10 โอกาสการสร้างความไว้วางใจในโลกดิจิทัลสำหรับธุรกิจ

alivesonline.com : PwC เผยผลสำรวจพบองค์กรทั่วโลก ยังขาดความพร้อมในการระบุภัยคุกคามจากความเสี่ยงในโลกไซเบอร์และไม่มีมาตรการป้องกันธุรกิจและลูกค้าของตนที่เพียงพอ พร้อมชี้ให้ผู้บริหารเห็นถึง 10 โอกาสสำคัญที่องค์กรสามารถนำมาปรับใช้เพื่อพัฒนาความมั่นคงและความเป็นส่วนตัวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค ด้าน PwC ประเทศไทย ย้ำธุรกิจไทยต้องปรับตัวรับกฎหมาย GDPR ของอียู และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทยใกล้บังคับใช้ รวมถึงมีมาตรการป้องกันภัยไซเบอร์ เพื่อสร้างความไว้วางใจในโลกดิจิทัลให้กับผู้บริโภคชาวไทยที่หันมาใช้บริการออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้น

นางสาววิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ Digital Trust Insights ซึ่งมาจากผลสำรวจ Global State of Information Security® Survey (GSISS) ของ PwC ที่ได้จัดทำติดต่อกันเป็นเวลาถึง 20 ปี โดย PwC ทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลด้านความเสี่ยงบนโลกไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยในปีนี้ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำธุรกิจจำนวน 3 พันราย ใน 81 ประเทศ จากกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วโลก โดยระบุว่า การดำเนินธุรกิจในโลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น ทำให้บริษัทต่างต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ในการดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็น เพื่อจัดการกับความเสี่ยงด้านดิจิทัล รวมทั้งมีมาตรการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก แต่ผลจากการสำรวจกลับพบว่า องค์กรไม่ว่าจะขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ ต่างยังไม่มีความพร้อมที่จะระบุความเสี่ยงและป้องกันองค์กรรวมถึงลูกค้าของพวกเขาเลย

ประเด็นที่น่าสนใจจากผลสำรวจ 

  • มีธุรกิจเพียง 53% เท่านั้นที่มีการบริหารจัดการความเสี่ยงในเชิงรุกหรือ “แบบเต็มที่ตั้งแต่เริ่มต้น” เพื่อเปลี่ยนถ่ายธุรกิจเข้าสู่ดิจิทัล
  • มีบริษัทเพียงส่วนน้อย (23%) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีรายได้มากกว่า 100 เหรียญสหรัฐขึ้นไป ที่มีแผนที่จะจัดให้มีระบบและมาตรการป้องกันความปลอดภัยสอดคล้องไปกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ
  • มีผู้บริหารเพียง 27% เท่านั้นที่เชื่อว่า คณะกรรมการของพวกเขามีตัวชี้วัดสำหรับการจัดการความเสี่ยงในโลกไซเบอร์ความเสี่ยงด้านข้อมูล และความเป็นส่วนตัวที่เพียงพอ
  • มีองค์กรที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ จากกลุ่มอุตสาหกรรมหลักทั่วโลกน้อยกว่าครึ่งที่บอกว่า มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล General Data Protection Regulation (GDPR) ที่มีผลบังคับใช้ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561
  • แม้ว่า 81% ของผู้บริหารจะเล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง หรือ IoT (The Internet of Things) ต่อธุรกิจของพวกเขา แต่มีเพียงแค่ 39% เท่านั้นที่มีความมั่นใจมากว่า ได้มีการนำระบบการควบคุมความเสี่ยงด้านดิจิทัลมาประยุกต์ใช้อย่างเพียงพอ

ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นต่อบุคลากร กระบวนการ และเทคโนโลยี ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างความปลอดภัยในโลกดิจิทัล องค์กรต่าง ๆ มีความจำเป็นที่จะต้องนำความกังวลด้านไซเบอร์มาประเมินและบรรจุอยู่ในแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างรอบคอบ มากกว่าการลดผลกระทบจากความเสี่ยงทั่ว ๆ ไป เพื่อสร้างแต้มต่อในการแข่งขันและทำให้องค์กรของตนกลายเป็นองค์กรที่ได้รับความไว้วางใจ ทั้งในด้านของความปลอดภัย ความมั่นคง ความไว้วางใจได้ ความเป็นส่วนตัว และการมีจริยธรรมด้านข้อมูล

นายฌอน จอยซ์ หัวหน้าสายงานรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์และความเป็นส่วนตัว PwC ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ภารกิจสำคัญของการจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ถือได้ว่ามีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ จากเดิมที่มุ่งเน้นในเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูล วันนี้เน้นไปที่การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านดิจิทัลแบบองค์รวม ดังนั้น ผลสำรวจของเราต้องการที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถจัดการกับความท้าทายในวันพรุ่งนี้ให้ได้ องค์กรใดที่แสดงให้โลกเห็นได้ว่า มีความสามารถในการสร้างความปลอดภัย ความมั่นคง ความไว้วางใจได้ ความเป็นส่วนตัวทางด้านข้อมูล และมีจริยธรรม องค์กรนั้นจะก้าวขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ผลสำรวจของ PwC ฉบับนี้ยังได้แบ่งแยกกลไกที่บริษัทต่าง ๆ ควรต้องมี เพื่อสร้างความไว้วางใจด้านดิจิทัลและเตรียมรับมือกับความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา โดยได้ระบุถึง 10 โอกาสที่องค์กรจะสามารถนำไปใช้เพื่อปรับปรุงระบบความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว รวมถึงสร้างความไว้วางใจจากผู้บริโภค

1.ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนองค์กรไปสู่ดิจิทัล

2.ยกระดับทีมบุคลากรมากความสามารถและทีมผู้นำขององค์กร

3.เพิ่มการตระหนักรู้ของพนักงานและความสำนึกในหน้าที่รับผิดชอบของตน

4.ปรับปรุงการสื่อสารและการมีส่วนร่วมกับคณะกรรมการบริษัท

5.บรรจุให้แผนความปลอดภัยให้เชื่อมโยงกับเป้าหมายทางธุรกิจ

6.สร้างความไว้วางใจด้านข้อมูลที่ยั่งยืน

7.เพิ่มความยืดหยุ่นทางไซเบอร์

8.รู้ว่าศัตรูหรือภัยขององค์กรคืออะไร

9.มีความตื่นตัวในการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ

10.ก้าวให้ทันนวัตกรรม

นางสาววิไลพร กล่าวในตอนท้ายว่า ปัจจุบันธุรกิจไทยแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก และสื่อสาร ต่างมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการแก่ผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นโมบายแบงก์กิ้ง ชอปปิงออนไลน์ หรืออี-วอลเล็ต แต่ความเสี่ยงที่ตามมาคือ จำนวนอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในรูปแบบใหม่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะฉะนั้นผู้บริหารต้องมีมาตรการ รวมถึงแผนลงทุนด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและการป้องกันภัยทางไซเบอร์ที่มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นอยากแนะนำให้ผู้บริหารตื่นตัวในเรื่องของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเป็นกระแสที่ทั่วโลกรวมถึงไทยกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทยได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้รับหลักการของร่างพ.ร.บ. ดังกล่าวเรียบร้อยแล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งนี่จะเป็นการสร้างกลไกการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นมาตรฐานเดียวกันและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

