือระหว่าง เครือสหพัฒน์ กับ บริษัท สุมิตโตโม่ คอร์ปเปอเรชั่น (Sumitomo Corporation)ของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นช่องชอปปิงทีวีอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นที่มีการออกอากาศครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าออนไลน์ผ่านทีวีชอปปิงในนาม “ชอป ชาแนล” (SHOP Channel) ช่อง PSI 45 และ 445 ช่อง True visions HD 52 ช่อง G-MM Z 69 และ 102 ล่าสุดได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกันกับ “กลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย” (Thai Cosmetic Cluster) ภายใต้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เป็นสักขีพยาน

“ชอป ชาแนล” มี 7 สิ่งสำคัญในการเลือกสินค้าเพื่อลูกค้าคือ 1.หายาก 2.มีจำกัด 3.มีคุณสมบัติเฉพาะ 4.ราคาสมเหตุสมผล 5.มีเรื่องราว 6.มีเอกลักษณ์ และ 7. มีคุณค่า ทั้งยังมีสินค้าที่น่าสนใจอีกมากมายในประเทศไทยที่คนไทยบางคนอาจจะยังไม่รู้จัก รวมถึงสินค้าในกลุ่มของเอสเอ็มอีที่มีคุณสมบัติครบตรงตาม 7 สิ่งที่สำคัญที่ได้กล่าวไป ผู้ประกอบการจะต้องเล่าเรื่องว่าทำไมถึงอยากจะพัฒนาสินค้าของคุณเอง หรือจุดเด่นสินค้าของคุณคืออะไร และจุดไหนที่ยากที่สุดสำหรับคุณในการทำสินค้าของตัวเอง เป็นต้น ในขณะที่ศูนย์กลางของเราคือทีวี การจะเข้าถึงจุดสำคัญของการตลาดในปัจจุบันได้ตรงเป้าหมายที่สุดจึงอยู่ที่การเตรียมการหรือการหาสินค้าจากผู้ประกอบการรายย่อยที่เชื่อมต่อระหว่างคนดูโดยตรงเพื่อเป็นเสียงไปถึงผู้ประกอบการนั้น ๆ

“ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดโลกเปิดมากขึ้นและการใช้ชีวิตของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้า หรือค้นหาข้อมูลของสินค้าได้จากหลายช่องทาง รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยต้องเผชิญกับคู่แข่ง หรือการแข่งขันของผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ภายใต้ของการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกค้าและถือเป็นกุญแจสำคัญที่สุดของการทำธุรกิจในช่วงเวลานี้คือสินค้า” นายนาโอฮิซะ กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นายสรโชติ อำพันวงษ์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางไทยมีมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยประเทศไทยคือผู้ส่งออกเครื่องสำอางอันดับ 1 ในอาเซียน ปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องสำอางในไทยมากกว่า 1 หมื่นราย โดยเครื่องสำอางยังถือเป็นอุตสาหกรรมที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญไม่แพ้อุสาหกรรมอื่น ๆ ของประเทศ โดยที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้การสนับสนุนรวบรวมผู้ประกอบการในประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำเข้าด้วยกันคือ วัตถุดิบ โรงงาน แบรนด์สินค้า และผู้จัดจำหน่าย มาจัดตั้งเป็น “กลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย” เพื่อพัฒนาสนับสนุนผู้ประกอบการในทุกมิติ

บริษัท ช้อบ โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท สุมิตโตโม่ คอร์ปเปอเรชั่น เจ้าของธุรกิจทีวีชอปปิ้งอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นกับเครือสหพัฒน์ บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย มีนโยบายให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการขายสินค้าคุณภาพให้กับลูกค้าผ่านช่องทางทีวีผสมผสานแบบ “ออม-นิ แชนแนล” (Om-ni Channel) โดยเน้นสินค้าใน 4 กลุ่มหลัก คือ 1.เครื่องประดับ 2.แฟชั่น 3.สุขภาพความงาม และ 4.เครื่องใช้/เครื่องไฟฟ้าในบ้าน ด้วยเครือข่ายช่องทางการขาย การประชาสัมพันธ์ และฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นที่มาของความร่วมมือ ระหว่าง บริษัทฯ กับกลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย เพื่อร่วมพัฒนาและเป็นช่องทางในการนำเสนอสินค้าคุณภาพของผู้ประกอบการสู่ลูกค้าในช่องทางต่าง ๆ รวมถึงโอกาสการไปเปิดตลาดในประเทศญี่ปุ่น และความร่วมมือด้านอื่น ๆ ในอนาคต

นางลักษณ์สุภา ประภาวัติ ประธานคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ภายใต้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องสำอางเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย เนื่องจากมีความได้เปรียบในด้านวัตถุดิบและความชำนาญด้านคุณภาพ โดยปัจจุบันเครื่องสำอางเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากประชากรโลกส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและความงาม ส่งผลให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีมูลค่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ซึ่งได้แก่ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้า ผลิตภัณฑ์สำหรับร่างกาย เครื่องหอม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจมากถึงเกือบ 3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในประเทศประมาณ 60% และตลาดส่งออก 40% โดยภาพรวมประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเครื่องสำอางอันดับ 3 ของเอเชีย รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อีกทั้งยังเป็นอันดับ 1 ของตลาดเครื่องสำอางในอาเซียน เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยมีความได้เปรียบในด้านวัตถุดิบ ความชำนาญ และคุณภาพ

ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยมีสัดส่วนการขยายตัวในด้านการส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่สำคัญ เช่น ประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงขึ้นทุกปี โดยประเทศไทยยังมีมูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางเป็นที่ 1 ในอาเซียนโดยครองส่วนแบ่งตลาดถึงร้อยละ 40 จากสถิติในปี 2560 ขณะที่ผู้ประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยที่จดทะเบียน มีจำนวนประมาณ 2 พัน ราย แบ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางธุรกิจขนาดเล็ก 68% ผู้ผลิตเครื่องสำอางขนาดกลาง 29% ผู้ผลิตเครื่องสำอางขนาดใหญ่ 3% นอกจากนี้ยังมีซัปพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับหลายอุตสาหกรรม เช่น สมุนไพร เคมีอาหาร สิ่งพิมพ์ บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้ว และพลาสติก เป็นต้น

สำหรับกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างการรวมกลุ่มทางอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการเอสอ็มอีที่รวมผู้ประกอบการต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำเข้าด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจแบบรวมกลุ่ม โดยจะเน้นได้จากทิศทางการเติบโตที่มีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่แทบไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อ และจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า อุตสาหกรรมเครื่องสำอางยังถือเป็น 1 ใน 4 อุตสาหกรรมที่มีดัชนีความเชื่อมั่นและอุปสงค์จากทั้งในและต่างประเทศในอัตราที่สูง

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมากลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทยได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ตลอดจนการสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัย รวมทั้งการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจเกี่ยวกับเครื่องสำอาง เพื่อก่อให้เกิดการต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในทุกระดับห่วงโซ่อุปทานที่สามารถบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลทางอุตสาหกรรม เพื่อจะส่งให้การประกอบธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์กระแสความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 เพื่อที่จะสามารถสร้างการแข่งขันกับประเทศชั้นนำของโลกที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็ว

“นอกเหนือจากการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายสู่การเป็นกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยแล้ว ปัจจุบันยังมีการพัฒนาและรวมกลุ่มกับประเทศต่าง ๆ สู่การเป็นหนึ่งในสมาชิกคลัสเตอร์เครื่องสำอางโลก หรือ Cosmetic Valley โดยถือเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมแรกของไทยที่ได้เข้าสู่ในระดับนานาชาติ นับเป็นสัญญาณที่ดีที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยเกิดการเชื่อมโยงและพัฒนาไปในทิศทางเดี่ยวกันกับประเทศชั้นนำด้านอุตสาหกรรมดังกล่าว” นางลักษณ์สุภา กล่าวในตอนท้าย

 

“อีริคสัน” ร่วมกระทรวง DE จัดแสดง Ericsson 5G Lab ในพื้นที่ EEC

นายวุฒิชัย วุฒิอุดมเลิศ (ขวาสุด) หัวหน้างานฝ่ายเน็ตเวิร์คโซลูชั่นส์ และดร.เจษฎา ศิรักษ์ (ที่ 2 จากขวา) หัวหน้าฝ่ายรัฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย จำกัด ให้การต้อนรับ นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ (กลาง) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะในการเยี่ยมชมการเตรียมความพร้อมของสนามทดสอบ Testbed 5G-IoT ในพื้นที่ EEC ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เมื่อเร็ว ๆ นี้

alivesonline.com : ตามที่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ได้ร่วมมือกันจัดตั้งสถาบันพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลเพื่อ EEC หรือ Digital Academy Thailand (DAT) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน AI และ Data Sciences เข้าสู่อุตสาหกรรมดิจิทัล อีกทั้งพัฒนาความรู้ขั้นพื้นฐานและขั้นสูง เพื่อให้สามารถทำงานกับเครื่องมือประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งยังต้องมีการสร้างผู้เชี่ยวชาญที่สามารถดึงความสามารถของ AI และ Data Sciences มาใช้ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC นั้น

“อีริคสัน ประเทศไทย” นำโดย นายวุฒิชัย วุฒิอุดมเลิศ หัวหน้างานฝ่ายเน็ตเวิร์คโซลูชั่นส์ บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย จำกัด ร่วมมือกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) จัดแสดงเทคโนโลยี 5G ในโอกาสร่วมลงพื้นที่เตรียมความพร้อมของสนามทดสอบ 5G Testbed ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา โดยมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเทคโนโลยี 5G เส้นทางสู่การสร้างรายได้จาก 5G ของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โมเดลการทำธุรกิจใหม่ ๆ รวมไปถึงคลื่นความถี่ที่เหมาะสมสำหรับ 5G พร้อมกันนี้ยังได้นำอุปกรณ์ที่พร้อมรองรับเทคโนโลยี 5G ของอีริคสันมาแสดงในงาน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการสนับสนุนผู้ให้บริการและภาครัฐในการพัฒนาประเทศไทยเข้าสู่ยุค 5G

“อีริคสัน” ได้นำซอฟท์แวร์ 5G Radio Access Network (RAN) ที่สามารถให้บริการเชิงพาณิชย์ได้และได้รับการรับรองตามมาตรฐาน 3GPP 5G New Radio (NR) เป็นรายแรกของโลก พร้อมสถานีฐานแบบใหม่ที่เรียกว่า Street Macro มานำเสนอ เพื่อตอบโจทย์ผู้ให้บริการที่มีข้อจำกัดในการหาสถานที่ตั้งสถานีฐานในเขตเมือง เพื่อรองรับการพัฒนาอย่างไร้รอยต่อจาก 4G ไปยัง 5G  โดย Street Macro จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่างสถานีฐานแบบ Macro และ Micro โดยสถานีฐานชนิดใหม่นี้สามารถไปติดตั้งในพื้นที่ที่จำกัดตามตึกสูงในเมืองได้เหมือนแบบ Micro แต่สามารถให้การครอบคลุมของสัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนแบบ Macro นอกจากนี้ Street Macro ยังมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย และมีระบบ Active Antenna ฝังอยู่ภายในสถานีฐาน และประเทศไทยเป็นแห่งแรกของโลกที่ทางอิริคสันนำเข้ามาติดตั้ง

นอกจากนี้ “อีริคสัน” ยังได้นำเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์สถานีฐานแบบใหม่ของ Massive MIMO Technology ซึ่งจะช่วยการพัฒนาเครือข่าย 4G เดิมเข้าสู่ 5G โดยตอบสนองความต้องการในการเพิ่มความเร็วขึ้น ทั้งนี้ระบบสถานีฐานของ “อิริคสัน” ที่มีการติดตั้งตั้งแต่ปี 2558 สามารถอัพเกรดเป็น 5G NR โดยการติดตั้งซอฟท์แวร์จากทางไกลได้ โดยการผสมผสานของผลิตภัณฑ์ใหม่ของ “อิริคสัน” รวมทั้งการสนับสนุน 5G บนสถานีฐานที่ติดตั้งไปแล้วจะทำให้ผู้ให้บริการสามารถเข้าสู่ยุค 5G ได้อย่างยืดหยุ่นและสร้างโอกาสใหม่ ๆ สำหรับแอปพลิเคชันในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้

กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ขยายเพิ่มเติมนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น เข้าถึง 5G แบบ end-to-end ซึ่งรวมไปถึง 5G NR Radio ครั้งแรกในอุตสาหกรรมระดับโลก โดย “อีริคสัน” ยังเป็นเจ้าแรกในตลาดสำหรับโซลูชั่นที่จะเปลี่ยนถ่าย 4G สู่ 5G ได้อย่างราบรื่น โดยใช้แพลตฟอร์ม 5G ใหม่ของ “อีริคสัน” ผนวกกับ Core และ Radio use cases ซึ่งแพลตฟอร์มใหม่นี้ประกอบไปด้วย 5G Core, Radio และ Transport Portfolios ทำงานร่วมกับระบบดิจิทัล บริการด้านการเปลี่ยนถ่ายและความปลอดภัย

ในอนาคตอุตสาหกรรมการผลิตหรือโรงงานต่าง ๆ จะต้องใช้ 5G เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่ยุค Industrial 4.0 โรงงานในอนาคตจะต้องมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาสู่กระบวนการผลิต ซึ่งจะเกิดขึ้นได้โดยการผ่านการเชื่อมโยงโครงข่าย 5G ระบบการสื่อสารภายในโรงงานจะต้องผ่านเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและผ่านการยอมรับโดยภาคอุตสาหกรรม การเชื่อมโยงด้วยโครงข่ายที่ไม่ได้มาตรฐานนั้นย่อมมีความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายในขั้นตอนการผลิตได้ ทั้งนี้ด้วยการเชื่อมโยงที่ได้มาตรฐานจะต้องมีการเพิ่มอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น Wireless Sensor เข้าไปตามสายการผลิตในโรงงาน ซึ่งสามารถทำได้อย่างง่ายดายและทันที โดยไม่จำเป็นต้องไปขัดจังหวะขั้นตอนการผลิต หรือการนำหุ่นยนต์ทั้งแบบประจำที่หรือแบบเคลื่อนที่เข้าไปยังสายการผลิตก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีการลากสายให้ยุ่งยากเหมือนโรงงานในปัจจุบัน ทั้งนี้ 5G จะมีบทบาทสำคัญในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ในโรงงาน แล้วนำข้อมูลนั้น ๆ มาวิเคราะห์และสั่งการหุ่นยนต์ที่อยู่ในสายการผลิตโดยผ่านระบบคลาวด์ การควบคุมการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์จะเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดเมื่อนำเข้ามาสู่สายการผลิตจริง โดยจะต้องมี Latency ที่น้อยกว่า 1 มิลลิวินาที โดยในการสาธิตนี้จะแสดงให้เห็นถึงการควบคุมแขนกลของหุ่นยนต์ที่สามารถควบคุมผ่านการขยับมือของผู้ควบคุมบนโครงข่าย 5G

อีกหนึ่งตัวอย่างที่ “อีริคสัน” นำมาสาธิต คือ รถตักดินที่ควบคุมระยะไกลผ่านโครงข่าย 5G เป็นการสาธิตการนำ 5G HF (High Frequency หรือความถี่สูง) มาใช้งาน โดยข้อมูลการควบคุมรถตักดินนี้จะถูกสั่งการจากแท่นควบคุมไปยัง 5G Core Network ก่อนที่จะถูกส่งต่อไปที่แขนกลของหุ่นยนต์ผ่านโครงข่าย 5G NR ในแบบ Realtime โดยหุ่นยนต์จะตอบสนองต่อการควบคุมในแบบต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น การเคลื่อนไปข้างหน้า การหมุนซ้ายขวา หรือการตักดิน เป็นต้น รถตักดินที่ควบคุมระยะไกลผ่านโครงข่าย 5G จะเป็นการสาธิตการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์เครื่องจักรในภาคสนาม เช่น การทำเหมืองแร่ โดยการควบคุมจากระบบปฏิบัติการหลังบ้านแบบ Real time การควบคุมระยะไกลจะทำให้การปฏิบัติงานของเครื่องจักรขนาดใหญ่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีความปลอดภัยและลดความเสี่ยงเนื่องจากอุบัติภัยในการทำงานได้อีกด้วย

สำหรับชุดสาธิตนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของโครงข่าย 5G ที่มี Low Latency รวมทั้งมีความมั่นคงและเชื่อถือได้ สามารถทำให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับเครื่องจักรทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในอนาคตการควบคุมระยะไกลผ่านโครงข่าย 5G จะถูกนำมาใช้ในการทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีอันตราย เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน โดยชุดสาธิตนี้ยังแสดงให้เห็นการเชื่อมโยงของ 5G URLLC (Ultra Reliability and Low Latency Communication) โดยการเปรียบเทียบรถตักดินสองคัน โดยที่คันหนึ่งมีการเชื่อมโยงผ่านโครงข่าย 5G NR ในขณะที่อีกคันหนึ่งมีการเชื่อมโยงผ่านโครงข่าย 4G  LTE หลังจากที่ได้ทำการทดสอบแล้วผู้สังเกตการณ์จะเห็นได้ว่ารถตักดินคันที่เชื่อมโยงผ่านโครงข่าย 5G NR จะสามารถเคลื่อนที่ตอบสนองได้อย่างทันท่วงที เมื่อเทียบกับอีกคันที่เชื่อมโยงผ่านโครงข่าย 4G LTE ซึ่งยังมีการตอบสนองที่ช้าอยู่

นายวุฒิชัย กล่าวในตอนท้ายว่า เทคโนโลยี 5G จะสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ให้บริการได้สูงขึ้นถึง 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 ของรายได้ที่คาดการณ์ไว้ภายในปี 2569 โดยอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และความปลอดภัยด้านสาธารณะ จะเป็นภาคส่วนที่ผู้ให้บริการสามารถสร้างรายได้จาก 5G ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามผู้ให้บริการจำเป็นจะต้องมีการเตรียมความพร้อมสำหรับ 5G เพื่อประโยชน์ของคนในประเทศไทยต่อไป

