อะไรจะเกิดขึ้น ? เมื่อแบรนด์ “อาหารทะเลบุฟเฟต์” เล่น “เกมการตลาด” กับความรู้สึกคน !

  • alivesonline.com : แม้เป็นเพียง “กระแสดรามา” ในวงแคบ ๆ บนโลกโซเชียลมีเดีย แต่อาจก่อตัวเป็นพายุลูกใหญ่ที่ “ส่งพลัง” ออกสู่โลกออฟไลน์จนสร้างความเสียหายในทุกมิติที่เกินกว่าจะคาดการณ์ได้

ประเด็นข้างต้นน่าจะเป็นเรื่องปริวิตกที่ เจ้าของธุรกิจ Seafood Buffet a la carte หรือธุรกิจอาหารทะเลตามสั่งแบบบุฟเฟต์ชื่อดังแห่งเดียวในเมืองไทย กำลังต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่จัด “โปรโมชัน” เสมือน “กลัวรวย” ลดราคากระหน่ำอย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องมีเทศกาล แต่มีราคา “ล่อใจ” ให้ผู้บริโภคต้องควักกระเป๋าโดย “ไม่ต้องยั้งใจ หรือคิดมาก” เพราะจากราคาปรกติคนละ 888 บาทต่อหนึ่งรอบมื้ออาหารภายในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ตั้งแต่ช่วงเวลา 11.30-21.00 น. เพราะแต่โปรโมชันที่ออกมาดึงดูดลูกค้ากลับมีราคาที่ “คุ้มเกินเชื่อ” อีกทั้งแต่ละช่วงเวลาก็มีราคาไม่เท่ากัน ไล่ระดับลงมาตั้งแต่ 777 บาท 666 บาท 555 บาท 399 บาท 299 บาท 199 บาท 129 บาท 89 บาท และในราคาเทียบเท่าข้าวราดแกง หรือก๋วยเตี๋ยวธรรมดา ๆ เพียง 55 บาท เท่านั้นเอง !

 

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจแม้เพียงกระผีกที่ธุรกิจอาหารทะเลตามสั่งแบบบุฟเฟต์ชื่อดังรายนี้จะสร้างปรากฏการณ์ “ความคลั่งไคล้” และ “อุปาทานหมู่” ของผู้บริโภคจนถึงต้อง “เข้าแถวต่อคิว” รอกันยาวนาน ดังที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วจากกรณีของ “โรตีบอย” ตามมาด้วยโดนัท “คริสปี้ ครีม” (Krispy Kreme) และข้าวโพดป๊อปคอร์น “การ์เร็ต” (garrett)

เพียงแต่ธุรกิจอาหารทะเลตามสั่งแบบบุฟเฟต์รายนี้มีความพิเศษกว่าตรงที่ “จองเดือนนี้ หกเดือนหน้าถึงจะได้กิน” !

ประเด็นที่กำลังเป็นที่วิพากษ์อย่างทวีความรุนแรงมากขึ้น จึงหนีไม่พ้นเรื่อง “สำนึกและจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ” ที่ขาดความใส่ใจในเรื่องของ “ความรู้สึก” ผู้บริโภค ด้วยเหตุผลสำคัญคือ “ขาดระบบบริหารการจัดการที่ดี” ในแทบจะทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่อง ไม่มีทีมงาน Call Center รับโทรศัพท์ และไม่มีทีมงานแอดมินแฟนเพจและไลน์ตอบกลับคำถามผู้บริโภค!

ยังไม่รวมปัญหาความล่าช้าในการจัดระบบโปรโมชัน การจำกัดจำนวนผู้ซื้อโปรโมชัน การรับจองคิว การจัดคิว และอื่น ๆ อีกหลากหลายประเด็นที่มีการกล่าวขานถึงบนโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งแม้เจ้าของธุรกิจจะมีความพยายามในการสื่อสารกับลูกค้าและผู้บริโภคทั่วไป แต่เหตุผลที่ชี้แจงมานั้น กลับมีค่าเป็นเพียง “ลมปากเปล่าที่ผ่านเลยไป” และ “สร้างภาพ” เท่านั้น !