แนวโน้มการละเมิดสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลและสิทธิความเป็นส่วนตัวของไทยจะยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น จึงอยากเตือนผู้ประกอบการว่า ควรต้องเตรียมพร้อมในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นขอความยินยอมในการเข้าถึงข้อมูลจากลูกค้า หรือการต้องระบุวัตถุประสงค์การใช้ข้อมูลที่ชัดเจน ไปจนถึงการมีระบบหลังบ้านเพื่อที่ดูแลข้อมูล โดยอาจปรึกษาทีมผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะประเด็นเรื่องของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะถือเป็นเรื่องที่บริษัทไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน”

“โรคตับ” ภัยเงียบแต่ร้ายถึงชีวิต รพ.ราชวิถี เชิญสมทบทุนบริจาคซื้อเครื่องมือแพทย์

ตับ” เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ขจัดสารพิษออกจากเลือด สร้างภูมิคุ้มกันบางอย่างขึ้นมาต่อสู้โรคติดเชื้อ และกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ออกจากเลือด นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่สร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบในการทำให้เลือดแข็งตัวและสร้างน้ำดี เป็นต้น

“ตับ” มีความสำคัญมากต่อร่างกาย ดังนั้นโรคเกี่ยวกับตับจึงทำให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนเรา อย่างเช่นผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง เคยมีผู้ประเมินไว้ว่าโรคตับแข็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรโลก 2.5 หมื่นคนทุกปี ทั้งยังจัดเป็นสาเหตุการตายที่เกิดจากโรคเป็นอันดับที่ 8 อีกด้วย

“การผ่าตัดปลูกถ่ายตับ” จึงเป็นทางรอดเดียวของผู้ป่วยโรคตับแข็ง มะเร็งตับ และผู้ป่วยตับวายเฉียบพลัน ซึ่งหากไม่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายให้ทันถ่วงทีนั้นจะมีผลทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคตับแข็งเกิดจากไวรัสตับอักเสบเรื้อรังที่มีทั้งชนิด บี และซี ส่วนสาเหตุรองลงมาคือการดื่มสุรา ขณะที่สาเหตุของภาวะตับวายเฉียบพลันมักเกิดจากตับอักเสบเฉียบพลันที่รุนแรง นอกจากนั้นอาจเกิดจากการรับประทานยาสมุนไพรบางประเภท หรือการรับประทานยาที่มีพิษกับตับในปริมาณที่มากเกินไป เช่น ยาแก้ปวด (พาราเซตามอล)

ตับปรกติ

ตับแข็ง

ส่วนสำคัญที่สุดในการปลูกถ่ายตับคือการได้รับบริจาคอวัยวะจากผู้ที่เสียชีวิต โดยหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการรับบริจาคอวัยวะ ณ ขณะนี้คือศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับบริจาคอวัยวะ โดยเป็นผู้ประสานไปยังศูนย์การปลูกถ่ายตับต่าง ๆ ทั่วประเทศและจัดลำดับคิวในการรับอวัยวะของแต่ละศูนย์ ยกเว้นกรณีฉุกเฉินที่มีผู้ป่วยตับวายเฉียบพลันซึ่งเข้าเกณฑ์ที่สภากาชาดกำหนดจะได้จัดลำดับพิเศษเป็นคิวแรก เนื่องจากภาวะดังกล่าวเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่จะทำให้คนไข้เสียชีวิตหากไม่ได้รับการปลูกถ่ายตับทันเวลา

เมื่อมีผู้บริจาคตับเข้ามาที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ จะตรวจสอบข้อมูลของผู้บริจาคและแจ้งไปยัง ศูนย์ปลูกถ่ายตับ ลำดับแรกที่มีผู้ป่วยที่เข้ากันได้กับผู้บริจาคตับ จากนั้นทางศูนย์ปลูกถ่ายตับที่ได้รับตับจะแบ่งทีมศัลยแพทย์ออกเป็น 2 ทีมและดำเนินตามขั้นตอนดังนี้

ทีมศัลยแพทย์ทีมแรกจะทำหน้าที่ผ่าตัดนำตับออกจากตัวของผู้บริจาค โดยจะตรวจดูความสมบูรณ์ของอวัยวะว่าสามารถนำมาปลูกถ่ายได้หรือไม่ ถ้าหากอวัยวะมีความสมบูรณ์สามารถนำมาปลูกถ่ายได้ก็จะต้องนำอวัยวะแช่ในน้ำหล่อเลี้ยงแล้ว แช่เย็นไว้ที่อุณหภูมิประมาณ 4 องศาเซลเซียส เพื่อนำมาปลูกถ่ายให้กับผู้รอรับอวัยวะ ระยะเวลาระหว่างการนำอวัยวะออกจากร่างผู้บริจาค และนำอวัยวะมาปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยไม่ควรจะมากกว่า 16-17 ชั่วโมง เนื่องจากตับที่นำออกจากร่างกายของผู้บริจาคไม่สามารถมีชีวิตอยู่นานกว่า 24 ชั่วโมง

ขณะที่ทีมศัลยแพทย์ไปรับอวัยวะจากผู้บริจาค โรงพยาบาลก็จะเรียกตัวผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะมาเตรียมตัวในการผ่าตัด เจาะเลือด เช็คเลือด เตรียมเลือดสำรองสำหรับใช้ในการผ่าตัดและทำสิ่งที่จำเป็นสำหรับเตรียมการผ่าตัดเปลี่ยนตับ แล้วศัลยแพทย์อีกทีมจะเริ่มทำการผ่าตัดในผู้ที่จะรับอวัยวะโดยจะจัดเวลาให้พอดีกับเวลาที่ตับที่รับบริจาคจะเดินทางมาถึง เพื่อให้เวลาที่นำตับออกจากผู้บริจาคจนปลูกถ่ายเสร็จสิ้นทันในเวลา 16-17 ชั่วโมง

เมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัดปลูกถ่ายตับผู้ป่วยจะต้องพักฟื้นอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ และสังเกตการทำงานของตับที่ได้รับการปลูกถ่ายใหม่ว่า สามารถทำงานได้ปกติหรือไม่ โดยต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 2-4 สัปดาห์ แพทย์จึงจะอนุญาตให้กลับบ้านและสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทำงาน และออกกำลังกายได้ ffpหลังจากกลับบ้านไปแล้วนั้นผู้ป่วยจะต้องดูแลสุขภาพตัวเองดังนี้คือ ต้องรับประทานยากดภูมิไปตลอดชีวิตโดยจะสามารถลดขนาดยาได้เมื่อเวลาผ่านไป เพื่อป้องกันร่างกายต่อต้านอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่าย ดังนั้นภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยจะต่ำกว่าคนทั่วไปจึงต้องระมัดระวังดูแลตัวเองให้ห่างจากการติดเชื้อ นอกจากนั้นยังต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายตามที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ

โรงพยาบาลราชวิถี นับเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในสังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ที่สามารถผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะได้ตั้งแต่ปี 2531 และยังเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่สามารถผ่าตัดปลูกถ่าย 2 อวัยวะพร้อมกันคือ หัวใจและปอด สำเร็จเป็นแห่งแรกของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2532 และต่อมาเริ่มผ่าตัดปลูกถ่าย ตับ ไต รวมถึงเนื้อเยื่อกระจกตา จนถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะมากกว่า 400 ราย และปลูกถ่ายกระจกตามากกว่า 1 พันราย

ปัจจุบันโรงพยาบาลราชวิถีมีการผ่าตัดปลูกถ่ายตับให้กับผู้ป่วยไปแล้ว 36 ราย ตั้งแต่ปี 2539 โดยในแต่ละรายจะมีมีค่าใช้จ่ายในการปลูกถ่ายอยู่ที่ประมาณ 4-5 แสนบาท ยังไม่รวมค่ายากดภูมิ อีกเดือนละประมาณ 1 หมื่นบาท ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่ที่มาทำการรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถีไม่สามารถที่จะจ่ายค่ารักษาได้ จึงทำให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยการสนับสนุนของมูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี แต่ด้วยงบประมาณที่มีอยู่จำกัดจึงไม่สามารถผ่าตัดปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยได้มากเท่าที่ควร

จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนบริจาคซื้อเครื่องมือแพทย์กับโรงพยาบาลราชวิถี โดยสามารถร่วมบริจาคได้ที่ชื่อบัญชี “เงินบริจาคของโรงพยาบาลราชวิถี” หมายเลขบัญชี 051-276128-1 ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาโรงพยาบาลราชวิถี  (ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า) หรือ สอบถามโทร 02 – 3548108 -37 ต่อ 3032 หรือกรอกข้อมูลผ่าน http://www.rajavithi.go.th

 

“วิฟ เอเชีย” เปิดสัปดาห์ธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์และคน กลางเดือนมี.ค.นี้

alivesonline.com : VIV worldwide เครือข่ายธุรกิจที่เชื่อมโยงผู้ประกอบวิชาชีพต่าง ๆ ตั้งแต่อาหารสัตว์จนถึงอาหารคน งานแสดงสินค้า VIV, VIV Online 24/7 และเวทีการค้า กำหนดจัดงาน “VIV Asia 2019” (วิฟ เอเชีย 2019) ระหว่างวันที่ 13-15 มีนาคม 2562 เต็มพื้นที่ของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ ถือเป็นงานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับธุรกิจอาหารสัตว์-อาหารคนที่ดีที่สุดในเอเชีย ครอบคลุมการผลิตโปรตีนปศุสัตว์ทุกสายพันธุ์และห่วงโซ่อาหารครบวงจร พร้อมกันนั้นยังจัดให้มีงาน “6th Global Feed and Food Congress – การประชุมระดับโลกว่าด้วยอาหารสัตว์และอาหารคนครั้งที่ 6” หรือ GFFC ภายใต้หัวข้อการประชุมหลัก “อนาคตของอาหารสัตว์และอาหารคน – เราพร้อมหรือยัง?” ระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมแชงกรี-ลา

งาน “วิฟ เอเชีย 2019” เป็นงานที่ผู้บริหารในแวดวงอุตสาหกรรมผลิตโปรตีนจากสัตว์ทั่วภูมิภาคเอเชียจะมาพบกับผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายมากประสบการณ์และน่าเชื่อถือที่พวกเขาต้องการสำหรับธุรกิจของตน โดยผู้เข้าร่วมงานจะเป็นตัวแทนบริษัทที่คิดและวางแผนเพื่ออนาคตในการทำธุรกิจเกี่ยวกับเนื้อสัตว์ ไข่ นม และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

การจัดงานในครั้งนี้จะมีผู้จัดแสดงสินค้าจำนวน 1,250 ราย จาก 60 ประเทศทั่วโลก ทั้งในส่วนของผู้นำตลาดระดับโลกที่มีชื่อเสียง รวมทั้งผู้เล่นระดับภูมิภาคและระดับประเทศของเอเชียที่ทวีความสำคัญซึ่งจะมาแสดงสินค้าและบริการใหม่ล่าสุดสำหรับผู้ผลิตและผู้แปรรูปโปรตีนจากสัตว์ทุกราย โดยคาดว่าจะมีผู้ร่วมชมงานมากกว่า 5 หมื่นราย

สุดยอดในด้านเครื่องมือและสินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่

นวัตกรรมต่าง ๆ จะจัดแสดงที่บูธในงานแสดงสินค้า ซึ่งผู้เข้าร่วมงานสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าใหม่ ๆ มากมายที่รอนำเสนอในงาน “วิฟ เอเชีย 2019” ได้จากรายชื่อในเว็บไซต์ VIV Online 24/7 ช่องทางใหม่ จาก VIV worldwide (เข้าถึงได้ทาง www.viv.net)

ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่ Linzhou Animore โพสต์ลงใน VIV Online กล่าวถึง NCG ซึ่งเป็นสารเติมแต่งอาหารสัตว์ตัวใหม่ ขณะที่ Vetpharma รายงานการขึ้นทะเบียนยา Keytil ในยุโรป สำหรับการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจของวัว ข้อมูลของ Kemin มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทดสอบผลิตภัณฑ์ Clostat สำหรับสุกรในฟาร์มของเวียดนาม นอกจากนี้ ZhengChang ยังประกาศติดตั้งอุปกรณ์เพื่อผลิตอาหารสัตว์สำหรับปศุสัตว์และสัตว์ปีกในบังคลาเทศ ส่วน Dinnissen พูดถึง Productivity Platform บนคลาวด์ และ Delacon อ้างถึงการสำรวจกลุ่มผู้บริโภคเกี่ยวกับสารเติมแต่งอาหารสัตว์ที่ทำจากพืช เป็นต้น