พบ 2 ใน 3 ของพนักงานขายหน้าร้านเชื่อจะให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้นถ้ามี “แท็บเล็ต” เป็นตัวช่วย


alivesonline.com :
ซีบรา เทคโนโลยีส์ คอร์ปอเรชั่น” (สัญลักษณ์หุ้นในตลาด NASDAQ : ZBRA) ผู้นำด้านนวัตกรรมผ่านโซลูชั่นที่ทันสมัยและเครือข่ายคู่ค้าที่ครอบคลุมเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้องค์กรยุคใหม่เผยผลสำรวจ “Global Shopper Study” ซึ่งเป็นการสำรวจทัศนคติ ความคิดเห็น และความคาดหวังของผู้บริโภค พนักงานขายหน้าร้าน และผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก ซึ่งครั้งนี้จัดทำขึ้นเป็นครั้งที่ 11 โดยจากผลการสำรวจพบว่า 2 ใน 3 (66%) ของพนักงานขายที่ตอบผลสำรวจเชื่อว่า “พวกเขาจะสามารถให้บริการลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหากมีอุปกรณ์แท็บเล็ตเป็นตัวช่วย”

ผลสำรวจยังพบว่า 55%ของพนักงานขายที่ตอบแบบสำรวจเห็นตรงกันว่าบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่นั้นมีจำนวนพนักงานไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า และเกือบครึ่ง (49%) รู้สึกว่าพวกเขาทำงานหนักเกินไป นอกจากนี้พนักงานยังให้ความเห็นว่าพวกเขารู้สึกคับข้องใจที่ไม่สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มที่ โดย 42% ให้เหตุผลว่ามีหน้าที่อื่นที่ต้องรับผิดชอบควบคู่กันให้เสร็จตามกำหนดจึงไม่สามารถให้เวลากับลูกค้าได้เท่าที่ควร ส่วนอีก 28% ให้เหตุผลว่ามีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะสามารถบริการลูกค้าได้ นอกจากนี้ 83% ของกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกและ 74% ของพนักงานขายหน้าร้านเห็นตรงกันว่า อุปกรณ์เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่จะสามารถช่วยเพิ่มประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้าได้

เมื่อสำรวจไปในฝั่งของผู้บริโภคพบว่า มีเพียง 13% ที่ให้ความมั่นใจในร้านค้าที่พวกเขาซื้อสินค้าว่าจะปกป้องข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นต์ความเชื่อมั่นที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ 10 อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ถูกสำรวจ และ 73% ของผู้บริโภคลงความเห็นตรงกันว่าพวกเขามีความพอใจมากกว่าเมื่อสามารถควบคุมการใช้ข้อมูลส่วนตัวได้เอง

นายศิวัจน์ โรจนเต็มศักดิ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย “ซีบรา เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า จากผลสำรวจเราพบว่าความคาดหวังของผู้บริโภคนั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่หน้าร้านค้าส่วนใหญ่ยังคงประสบปัญหาต่าง ๆ เช่น การจัดส่งสินค้า การสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และการสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าที่น่าประทับใจให้กับลูกค้าไม่ว่าสินค้านั้นจะเป็นอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร

เมื่อกล่าวถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีออโตเมชั่นพบว่า ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกและพนักงานขายหน้าร้านมีความคาดหวังต่อระบบออโตเมชั่นที่ต่างกัน โดยเกือบ 80% ของผู้ประกอบการ และเพียง 49% ของพนักงานขายหน้าร้านเห็นว่าเคาน์เตอร์ชำระค่าสินค้าเริ่มเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเมื่อลูกค้าสามารถใช้เทคโนโลยีในการชำระเงินได้เอง นอกจากนี้เกือบครึ่งของผู้ประกอบการ (52%) ได้มีการเปลี่ยนจุดชำระเงิน (Point-Of-Sale) ให้เป็นระบบอัตโนมัติที่ผู้บริโภคสามารถดำเนินการชำระเงินได้ด้วยตัวเอง และอีก 62% กำลังเปลี่ยนจุดชำระเงินเป็นสถานที่รับสินค้าจากการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์

มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (51%) เชื่อว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลของสินค้าผ่านสมาร์ทโฟนของตัวเองได้ดีกว่าการสอบถามข้อมูลจากพนักงานขายหน้าร้าน ซึ่งผู้ประกอบการหลายแห่งได้มีการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขความเหลือมล้ำดังกล่าว โดยเกือบ 60% ของผู้ประกอบการวางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนขึ้นมากกว่า 6% เพื่อซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพา และหนึ่งในห้า (21%) วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนมากกว่า 10% ในการซื้อแท็บแล็ตสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมภายในอีก 3 ปีข้างหน้า

 ผลสำรวจจากแต่ละภูมิภาคพบว่า :

ทวีปเอเชียแปซิฟิก

  • 62% ของพนักงานขายหน้าร้านมีมุมมองต่อนายจ้างที่ดีขึ้นหากนายจ้างจัดหาอุปกรณ์ที่ช่วยในการทำงานแบบเคลื่อนที่มาให้ใช้เพื่อการทำงาน
  • เกือบครึ่ง (49%) ของพนักงานขายลงความเห็นว่าอุปกรณ์ชำระเงินแบบเคลื่อนที่ (mPOS) ช่วยให้การทำงานของพวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทวีปยุโรปและตะวันออกกลาง

  • 74% ของผู้ประกอบการเห็นตรงกันว่า การเติบโตของอี-คอมเมิร์ซ ส่งผลให้คนหันมาสนใจโซลูชั่นในการจัดส่งสินค้าและการบริหารจัดการคลังสินค้ามากขึ้น
  • มากกว่า 76% ของผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก เห็นพ้องกันว่าการรับและคืนสินค้าจากการสั่งสินค้าในช่องทางออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่ท้ายทาย

ทวีปละตินอเมริกา

  • ผู้บริโภค (59%) และพนักงานขายหน้าร้าน (67%) เห็นตรงกันว่าผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลของสินค้าผ่านสมาร์ทโฟนได้ดีกว่าพนักงานขายหน้าร้าน
  • 99% ของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลควบคุมงานด้าน IT ในธุรกิจค้าปลีกเห็นพ้องกันว่าองค์กรของพวกเขาต้องการระบบจัดการคลังสินค้าที่มีความแม่นยำกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ทวีปอเมริกาเหนือ

