แนะพรรคการเมืองชูนโยบาย “ท่องเที่ยว” หาเสียง มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ


alivesonline.com : เจ้ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ ปลื้มผลการทำงานแบบบูรณาการของทุกภาคส่วนสอดรับนโยบาย
“สะดวก สะอาด ปลอดภัย ได้เอกลักษณ์ และยั่งยืน” มั่นใจแนวโน้มท่องเที่ยวไทยปี 62 ยังโตไม่หยุด คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งเกิน 40 ล้านคน ทำรายได้รวม 3.33 ล้านล้านบาท ปลื้ม “ท่องเที่ยวเมืองรอง” ได้ผลเกินคาด มี 18 เมืองรองที่รายได้จากการท่องเที่ยวขยายตัวสูงกว่าภาพรวมของเมืองรองทั้งหมด พร้อมแนะพรรคการเมืองใช้นโยบายพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หาเสียงมัดใจประชาชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและกระจายรายได้สู่ภูมิภาค

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในปี 2561 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว 3.07 ล้านล้านบาท สูงเป็นลำดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา สเปน และฝรั่งเศส ตามลำดับ โดยมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 38.27 ล้านคน เติบโตขึ้น 7.54% มีรายได้ทั้งสิ้น 2.01 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้น 9.63% โดยรายได้กว่า 1 ใน 4 มาจากนักท่องเที่ยวชาวจีนและมาเลเซีย รวมกว่า 1 แสนล้านบาท ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายต่อวันต่อคน 5,557 บาท เพิ่มขึ้น 3.43% แต่ใช้ระยะเวลาพำนักน้อยลง .01 วัน เหลือ 9.44 วัน อันเนื่องมาจากข้อจำกัดเรื่องเวลาของนักท่องเที่ยวเอง ขณะที่ในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวไทยมีจำนวน 164 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้รวม 1.06 ล้านบาท

รายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในปี 2561 ยังมีมูลค่าสูงคิดเป็นสัดส่วนถึง 19% ของอัตราการเติบโตทางจีดีพีของประเทศ แบ่งเป็นสัดส่วนจีดีพีการท่องเที่ยวทางตรงต่อจีดีพีประเทศ 7% และจีดีพีทางอ้อม 12% สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกระจายใน 12 สาขา ได้แก่ ที่พัก 23% คมนาคมขนส่ง 23% ร้านอาหาร 19% สินค้าและของที่ระลึก 14% และอื่น ๆ 21% ทั้งยังก่อให้เกิดการจ้างงานด้านการท่องเที่ยว 4.385 ล้านคน

จากข้อมูลดังกล่าว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จึงคาดการณ์สถานการณ์การท่องเที่ยวไทย โดย “การวิเคราะห์อนุกรมเวลา” (Time Series) ด้วยการใช้ฐานข้อมูลเชิงปริมาณที่จัดเก็บไว้มาแปลงข้อเท็จจริงในอดีตไปพยากรณ์คาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ว่า ในปี 2562 ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นประมาณ 7.5% คิดเป็นจำนวน 41.1 ล้านคน คิดเป็นรายได้ 2.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% ขณะที่ในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวไทยจะเพิ่มขึ้น 3% คิดเป็น 166 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้รวม 1.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% คิดเป็นรายได้รวมจากการท่องเที่ยวทั้งสิ้นประมาณ 3.33 ล้านบาท

นายวีระศักดิ์กล่าวอีกว่า ความสำเร็จด้านรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวดังกล่าวเกิดขึ้นจากการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันของทุก ๆ ฝ่าย ทั้ง ด้านการขับเคลื่อนนโยบายและแผน โดย สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ด้านการส่งเสริมการตลาด โดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านการพัฒนาการท่องเที่ยว โดย กรมการท่องเที่ยว และด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดย สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นไปตามนโยบายสำคัญที่ตนมอบไว้ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1560 คือ 1.การให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ 2.การท่องเที่ยวต้อง “สะดวก สะอาด ปลอดภัย ได้เอกลักษณ์ และยั่งยืน” 3.การจัดตั้งคลินิกด้านการท่องเที่ยว และ 4.การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ซึ่งหลายอย่างกำลังเดินหน้าไปด้วยดี

“สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดจากการทำงานภายใต้นโยบายดังกล่าวคือ การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำของรายได้และสร้างความเป็นธรรมให้แต่ละชุมชนได้อย่างชัดเจน โดยพบว่า รายได้จากการท่องเที่ยวเมืองรองขยายตัวสูงจากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้เยี่ยมเยือน โดยมี 18 เมืองรองที่รายได้จากการท่องเที่ยวขยายตัวสูงกว่าภาพรวมของเมืองรองทั้งหมด โดย บุรีรัมย์ มีรายได้ขยายตัวสูงสุด 55.04% คิดเป็นจำนวนเงิน 4,247 ล้านบาท ตามมาด้วย สุรินทร์ ขยายตัว 13.09% คิดเป็นจำนวนเงิน 3,026 ล้านบาท และราชบุรี ขยายตัว 12.58% คิดเป็นจำนวน 4,197 ล้านบาท”

ในส่วนของจำนวนนักท่องเที่ยวที่กระจายตัวสู่เมืองรองยังมีสัดส่วนขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ซึ่งมีเพียง 50 ล้านคน เป็น 90 ล้านคนในปี 2561 ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวในเมืองรองคิดเป็น 29.76% และเมืองหลัก 70.27% โดยนักท่องเที่ยวเมืองรองที่ขยายตัวสูงสุด 2 ลำดับแรกคือ ราชบุรี มีการขยายตัวจากปี 2557-2561 คิดเป็น 14% และชัยนาท 13% ขณะเดียวกันการสร้างจุดขายทางการท่องเที่ยวด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย ยังส่งผลให้การท่องเที่ยวกระจายรายได้สู่เมืองรองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นรายได้รวม 2.66 แสนล้านบาท โดยเฉพาะ บุรีรัมย์ เน้นการท่องเที่ยวเชิงกีฬา มีจำนวนผู้มาเยือนเพิ่มขึ้น 21% ในปี 2561 และมีรายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 27% ในปี 2557-2561 ส่วน ราชบุรี เน้นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ศิลปะ และวัฒนธรรม มีรายได้ในปี 2557-2561 ขยายตัว 23% และมีผู้มาเยือนขยายตัว 7.65% ในปี 2561

นายวีระศักดิ์ กล่าวด้วยว่า นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองยังทำให้เมืองรองมีสัดส่วนรายได้การท่องเที่ยวจากผู้มาเยี่ยมเยือนต่อรายได้เมืองรองทั้งหมด แบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีรายได้เติบโตต่ำกว่า 5% มีจำนวน 3 จังหวัด คิดเป็นสัดส่วน 1.3% กลุ่มที่มีรายได้เติบโต 5-10% มี 39 จังหวัด คิดเป็นสัดส่วน 76.1% กลุ่มที่มีรายได้เติบโต 10-15% มี 12จังหวัด คิดเป็นสัดส่วน 21% และกลุ่มที่มีรายได้เติบโตมากกว่า 15% มี 1 คือบุรีรัมย์ คิดเป็นสัดส่วน 1.6%

“ในส่วนของกลุ่มที่มีรายได้เติบโตต่ำกว่า 5% จำนวน 3 จังหวัดคือ ร้อยเอ็ด พิจิตร และอำนาจเจริญ ไม่ได้หมายความว่าทั้ง 3 จังหวัดนั้นมีศักยภาพ หรือมีขนาดพื้นที่เป็นรองจังหวัดอื่น ๆ แต่ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดหลาย ๆ ด้านที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างหนักเพื่อร่วมกันแก้ไขและพัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวด้วยการสร้างความแตกต่างและจุดเด่นของจังหวัดเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น”

นายวีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า ความสำคัญของเมืองรองไม่ได้จำกัดอยู่เพียงคนไทยเท่านั้น เพราะปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มให้ความสนใจในเมืองรองต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ชาวอังกฤษ นิยมเดินทางไปแม่ฮ่องสอน ชาวฝรั่งเศสและสเปนชื่นชอบในจังหวัดเชียงราย ส่วนชาวจีนและญี่ปุ่นมีการกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ขณะเดียวกันสายการบินต่าง ๆ ยังให้ความสำคัญกับเมืองรองด้วยการเพิ่มเที่ยวบินไปยังเมืองรองเพิ่มขึ้นถึง 61 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จึงถือเป็นสัญญาณบวกที่ทุกฝ่ายจะต้องเร่งส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรองต่อไป

“ในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าในปี 2562 จะยังคงมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แยกตามสัญชาติหลักคือจีน 11.69 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11% อาเซียน 11.31 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% ยุโรป 6.90 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2% อินเดีย 2.01 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26% รัสเซีย 1.50 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3% และสหราชอาณาจักร 0.99 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1% โดยปัจจัยหลักมาจากผลการดำเนินการมาตรการ Visa on Arrival (VOA) ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.61 – 13 ม.ค.62 ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นตลาดจีนให้กลับมาคึกคักขึ้นอีก รวมไปถึงประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอินเดียซึ่งเป็นตลาดใหม่ เมื่อมีการขยายระยะเวลาไปถึงวันที่ 30 เม.ย.62 เพื่อครอบคลุมเทศกาลวันตรุษจีนและเทศกาลสงกรานต์ จึงคาดว่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาประเทศไทยอีกเป็นจำนวนมาก”

 

สำหรับนโยบายสำคัญในปี 2562 ที่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะต้องดำเนินงานต่อไปยังคงเน้น 4 ด้านสำคัญคือ 1.การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวในเรื่องความปลอดภัย รวมทั้งให้คุณค่าและความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงยกระดับการพัฒนาสังคม 2.การพัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) ทั้งในเรื่องความสะอาด ความสะดวก เอกลักษณ์ความเป็นไทย การลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจสตาร์ทอัปและเอสเอ็มอีที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน 3.การพัฒนาเชิงพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นท่องเที่ยวเมืองรอง ท่องเที่ยวชุมชน ท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มน้ำโขง และพื้นที่ศักยภาพ Thailand Riviera 4.การส่งเสริมการตลาด ด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง รวมถึงเน้นการตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง

ส่วนแนวทางการดำเนินงานด้านอื่น ๆ ที่กำลังเร่งขับเคลื่อนให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ยังมีอีกหลายด้าน เช่น การจัดทำ e-VISA ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ การร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 39 หน่วยงานจัดทำแพลตฟอร์มข้อมูลด้านการท่องเที่ยวให้มีความละเอียดครอบคลุมให้ทุก ๆ ด้าน การเพิ่มความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว การให้ความสำคัญเรื่องสุขอนามัยและความสะอาดของนักท่องเที่ยวด้วยการเพิ่มเจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวและกีฬาอำเภอทุกอำเภอซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว รวมไปถึงการเสนอควบรวม องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. เข้ามาอยู่ในสังกัดกระทรวงฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานให้เต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการกวาดล้างขบวนการมิจฉาชีพในลักษณะต่าง ๆ เช่น ไกด์เถื่อน แท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ และอื่น ๆ เป็นต้น

“เรื่องรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวคงไม่ใช่ประเด็นหลักของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในอนาคตอีกต่อไป แต่ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ นอกจากนั้นยังควรเร่งพัฒนาแนวทาง รวมถึงนโยบายการสนับสนุนและส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการกระจายรายได้สู่ภูมิภาคอย่างแท้จริงและยั่งยืน ผมจึงอยากส่งมอบข้อมูลด้านการท่องเที่ยวให้พรรคการเมืองนำไปใช้ประโยชน์ในการต่อยอดด้านการหาเสียงกับประชาชนราษฎรในทุกพื้นที่ก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 เพราะทุกวันนี้เรื่องการท่องเที่ยวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภายในวงการธุรกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ถือเป็นเรื่องของประชาชนทุกคนที่จะได้รับประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนั้นยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถตอบคำถามได้จากสารพัดโจทย์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” นายวีระศักดิ์ กล่าวในตอนท้าย

อึ้ง ! นักวิจัย ม.อุบลฯ วิจัยล่วงหน้า คว้าผลงานดีเด่น “แก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก”

รศ.ดร.ศิริพร จึงสุทธิวงษ์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้การต้อนรับ พลอากาศเอก ดร.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมอธิบายขั้นตอนการทำงานของ “ตัวดูดซับนาโนเพื่อท้องฟ้าสดใสไร้มลพิษ” ภายในงานประชุม “นักวิจัยรุ่นใหม่…พบ…เมธีวิจัยอาวุโส สกว.” ครั้งที่ 18 ณ เดอะ รีเจ้นท์ ชะอำ บีช รีสอร์ท อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้

alivesonline.com : อาจารย์นักวิจัย ม.อุบลฯ โชว์ผลงานวิจัยก้าวล้ำ คิดค้น “แผ่นกราฟีนดูดจับสารพิษและละอองในอากาศ”เป็นรายแรก หวังเป็นอุปกรณ์ทางเลือกเพื่อท้องฟ้าสดใสไร้มลพิษ หวังกู้วิกฤติมลพิษและฝุ่นละอองในอากาศ พร้อมผลักดันผลงานวิจัยมอบให้ “กรมควบคุมมลพิษ “นำไปต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีต้นแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอนาคต

ในงานประชุม “นักวิจัยรุ่นใหม่…พบ…เมธีวิจัยอาวุโส สกว.” ครั้งที่ 18 ซึ่งจัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการมอบรางวัลนักวิจัยดีเด่นประจำปี เพื่อเชิดชูเกียรติแก่วุฒิเมธีวิจัย สกว. ตลอดจนนักวิจัยรุ่นกลางและนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีผลงานวิจัยจากโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สกว. ดีเยี่ยม ในการพัฒนางานวิจัยที่มีคุณภาพสูง โดยผู้ที่คว้ารางวัล “รางวัล 2019 TRF-OHEC-Clarivate Analytics Research Excellence Awards” ในปีนี้ ได้แก่ รศ.ดร.ศิริพร จึงสุทธิวงษ์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จากผลงานวิจัย “ตัวดูดซับนาโนเพื่อท้องฟ้าสดใสไร้มลพิษ”

รศ.ดร.ศิริพร กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤติมลพิษทางอากาศในระดับรุนแรง มีผลมาจากการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงฟ้าถ่านหินทำให้เกิดมลพิษในอากาศ เห็นได้จากกรณีฝุ่นละอองในกรุงเทพฯ จึงเป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะช่วยแก้ปัญหามลภาวะดังกล่าวเพื่อให้สภาพอากาศดีขึ้น โดยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีตัวดูดซับที่ดีในการกำจัดมลภาวะและมลพิษทางอากาศ ซึ่งมาจากสารปรอทและสารอินทรีย์ระเหยง่าย เช่น เบนซิน ซึ่งในกรุงเทพฯและปริมณฑลมีสารพวกนี้เกินกำหนดมาตรฐาน จากปรกติใช้ถ่านกัมมันต์จำนวนมากไปดูดซับในโรงงานก่อนปล่อยออกสู่อากาศ แต่ข้อจำกัดของถ่านกัมมันต์คือ สารต้องเข้าไปในรูพรุนจึงจะดูดซับได้ แต่มลภาวะบางชนิดก็มีโมเลกุลใหญ่กว่ารูพรุน ทำให้ประสิทธิภาพการดูดซับไม่ดี จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาแผ่นกราฟีนที่สามารถดูดซับได้ดีกว่าขึ้นมาทดแทน โดยการพัฒนาออกแบบจำลองโมเลกุลและคำนวณโครงสร้างด้วยวิธีทางเคมีคำนวณ Density Functional Theory ที่มีความแม่นยำสูง เพื่อคัดกรอง คัดเลือก ออกแบบและพัฒนาตัวดูดซับแผ่นกราฟีนประสิทธิภาพสูงชนิดใหม่ที่สามารถนำไปใช้เป็นตัวดูดซับสารพิษประสิทธิภาพสูง และเตรียมส่งต่อองค์ความรู้นี้ให้ สำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ นำไปต่อยอดในการประยุกต์ใช้ในอนาคต