สุดยอดในด้านการประชุมวิชาการว่าด้วยโปรตีนจากสัตว์

หน้าเพจลงทะเบียนผู้เข้าร่วมงานงานที่ www.vivasia.nl ในขณะนี้ ยังเปิดให้จองออนไลน์เพื่อเข้าร่วมประชุมและสัมมนาหลากหลายหัวข้อที่จัดขึ้นในงาน “วิฟ เอเชีย 2019” โดยการประชุมและสัมมนาทางวิชาการส่วนใหญ่ที่จัดขึ้น ณ ไบเทค จะดำเนินการเป็นภาษาอังกฤษ ดังนี้

วันพุธที่ 13 มีนาคม 2562 การประชุมว่าด้วยการดูแลสุขภาพสัตว์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง, การประชุมเกี่ยวกับสุกรที่เน้นด้านอาหารสัตว์, การประชุมเกี่ยวกับสุขภาพสุกรและการทำฟาร์มสุกรขั้นสูง รวมทั้งหลักสูตรระยะสั้นเกี่ยวกับการทำอาหารสัตว์น้ำอัดเม็ด, การประชุมว่าด้วยแนวโน้มของสัตว์ปีก ซึ่งเป็นการประชุมโดย World Veterinary Poultry Association ประจำประเทศไทย ซึ่งระบุว่าเนื้อสัตว์ปีกเป็น “โปรตีนที่มีคุณค่าต่อสุขภาพมนุษย์”

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 การประชุมในหัวข้อ “แนวโน้มอาหาร & เทคโนโลยีในอาเซียน” ที่พยายามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิศวกรรมอาหารที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในงานแสดงสินค้าครั้งนี้, การประชุมของสมาคมไทยโฮลสไตน์ฟรีเชียน (Thai Holstein Friesian Association) เกี่ยวกับการจัดการอาหารสัตว์สำหรับโคนมในเขตร้อน นอกจากนั้นยังมี การประชุม International Pig Forum Asia และการให้ความสำคัญด้านกลยุทธ์ในการจำกัดการสนับสนุนการเพิ่มยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ รวมถึง “Aquatic Asia 2019” สำหรับภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ, การประชุมเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารสัตว์และอาหารคนในเอเชีย, การประชุมของ Federation of Asian Veterinary Associations (สมาพันธ์ สมาคมสัตวแพทย์แห่งเอเชีย หรือ FAVA) ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับการดื้อยาต้านจุลชีพ “จากวิทยาศาสตร์สู่นโยบาย”

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 การประชุมว่าด้วยอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ที่จะจัดขึ้นเต็มวันภายใต้ชื่อ “Meat 360°”

เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงงาน “วิฟ เอเชีย 2019” มีการเปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้าออนไลน์ผ่านทาง www.vivasia.nl ซึ่งทำให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถเข้าชมงานแสดงสินค้าผ่านจุดเข้าต่าง ๆ ได้หลายจุดโดยไม่เสียเวลาในการรอคิว ทั้งยังเพิ่มความสะดวกด้วยการแสดงบาร์โค้ดเพื่อพิมพ์บัตรเข้างานได้ทันที.

“ไรซ์ บัดดี้” ตีตลาดสแน็คแดนมังกร ตั้งเป้าปีแรกโกย 150 ล้านบาท

alivesonline.com : “ไวด์ เฟธ ฟู้ด” ผู้ผลิตข้าวแผ่นอบกรอบเพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “ไรซ์ บัดดี้” แต่งตั้ง “เซี่ยงไฮ้ เชายู เทรดดิ้ง” ขยายตลาดส่งออกทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ตั้งเป้ายอดขายในจีนปีแรก 150 ล้านบาท พร้อมลั่นขึ้นแท่นผู้นำตลาดสแน็คเพื่อสุขภาพในจีนภายใน 5 ปี

นายโอลิเวอร์ เย้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไวด์ เฟธ ฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตข้าวแผ่นอบกรอบเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ “ไรซ์ บัดดี้” ในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญากับ “เซี่ยงไฮ้ เชายู เทรดดิ้ง” (SHANGHAI SHOUYU TRADING CO., LTD.) จากประเทศจีน ให้เป็นผู้แทนจำหน่ายข้าวแผ่นอบกรอบ “ไรซ์ บัดดี้” ในประเทศจีนอย่างเป็นทางการ โดยสินค้าของ “ไรซ์ บัดดี้” ที่จะจำหน่ายในประเทศจีนประกอบด้วยสแน็คหลายประเภทซึ่งทำจากข้าวขาวและข้าวกล้อง เป็นต้น โดยสินค้าดังกล่าวจะจำหน่ายผ่านร้านค้ากว่า 5 พันแห่ง ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เช่น โอเล, ซิตี้ ซูเปอร์, กรีนแลนด์, แฟมิลี่มาร์ท, ลอว์สัน, อาทีมาร์ท, คาร์ฟู, เมโทร, แซมคลับ, วอลล์มาร์ท และเจดี ดอท คอม เป็นต้น โดยคาดว่าในปีแรกจะมียอดขายจากตลาดประเทศจีนประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 150 ล้านบาท

ผลิตภัณฑ์ข้าวแผ่นอบกรอบของ “ไวด์ เฟธ ฟู้ด” มีหลากหลายแบรนด์ โดยแต่ละแบรนด์อยู่ภายใต้แบรนด์หลักคือ “Master Rice” เช่น Rise Buddy, Allright, Rice Wonder Rice Bites และ Mello โดยผลิตภัณฑ์แต่ละแบรนด์มีลักษณะเป็น ขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพที่มีรสชาติไม่เหมือนใคร มีความบางและมีรสชาติที่ดีกว่าแบรนด์อื่น ๆ อีกทั้งยังใช้กรรมวิธีการอบด้วยน้ำมันรำข้าว ปราศจากกลูเตน ไร้ไขมันทรานส์ และมีไขมันน้อยกว่า 10% สอดคล้องกับกระแสด้านสุขภาพทั่วโลก

“ปัจจุบันบริษัทฯ ส่งออกสินค้าไปจำหน่ายมากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก และเพื่อการเติบโตของธุรกิจส่งออกให้มากยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงตัดสินใจขยายตลาดไปยังประเทศจีน เนื่องจากจีนเป็นตลาดใหญ่และจีดีพีสูงถึง 81.71 ล้านล้านหยวนในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ในปี 2560 ยอดขายค้าปลีกของธุรกิจอาหารที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ในประเทศจีนมีมูลค่าสูงถึง 919.1 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ถึง 11.8%. ตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศจีนจึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากการบริโภคต่อหัวยังต่ำอยู่ หรือมีมูลค่าประมาณ 86.2 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี น้อยกว่าการบริโภคสแน็คต่อหัวในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษที่สูงถึง 394.2 และ 327.5 เหรียญสหรัฐต่อหัวตามลำดับ”