  • มีเพียง 11% ของผู้บริโภคเท่านั้นที่เชื่อมั่นในหน้าร้านค้าว่าจะปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาซึ่งเป็นระดับความเชื่อมั่นต่ำสุดในการสำรวจจากหลายๆอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมด้านสุขภาพ สถาบันการเงิน และบริษัทด้านเทคโนโลยี
  • พนักขายเกือบ 7 ใน 10 (68%) ให้ข้อมูลว่าป้ายบอกราคาแบบอิเล็กทรอนิกส์จะให้ความสะดวกสบายกับลูกค้ามากกว่าแบบกระดาษ และจากการสำรวจพบว่า 54% ของผู้บริโภคใส่ใจในการอ่านป้ายสินค้า

อนึ่ง “ซีบรา เทคโนโลยีส์”จัดทำแบบสำรวจ Global Shopper Study เป็นปีที่ 11 ติดต่อกันโดยได้สำรวจผู้บริโภคจำนวน 4,725 คน พนักงานขายจำนวน 1,225 คน และผู้ประกอบการ 430 รายจากทวีปอเมริกาเหนือ, ละตินอเมริกา, เอเชียแปซิฟิก, ยุโรป และตะวันออกกลาง ระหว่างเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2561 โดยใช้บริษัท Qualtrics ในการสำรวจ

 

“เอยู โพล” เผย 1 ใน 3 ของคนกรุงฯ ยังไม่เคยใช้แอปฯ เรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง


alivesonline.com :
สถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอยู โพล) ร่วมกับ “เก็ท” แอปพลิเคชัน
สำหรับบริการเรียกรถมอเตอร์ไซค์วิน รับส่งพัสดุและส่งอาหาร จัดทำผลวิจัยเชิงสำรวจความคิดเห็นในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 เพื่อสำรวจความคิดเห็น พฤติกรรม และความพึงพอใจของทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการในธุรกิจการเรียกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

จากผลสำรวจกับคนกรุงเทพฯ 1,234 คน และคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือ “วิน” จำนวน 605 คน ทั้งผู้โดยสารและคนขับส่วนใหญ่ยังไม่เคยลองใช้แอปพลิเคชันเรียกรถจักรยานยนต์และยังเปิดรับทางเลือกใหม่ที่เพิ่มขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขามีตัวเลือก เปิดให้มีการแข่งขันในตลาดเพื่อทำให้มีการปรับราคาและบริการให้ดีขึ้น รวมถึงป้องกันการผูกขาดตลาด

คนกรุงส่วนใหญ่ “เคยใช้” บริการวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

ผลสำรวจพบว่า คนกรุงส่วนใหญ่ 79% เคยใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างในการเดินทาง โดยกลุ่มผู้หญิงจะใช้บริการมากกว่าผู้ชาย กลุ่มอายุน้อยจะใช้บริการมากกว่ากลุ่มอายุมาก

เมื่อสอบถามเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ที่เคยใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 68% มีความถี่ในการใช้บริการมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และมีถึง 23% ที่ใช้บริการประจำเกือบทุกวัน โดยปัญหาในการเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่พบมากที่สุดคือ ต้องรอคิวนานในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากนี้ยังพบปัญหาไม่มีวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ในบริเวณใกล้เคียง มีการปฏิเสธผู้โดยสาร และไม่มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้บริการในช่วงเช้ามืด หรือในช่วงดึก

ขณะเดียวกันคนกรุงส่วนใหญ่ยังต้องการให้มีการปรับปรุงการให้บริการในส่วนของความปลอดภัยในการขับขี่ มารยาทในการขับขี่ และการคิดราคาค่าบริการที่ไม่มีมาตรฐาน

รับรู้ว่ามีแอปพลิเคชันเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง “แต่ไม่เคยทดลองใช้บริการ”

ในยุคไทยแลนด์ 4.0 ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการสำรวจพบว่า คนกรุง 72% รับรู้ว่ามีการให้บริการแอปพลิเคชันเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะรับรู้ว่ามีการให้บริการดังกล่าวเพื่ออำนวยความสะดวกสบาย แต่กลับมีคนกรุงจำนวนมากถึง 65% ที่ยังไม่เคยได้ทดลองใช้บริการ

“พร้อมที่จะลองใช้งาน” หากมีแอปพลิเคชันเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างใหม่

ผลสำรวจพบว่า หากมีแอปพลิเคชันใหม่ให้บริการในตลาด คนกรุงส่วนใหญ่ 65% ก็พร้อมที่จะทดลองใช้งาน โดยส่วนใหญ่เห็นว่าการมีตัวเลือกบริการแอปพลิเคชันจำนวนมากในตลาดจะส่งผลดี เนื่องจากทำให้มีทางเลือกมากขึ้น มีการแข่งขันด้านราคาและโปรโมชั่น ทั้งยังมีการแข่งขันด้านบริการ

“ถูกและรวดเร็ว” เหตุผลหลักที่จะใช้บริการ

เหตุผลหลักที่จะทำให้คนกรุงตัดสินใจเลือกใช้แอปพลิเคชันใดแอปพลิเคชันหนึ่งนั้นจะมาจากเรื่องของราคาค่าบริการ ความรวดเร็วในการให้บริการ แอปพลิเคชันใช้งานง่าย และอื่น ๆ เช่น มีประกันอุบัติเหตุและประกันของสูญหาย พนักงานบริการดีสุภาพ

วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างรับรู้ว่ามีแอปพลิเคชันเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง “แต่ไม่สนใจสมัครเข้าร่วม”

ในส่วนของวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างนั้น จากการสำรวจพบว่าเกือบทั้งหมดคือ 96% รับรู้ว่ามีการให้บริการเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ แต่มีเพียง 15% เท่านั้นที่สมัครเข้าร่วมให้บริการกับแอปพลิเคชัน โดยเหตุผลหลักที่ไม่สมัครเข้าร่วมเพราะไม่มีอะไรดึงดูดใจให้ต้องสมัคร ใช้งานแอปพลิเคชันไม่เป็น และขี่วินมอเตอร์ไซค์ทั่วไปก็ดีอยู่แล้ว