ปัจจุบันสารมลพิษสำคัญที่กระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ สารมลพิษหลักทางอากาศ สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds, VOCs) ในบรรยากาศที่เกิดจากอุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเลียม เช่น เบนซิน (Benzene) ซึ่งจัดเป็นสารอะโรเมติกไฮโดรคาร์บอนชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง รวมทั้งสารปรอทที่มีต้นกำเนิดมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน เช่น ที่ อ.แม่เมาะ จ. ลำปาง จัดเป็นปัญหามลพิษที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ซึ่งงานวิจัยทั่วโลกได้ศึกษาการกำจัดสารมลพิษเหล่านี้อย่างกว้างขวางและพบว่าวิธีที่ง่าย มีประสิทธิภาพในการกำจัดคือ การใช้วิธีการดูดซับ หรือใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในการเปลี่ยนสารพิษให้มีพิษน้อยลง โดยในปัจจุบันใช้ถ่านกัมมันต์ (Activated Carbon) เป็นตัวดูดซับ เนื่องจากหาได้ง่าย ราคาถูก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่พบว่ามีข้อจำกัดคือมีรูพรุนขนาดเล็กเกินไปจนโมเลกุลสารพิษขนาดใหญ่ ไม่สามารถดูดซับในรูพรุนขนาดเล็กดังกล่าว จึงมีการพัฒนาสารจำพวกมีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบคือ แผ่นกราฟีน (Graphene Nano-Sheets) ที่มีพื้นที่ผิวในการดูดซับมากและโมเลกุลสารพิษสามารถดูดซับบนพื้นผิวแผ่นกราฟีนได้อย่างง่ายดาย ตนจึงได้วิจัยปรับปรุงแผ่นกราฟีนให้มีความ Active ต่อสาร VOCs มากขึ้น โดยทำให้แผ่นกราฟีนเกิดเป็นช่องว่างโดยเอาคาร์บอน 1 อะตอมออกจากพื้นผิว เรียกว่า Single-Vacancy Defective Graphene (SDG) จากนั้นเติมโลหะทรานซิชันลงไปตรงช่องว่างนั้น ๆ เพื่อให้เกิดเป็น Active Site ทำให้สามารถดูดซับสาร VOCs ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับแผ่นกราฟีนที่ยังไม่ได้ทำการปรับปรุง

ตัวดูดซับชนิด Single-Vacancy Defective Graphene (SDG) ใช้ในการกำจัดสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย

รศ.ดร.ศิริพร กล่าวอีกว่า จากการศึกษาและทดสอบยืนยันว่าวัสดุกราฟีน (Graphene) มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษดีกว่าถ่านกัมมันต์หลายพันเท่า แถมยังใช้ในปริมาณน้อยกว่า ส่วนแนวทางที่นำกราฟีนไปทดแทนนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองประสิทธิภาพ ในอนาคตเราหวังที่จะทำการสังเคราะห์กราฟีนแล้วนำไปทดสอบในโรงงานจริง ดูว่าจะต้องลงทุนเท่าไร แต่งานวิจัยในตอนนี้แค่รับรู้ว่า มีคุณสมบัติการดูดซับดีมากกว่าถ่านกัมมันต์ ขณะเดียวกันก็ได้นำเสนอรายงานการวิจัยไปยังกรมควบคุมมลพิษ เพื่อเป็นแนวทางนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงโรงงานที่ผลิตถ่านหินเพื่อนำไปผลิตไฟฟ้า

นอกจากนั้น ยังได้พัฒนาออกแบบตัวดูดซับชนิดใหม่บนพื้นฐานของการทำให้กราฟฟีนมี Active Site มากขึ้น โดยแทนที่ตำแหน่งคาร์บอนบางตำแหน่งด้วยโบรอน ได้ตัวดูดซับมีชื่อเรียกว่า Boron Doped Graphene จากนั้นเติมโลหะทรานซิชันชนิดพาเลเดียม ทำให้พื้นผิวกราฟีนดูดซับสารปรอทได้ปริมาณมากขึ้น

ตัวดูดซับชนิด Boron Doped Graphene ใช้ในการดักจับสารปรอท

“งานวิจัยนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านสารเคมี ลดความยุ่งยากในกระบวนการวางแผนการสังเคราะห์ และประหยัดเวลาลองถูกลองผิด รวมถึงให้ข้อมูลที่สามารถอธิบายผลที่ได้จากการทดลองในระดับอิเล็กตรอน และโมเลกุล ทำให้นักวิจัยสามารถเข้าใจองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพของตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต อันจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนของประเทศต่อไป”

รศ.ดร.ศิริพร กล่าวด้วยว่า ผลงานวิจัยดังกล่าวได้รับความสนใจในเชิงวิชาการอย่างมาก สามารถตีพิมพ์ในวารสารคุณภาพสูงระดับนานาชาติและได้รับการอ้างอิงจากนักวิจัยทั่วโลก เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการปรับปรุงและพัฒนาตัวดูดซับ/ตัวเร่งปฏิกิริยา นอกจากนี้องค์ความรู้และชิ้นงานวิจัยที่ผลิตได้ในระดับห้องปฏิบัติการ หรือระดับต้นแบบมีแนวโน้มที่จะนำไปขยายการผลิตในระดับที่สูงขึ้นเพื่อต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ได้ในอนาคต ทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตตัวดูดซับ/ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีราคาถูก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่า หรือดีกว่าโลหะที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งสามารถใช้เป็นข้อมูลให้หน่วยงานในประเทศ เช่น กรมควบคุมมลพิษ นำไปทดสอบและใช้ในภาคสนามเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมต่อไป

สาวก GARMIN ต้องรู้! วิทเจ็ท “Airly” ช่วยผู้ใช้ตั้งรับฝุ่น PM 2.5

GARMIN แนะนำวิทเจ็ท “Airly” บนแอปพลิเคชั่น Garmin Connect เช็คดัชนีคุณภาพอากาศ หรือ AQI (Air Quality Index) ชวนสาวก GARMIN รู้เท่าทันในยุคที่สภาพอากาศเต็มไปด้วยมลพิษและฝุ่น PM 2.5 โดยสามารถดาวน์โหลดได้จาก Connect IQ Store พร้อมใช้งานบนนาฬิกาเรือนโปรด

วิทเจ็ท “Airly” สามารถช่วยเช็คดัชนีคุณภาพอากาศ AQI (Air Quality Index) บนแอปพลิเคชั่น Garmin Connect ที่สามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งระบบ iOS และ Android ดาวน์โหลดได้จาก Connect IQ Store โดยใช้ ID และ Password เดียวกับ Garmin Connect ใช้งานโดยการเชื่อมต่อบลูทูธ (Bluetooth) กับโทรศัพท์ เพื่อดึงข้อมูลอากาศอย่างสะดวกและรวดเร็วผ่านนาฬิกา GARMIN

นาฬิกา GARMIN ที่รองรับวิทเจ็ท “Airly” สามารถบอกข้อมูลได้อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นดัชนีคุณภาพอากาศ หรือ AQI (Air Quality Index) ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 และ PM 10 อุณหภูมิปัจจุบันและความชื้นสัมพัทธ์ สรุปคุณภาพอากาศในช่วงเวลานั้น การอ้างอิงชื่อสถานีวัดสภาพอากาศที่วัดข้อมูล (Measurement Location) รวมถึงการบอกเวลาที่รับข้อมูลและพิกัดจาก GPS (Timestamp & Coordinates from GPS) นับว่าวิทเจ็ท “Airly” เป็นเทคโนโลยีที่มีความก้าวล้ำ ทันต่อสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน และตอบโจทย์สาวกผู้ใช้นาฬิกา GARMIN กลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพ

ทั้งนี้ นาฬิกา GARMIN รุ่นที่รองรับการใช้งานของวิทเจ็ท “Airly” ต้องเป็นทุกรุ่นที่สามารถเชื่อมต่อกับ Connect IQTM Store ได้แก่ vivoactive3 & vivoactive3 Music, Forerunner 235, Forerunner 645 & Forerunner 645 Music, Forerunner 735XT, Forerunner 935, fenix3 & fenix3 HR Series, fenix5 Series, fenix5 Plus Series, Decent Mk1 และ Approach S60 โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและการใช้งานวิทเจ็ท “Airly” ได้ที่ https://www.garminbygis.com/widget-airly/

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนาฬิกา GARMIN ได้ที่ร้านตัวแทนจำหน่าย GARMIN ทั่วประเทศ หรือ www.garminbygis.com

คาดเศรษฐกิจโลกปี 62 ชะลอตัว

alivesonline.com : PwC วิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเติบโตเพียง 2.3% ในปีนี้จาก 2.8% ในปีก่อน ด้านตลาดแรงงานในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมองว่าจะตึงตัว ส่งผลให้ค่าแรงเพิ่ม ขณะที่ขนาดเศรษฐกิจของอินเดียและฝรั่งเศสจะใหญ่แซงหน้าสหราชอาณาจักร ส่วนประเทศไทยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.7-3.9% แต่ต้องจับตาเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา รวมถึงผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน

นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Global Economy Watch ฉบับล่าสุดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2562 จะชะลอตัว โดยอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศ G7 จะกลับสู่การเติบโตในระดับปกติซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยในระยะยาว โดย PwC คาดการณ์ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2559 ถึงช่วงต้นของปี 2561 นั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยหลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาได้รับแรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นทางการคลังของภาครัฐในช่วงก่อนหน้า มาในปีนี้คาดว่าจะค่อย ๆ เริ่มอ่อนแรงลง ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง ขณะที่การแข็งค่าของเงินดอลลาร์จะส่งผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่ง PwC คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในปี 2562 จะเติบโตได้ในระดับปานกลางที่ 2.3% จาก 2.8% ในปี 2561

สำหรับเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปีนี้จะยังคงชะลอตัวเปรียบเทียบกับปี 2561 แม้ว่ารัฐบาลจีนจะได้มีความพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจของตนชะลอตัวน้อยที่สุด แต่ผลกระทบจากการกีดกันด้านภาษีของสหรัฐอเมริกาและความต้องการในการควบคุมระดับหนี้น่าจะส่งผลให้การเติบโตลดลงพอสมควรในปี 2562

ด้านตลาดแรงงานในกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วคาดว่าจะตึงตัว โดยอัตราการว่างงานจะลดลงต่อเนื่อง แม้ว่าการสร้างงานจะชะลอตัว ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่กำลังมองหาพนักงานที่มีทักษะมาทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน โดย PwC คาดการณ์ว่า ในปี 2562 การว่างงานในสหรัฐอเมริกาและเยอรมนีจะลดลงเล็กน้อย ในขณะที่อัตราการสร้างงานยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นายบาร์เร็ต คูเปเลียน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ของ PwC กล่าวว่า ข่าวที่ดูเหมือนเป็นข่าวใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา เห็นจะเป็นเรื่องของการจ้างงานในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว จำนวนกว่า 4.5 ล้านงาน ดังนั้นเราคาดว่ากระแสของการจ้างงานในปีนี้จะแผ่วลง หลังประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเยอรมนีเริ่มแตะเพดานโครงสร้างการว่างงานแล้ว และอัตราค่าจ้างแรงงานน่าจะค่อย ๆ เริ่มสูงขึ้น หากเบร็กซิทเรียบร้อยตามแผนที่ได้วางไว้ เราคาดว่าจะเห็นอัตราการว่างงานในสหราชอาณาจักรลดลงอย่างชัดเจน ในทางตรงกันข้ามหากเบร็กซิทไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ อาจนำไปสู่อัตราการว่างงานที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน

รายงานของ PwC ระบุว่า อันดับของสหราชอาณาจักรจะปรับตัวลดลงในการจัดอันดับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก โดยทั้งอินเดียและฝรั่งเศสน่าจะแซงหน้าสหราชอาณาจักร โดยในปี 2562 อันดับขนาดเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรจะตกลงจากอันดับที่ 5 สู่อันดับที่ 7

ทั้งนี้ อันดับของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสมีการสลับกันไปมามาโดยตลอด เนื่องจากทั้งสองประเทศมีระดับของการพัฒนาและจำนวนประชากรที่ใกล้เคียงกัน ในส่วนอันดับของอินเดียที่ไต่สูงขึ้นมีแนวโน้มที่จะขึ้นถาวร โดย PwC คาดการณ์ว่า ในปี 2562 อัตราการเติบโตของจีดีพีที่แท้จริง (Real GDP growth) ของสหราชอาณาจักรจะมีการเติบโตอยู่ที่ 1.6% ฝรั่งเศสเติบโต 1.7% และอินเดียเติบโตที่ 7.6%

ด้าน นายไมค์ เจคแมน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ของ PwC กล่าวว่า อินเดียถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่และเติบโตเร็วที่สุดในโลก ด้วยจำนวนประชากรที่มหาศาลและมีศักยภาพสูงที่จะโตได้อีก เนื่องจากจีดีพีต่อหัวที่ยังคงไม่ได้สูงมากนัก น่าจะทำให้อินเดียสามารถไต่อันดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในตารางอันดับจีดีพีโลกในช่วงทศวรรษหน้าได้

ในส่วนของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ไม่แพ้กันและแข่งขันกันอย่างคู่คี่สูสีมาโดยตลอด แต่การเติบโตที่ลดลงของสหราชอาณาจักรในปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ น่าจะส่งผลให้ฝรั่งเศสกลับมามีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า โดยความแข็งแกร่งของสกุลเงินยูโรเทียบกับเงินปอนด์ ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการปรับขึ้นของฝรั่งเศสด้วย

นายศิระ กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2562 น่าจะเติบโตประมาณ 3.7-3.9% จากปีที่ผ่านมา โดยยังคงได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายและการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่การท่องเที่ยวน่าจะเริ่มฟื้นตัวจากปีนี้ หลังสำนักวิจัยหลายแห่งคาดว่า นักท่องเที่ยวจีนจะกลับเข้ามาท่องเที่ยวในไทยตามปกติ แต่ภาคการส่งออกยังคงเผชิญกับการชะลอตัวตามแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศหลักที่เติบโตช้าลง รวมถึงได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าอีกด้วย อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อในปีนี้คือ เสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา และปัจจัยภายนอก

“เฮเฟเล่ ประเทศไทย” ปลื้มทำยอดขายติดอันดับ 3 ของโลก

alivesonline.com : “เฮเฟเล่ ประเทศไทย” ตั้งเป้าปี 62 กวาดรายได้ 4 พันล้านบาท หลังทำยอดขาย 3.7 พันล้านบาทในปี 61 ขึ้นแท่นอันดับ 1 ของเอเชียและอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ มั่นใจทิศทางตลาดอสังหาฯ ไทยยังเป็นบวก เตรียมใช้งบฯ 700-800 ล้านบาท ลงทุนด้านเทคโนโลยี-การจัดการ-ขยายคลังสินค้า พร้อมใช้งบฯ การตลาด 3-4% ของยอดขายเร่งสร้างการรับรู้ขยายตลาด B2C

นายโฟลเคอร์ เฮลสเติร์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านอุปกรณ์เพื่อบ้านและอาคารครบวงจร เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทฯ มียอดขายประมาณ 3.7 พันล้านบาท สูงเป็นอันดับอันดับ 1 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ โดยกลุ่มสินค้าขายดีเป็นกลุ่มอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ 50% อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ 30% อุปกรณ์สุขภัณฑ์และเครื่องใช้ฟ้า 15% และ อุปกรณ์ช่างและเครื่องมือต่าง ๆ 5%