นายโอลิเวอร์ กล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทฯ ยังได้มอบหมายให้ “เซี่ยงไฮ้ เชายู เทรดดิ้ง” ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเบเกอรี่และสแน็ค ซึ่งมีเครือข่ายการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง เข้ามาเป็นพันธมิตรในการทำตลาด ดังนั้น บริษัทฯ คาดว่าจะทำให้สินค้าของ “ไรซ์ บัดดี้” เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในประเทศจีนได้อย่างทั่วถึงในทุกช่องทางในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมยังช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์สินค้าได้เร็วขึ้น ด้วยจุดแข็งต่างๆ เหล่านี้ คาดว่าสินค้าของ ไวด์ เฟธ ฟู้ด น่าจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำหนึ่งในสามของแบรนด์ สแน็คเพื่อสุขภาพได้ภายใน 5 ปี

 

“โฮมโปร” โชว์ศักยภาพรับความเปลี่ยนแปลงปี 62

alivesonline.com : “โฮมโปร” โชว์ผลกำไรเฉลี่ย 29% ต่อปี เผยกลุ่มสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยอดขายพุ่งเป็นสัดส่วนถึง 30% เตรียมเสริมสินค้าเจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และกลุ่มอสังหาฯ เร่งปรับทัพใหม่ใช้เทคโนโลยีพัฒนาช่องทางจำหน่ายออนไลน์ 24 ชั่วโมง พร้อมพัฒนาระบบ ASRS ในศูนย์กระจายสินค้า ใช้หุ่นยนต์ช่วยจัดเก็บและกระจายสินค้าเพิ่มประสิทธิภาพการจ่ายสินค้า

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ“โฮมโปร” เปิดเผยว่า ตลอดปี 2561 บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น บริหารการใช้สินทรัพย์ได้คุ้มค่า รวมถึงบริหารอัตรากำไร หรือ GP ได้สูงขึ้น มีกำไรเฉลี่ย 29% ต่อปี ทำให้ภาพรวมของบริษัทฯ มีกำไรเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เติบโตไปพร้อมกับการดำเนินธุรกิจด้วยหลักบรรษัทภิบาล สร้างความโปร่งใส มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับรางวัล “องค์กรที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน” (Outstanding Sustainability Awards) และรางวัล “บริษัทที่ดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน” DJSI (Dow Jones Sustainability Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และอื่น ๆ อีกมากมาย

ในปี 2562 “โฮมโปร” จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน เริ่มตั้งแต่ชุดเครื่องแบบพนักงานที่ใช้กันในทุกระดับ ไม่มีการแบ่งแยกตำแหน่งใด ๆ เพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พร้อมมีนโยบายกระตุ้นพนักงาน ให้รู้จักการ “ปรับตัว เปลี่ยนแปลง อย่างแข็งขัน” นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยพร้อมใช้งานแอปพลิเคชัน “Home Service App” ที่มีการปรับเวอร์ชั่นใหม่เรียบร้อยแล้ว

นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า “โฮมโปร” ยังมุ่งเน้นจุดยืนการเป็นผู้นำด้าน Home Solution and Living Experience ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเน้นย้ำเรื่องสินค้าใหม่ ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อส่งมอบประสบการณ์และคุณภาพชีวิตที่ดีให้ลูกค้าได้อย่างคุ้มค่า คุ้มราคา ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนารูปแบบนวัตกรรมของสินค้าและบริการ พร้อมทั้งให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งห่วงโซ่อุปทานอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ตลอดจนถึงการส่งมอบสินค้า และบริการที่ดีให้กับลูกค้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และปลอดภัย

ปัจจุบัน “โฮมโปร” มีสินค้าตกแต่งบ้านที่พร้อมอัพเดทเทรนด์ใหม่ตลอดปีและยังจัดทำ QR Code ติดที่ป้ายราคาเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ตลอดจนคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ECO Choice 6 กลุ่มสินค้า ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของยอดขายสินค้าทั้งหมด ได้แก่ 1.กลุ่มสินค้าปลอดภัย ยอดจำหน่าย 36.6 ล้านชิ้น 2.กลุ่มสินค้าประหยัดพลังงาน ยอดจำหน่าย 3.1 ล้านชิ้น 3.กลุ่มสินค้าลดก๊าซเรือนกระจก ยอดจำหน่าย 3.5 ล้านชิ้น 4.กลุ่มสินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยอดจำหน่าย 0.9 ล้านชิ้น 5.กลุ่มสินค้าประหยัดน้ำ ยอดจำหน่าย 1.4 ล้านชิ้น 6.กลุ่มสินค้ารักษาป่าไม้ ยอดจำหน่าย 46,384 ชิ้น นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนาสินค้าของกลุ่มลูกค้าผู้สูงวัย เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอีกด้วย

นอกจากสินค้าเพื่อกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปแล้ว “โฮมโปร” ยังได้รองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ ๆ เช่น สินค้าประเภทเครื่องนอนสำหรับลูกค้ากลุ่มโรงแรมและรีสอร์ท, เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งหลากสไตล์สำหรับร้านอาหารและร้านกาแฟ รวมไปถึงกลุ่มโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น กระเบื้อง และสุขภัณฑ์ เป็นต้น

“โฮมโปร” ยังมีทีมช่างมืออาชีพผู้ชำนาญการที่มีความรู้ในงานปรับปรุงบ้านที่มีบริการครบวงจร ตรวจสุขภาพบ้าน ตรวจสอบการทำงานของระบบภายในบ้านต่าง ๆ ออกแบบ 3 D Design บริการติดตั้ง ตกแต่ง ซ่อมแซม ตรวจเช็ค และบำรุงรักษา เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งสามารถควบคุมงบประมาณและเวลาได้ตามต้องการ

นายคุณวุฒิ กล่าวด้วยว่า .ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่าย e-Commerce ได้พัฒนาขีดความสามารถของเทคโนโลยีสู่ Omni Channel เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ พร้อมช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้า และบริการของ “โฮมโปร” ผ่านช่องทางออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งบริการจัดส่ง ติดตั้ง และรับประกันคุณภาพภายใต้มาตรฐาน “โฮมโปร” และยังเสริมด้วยการวางมาตรฐานด้านระบบซัปพลายเชน ทั้งการจัดหาสินค้า การสั่งซื้อสินค้า การกระจายสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บสินค้า ด้วยการนำหุ่นยนต์มาใช้ในศูนย์กระจายสินค้า ภายใต้ระบบ ASRS โดยใช้หุ่นยนต์ในการจัดเก็บและกระจายสินค้า เพื่อความรวดเร็วในการจ่ายสินค้าได้ 24 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บสินค้า มีความทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“โฮมโปรเดินทางมายาวนานถึง 23 ปีแล้ว ในปี 2562 จึงถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้านที่สูงขึ้นทั้งเทคโนโลยี เศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบในการดำเนินงานทุกภาคส่วนในองค์กร ซึ่งต้องยอมรับว่าในวันแรกที่เราเริ่มเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่สมบูรณ์แต่เราต้องแข็งขันกับสิ่งเหล่านี้ เพื่อปรับให้สมบูรณ์อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นเราต้องยึดมั่นกับ 3 สิ่งคือ ปรับตัว ยอมรับการปรับตัว และเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้าและแข็งขันอย่างเอาจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเราทำ 3 สิ่งนี้ให้สำเร็จได้ โฮมโปร จะก้าวต่อไปแบบกราฟขึ้นตลอดยาวนาน” นายคุณวุฒิ กล่าวในตอนท้าย