นอกจากนี้ วินมอเตอร์ไซค์ส่วนหนึ่งเห็นว่าการที่มีจำนวนแอปพลิเคชันเพิ่มมากขึ้นจะส่งผลดีโดยทำให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างมีทางเลือกในการสมัครเข้าร่วมให้บริการกับแอปพลิเคชันต่างๆ ไม่เกิดการผูกขาดในตลาด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเกิดการแข่งขันกันเพื่อผู้สมัครเข้าร่วมมีรายได้และสิทธิประโยชน์มากขึ้น รวมถึงการช่วยกันโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักและหันมาใช้บริการมากขึ้น

“รายได้ดีและน่าเชื่อถือ” เหตุผลหลักที่จะสมัครเข้าร่วมให้บริการ

เหตุผลที่จะทำให้วินมอเตอร์ไซค์ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมให้บริการกับแอปพลิเคชันใดแอปพลิเคชันหนึ่งนั้นจะมาจากเรื่องของการมีรายได้ค่าตอบแทนที่ดี มีความน่าเชื่อถือ มีประกันชีวิตประกันอุบัติเหตุ และอื่น ๆ เช่น มีการให้โบนัส หรือสิทธิประโยชน์พิเศษ มีการดูแลพนักงานที่สมัครเข้าร่วม

นายภิญญา นิตยาเกษตรวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริการและผู้ร่วมก่อตั้ง เก็ทกล่าวว่า เราได้ทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าคนกรุง ทั้งผู้บริโภค และคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างต้องการอะไร เพื่อให้เราสามารถตอบโจทย์ของพวกเขาได้ การสำรวจที่เราทำร่วมกับ “เอยู โพล” นี้ช่วยยืนยันความคิดและทฤษฎีของเราหลายข้อ การใช้งานแอปพลิเคชันเรียกรถมอเตอร์ไซค์ในกรุงเทพฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่รวดเร็วและครอบคลุม ด้วยความจำกัดของทางเลือกที่มีในตลาดที่ผ่านมา การเข้ามาของ “เก็ทจะช่วยขยายทั้งดีมานด์และซัพพลาย์ให้ตลาด ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเสรี ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งผู้บริโภคและคนขับในกรุงเทพฯ

“จากที่เราได้เปิดตัวเบต้าแอปฯ ไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เราได้พิสูจน์แล้วว่าคนขับวินที่ถูกกฎหมายต่างสนใจและยินดีที่จะเข้าร่วมกับแอปฯ ที่เข้าใจพวกพี่ ๆ เขาได้ดี ตอนนี้ เก็ท ให้บริการอยู่ในพื้นที่ 29 เขต ด้วยพี่วินจำนวนมากที่ช่วยรับส่งผู้โดยในกรุงเทพมหานคร และเรามีแผนจะขยายอย่างต่อเนื่อง เราตื่นเต้นที่จะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในเร็ว ๆ นี้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับทั้งผู้โดยสารและคนขับ เพื่อช่วยให้ชีวิตของคนกรุงง่ายขึ้น” นายภิญญา กล่าวเสริม

ทั้งนี้ “เก็ท” พร้อมให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้แล้ววันนี้ ทั้งทาง App Store และ Play Store

“เริ่มต้นดีตั้งแต่ต้นปี…สิ้นปีไม่ต้องปวดหัว” 5 เคล็ด (ไม่) ลับจัดการภาษีฉบับมนุษย์เงินเดือน

‘ถนอม เกตุเอม’ หรือ ‘บักหนอม’ กูรูจาก aomMONEY เจ้าของเพจ TaxBugnoms

alivesonline.com : “กรุงศรี คอนซูมเมอร์” ผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล จัดงานสัมมนา “More Money Talk : รู้จักวางแผนภาษีอย่างมีสติกับ TaxBugnoms” โดยเชิญ ‘ถนอม เกตุเอม’ หรือ ‘บักหนอม’ กูรูจาก aomMONEY และยังเป็นเจ้าของเพจ TaxBugnoms ที่มีแฟนเพจติดตามกว่า 3 แสนคน มาให้ความรู้ทางการเงินแก่พนักงาน “กรุงศรี คอนซูมเมอร์”

‘บักหนอม’ ได้เผยเคล็ดลับวิธีการบริหารภาษีอย่างง่ายที่ใคร ๆ ก็สามารถนำไปทำตามได้ เพื่อสามารถจัดการวางแผนภาษีของตัวเองได้ตั้งแต่ต้นปี เรียกได้ว่า “เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” เพื่อที่ปลายปีจะได้สบายใจไม่ปวดหัวกับเรื่องนี้อีกต่อไป

เจ้าของเพจ TaxBugnoms แนะ 5 เคล็ดลับที่ทำให้เรื่องการจัดการภาษีสำหรับมนุษย์เงินเดือนไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ดังนี้

1.รู้จุดประสงค์ว่าเราต้องการอะไรจากการลดหย่อนภาษีและรู้จักเลือกเครื่องมือในการจัดการวางแผนภาษีอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ

2.เข้าใจวิธีคำนวณภาษีของมนุษย์เงินเดือน เพราะภาษีของคนกลุ่มนี้จะคำนวณจากเงินได้สุทธิ ยิ่งมีเงินได้สุทธิเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นตามสัดส่วน

3.สำรวจและตรวจสอบเงื่อนไขค่าหักลดหย่อนภาษีต่าง ๆ เพราะมีหลายรายการที่สามารถนำมาใช้หักลดหย่อนภาษีของมนุษย์เงินเดือนได้ เช่น กองทุน LTF/RMF, เงินบริจาค, ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา-มารดา, เบี้ยประกันสุขภาพ, เบี้ยประกันชีวิต, ประกันสังคม เป็นต้น จำไว้ว่ายิ่งมีค่าลดหย่อนภาษีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเสียภาษีน้อยลงเท่านั้น

4.กรณีซื้อ LTF และ RMF เพื่อนำมาหักลดหย่อนภาษี ควรศึกษาเงื่อนไขและข้อควรระวังต่าง ๆ อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ ถ้าหากมีการขายเมื่อครบกำหนดตามเวลา ควรนำข้อมูลมายื่นภาษีด้วย แม้ว่าจะไม่เสียภาษีก็ตาม