ในปี 2562 คาดว่าจะสามารถทำยอดขายเติบโตขึ้น 10% คิดเป็นมูลค่าเป็น 4 พันล้านบาท โดยจะมีการใช้งบประมาณ 700-800 ล้านบาทในการลงทุนด้านต่าง ๆ โดยทั้งทางด้านเทคโนโลยี การบริหารการจัดการ และการขยายคลังสินค้าที่ศูนย์กระจายสินค้า ถ.บางนา ตราด กม. 22 บนพื้นที่กว่า 1.4 หมื่นตรม. ซึ่งเริ่มดำเนินการลงเสาเข็มตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.61 โดยใช้เงินลงทุนกว่า 450 ล้านบาท เพื่อกระจายสินค้าไปยังโชว์รูม “เฮเฟเล่” ทั้ง 6 แห่งคือ สุขุมวิท 64, บางโพธิ์, พัทยา, หัวหิน, ภูเก็ต และเชียงใหม่ รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

“ปัจจุบันคลังสินค้าของ เฮเฟเล่ ประเทศไทย ถือเป็นคลังสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสต็อกสินค้ามากกว่า 2.2 หมื่นรายการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.6 พันล้านบาท โดยแต่ละวันมีคำสั่งซื้อประมาณ 5 พันรายการ พร้อมจัดส่งด้วยรถขนส่งจำนวน 50 คัน ขณะเดียวกันยังมีสินค้ามากกว่า 4.5 หมื่นรายการที่พร้อมส่งตรงจากสำนักงานใหญ่ที่ประเทศเยอรมนี เพื่อกระจายไปยังโชว์รูมทั้ง 6 แห่งทั่วประเทศ การขยายพื้นที่คลังสินค้าครั้งนี้จึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องการจัดเก็บและขนส่งสินค้าให้มีความถูกต้อง แม่ยนำ และทันสมัยมากขึ้น ทั้งยังเป็การย้ำถึงศักยภาพของ เฮเฟเล่ ประเทศไทยที่มีการพัฒนาอย่างไม่อย่างหยุดยั้ง”

นายโฟลเคอร์ กล่าวด้วยว่า ในปี 2562 “เฮเฟเล่ ประเทศไทย” จะเริ่มให้ความสำคัญในการทำตลาด B2C และตลาดออนไลน์เพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันที่สัดส่วนส่วนใหญ่ยังคงเป็น B2B 95% และ B2C 5% โดยจะมีการใช้งบประมาณการตลาด 3-4% จากยอดขายสร้างการรับรู้ผ่านทุกช่องทาง ในขณะที่ช่องทางการจัดจำหน่ายหลักยังเป็นการเน้นการขายสินค้าผ่านกลุ่มลูกค้าโครงการ 49% ตลาดเทรดดิชันนัลเทรด 19% โมเดิร์นเทรด 19% อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ Furniture Fitting 12 % และโชว์รูม 1% โดยในปี 2562 คาดว่าสินค้าในหมวดอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และช่องทางการขายจากร้านตัวแทนจำหน่ายจะมียอดการเติบโตสูงสุดโดยเปรียบเทียบจากยอดขายปีที่ผ่านมา

“ในปี 2562 ทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นไปในทางบวก โดยเฉพาะกลุ่มสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม โดยเรายังคงจะมุ่งเน้นการนำเสนอไอเดียในการเพิ่มพื้นที่ในทุกตารางเมตรให้ผู้ประกอบการ และเน้นสินค้า Green Product มากขึ้น พร้อมเน้นสินค้าที่ตอบสนองการเติบโตของโรงแรม ด้วยการนำสินค้านวัตกรรมสำหรับโรงแรม ระบบการจัดการทั้งภายในและภายนอก เช่น ระบบควบคุมการเข้าออกด้วยไดอะล็อค โดยควบคุมได้ทั้งอาคาร ระบุผู้ใช้งาน รวมถึงการออกเอกสารทางการเงิน เชื่อมต่อด้วยระบบ HMS หรือการเข้าถึงระบบการบริหาร แสดงสถานะของทุกห้องพักตลอดเวลา รวมถึงการควบคุมแสงสว่างภายในห้อง การเปิดปิดเปลือกอาคารที่ทันสมัยและสวยงาม การบริหารจัดการน้ำภายในห้องพัก โดยทั้งหมดพร้อมจะเติมเต็มทุกความต้องการ เพื่อสร้างประสบการณ์สุดประทับใจให้ลูกค้าได้เสมอ” นายโฟลเคอร์ กล่าวในที่สุด

“เฮเฟเล่” ฉลอง 25 ปี จัดโปรยิ่งใหญ่ แจกรถ Porsche

บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด ฉลองครบรอบ 25 ปี ทุ่ม 15 ล้านบาท จัดแคมเปญใหญ่แจกรถยนต์ “ปอร์เช่” (Porsche) 1 รางวัล ทองคำ รวม 25 บาท และรางวัลอื่น ๆ รวม 201 รางวัล คิดเป็นมูลค่ากว่า 11 ล้านบาท

แคมเปญฉลองครบรอบ 25 ปีของ “เฮเฟเล่” สามารถร่วมสนุกกันได้ง่าย ๆ เพียงซื้อสินค้าภายใต้แบรนด์ “เฮเฟเล่” จากร้านค้าที่ร่วมรายการทั่วประเทศ ครบทุก 1,000 บาท จะได้รับคูปอง 1 ใบ แล้วใช้โทรศัพท์มือถือสแกนรหัสคิวอาร์โค้ดบนคูปองและทำการกรอกชื่อ-สกุล, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล์, ชื่อร้านค้าที่ซื้อสินค้า, จังหวัดของร้านค้า, สาขาของร้านค้า, รหัสบนคูปอง 7 หลัก จากนั้นกดยืนยันการเข้าร่วมเพื่อลุ้นรับรางวัลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 15 พฤศจิกายน 2562 จับรางวัลทั้งหมด 4 ครั้ง ทุก 3 เดือน รวม 3 ครั้ง และรางวัลใหญ่ 1 ครั้ง โดยประกาศผลรายชื่อผู้โชคดีทางเว็บไซต์ www.hafelethailand.com

“ธนาสิริ” จัดโปรแรงเอาใจคนอยากมีบ้านย่านบางใหญ่

“ธนาซิโอ รัตนาธิเบศร์” จัดโปรแรง ลดสูงสุด 5 แสนบาท ดาวน์ 0 บาท จอง 5 พันบาท เข้าอยู่ได้ทันที เริ่มเพียง 3.39 ล้านบาท ฟรี! ค่าใช้จ่ายวันโอน กู้เต็ม 100 ด่วน! จำนวนจำกัด  

นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ MAI ภายใต้ชื่อ “THANA” เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระผู้บริโภคที่กำลังต้องการซื้อที่อยู่อาศัยและกังวลเกี่ยวกับการควบคุมเกณฑ์ปล่อยกู้อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน หรือ LTV ไม่เกินระดับ 80% หรือต้องมีเงินดาวน์อย่างน้อย 20% นั้น “ธนาสิริ” จึงได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ “โอกาสสุดท้าย สำหรับผู้สนใจซื้อบ้านเดี่ยว–ทาวน์โฮมแปลงมุม” ในโครงการ “ธนาซิโอ รัตนาธิเบศร์” ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง หลังเซ็นทรัลเวสต์เกต และอิเกียบางใหญ่ ด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษสุด รับส่วนลดเงินสด มูลค่าสูงสุด 5 แสนบาท (เฉพาะแปลงที่กำหนด) พร้อมดาวน์ 0 บาท ฟรี! ค่าใช้จ่ายวันโอน กู้เต็ม 100% รองรับทุกสถาบันการเงิน สำหรับลูกค้าที่จองพร้อมทำสัญญา ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนด ในราคาเริ่มต้นเพียง 3.39 ล้านบาท จองเพียง 5,000 บาท เข้าอยู่ได้ทันที หากกู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงิน

สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนออนไลน์ รับบัตรกำนัลสตาร์บัคมูลค่า 200 บาท พิเศษเฉพาะลูกบ้านธนาซิโอ รัตนาธิเบศร์ รับค่าแนะนำ 20,000 บาท/หลัง เพียงพาเพื่อนมาจองบ้านในโครงการ-โอนภายในเดือน กุมภาพันธ์ 2562 นี้ สอบถามเพิ่มเติม ณ สำนักงานขาย หรือ โทร.0 2005 8888 กด 4