หนำซ้ำกลับได้รับปฏิกริยาตอบกลับที่ “ส่งผลลบ” แทบจะทุกด้าน ดังนี้

ต้องยอมรับว่า “ชื่อเสียงและความโด่งดัง” ของธุรกิจอาหารทะเลตามสั่งแบบบุฟเฟต์ชื่อดังรายนี้ ได้มาเพราะความตั้งใจในการปลูกปั้นธุรกิจด้วยโมเดลใหม่ที่ไม่เหมือนใครจากชายหนุ่มทายาทรุ่นที่ 2 ผู้จบการศึกษาด้านรัฐศาสตร์แต่กลับมีความครีเอทเป็นเลิศ ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์สื่อหลายแขนงว่า

“การทำธุรกิจร้านอาหาร ถ้าแต่ละวันมีลูกค้า 100 คน ขายอย่างไรก็ไม่รวย แต่ถ้าขายได้วันละ 400 คน จ่ายคนละ 555 บาท เท่ากับว่าจะขายได้ถึง 2 แสนบาทต่อวัน”

สิ่งที่เขาคิดยังทำได้จริงด้วย “อาหารทะเลชั้นดีรสเลิศ” แบบบุฟเฟต์มากกว่า 20 รายการ ทั้งหอยนางรมสดตัวโต ๆ ปลากะพงทอดน้ำปลาตัวเขื่อง ต้มยำกุ้ง กรรเชียงปูผัดผงกะหรี่ และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่สถานที่ร้านอาหารยังถูกตบแต่งอย่างวิจิตรให้ละม้ายคล้าย “โรงละคร” ที่ยังสามารถเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งด้วยการให้เช่าใช้เป็นสถานที่จัดงานต่าง ๆ

คำถามที่ผู้บริโภคที่ไม่เคยทราบพื้นฐานธุรกิจของเขามาก่อนจึงคาใจว่า “เขาทำได้อย่างไร?” เพราะไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วครอบครัวของเขามีธุรกิจฟาร์มหอยนางรมและร้านอาหารทะเลชื่อดังติด 1 ใน 5 ของ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มายาวนานกว่า 30 ปี ก่อนที่จะปิดตัวลงเมื่อปี 2550

แต่ด้วยเหตุที่เขา “มีและเข้าถึง” แหล่งวัตถุดิบอาหารทะเลราคาถูกได้เป็นจำนวนมาก จึงตัดสินใจ “รีแบรนด์ธุรกิจ” พร้อมกับรุกเข้ามายังกรุงเทพฯ โดยเลือกทำเลย่านสุขุมวิทเป็นที่ตั้งแรกเมื่อประมาณปี 2556 ก่อนที่จะย้ายไปยังซอยพหลโยธิน 11 และเพิ่มอีกสาขาที่ซอยอารีย์ สะพานควาย เมื่อปี 2557 ก่อนที่จะยุบรวมทุกสาขามาให้บริการเพียงแห่งเดียวย่านสวนจตุจักร เมื่อประมาณปี 2559

การ “รับไม้ต่อ” ธุรกิจอาหารทะเลตามสั่งแบบบุฟเฟต์ชื่อดังรายนี้ ยังมี “จุดพีค” ที่น่าสนใจคือ จากช่วงต้นที่เริ่มโมเดลรูปแบบใหม่ทำให้ต้องประสบภาวะปัญหาขาดทุนเฉลี่ยเดือนละประมาณ 5-6 แสนบาท เป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง รวมเป็นเงิน 9 ล้านบาท แต่ไม่นานนักกลับพลิกลำทำยอดขายรวมได้ถึง 100 ล้านบาท !

กล่าวได้ว่ามีความน่าเชื่อถือจนถึงขั้นที่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA เคยนำเสนอเป็นบทความเผยแพร่บนเว็นไซต์ www.etda.or.th เมื่อปี 2559

แต่ทว่า ความน่าเชื่อถือของธุรกิจอาหารทะเลตามสั่งแบบบุฟเฟต์รายนี้กำลังต้องตกอยู่ในอาการ “สั่นคลอน” จากแรงโถมของนานาคอมเมนต์ของลูกค้าผู้บริโภคกลุ่มใหญ่บนโซเชียลมีเดียที่ไม่พอใจเพราะไม่ได้รับคำตอบกลับจากทีมงานถึงรายละเอียดในการใช้โปรโมชัน ทั้งยังเริ่มมีความเห็นคล้อยตามกันว่า ธุรกิจนี้กำลังนำเงินรายได้จากการขายโปรโมชันไปใช้ผิดประเภทในทางมิชอบในลักษณะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหมุนเงิน การเล่นแชร์ลูกโซ่ หรือแม้แต่การฟอกเงิน จนถึงขั้นมีการชักชวนกันรวมตัวเพื่อจะไปแจ้งความร้องทุกข์กับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)