5.ควรมีแนวทางการจัดการกองทุนเลี้ยงชีพของตัวเองอย่างเหมาะสม เช่น สามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้โดยที่ไม่ผิดเงื่อนไข การทบทวนการดำเนินงานของกองทุนเพื่อสามารถเลือกกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสอดคล้องกับความต้องการของตัวเอง โดยถ้ามีกรณีลาออกจากงานควรทราบวิธีจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของตัวเอง เป็นต้น

ติดตามเคล็ดลับการบริหารการเงิน กิจกรรมที่น่าสนใจ ตลอดจนสาระความรู้ด้านการใช้เงินอย่าง “ฉลาดคิด ฉลาดใช้” ที่จะช่วยสร้างวินัยทางการเงินที่ดีให้คุณได้ที่ เว็บไซต์กรุงศรี คอนซูมเมอร์ และกดติดตามได้ที่ FB Page ฉลาดคิด ฉลาดใช้

 

“j-mix” น้ำแคนตาลูปผสมวุ้นน้ำมะพร้าว…หอมอร่อยไม่ซ้ำใคร

บริษัท เวิลด์ ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ “j-mix” (เจ-มิกซ์) เดินเกมรุกปีหมูทอง ส่ง “j-mix” น้ำแคนตาลูป 25% ผลิตจากน้ำแคนตาลูปเข้มข้น ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว ชูจุดขายรสชาติหอมอร่อยไม่ซ้ำใคร กับคอนเซ็ปต์ “น้ำผลไม้เคี้ยวได้” ที่มีส่วนผสมของวุ้นน้ำมะพร้าวชิ้นใหญ่เคี้ยวนุ่มเต็มคำ จำหน่ายในราคา 15 บาท ตอกย้ำจุดขาย “สินค้าอร่อย คุณภาพดี ราคาย่อมเยา”

นางสาวกัญญา ติลกเรืองชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้นำตลาดน้ำผลไม้ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตน้ำผลไม้ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ “j-mix” (เจ-มิกซ์) มานานกว่า 25 ปี ด้วยจุดขายที่สามารถครองใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนานคือ “สินค้าอร่อย คุณภาพดี ราคาย่อมเยา” โดยที่ผ่านมามีการพัฒนาและปรับปรุงสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยล่าสุดได้ปรับสูตรใหม่ลดน้ำตาลลง ทำให้ได้รับสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

สำหรับน้ำผลไม้ “j-mix” (เจ-มิกซ์) ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว มีทั้งหมด 5 รสชาติ ได้แก่ ส้ม ลิ้นจี่ สตรอเบอร์รี่ องุ่น โดยรสชาติใหม่คือ “น้ำแคนตาลูป 25%” ผลิตจากน้ำแคนตาลูปเข้มข้น ให้รสชาติหอมอร่อยไม่ซ้ำใคร พร้อมส่วนผสมของวุ้นน้ำมะพร้าวชิ้นใหญ่เคี้ยวนุ่มเต็มคำกับคอนเซ็ปต์ “น้ำผลไม้เคี้ยวได้” เอาใจคนรักสุขภาพ ด้วยสูตรน้ำตาลน้อย ดื่มอร่อย หอมสดชื่น ช่วยดับร้อน แก้กระหาย ดื่มได้ทุกวัน

“j-mix” (เจ-มิกซ์) น้ำแคนตาลูป 25% ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว มาพร้อมแพ็กเกจจิ้งทันสมัยสีสันสวยงามจับกระชับมือ พกพาสะดวก ขนาด 320 มล. มีจำหน่ายแล้วในราคา 15 บาท สามารถหาซื้อได้แล้วที่ร้านค้าปลีกท้องถิ่นทั่วประเทศ หรือสนใจจัดจำหน่าย โทร.0 2420 7272 รายละเอียดเพิ่มเติมทาง https://www.facebook.com/worldfoodinter/

 

“ออลล์ อินสไปร์ฯ” เปิดตัวทาวน์โฮมไซส์ XL “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว-นวมินทร์”

 

 

alivesonline.com : “ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เปิดตัวโครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว-นวมินทร์” ประเดิมต้นปี ภายใต้แนวคิด “XL สเปซ XL ความสุข” ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง ครบทุกฟังก์ชั่น พร้อมคลับเฮ้าส์และสวนสาธารณะขนาดใหญ่ คุ้มสุดบนทำเล ลาดพร้าว-นวมินทร์ ราคาเริ่มต้นที่ 2.79 ล้านบาท เตรียมเปิดตัววันเสาร์ที่ 23 ก.พ.62 พร้อมมอบส่วนลด 4.5 แสนบาท

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองเห็นถึงศักยภาพของทำเลย่านนวมินทร์พบว่ามีความหนาแน่นของประชากรเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในย่านนี้ยังมีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการขยายตัวของระบบรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ส่งผลให้ทำเลย่านนี้มีความน่าสนใจและเหมาะกับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบ บริษัทฯ จึงเปิดตัวโครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์” ตั้งอยู่ในซอยนวมินทร์ 85 บนพื้นที่โครงการ 33 – 0 – 08 ไร่ จำนวน 308 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1.4 พันล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 2.79 ล้านบาท

โครงการ “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์” ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “XL สเปซ XL ความสุข” ที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง (XL Urban Life) ใน 4 องค์ประกอบหลักของการใช้ชีวิต ได้แก่

1) XL Designing Life : ทาวน์โฮมหน้ากว้าง 5 และ 5.5 เมตร ภายในมีพื้นที่ใช้สอยกว้างพิเศษ สูงสุด 220 ตารางเมตร โดยทุกตารางเมตรของบ้านออกแบบให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้ตามไลฟ์สไตล์ทั้งเพื่อการพักผ่อน เช่น ห้องผู้สูงอายุชั้น 1 พร้อมหน้าต่างระบายอากาศ มาพร้อม Shower Room ในห้องน้ำชั้น 1 หรือจะปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงาน หรือห้องเก็บของ นอกจากนี้ยังคำนึงถึงความสะดวกอื่น ๆ ในการอยู่อาศัยภายในบ้าน เช่น หน้าต่างภายในบ้านขนาดกว้างพิเศษเพื่อรับแสงและลมให้เกิดการประหยัดพลังงาน ห้องน้ำเพียงพอต่อทุกคนในบ้านในเวลาเร่งด่วน การต่อเติมหลังคาลานจอดรถฟรี เพื่อประโยชน์การใช้สอยและความสวยงามในโครงการ  ทั้งยังเพิ่มความคล่องตัวของการจราจรในโครงการด้วยถนนกว้าง 12 เมตร