โครงการ “ธนาซิโอ รัตนาธิเบศร์” โครงการทาวน์โฮม หน้ากว้าง 6 เมตร ดีไซน์ภายใต้แนวคิด New Creative Living เติมเต็มจินตนาการที่แตกต่าง บนพื้นที่แห่งความสุขเพื่อคนรุ่นใหม่ใส่ใจครอบครัว เปิดพื้นที่ใช้สอยเต็มพิกัด ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างอิสระ สะดวกในการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีม่วงและจุดรถรับส่งขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานศึกษาชั้นนำ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Creative D.I.Y.ชีวิตออกแบบได้สไตล์ดี.ไอ.วาย มาพร้อมกับการดีไซน์ในรูปแบบใหม่ ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้าบ้านกว้าง 6 เมตร ตัวบ้านเปิดโล่งโปร่งสบาย จอดรถได้ 2 คัน เพื่อครอบครัวยุคใหม่ สวนสาธารณะที่เต็มอิ่มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์เหมาะแก่การพักผ่อนในวันหยุดสบาย ๆ และเชื่อมต่อการเดินทางแบบรวดเร็วทันใจในช่วงทำงาน จำนวนรวมทั้งสิ้น 157 ยูนิต บนพื้นที่ 15 ไร่เศษ มูลค่าโครงการรวม 390 ล้านบาท

จุดเด่นโครงการคือ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ในพื้นที่ส่วนกลางที่อุดมไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติสำหรับการพักผ่อน อุ่นใจได้ทุกเวลา ด้วยระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. พร้อม CCTV และ ระบบ Easy Pass Card ผ่านเข้า-ออกโครงการอัตโนมัติ เย็นสบายด้วยแผ่นฟอยล์สะท้อนความร้อนจากรังสีดวงอาทิตย์ใต้หลังคา วงกบอะลูมิเนียม สวยงาม ไม่ยืดหรือหดตัว หมดปัญหาการรั่วซึม ระบบป้องกันกำจักปลวกแบบเดินท่อแนบคานใต้ดิน อิฐมวลเบา กันเสียงรบกวน และความร้อนภายนอกทำให้บ้านเย็นสบายประหยัดพลังงาน แบบบ้านดีไซน์พิเศษเพื่อความโปร่งโล่งเย็นสบาย ในทุกองศาความสุข กระจกเขียวตัดแสง ช่วยประหยัดพลังงานลดความร้อนและแสง UV ถังเก็บน้ำและเครื่องปั้มน้ำอัตโนมัติ เพื่อเก็บน้ำสำรองในช่วงเวลาที่น้ำประปาหยุดไหลและการใช้งานที่ไม่ติดขัด  ระบบป้องกันน้ำท่วมในโครงการ

ตัวโครงการยังโดดเด่นด้านทำเลที่ตั้ง ย่านบางใหญ่ – บางบัวทอง ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางที่จะพัฒนาสู่การเป็นเกตเวย์ของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก เพียบพร้อมไปด้วยแหล่งสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ เซ็นทรัล เวสต์เกต ศูนย์รวมสุดยอดไลฟ์สไตล์อนาคตแห่งเอเชีย, อิเกียบางใหญ่ รวมถึงระบบคมนาคมหลากหลายรูปแบบ และเมกะโปรเจกต์ที่เชื่อมต่อทุกเส้นทางเข้าด้วยกัน ทั้งวงแหวนสายตะวันตก และเส้นทางมอเตอร์เวย์สายตะวันตก บางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี เชื่อมต่อท่าเรือทวาย รวมถึงอยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีบางพลู สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2005 8888 กด 4 หรือคลิก www.thanasio.com inbox : http://m.me/Thanasirigroup Add Line@ : @thanasirigroup หรือคลิก https://goo.gl/C9Rasu ข้อมูลโครงการ : https://goo.gl/3Fxg2A แผนที่ https://goo.gl/maps/kRFmTLZnu8T2

“AOVA Presents ครัวคุณต๋อย EXPO SEASON 4” จัดเต็มอาหารไทย-เทศ 21-24 ก.พ.62

 

alivesonline.com : “AOVA Presents ครัวคุณต๋อย EXPO SEASON 4” ยึดพื้นที่ 1 หมื่นตารางเมตร อิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี เปิดวิก 21-24 ก.พ.62 เสิร์ฟความอร่อยจาก 200 ร้านอาหารดังทั่วไทย พร้อมสาระและบันเทิงที่น่าสนใจ ทั้งนิทรรศการอาหารไทยและต่างชาติ เวิร์คชอปการทำอาหารและศิลปะการตกแต่งจาน สาธิตวิธีการเพิ่มมูลค่าเมนูอาหาร ประกวดภาพถ่าย และอื่น ๆ อีกมากมาย ชูจุดเด่น Live Exhibition ให้ผู้ร่วมงานได้ซึมซับเนื้อหาในรูปแบบการนำเสนอที่แปลกใหม่เกี่ยวกับอาหารไทยและต่างชาติ

นายไตรภพ ลิมปพัทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอร์น โปรเจค จำกัด และ ประธานกรรมการ บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด ผู้ผลิตและดำเนินรายการโทรทัศน์ประเภทแนะนำอาหารแบบปกิณกะบันเทิง “ครัวคุณต๋อย” ในฐานะผู้จัดงาน “AOVA Presents ครัวคุณต๋อย EXPO SEASON 4” เปิดเผยว่า หลังจากประสบความสำเร็จจากการจัดงาน “ครัวคุณต๋อย EXPO” ตลอด 3 ครั้งที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับจากผู้ร่วมงานอย่างล้นหลามโดยมีผู้เข้าร่วมงานรวมกว่า 1.5 ล้านคน ทำให้ในปีนี้จึงมีการจัดงานอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ในระหว่างวันที่ 21-24 กุมภาพันธ์ 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. ณ อิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี

การจัดงาน “AOVA Presents ครัวคุณต๋อย EXPO SEASON 4” ยังคงเอกลักษณ์ด้วยการออกบูธของร้านอาหารดังต้นตำรับ เฉพาะร้านอาหารที่เคยมาออกรายการ “ครัวคุณต๋อย” รวม 200 บูธ โดยยังคงมีพิธีกร 4 ท่าน คือ ไตรภพ ลิมปพัทธ์, ณวัฒน์ อิสรไกรศีล, กีรติ เทพธัญญ์ และโก๊ะตี๋ อารามบอย รวมถึงเหล่าคนดังที่จะมาร่วมกิจกรรมสุดพิเศษพร้อมเสิร์ฟให้ผู้ร่วมงานได้ลิ้มรสอาหารประเภทต่าง ๆ พร้อมด้วยโปรโมชันจัดเต็มจากร้านอาหารมากมายแบบพิเศษสุดและเต็มอิ่มไปกับความบันเทิง

“การจัดงานครั้งนี้ยังเพิ่มเติม Live Exhibition ที่จะทำให้ผู้ร่วมงานได้ซึมซับเนื้อหาอย่างใกล้ชิด ในรูปแบบการนำเสนอที่แปลกใหม่เกี่ยวกับอาหารไทยที่ตกทอดและส่งต่อภูมิปัญญาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงแนวทางสานต่อสู่อนาคต ตลอดจนเมนูหายากและวัตถุดิบสุดพิเศษ นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารนานาชาติที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ รวมไปถึงการพัฒนาเมนูในอดีตสู่เมนูใหม่ในสไตล์ฟิวชั่นอย่างลงตัว โดยคาดว่าจะสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้แก่ผู้ร่วมงาน” นายไตรภพ กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นายพัทธยศ ลิมปพัทธ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บอร์น โปรเจค จำกัด กล่าวเสริมว่า จากการจัดงานในช่วงที่ผ่านมามีแฟน ๆ รายการเรียกร้องเข้ามามากว่าภายในงานน่าจะมีอาหารนานาชาติบ้าง ปีนี้จึงเป็นปีแรกของ “ครัวคุณต๋อย EXPO” ที่มีการคัดสรรร้านอาหารนานาชาติในแบบฉบับของ “ครัวคุณต๋อย” มาร่วมออกบูธด้วย และเพราะมีอาหารนานาชาติในงานด้วย ส่วนร้านอาหารไทยยิ่งมีการจัดเต็มรูปแบบ ไม่น้อยหน้าอาหารนานาชาติ โดยเฉพาะโปรโมชันที่ทางร้านอาหารจัดเต็มเพื่อแฟน ๆ “ครัวคุณต๋อย” โดยเฉพาะ