 

ต้องยอมรับ “กุญแจแห่งความสำเร็จ” หรือ Key Success ที่ทำให้ธุรกิจอาหารทะเลตามสั่งแบบบุฟเฟต์รายนี้มีชื่อขึ้นมาได้คือ การใช้ “โซเชียลมีเดีย” และ “โลกออนไลน์” เป็นเครื่องมือสำคัญในการ “สร้างเรื่องราว” (Story Telling) ที่น่าสนใจผ่านภาพอาหารและบรรยากาศร้านที่มีความสวยงามและคุณภาพในระดับโปรดักชันมืออาชีพ รวมไปถึงการใช้ “อินฟลูเอนเซอร์” (Influencer) มากหน้าหลายตา ทั้งเซเลบริตี้และศิลปินดาราทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนมีการนำเสนอคลิปวิดีโอคุณภาพเยี่ยมที่เผยแพร่ผ่านช่องทางต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะเฟซบุ๊กแฟนเพจยังมีการถ่ายทอดสด (Live) อย่างต่อเนื่องจนมีผู้ติดตามมากถึง 2.2 แสนคน

นั่นคือ “แง่บวก” ที่แบรนด์ต่าง ๆ มองเห็นประโยชน์และคาดหวังที่จะได้รับจากการใช้โซเชียลมีเดีย เพราะถือเป็นสื่อที่ทรงพลังมหาศาลในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหมู่มากโดยใช้งบประมาณอันจำกัด

แต่หากขาดความตระหนักถึง “แง่ลบ” และขาดการจัดการแก้ไขในเวลาอันรวดเร็วเมื่อเกิดความผิดพลาด หรือมีปัญหาเร่งด่วน โดยไม่มีการสื่อสารและเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม หรือ Engagement ในการร่วมกันช่วยคลี่คลายวิกฤตนั้น ๆ

ปัญหาเล็ก ๆ เพียง “หยิบปลายมือ” อาจเป็น “มหันตภัย” ที่เกินกว่าจะตั้งรับ เฉกที่ ธุรกิจอาหารทะเลตามสั่งแบบบุฟเฟต์รายนี้กำลังประสบก็เป็นได้ !

บรรยากาศความชุลมุนของกลุ่มลูกค้าที่ซื้อโปรโมชันแต่ไม่สามารถจองคิวรับประทานอาหารได้ผ่านช่องทางไลน์ เฟซบุ๊ก และ Call Center จนต้องเดินทางมาจองที่หน้าร้าน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“อาร์ติซาน รัชดา” ปลื้มยอดขายทะลุ 3.6 พันล้านบาทใน 6 เดือน

ดร.ศรายุธ เล็กผลิผล (ซ้ายสุด) หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม บริษัท ไรส์แลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด

alivesonline.com : ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมิกซ์ยูสครบวงจร “อาร์ติซาน รัชดา” มั่นใจศักยภาพ “รัชดาฯ-พระราม 9” ขึ้นชั้นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของกรุงเทพฯ ใน 5 ปี เปิดเส้นทางเข้า-ออกใหม่ฝั่งถนนประชาอุทิศ เชื่อมต่อกลุ่มลูกค้าย่านห้วยขวางและถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา-เอกมัย พร้อมเปิดโชว์ห้องตัวอย่างสุดหรูดีไซน์ใหม่และข้อเสนอสุดพิเศษถึงวันที่ 15 ธ.ค.61

ดร.ศรายุธ เล็กผลิผล หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม บริษัท ไรส์แลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ “อาร์ติซาน รัชดา” สมาร์ทไลฟ์ดีไซน์คอนโดมิเนียมรูปแบบมิกซ์ยูสครบวงจร เปิดเผยว่า พื้นที่บริเวณโดยรอบแนวถนนรัชดาภิเษก-พระราม 9 ในปัจจุบันถือเป็นทำเลที่มีการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ต่อเนื่องทุกปี โดยแต่ละโครงการต่างได้รับผลตอบรับที่ดีทั้งจากผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างประเทศ ส่งผลให้โครงการที่เปิดขายใหม่ในทำเลนี้มีแนวโน้มการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นทุกปี

ปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องคือโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในแต่ละพื้นที่ โดยแนวถนนรัชดาภิเษก-พระราม 9 สามารถเดินทางเข้าออกได้หลายเส้นทาง เป็นจุดตัดของเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าสู่ใจกลางเมือง รวมถึงการคมนาคมขนส่งต่าง ๆ ที่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย มีการเดินทางให้เลือกหลากหลาย ทั้งรถไฟฟ้า MRT และทางด่วนพิเศษ ขณะเดียวกันยังมีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์เชื่อมต่อไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ตลอดจนรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรมฯ) ที่กำลังก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้ ถือเป็นปัจจัยในการกระตุ้นมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ในย่านนี้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี

ดร.ศรายุธ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการ “อาร์ติซาน รัชดา” ถือเป็นสมาร์ทไลฟ์ดีไซน์คอนโดมิเนียมรูปแบบมิกซ์ยูสครบวงจรด้วย คอนโดมิเนียม พื้นที่สำนักงานแบบ Freehold และพื้นที่ร้านค้าชั้นนำ มียอดขายกว่า 80% ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน ทำรายได้มากกว่า 3.6 พันล้านบาท บริษัทฯ จึงร่วมกันจัดงาน “The New Experience Party ” เพื่อเปิดแสดงห้องชุดตัวอย่างสุดหรูดีไซน์ใหม่และเส้นทางเข้า-ออกใหม่ทางด้านฝั่งถนนประชาอุทิศ เพื่อเชื่อมต่อกลุ่มลูกค้าย่านห้วยขวางและถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา-เอกมัย

“ในส่วนของพื้นที่โครงการ อาร์ติซาน รัชดา ยังใกล้กับศูนย์การค้า อาคารสำนักงานธุรกิจขนาดใหญ่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ โรงพยาบาล และสถานศึกษาชั้นนำ ซึ่งนับเป็นเขตศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ หรือ New Central Business District ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยศักยภาพของพื้นที่ แม้มูลค่าที่ดินจะเพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงย่านสุขุมวิท สีลม และสาทร แต่ยังคงมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ให้ความสนใจเข้ามาจับจองและพัฒนาโครงการอีกหลายแปลง จึงมั่นในว่าพื้นที่บริเวณนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางเขตเศรษฐกิจด้านธุรกิจและการเงินแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี”

ดร.ศรายุทธ กล่าวในตอนท้ายว่า งาน “The New Experience Party” ยังจัดโปรโมชันพิเศษครบทุกฟังก์ชั่นการใช้งานกับแบบห้อง 5 แบบที่มีขนาดตั้งแต่ 28–77 ตร.ม. ด้วยราคาเริ่มต้นยูนิตละ 2.5 ล้านบาท ผ่อนชำระต่ำ เพียง 8,999 บาทต่อเดือน พร้อมมอบส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 1 ล้านบาทและข้อเสนอสุดพิเศษตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2561

โรงแรมในเครือ “แคนทารี” จัดแคมเปญเด็ดรับ “คริสต์มาส” 4 มุมเมือง

 

วันที่ 24 ธันวาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 18.00-22.00 น. ห้องอาหาร “ดิ ออร์ชาร์ด” โรงแรมแคนทารี โคราช ขอเชิญทุกท่านสัมผัสความอร่อยกับเทศกาลคริสต์มาส สังสรรค์ในคืนคริสต์มาสอีฟ กับเมนูสุดพิเศษ อาทิ ขาแกะ, ไก่งวงอบ, คริสต์มาสพุดดิ้ง และเครื่องดื่มสูตรดั้งเดิม Gluhwein รังสรรค์เมนูอร่อยโดยเชฟผู้เชี่ยวชาญ เพลิดเพลินกับนักร้องประสานเสียงและซานตาคลอสที่มาเยือนพร้อมของขวัญ ในราคาสุทธิเพียงท่านละ 890 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีลดครึ่งราคา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่ โรงแรมแคนทารี โคราช โทร.044-353-011-2 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.kantarycollection.com

โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างความทรงจำแสนประทับใจในวันคริสต์มาสอีฟ 24 ธันวาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 18.00–22.00 น. ณ ห้องอาหารแคลิฟอร์เนีย สเต็ก เพลิดเพลินกับบุฟเฟต์มื้อค่ำสุดหรู คัดสรรและปรุงอย่างพิถีพิถันโดยเชฟมืออาชีพ ราคาสุทธิเพียงท่านละ 750 บาท (เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ลดครึ่งราคา) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงแรมแคนทารี, กบินทร์บุรี โทร.0 3728 2699 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.kantarycollection.com

ส่วนที่ ห้องอาหาร “แคลิฟอร์เนีย สเต็ก” โรงแรมแคนทารี อยุธยา เชิญทุกท่านสัมผัสความอร่อยกับเทศกาลคริสต์มาส เริ่มต้นเทศกาลแห่งความสุขกับบุฟเฟ่ต์มื้อค่ำเมนูพิเศษสำหรับคุณและครอบครัว รังสรรค์โดยเชฟมืออาชีพ ราคาสุทธิเพียงท่านละ 750 บาท พร้อมไวน์ 1 แก้ว เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ลดครึ่งราคา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงแรมแคนทารี อยุธยา โทร.0 3533 7177 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.kantarycollection.com

เช่นเดียวกับที่ ห้องอาหาร “แคลิฟอร์เนีย สเต็ก” โรงแรมคามิโอ แกรนด์ ระยอง ขอเชิญทุกท่านร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลเทศกาลคริสต์มาสพร้อมครอบครัวและเพื่อนสนิทกับบุฟเฟ่ต์มื้อค่ำเลิศรสอย่าง ไก่งวงอบ, แฮมอบน้ำผึ้ง, ขาแกะย่าง, คริสต์มาสพุดดิ้ง พร้อมพบซานตาคลอส และเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงวันคริสต์มาส ในค่ำคืนวันที่ 24 ธันวาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 18.00-22.00 น. ในราคาสุทธิเพียงท่านละ 1,200 บาท (ราคารวมเวลคัมดริ้งค์ หรือเครื่องดื่มต้อนรับ) เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ลดครึ่งราคา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โรงแรมคามิโอ แกรนด์ ระยอง โทร.0 3862 1626 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์: www.kameocollection.com

Garnished roasted turkey on holiday decorated table with pumpkins and glasses of red wine

WICE มั่นใจปี 61 ทำรายได้ 1.8 พันล้านบาท การันตีผลประกอบการดีสุดในรอบ 25 ปี

alivesonline.com : “ไวส์ โลจิสติกส์” โชว์จุดแข็งบริการครบวงจร มีเครือข่ายรองรับทุกเมืองการค้าสำคัญ พร้อมขยายการให้บริการขนส่งสินค้าแบบไม่เต็มตู้เสริมรายได้ เผยผลประกอบการ 9 เดือน กวาดรายได้ 1,313.41 ล้านบาท กำไร 79 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปี 62 โต 30% แตะ 2.2 พันล้านบาท

นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ WICE แบ่งเป็น Sea Freight 35%, Air Freight 45%, การให้บริการ Logistics 17% และ Cross-Border Services 3% โดยผลประกอบการไตรมาส 3/61 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 490.53 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 371.50 ล้านบาท จำนวน 119.02 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 32.04% และมีกำไรสุทธิ 30.76 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.95 ล้านบาท จำนวน 2.81 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.07%

ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 61 มีรายได้รวม 1,313.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 254.96 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวมที่ 1,058.45 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 79 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 77.73 ล้านบาท จำนวน 1.27 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.63%

ขณะที่แนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/61 เป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาสงครามการค้า แต่ธุรกิจของ WICE ในประเทศต่าง ๆ ยังมีปริมาณการให้บริการกับลูกค้าเพิ่มขึ้น เชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีรายได้ประมาณ 1.8 พันล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 25 ปี