2) XL Smart Life : สิ่งอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านด้วยพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์ Co-Working Space และ RFID Easy Pass เข้าออกโครงการด้วยระบบอัตโนมัติพร้อมแยกทางเข้า–ออก ระหว่างลูกบ้านกับผู้มาติดต่อเพื่อความสะดวกและปลอดภัย

3) XL Well – Being Life : อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ระดับมาตรฐาน สนามเด็กเล่นเพื่อการเสริมสร้างพัฒนาการและความสนุก สวนส่วนกลางขนาดใหญ่ ทางวิ่งเพื่อสุขภาพ และระบบความปลอดภัยคุณภาพสูง

4) XL Quality Life : สังคมและชีวิตคุณภาพ เอกสิทธิเฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยในโครงการของ “ออลล์ อินสไปร์ฯ” เช่น การเป็นสมาชิก Inspire Hub รับสิทธิพิเศษตลอดทั้งปี ทั้งชมคอนเสิร์ตและชิมอาหารระดับมิชลินสตาร์ฟรี  หรือการใช้สิทธิพื้นที่พักผ่อนกลางเมืองที่สยามพารากอน เป็นต้น

โครงการ “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์” เหมาะทั้งที่จะซื้อเป็นบ้านหลังแรกและเหมาะกับผู้ที่ต้องการขยับขยายครอบครัวให้ใหญ่ขึ้น บนทำเลการเดินทางสะดวกสบาย ใกล้ทางด่วน รามอินทรา–อาจณรงค์ และถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก ใกล้ศูนย์การค้าและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์หลายแห่ง ได้แก่ เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์, คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์, คริสตัล พาร์ค, เดอะ วอล์ค เกษตรนวมินทร์, เดอะมอลล์ บางกะปิ และแฟชั่นไอส์แลนด์ รวมทั้งใกล้สถานศึกษาและโรงพยาบาลชั้นนำ เช่น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA), โรงเรียนเลิศหล้า, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, โรงเรียนสตรีวิทยา 2, โรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล นวมินทร์, โรงพยาบาลรามคำแหง และโรงพยาบาลเวชธานี

ทั้งนี้ ในวันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2562 บริษัทฯ จะเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ โดยลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมและจองโครงการ “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว-นวมินทร์” จะได้รับส่วนลดสูงสุด 4.5 แสนบาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2029 9999 หรือ www.allinspire.co.th

“เอบีม คอนซัลติ้ง” ซื้อหุ้น “ไลท์สตรีมฯ” สิงคโปร์ ขยายบริการคลุมอาเซียน


alivesonline.com :
“เอบีม คอนซัลติ้ง” ซื้อหุ้น
70% “ไลท์สตรีม อะแนลไลติกส์” ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลในสิงคโปร์ ตามแผนขยายการให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เตรียมซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดภายในปี 64

นายอิชิโระ ฮาระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนองค์กรธุรกิจในรูปแบบดิจิทัลทรานสฟอร์เมชั่น ในเครือบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งในประเทศสิงคโปร์ ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อหุ้น 70% ของ บริษัท ไลท์สตรีม อะแนลไลติกส์ จำกัด (สิงคโปร์) (LightStream Analytics Pte. Ltd.) และการซื้อกิจการครั้งนี้จะขยายผลต่อไป ด้วยการซื้อหุ้นไลท์สตรีมที่เหลือทั้งหมดภายในปี 2564

การตัดสินใจดังกล่าวเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ “เอบีม คอนซัลติ้ง” วางไว้ เพื่อขยายการให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลสู่ลูกค้าในหลายประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจาก “เอบีม คอนซัลติ้ง” จะสามารถรวมบริการด้านวิเคราะห์ข้อมูลเข้ากับบริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ ทำให้มีโอกาสสนับสนุนลูกค้าในการทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชั่นให้เป็นรูปธรรมได้ดียิ่งขึ้น

“ก่อนการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ เอบีม คอนซัลติ้งให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลที่ครอบคลุมด้าน ความต้องการของชุดข้อมูล การเก็บข้อมูล การทำความสะอาดข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างแบบจำลองข้อมูล และการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจทางธุรกิจในญี่ปุ่น ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ข้อตกลงนี้จะสร้างโอกาสใหม่ให้กับทั้งสองฝ่ายคือ เอบีม คอนซัลติ้ง และไลท์สตรีม ในการยกระดับธุรกิจจากฐานลูกค้าของ 2 บริษัท เพื่อเสนอบริการแบบ Cross Selling หรือการขายพ่วงผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้อง ให้ลูกค้าของทั้ง 2 ฝ่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ บุคลากรที่ปรึกษาของทั้ง 2 บริษัทจะได้ร่วมกันพัฒนาทักษะและความสามารถ ผ่านการฝึกอบรมแบบ Cross Training ด้วยเช่นกัน” นายฮาระ กล่าวในตอนท้าย

อนึ่ง บริษัท ไลท์สตรีม อะแนลไลติกส์ จำกัด (สิงคโปร์) ก่อตั้งขึ้นในปี 2549 ให้บริการด้านการวิเคราะห์และบริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจุดเด่นคือการรวมความรู้และประสบการณ์ทางธุรกิจเข้าด้วยกันกับความสามารถให้บริการการวิเคราะห์และความสามารถในการจัดการข้อมูลขั้นสูง บริการเหล่านี้ทำให้ บริษัท ไลท์สตรีมฯ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการเติบโตขององค์กร ผ่านการสร้างความสัมพันธ์ระยะกลางถึงระยะยาวกับลูกค้าในหลากหลายธุรกิจ ทั้งบริษัทด้านการเงิน หน่วยงานรัฐบาล โรงงานผู้ผลิต บริษัทด้านสินค้าอุปโภคบริโภค และสถาบันการศึกษา

Laptop with computer language in server room