นายพัทธยศ กล่าวด้วยว่า “ความพิเศษและแตกต่างจริง ๆ ของ ครัวคุณต๋อย EXPO คือมีร้านในงานจำนวนมากจากทั่วประเทศที่ไม่เคยไปออกงานที่ไหนมาก่อน จึงอยากให้แฟน ๆ ได้มาชมและชิม เรียกได้ว่ามางานนี้งานเดียวเหมือนได้ไปร้านอาหารทั่วประเทศ ขณะที่เมนูหายาก ๆ ก็มีให้ชิมกันจุใจ เช่น ขนมหวานโบราณที่ต้องใช้เวลาทำกัน 3-4 วัน น้ำพริก หรือแกงที่หากินแทบไม่ได้แล้วในปัจจุบัน หรือแม้แต่เมนูธรรมดา ๆ แต่มีรสชาติที่แตกต่างและโดดจากที่เคยชิมมาก่อน รวมถึงร้านอาหารนานาชาติที่เราคัดมาเป็นพิเศษ รับรองว่ามางานนี้ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

‘แอนจาลี คลินิก’ จัดเวิร์กชอปฉลองความสำเร็จครบ 4 ปี


“แอนจาลี คลินิก” (
Anjali Clinic) ส่งมอบความปรารถดี ด้วยการสร้างประสบการณ์สุดพิเศษกับเวิร์กชอป การออกแบบโหวงเฮ้งและเคล็ดลับความงามเพื่อความสำเร็จให้ลูกค้าและผู้โชคดีที่ร่วมกิจกรรมกับทางแฟนเพจในงาน “แอนจาลี คลินิก แท้งกิ้ว ปาร์ตี้” (Anjali Clinic Thank You Party) ภายใต้แนวคิด “ออกแบบอนาคตที่คุณประสบความสำเร็จได้” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ ร้าน Gismo สุขุมวิท 39  

ภายในงาน พิธีกรคนดัง เก๋-ชลดา เมฆราตรี เปิดงานด้วยการแนะนำ แอนจาลี คลินิก คลินิกเสริมความงามครบวงจรที่ได้รับความไว้วางใจจนประสบความสำเร็จ ก่อนจะเชิญ คุณหมอเจี๊ยบ คนเก่ง หรือ แพทย์หญิงอัญชลี อมรรุ่งมีธรรม ร่วมพูดคุยอัปเดทนวัตกรรมความงามที่ทำให้ผู้หญิงดูดีและมีความสุข  Facial Beauty Design การเสริมความปังบนใบหน้า เพื่อตอบโจทย์ความสำเร็จในชีวิต โดยมี หมอช้าง ทศพร ศรีตุลา มาให้ความรู้ควบคู่ไปกับเคล็ดที่ไม่ลับ ว่าด้วยเรื่องโหงวเฮ้งที่ผสมผสานกับการออกแบบใบหน้าที่ส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิต ความเฮง หรือโชคชะตา วาสนาอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอ ต้องขอเสริมความสวยให้เป็นที่มั่นใจและน่าจดจำด้วย อาทิ การแนะนำการปรับรูปหน้าให้มีความสมดุลย์เพื่อเป็นการส่งผลที่ดีต่อชีวิต การใช้นวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาช่วย ภายใต้แนวคิด “การออกแบบอนาคตที่ประสบความสำเร็จได้”

แพทย์หญิงอัญชลี กล่าวว่า ในวันนี้นอกจากเป็นการฉลองความสำเร็จของแอนจาลีที่ดำเนินการมา 4 ปีแล้ว ยังต้องการขอบคุณทุก ๆ คน ที่ให้เกียรติให้ความไว้วางใจกับทางคลินิก เราจึงอยากมอบประสบการณ์ที่ดีและพิเศษด้วย ความรู้การออกแบบใบหน้าที่ส่งผลต่อความสำเร็จ เพราะเราเชื่อว่าศาสตร์ของความงามที่ทำให้ดูดีนั้น หากควบคู่ไปกับโหงวเฮ้งจะนำพาไปสู่ความสำเร็จได้ ผู้หญิงทุกคนมีความสวยในแบบของตัวเอง “แอนจาลี คลินิก” จึงพร้อมเป็นผู้ช่วยออกแบบความสวยเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้ทุกคนอย่างลงตัว

ทางด้าน หมอช้าง ทศพร ศรีตุลา เผยว่า ความจริงความสวยงามกับโหงวเฮ้งเป็นคนละเรื่องกัน ความสวยงามนั้นจะเปลี่ยนไปตามแฟชั่น หรือยุคสมัย ส่วนโหงวเฮ้งไม่ใช่เรื่องของกาลเวลา แต่หลัก ๆ ก็คือความงามกับโหงวเฮ้ง ถ้าสามารถมาสมดุลกันได้ เกิดขึ้นด้วยกันก็จะเป็นรากฐานที่ดีที่จะส่งผลไปสู่ความสำเร็จได้ หลักการง่าย ๆ ของโหงวเฮ้งก็คือ หน้าต้องไม่ทรยศวัย ต้องสวยสมวัย โหงวเฮ้งของหน้าตามตำราคือ ส่วนประกอบของหน้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงหน้า  หน้าผาก ใบหู คิ้ว ตา จมูกและคาง

– โหงวเฮ้งหน้าผาก จะอยู่ช่วง 16-30 หน้าผากที่สูง เกลี้ยงเกลา ไม่มีสิว ผดผื่น ก็ทำให้ชีวิตราบรื่น หรือบางทีไรผมก็เป็นอุปสรรคทำให้ชีวิตวุ่นวาย

– คิ้ว จะสำคัญในช่วงอายุ 31-34 ปี คนคิวเข้มส่วนใหญ่มักจะโสด เพราะในอดีตคนคิ้วเข้มมักเป็นคนที่ต้องออกไปทำงาน แต่ปัจจุบันก็อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับงานที่ทำด้วย

– ตา เป็นเรื่องของคู่ครอง ถุงใต้ตามักเป็นสัญญานของความรักที่ไม่ค่อยดี พื้นที่ตา หมายถึงทรัพย์สิน เงินทอง เปลือกตากว้างก็มีความหมายดี

– ปลายจมูก สำคัญในวัย 34-50 ปี คนที่จะแต่งงาน หรือโสดก็ดูจากปลายจมูก เนื้อปีกจมูกมีพื้นที่ก็ช่วยเก็บเงินได้ ทรัพย์รั่ว เก็บเงินไม่อยู่เกิดจากมองหน้าแล้วเห็นรูจมูกชัดเจน

– โหนกแก้ม การมีโหนกแก้มก็ส่งผลให้เป็นคุณนายได้ โหนกแก้มหมายถึงเกียรติยศ ชื่อเสียง ซึ่งอาจจะมาจากตำแหน่งของสามี

สรุปโดยรวมความมีสง่าราศีของคนทั่วไป เมื่อดูโดยรวมอย่างหนึ่งคือ ต้องมีโครงหน้าที่ดี ผิวดี ผิวคือโครงสร้างที่เป็นพื้นฐานของผู้หญิง ผิวดีทำให้มีออร่า ดูดี ผิวดีก็ไม่ใช่ผิวขาวอย่างเดียว ผิวคล้ำก็สามารถเป็นผิวดีได้ ซี่งหลักการและเหตุผล นวัตกรรมทางความงามน่าจะช่วยให้ผู้หญิง ปรับเปลี่ยน และมีโหงวเฮ้งที่ดีได้