เสนอพรรคการเมืองใช้ “นโยบายเกษตร” แข่งขันในตลาดโลก

alivesonline.com : สมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย แนะพรรคการเมืองไทย หยุดนโยบายประชานิยม ควรชูนโยบายหลัก เร่งสนับสนุนภาคเกษตรกรรม เน้นการเกษตรมาตรฐาน GAP ใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย พร้อมรุกตลาดต่างประเทศ นำรายได้เข้าประเทศอย่างยั่งยืน

ดร.วรณิกา นาควัชระ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย หรือ “TaiTa” เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ จึงอยากเสนอให้พรรคการเมืองต่าง ๆ หยุดนโยบายประชานิยม แต่ควรหันมาพิจารณาแนวทางที่เป็นจริงและก่อประโยชน์ต่อบ้านเมือง โดยเฉพาะนโยบายภาคการเกษตรอันเป็นรายได้หลักของประเทศ คิดเป็นร้อยละ 10 ของ GDP โดยมีพืชเศรษฐกิจนำรายได้เข้าประเทศมากมายหลายชนิด อาทิ ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ยางพารา ทุเรียน มังคุด แต่ปัจจุบันยังขาดการบริหารจัดการที่ดี ขาดการส่งเสริมอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในหลายด้านและไม่สามารถเติบโตได้ตามที่ควรจะเป็น

ภาครัฐบาลได้พยายามส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก แต่สมาคมฯ เห็นว่า ประเทศไทยจะต้องเป็น จุดศูนย์กลางของอาหารโลกที่มีคุณภาพและพัฒนาให้เป็นแบรนด์ของประเทศในอนาคต โดยการบรรลุสู่เป้าหมายดังกล่าวจำเป็นต้องพัฒนาตั้งแต่จุดเริ่มต้น เกษตรกร ปัจจัยการผลิต ระบบการเพาะปลูก การส่งเสริมและสนับสนุน จนถึงการตลาดและจัดจำหน่าย

สมาคมฯ ขอเสนอ 3 นโยบายหลักด้านการเกษตรให้พรรคการเมืองนำไปเป็นนโยบายพรรค ได้แก่ 1.เกษตรกรสร้างชาติ เป็นการส่งเสริมความรู้ให้เกษตรกรอย่างเป็นระบบ ประสานร่วมกับภาคเอกชน อุตสาหกรรม และรัฐ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติได้จริง รวมทั้งเชิญนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรในสาขาต่าง ๆ ที่มีประสบการณ์ เข้ามาพัฒนาภาคการเกษตร ไม่ใช่ให้ผู้ที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์มาบริหาร หรือจัดการภาคเกษตร 2.เกษตรมาตรฐาน GAP ใช้สารเคมีปลอดภัย ส่งเสริมความรู้การเกษตรมาตรฐาน GAP ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในหลายประเทศใช้มาตรฐานนี้ในการกีดกันสินค้าจากไทย ปัจจุบันภาครัฐให้เกษตรกรใช้มาตรฐาน GAP โดยสมัครใจ ควรกำหนดให้เป็นมาตรฐานหลักที่ทุกภาคเกษตรต้องปฏิบัติ 3.ราคากลางสินค้าเกษตร ปัจจุบันภาครัฐมีการกำหนดราคากลางสินค้าในหลายประเภท จึงอยากพิจารณาราคากลางสินค้าเกษตรบ้าง ตามความเหมาะสมเพื่อผลประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้บริโภค

“ปัญหาหลักของภาคเกษตรไทยคือ ยังหลงประเด็นกับการจัดการปัญหาที่ไม่ตรงจุด เรียกว่าเป็นการแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่ อาทิ การระดมสมองเพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรระดับประเทศ กลับให้หน่วยงานอื่นที่ขาดความรู้ ข้อเท็จจริง และข้อมูลวิทยาศาสตร์มาตัดสิน หรือการสร้างโอกาสในการแข่งขันสินค้าเกษตรควรพัฒนาเกษตรมาตรฐาน GAP ใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติได้รับการยอมรับทั่วโลก ให้ความรู้เกษตรกรในการเพาะปลูกทุกขั้นตอนให้มีความปลอดภัย โดยใช้สารเคมีอย่างเหมาะสม ถูกต้อง ตามสภาพแวดล้อมของแต่ละคน หากใครไม่ต้องการใช้สารเคมีก็มีแนวทางแนะนำ หากใครต้องการใช้สารเคมีก็มีวิธีการควบคุม เหมือนการทำงานของแต่ละคน บางคนขับรถ บางคนนั่งรถเมล์ บางคนนั่งรถไฟฟ้า บางคนเดินไปทำงาน ภาครัฐไม่สามารถบังคับให้ทุกคนนั่งรถไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ เพราะสภาพแวดล้อมแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นการกำหนดแนวทางจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทย” ดร. วรณิกา กล่าวในตอนท้าย

“วีซ่า-Siam Hop” พัฒนาระบบ “รถบัสนำเที่ยวอัจฉริยะ” รับชำระเงินออนไลน์

‘สุริพงษ์ ตันติยานนท์’ (ขวา) ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย ร่วมกับ ‘จิระเดช ห้วยหงส์ทอง’ (ซ้าย) ประธานบริษัท โทเทล บิช คอนเนค จำกัด และ ‘ธนะบดี วัชรเสถียร’ (กลาง) รองประธานฝ่ายการตลาด บริษัท โทเทล บิซ คอนเนค จำกัด เปิดให้บริการ “Siam Hop” รถบัสนำเที่ยวอัจฉริยะรายแรกในประเทศไทยที่เปิดรับชำระเงินผ่านบัตรวีซ่าทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์

alivesonline.com : “วีซ่า” ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลระดับโลก ร่วมมือกับ Siam Hop ผู้ให้บริการรถบัสนำเที่ยวอัจฉริยะ พัฒนาระบบการท่องเที่ยวและคมนาคม ใช้รถบัสนำเที่ยวอัจฉริยะรายแรกในประเทศไทยเปิดรับชำระเงินผ่านบัตรวีซ่าทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์

นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า การประกาศรับชำระเงินผ่านบัตรวีซ่า โดย Siam Hop จะช่วยเพิ่มความสะดวกและวิธีการชำระเงินให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังกรุงเทพมหานคร และมีไลฟ์สไตล์แบบไม่พกเงินสด การเป็นพันธมิตรร่วมกันระหว่าง “วีซ่า” และ “Siam Hop” ในครั้งนี้จะช่วยให้สามารถบริการลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงการเพิ่มศักยภาพในระบบการเดินรถในกว่า 50 จุด ซึ่งมีเส้นทางครอบคลุมถึงสี่เส้นทางท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

การเพิ่มจุดชำระเงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหนึ่งในเรื่องที่ “วีซ่า” ให้ความสำคัญสูงสุดสำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันดับต้น ๆของโลก จึงทำให้ร้านค้าพันธมิตรของเราต่างต้องการที่จะพัฒนาการให้บริการและความพึงพอใจของลูกค้า รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การเติบโตทางธุรกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย

นายสุริพงษ์ ยังเปิดเผยถึงผลสำรวจเกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวระดับโลกของ “วีซ่า” (Visa Global Travel Intentions Study) ว่า ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายการเดินทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก (13%) และนักท่องเที่ยวจากเอเชียแปซิฟิก (18%) และการเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและขยายจุดชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ จึงเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตยิ่งขึ้น

ระบบการชำระเงินมาตรฐานสากลแบบเปิดสำหรับทุกเครือข่ายยังช่วยให้ผู้โดยสารสามารถจ่ายค่าเดินทางได้ผ่านบัตรเครดิต หรือเดบิตของธนาคารที่มีเทคโนโลยีแบบไร้สัมผัสซึ่งให้บริการโดยผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงิน รวมถึง “วีซ่า” โดยหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือมหานครลอนดอนซึ่งแต่ละวันมีผู้โดยสารเดินทางกว่า 2.5 ล้านคน โดยชำระค่าเดินทางผ่านบัตรที่ใช้เทคโนโลยีไร้สัมผัสสำหรับทุกเครือข่ายการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น รถบัส รถไฟใต้ดิน เรือ และรถไฟ จากความสำเร็จในครั้งนั้น “วีซ่า” จึงได้เปิดระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัสเพื่อเดินทางด้วยขนส่งมวลชนในอีก 46 เมือง และกำลังดำเนินการในอีก 66 เมือง โดยทั้งหมดล้วนเป็นการดำเนินงานร่วมกับผู้ให้บริการท้องถิ่น

“ประโยชน์ที่ผู้โดยสารจะได้รับคือ ไม่จำเป็นต้องพกบัตรเสริม หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ในการชำระเงิน โดยพวกเขาสามารถใช้บัตรพลาสติกแบบไร้สัมผัสที่ออกโดยธนาคาร หรือสมาร์ทโฟนในการชำระเงินค่าเดินทางได้ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนผู้ที่เข้าคิวในการเติมเงินเข้าในบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ระบบปิด หรือ Closed-Loop Cards จึงทำให้พวกเขาสามารถเดินทางจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น”

ระบบการชำระเงินมาตรฐานสากลแบบเปิดสำหรับทุกเครือข่ายยังช่วยเพิ่มข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการขนส่ง โดยอ้างอิงจากการสำรวจผลวิจัย “เมืองไร้เงินสด” ของ “วีซ่า” ซึ่งพบว่า การชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งที่รัฐบาลต้องแบกรับ ทั้งยังเผยให้เห็นอีกว่าบริษัทขนส่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 14.5 เซนต์สหรัฐ ในทุก ๆ การรับเงินสด เมื่อเทียบกับการรับเงินในรูปแบบดิจิทัลที่มีต้นทุนเพียง 4.2 เซนต์สหรัฐ

“วีซ่าต้องการที่จะเป็นช่องทางการชำระและรับเงินที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนและทุกที่ เรายังต้องการช่วยให้ระบบขนส่งนั้นรวดเร็ว ง่าย และปลอดภัยสำหรับผู้ถือบัตรทุกคนไม่ว่าจะเดินทางด้วยรถยนต์ หรือขนส่งสาธารณะก็ตาม เราจึงมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรร่วมกับธนาคาร ร้านค้า และรัฐบาลในการขยายช่องทางการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยและใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำงานของเราจากทั่วโลกในการช่วยยกระดับประเทศไทยสู่สังคมไร้เงินสดและสนับสนุนเศรษฐกิจให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายสุริพงษ์ กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นายจิระเดช ห้วยหงส์ทอง ประธานบริษัทโทเทล บิช คอนเนค จำกัด ผู้ให้บริหาร “Siam Hop” กล่าวว่า จากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เริ่มเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะเรื่องการชำระเงิน จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องการจะเพิ่มช่องทางการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการรถบัสนำเที่ยวของเรา โดยผู้โดยสารสามารถใช้บัตรวีซ่าในการซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าก่อนการเดินทางได้ หรือตามจุดรับคนที่เรามีให้บริการทั่วกรุงเทพมหานครตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป จึงเชื่อว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ “Siam Hop” มีโอกาสที่จะแสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมและสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

ความร่วมมือระหว่าง วีซ่า และ Siam Hop แสดงให้เห็นว่าระบบการชำระเงินดิจิทัลมาตรฐานสากลแบบเปิดสำหรับทุกเครือข่าย ในรถโดยสารนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับระบบขนส่งมวลชนของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ระบบขนส่งรถไฟใต้ดิน รถบัส และเรือโดยสารสาธารณะ

“ไฟร์เทรดฯ” เดินแผนขยายระบบดับเพลิงโรงงานอุตสาหกรรม

alivesonline.com : FTE ตั้งเป้ารายได้โต 10% แตะ 1,130 ล้านบาท รักษาอัตรากำไรสุทธิ 12-13% ปรับกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง ขยายฐานลูกค้าเจาะกลุ่มโรงงานทั่วประเทศ เตรียมสร้างคลังสินค้าเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บ-บริหารจัดการต้นทุนดีขึ้น เล็งนำเข้าสินค้าใหม่เพิ่มโอกาสแข่งขัน เผย Backlog 400 ล้านบาท มั่นใจกวาดงานประมูลต่อเนื่อง รักษามาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่ง