นายชูเดช กล่าวว่า การเติบโตของภาคส่งออกยังผลักดันธุรกิจโลจิสติกส์ระหว่างประเทศให้เติบโตในเกณฑ์ดี โดยในช่วงที่ผ่านมาการส่งออกของไทยในเดือนต.ค.61 มีมูลค่า 21,757.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.7% เป็นการกลับมาขยายตัวอีกครั้ง หลังจากเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ขยายตัวติดลบ 5.2% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 22,037.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.23% โดยขาดดุลการค้า 279.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการส่งออกรวม 10 เดือนของปี 2561 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่า 211,487.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.19% การนำเข้ามีมูลค่า 208,928.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.78% เกินดุลการค้ามูลค่า 2,558.9 ล้านเหรียญสหรัฐ

“สาเหตุที่ภาคส่งออกกลับมาฟื้นตัวเนื่องจากการส่งออกขยายตัวได้ดีเกือบทุกตลาด โดยตลาดในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย และ CLMV ขยายตัวในระดับสูงที่ 18.7%, 12% และ 18.2% ขณะที่สหรัฐอเมริกาและจีนก็กลับมาขยายตัว โดยเพิ่ม 7.2% และ 3% หลังจากหดตัวลงเล็กน้อยในเดือนก.ย. 61”

นายชูเดช กล่าวด้วยว่า ในปี 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ 2.2 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 30 % โดยมีแผนเพิ่มปริมาณงานบริการของทุกธุรกิจ ประกอบด้วย ธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างประเทศแบบ Door-to-Door งานบริการขนส่งสินค้าในประเทศ-ระหว่างประเทศ งานบริหารจัดการคลังสินค้า และงานด้านการขนส่งข้ามชายแดน (Cross Border)

WICE มีโอกาสขยายงานจำนวนมากให้กับฐานลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ เนื่องจากมีบริการที่ครบวงจร สามารถรองรับความต้องการได้ทุกรูปแบบ อีกทั้งมีบริษัทเครือข่ายกระจายอยู่ในประเทศศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ ซึ่งมีความต้องการใช้งานบริการโลจิสติกส์สูง ประกอบด้วย WICE Logistics (Hong Kong) Ltd., WICE Logistics (Singapore) Ltd. และบริษัทร่วมทุน EUROASIA TOTAL LOGISTICS CO., LTD. (ETL)

“บริษัทฯ ยังจะขยายการให้บริการขนส่งสินค้าแบบไม่เต็มตู้ หรือ LTL เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่มีปริมาณของไม่มาก เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้อีกหนึ่งช่องทาง โดยบริษัทฯ ได้รับมอบตู้คอนเทนเนอร์แบบสั่งทำพิเศษทั้งตู้สำหรับแช่เย็นและตู้แบบแห้งแล้วจำนวน 150 ตู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรองรับงานขนส่งข้ามชายแดนที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น” นายชูเดช กล่าวในตอนท้าย

 

กรมการพัฒนาชุมชน เร่งเครื่องสานนโยบาย “ช้อปช่วยชาติ”

alivesonline.com : กรมพัฒนาชุมชน ดึงผู้ผลิตโอทอปกว่า 8 หมื่นรายนำสินค้ากว่า 1.6 แสนผลิตภัณฑ์ร่วมโครงการ “ช้อปช่วยชาติ” พร้อมเร่งทำโลโก้กลาง-ใบเสร็จให้ประชาชนนำไปลดหย่อนภาษี เตรียมจัดงานใหญ่ส่งท้ายปี นำผู้ประกอบการโอทอปกว่า 2.5 พันราย ร่วมงาน“OTOP City Happy Market 2018” ระหว่างวันที่ 15-23 ธันวาคม 2561 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี หวังช่วยปั้นยอดขายรวมเพิ่ม 20 %

นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ “ช้อปช่วยชาติ” โดยสามารถนำค่าซื้อสินค้าจากโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 15,000 บาท ระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 16 มกราคม 2562 นั้น