สำหรับไฮไลท์การเวิร์กชอปครั้งนี้ “แอนจาลี คลินิก” จัดให้มีโซนให้คำปรึกษาอย่างละเอียด ก่อนการตัดสินใจออกแบบความสำเร็จด้วยความงาม จากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญมากมายหลังจากที่ได้มีความรู้เรื่องโหงวเฮ้งและอยากปรับแก้ไขให้สวยเพื่อส่งผลต่อชีวิตหลาย ๆ ด้าน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้แขกผู้มีเกียรติ ที่มาร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็น ปุ้ย พิมลวรรณ หุ่นทองคำ, รชาดา จึงวัฒนกิจ, ปรางคณางค์ ตันกุล, มาลินี โคทส์ และ ณัฐหทัย แสงเพชร ฯลฯ มีแนวทางความสวยและโชคดีไปพร้อม ๆ กันได้อย่างมั่นใจและลงตัว

เพราะเราเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนมีความสวยในแบบของตัวเอง เราจึงพร้อมสร้างความสวยและความสำเร็จให้กับชีวิตของคุณ เพื่อให้คุณได้มีความสุขกับชีวิตในแบบของตัวเอง ออกแบบความงาม และความสุขในแบบของคุณ ได้แล้ววันนี้ที่ แอนจาลี คลินิก” #FacialBeautyDesign#AnjaliThankYouParty พบสาขาน้องใหม่ ที่เกษตรนวมินทร์ ที่มาพร้อมมาตรฐานและบริการทีมงานเดียวกัน เพื่อการบริการที่ครบวงจร ให้มีความสุขกับความสวยที่ลงตัว.

พญ.อัญชลี อมรรุ่งมีธรรม

หมอช้าง ทศพร ศรีตุลา

ชลลดา เมฆราตรี

ปุ้ย พิมลวรรณ หุ่นทองคำ

รชาดา จึงวัฒนกิจ

ปรางคณางค์ ตันกุล

มาลินี โคทส์

ณัฐหทัย แสงเพชร

 

 

“นมอัลมอนด์” นมทางเลือกใหม่สำหรับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ

การจะมีสุขภาพที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก หากแต่เราต้องเลือกสิ่งที่ดีให้กับร่างกาย

“วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง?” มักเป็นคำพูดที่เราจะได้ยินกันตอนสมัยเรียน ดื่มนมแล้วร่างกายแข็งแรง ดื่มนมแล้วมีประโยชน์ คุณคงเคยได้ยินประโยคอะไรแบบนี้อยู่บ่อย ๆ คนไทยส่วนใหญ่เติบโตมากับสังคมที่สนับสนุนให้เราดื่มนม เพราะนมถือเป็นแหล่งรวมคุณประโยชน์ชั้นดีและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่

นมที่คนไทยมักคุ้นชินก็คงจะหนีไม่พ้น “นมวัว” และ “นมถั่วเหลือง” แต่เมื่อเวลาผ่านไปเทรนด์ตลาดนมในบ้านเราก็เปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันเกิดเป็นนมทางเลือกเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยและความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ “นมอัลมอนด์” ซึ่งมีประโยชน์ไม่แพ้นมวัวและนมถั่วเหลืองเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะอุดมไปด้วยแคลเซียมและวิตามินอีที่ครบครันแล้ว ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและรักษารูปร่างอีกด้วย เนื่องจากเป็นนมที่ให้แคลอรีและไขมันต่ำ

“นมอัลมอนด์” ยังสามารถใช้เป็นส่วนผสมของทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่มได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ขนมปัง ขนมเค้ก หรือขนมตระกูลเบเกอรีต่าง ๆ หรืออาหารคาว เช่น ต้มข่าไก่ หรือแกงกะทิ เราก็สามารถนำนมอัลมอนด์มาใช้แทนเป็นกะทิได้ ทั้งยังอาจเป็นทางเลือกใหม่ให้ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะนมอัลมอนด์เป็นนมที่ให้แคลอรีและไขมันต่ำ จึงเป็นที่นิยมมากในกลุ่มคนรักสุขภาพและนิยมอาหารคลีน รวมทั้งเหมาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่แพ้นมวัวและนมถั่วเหลือง

ในบ้านเรา นมอัลมอนด์ จัดอยู่ในกลุ่มของตลาดนมทางเลือกถือครองตลาดอยู่ไม่ถึง 1% ของตลาดนมในประเทศไทย แต่มีแนวโน้มการเติบโตและมียอดขายสูงขึ้นทุกปีเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา นมอัลมอนด์ เป็นที่นิยมอย่างมากและเป็นเทรนด์สุขภาพที่คนรักสุขภาพนิยม อาจเป็นเพราะกระแสการดื่มนมที่ควบคู่มากับประโยชน์ที่ควรคู่ โดยบริษัทวิจัยการตลาดระดับโลกอย่างมินเทล (Mintel) ได้ทำการสำรวจตลาดนมของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ.2012 จนถึง ค.ศ.2017 พบว่า ยอดขายของนมวัวลดลงร้อยละ 15% มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 16.12 พันล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะเดียวกัน นมทางเลือกกลับเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งหมด 61% โดยคาดการณ์มูลค่าตลาดนมทางเลือกในปี ค.ศ.2017 ไว้ที่ 2.11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจากนมทางเลือกทั้งหมดนั้น “นมอัลมอนด์” เป็นนมทางเลือกที่คนอเมริกันนิยมมากที่สุด ด้วยส่วนแบ่งตลาดถึง 64% จากตลาดนมทางเลือก โดยรองลงมาเป็นนมถั่วเหลือง 13% นมมะพร้าว 12% ส่วนที่เหลือเป็นนมทางเลือกอื่น ๆ ซึ่งคาดคะเนว่าในอนาคตเทรนด์การดื่มนมอัลมอนด์จะยังคงเติบโตและสูงขึ้นตามลำดับ

ปัจจัยที่ทำให้นมอัลมอนด์เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ คือกระแสการรักสุขภาพ ผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพตนเองด้วยการเลือกบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาหารคลีน อาหารมังสวิรัติ และเชื่อว่าการหันมาบริโภคนมทางเลือกจะช่วยตอบสนองความต้องการที่จะมีสุขภาพดี โดยเฉพาะนมอัลมอนด์ที่เป็นที่ต้องการในกลุ่มคนที่อยากควบคุมน้ำหนักและรักษารูปร่าง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อาทิ โรคแพ้โปรตีนในนมวัว อาการแพ้น้ำตาลแลคโตส โรคประจำตัว การต้องการควบคุมระดับไขมันในเลือด หรือเป็นผู้ทานมังสวิรัติ ซึ่งนมอัลมอนด์สามารถนำมาใช้ทดแทนและใช้เป็นส่วนผสมในอาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ ในกลุ่มผู้ที่ไม่สามารถบริโภคนมวัวปกติได้ หรืออย่างกลุ่มผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงฮอร์โมนเอสโตรเจนในนมถั่วเหลืองได้อีกด้วย

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น อยากลด หรือคุมน้ำหนัก แต่ยังไม่ได้ลงมือทำเสียที โดยเฉพาะหนุ่มสาวชาวออฟฟิศที่ไม่ค่อยมีเวลาว่าง ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ลองหันมาทำความรู้จักนมอัลมอนด์กันดู ปัจจุบัน “บลูไดมอนด์ โกรเวอร์ส” สหกรณ์ผู้ผลิตอัลมอนด์จากเมืองซาคราเมนโตรัฐแคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐอเมริกา ได้วางจำหน่าย “นมอัลมอนด์ บรีซ” ในประเทศไทย ทั้งหมด 6 รสชาติ ซึ่งมีผลตอบรับและยอดขายเป็นไปในทิศทางที่ดีพร้อมรองรับการขยายตลาดของกลุ่มลูกค้าที่เริ่มตื่นตัวและรักในสุขภาพ โดยสามารถหาซื้อได้แล้วที่ร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2813 0954-5 หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ ได้ที่ www.facebook.com/Bluediamondthailand และ IG:Bluediamondthailand