นายทักษิณ ตันติไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ FTE ผู้นำธุรกิจนำเข้าและจำหน่าย บริการออกแบบ รับเหมาติดตั้ง ซ่อมแซม ตรวจสอบอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมปีนี้ 10% หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 1,130 ล้านบาท รักษาอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 12-13% โดยแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้ ประกอบด้วย การขยายฐานลูกค้างานรับเหมาออกแบบติดตั้งระบบฯ โดยเน้นการเจาะกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงไม่พึ่งพาฐานลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตั้งเป้ารับงานรับเหมาออกแบบติดตั้งระบบฯ  โรงงานมูลค่ารวมประมาณ 200-300 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังเตรียมก่อสร้างคลังสินค้าขนาดพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ตั้งอยู่ที่ถนนลาดกระบัง เพื่อรองรับการขนส่งสินค้านำเข้าจากท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการจัดเก็บสินค้าให้มีประสิทธิภาพและสามารถบริหารควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น

สำหรับเงินลงทุนจะจากการระดุมทุน IPO ประมาณ 190 ล้านบาท รวมถึงกระแสเงินสดในกิจการ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังจะนำเข้าสินค้าใหม่ให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกและเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน

ส่วนมูลค่างานในมือ (Backlog) ปัจจุบันมีประมาณ 400 ล้านบาท แบ่งเป็นงานจัดจำหน่าย 130 ล้านบาท งานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิง 270 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างรอผลพิจารณางานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิงเพิ่มเติมอีก 20 โครงการ มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท คาดว่าบริษัทฯ จะได้รับงานประมาณ 150 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเข้าประมูลงานของทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง

“ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงและยังมีความเสี่ยงเรื่องความล่าช้าของโครงการภาครัฐ ภาวะชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดมิเนียม บริษัทฯ จึงมีการปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน  ประกอบกับความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนของบริษัทฯ ดีขึ้น โดยเชื่อว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตและอัตราการทำกำไรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ อีกทั้งสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง”นายทักษิณ กล่าว

HQ เปิดตัว “เวิร์คสเปซ” สำหรับคนยุคใหม่แห่งแรกในไทย

alivesonline.com  : HQ ผู้ให้บริการเช่าพื้นที่สำนักงานชั้นนำภายใต้เครือ IWG ผู้นำธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่สำนักงานระดับโลกและผู้ดำเนินการบริหารบริษัทพื้นที่ทำงานชั้นนำทั่วโลก ได้แก่ รีจัส และสเปซเซส เปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ ถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS สนามเป้า

‘โนเอล โค้ก’ ผู้อำนวยการใหญ่ HQ ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า HQ อยู่ภายใต้การบริหารงานของเครือ IWG ผู้นำอุตสาหกรรมให้บริการเช่าพื้นที่สำนักงานระดับโลกและผู้ดำเนินการบริหารบริษัทพื้นที่ทำงานชั้นนำทั่วโลก ได้แก่ รีจัส และสเปซเซส มีเป้าหมายในการนำเสนอพื้นที่ทำงานสำหรับมืออาชีพและฟรีแลนซ์ในกรุงเทพฯ ด้วยสถานที่ที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานและส่งมอบคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ โดยการเปิดตัว HQ สาขาแรก ตั้งอยู่บนชั้น 10 ของอาคารเอสพีอี ทาวเวอร์ แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงาน 910 ตารางเมตร ประกอบด้วยห้องทำงาน 60 ห้อง พื้นที่ทำงาน 188 ที่นั่ง และห้องประชุม 2 ห้อง พร้อมกับทางออกของการทำงานที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการการใช้พื้นที่ทำงานทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโค เวิร์คกิ้ง, เลานจ์, ออฟฟิศส่วนตัว และห้องประชุม

การเปิดตัว HQ สาขาแรกในกรุงเทพฯ ถือเป็นการตอบโจทย์พื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้และมีความสำคัญสำหรับเหล่าคนทำงาน ฟรีแลนซ์ และธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทย โดยมั่นใจว่า HQ จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เวิร์คสเปซระดับโลกที่ตอบสนองความต้องการพื้นที่ทำงานในกรุงเทพฯได้เป็นอย่างดี โดยออกแบบมาเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพปราศจากการรบกวน ความยุ่งยาก ปัญหาเรื่องเทคโนโลยี และราคาที่ไม่แพงเกินไป ทั้งยังมีพื้นที่ทำงานสำหรับทุกคนตั้งแต่องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ไปจนถึงฟรีแลนซ์ต่าง ๆ แม้ว่าลูกค้าจะต้องการพื้นที่ทำงานสำหรับ 1 คน หรือ 1,000 คน เวิร์คสเปซแห่งนี้นำเสนอเงื่อนไขการใช้งานต่าง ๆ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้และมีราคาที่เหมาะสมเพื่อให้ทุกคนมาใช้บริการได้ นอกจากั้น ยังมีแอปพลิเคชั่นที่ลูกค้าสามารถจองห้องประชุม หรือจองพื้นที่ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง

HQ เล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่กำลังขยายตัวด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นของคนทำงานยุคใหม่แบบไร้ออฟฟิศ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็ได้รับผลดีจากความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น ลดค่าใช้จ่ายการเช่าสถานที่ ตลอดจนเพิ่มความสุขในการทำงานให้แก่พนักงาน จึงมีวิสัยทัศน์ที่จะนำข้อดีเหล่านี้มาใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจทุกขนาดและทุกขั้นตอน ยกตัวอย่างเช่น ฟรีแลนซ์และเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการย้ายที่นั่งทำงานจากห้องนั่งเล่น หรือร้านกาแฟมาเป็นสถานที่ทำงานที่สะท้อนความเป็นมืออาชีพ HQ นำเสนอความต้องการพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนให้การทำงานประสบผลสำเร็จและได้ผลงานที่มีคุณภาพ ตลอดจนส่งมอบคุณค่าที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น

 

“จ่าย ไหว้ กิน รับตรุษจีน กับบัตรเครดิตกรุงศรี”

 

บัตรเครดิตกรุงศรี ชวนสมาชิกบัตรฉลองตรุษจีน รับปีหมูทองกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ “จ่ายไหว้กินกับบัตรเครดิตกรุงศรี” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 พร้อมเอาใจขาช้อป มอบส่วนลดและเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 17% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิ บลูพอร์ต, เซ็นทรัล, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์, พารากอน, โรบินสัน, สยามทาคาชิมายะ, เดอะมอลล์ และเซน ช้อปของไหว้สุดคุ้มรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18% ทุกศุกร์-อาทิตย์ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำที่ร่วมรายการ และสำหรับสายกิน ฟินกับแคมเปญ “กิน รูด รับ”  รับคุ้ม 2 ต่อ คือ ต่อที่ 1 รับส่วนลดสูงสุด 20% และต่อที่ 2 รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 600 บาท เมื่อทานอาหารครบ 1,000 บาทขึ้นไปต่อเซลล์สลิป ที่ร้านอาหารชื่อดังกว่า 530 สาขาทั่วประเทศ รายละเอียดเพิ่มเติม  www.krungsricard.com