จากนโยบายดังกล่าว กรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดทำฐานข้อมูลการลงทะเบียนสินค้าโอทอปล่าสุดเดือนตุลาคม 2561 มีผู้ผลิตและผู้ประกอบการโอทอปลงทะเบียนทั้งสิ้น 80,141 ราย รวมสินค้า 167,403 ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งจัดทำโลโก้กลาง “OTOP ช้อปช่วยชาติ” เพื่อให้เจ้าหน้าที่และผู้ผลิตผู้ประกอบการโอทอปสำหรับใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์สินค้าโอทอปที่เข้าร่วมมาตรการ ตลอดจนการสื่อสารกับผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังได้เร่งเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการโอทอปได้รับทราบถึงแนวทางการดำเนินงานตามมาตรการและประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากมติคณะรัฐมนตรี พร้อมทั้งเชิญชวนให้เข้าร่วมตามมาตรการ โดยให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการโอทอปนำโลโก้กลางไปใช้ในการสื่อสารและประชาสัมพันธ์กับผู้บริโภคและจัดทำเป็นตราปั๊มบนใบเสร็จรับเงินที่จะมอบให้กับผู้บริโภค ตลอดจนให้จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์บริเวณหน้าร้าน หรือบนบรรจุภัณฑ์ของสินค้า และจัดเตรียมใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบตามรูปแบบที่ กระทรวงการคลัง กำหนดให้พร้อม

อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวด้วยว่า กรมการพัฒนาชุมชน ยังได้เตรียมจัดงาน OTOP City Happy Market 2018 “ตลาดแห่งความสุข” ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 15-23 ธันวาคม 2561 โดยมีผู้ผลิตและผู้ประกอบการโอทอปเข้าร่วมงานกว่า 2,500 ราย โดยคาดว่าจะส่งผลให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการโอทอปที่ร่วมงานมียอดจำหน่ายสินค้าภสยในงานเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10% และส่งผลให้มียอดจำหน่ายรวมเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่น้อยกว่า 20% สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในเรื่องของการสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำในสังคม พร้อมสร้างความสุขให้ประชาชน ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่เทศกาลแห่งความสุขนี้

ข้อคิดก่อนตัดสินใจซื้อคอนโดฯ

alivesonline.com : การลงทุนในเพราะในชีวิตหนึ่งเราอาจซื้อได้เพียงครั้งเดียว ฉะนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อจึงต้องพิจารณาให้รอบด้านเสียก่อน อสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือห้องชุดพักอาศัย ถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย

วันนี้ ทีมการตลาด บริษัท ธนาแลนด์ จำกัด มีข้อคิดดี ๆ มาแนะนำสำหรับผู้ที่จะเลือกซื้อห้องชุด หรือคอนโดมิเนียมว่า ควรจะต้องพิจารณาอะไรกันบ้างกับ 8 ทริคช่วยตัดสินใจในการซื้อคอนโดมิเนียม

1.วัตถุประสงค์ ซื้อเพราะอะไรกันแน่ ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงหรือลงทุน ถ้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงจะต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่นด้วย เช่น สถานที่ข้างเคียง การเดินทาง เป็นต้น

2.งบประมาณ ต้องกำหนดให้ชัดเจน มิฉะนั้นงบอาจจะบานปลายภายหลังได้

3.ข้อได้เปรียบ อาจเป็นทำเลที่ตั้ง หรือสิ่งอำนวยความสะดวกของแต่ละโครงการ

4.ที่จอดรถ มีเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ เพราะคอนโดมิเนียมบางโครงการก็มีที่จอดรถไม่เพียงพอสำหรับผู้อยู่อาศัยทุกคน

5.ค่าส่วนกลาง มีการคิดค่าส่วนกลางรายเดือน หรือรายปี เก็บเงินอย่างเป็นธรรมและคุ้มกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เราจะได้หรือไม่

6.นิติบุคคล ก่อนจะตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมต้องทำการศึกษาและสอบถามข้อมูลจากนิติบุคคลอาคารให้ดีจะได้ไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง

7.กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกฎระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ของโครงการ เช่น บางแห่งสามารถเลี้ยงสัตว์ได้ บางแห่งไม่สามารถทำได้ เป็นต้น

8.ตำแหน่งห้อง ต้องเลือกให้เหมาะกับความต้องการของเรา เช่น ถ้ามีผู้สูงอายุก็อาจจะเลือกห้องที่ใกล้กับลิฟต์ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตนั่นเอง

 

หลังจากตัดสินใจได้แล้วก็มาถึงขั้นตอนเตรียมความพร้อม กับ 4 ขั้นตอนง่ายๆ ในการซื้อคอนโด ดังนี้ 

1.ตั้งงบประมาณ เลือกทำเลที่ตั้งที่ต้องการ เช่น เหมาะกับที่ทำงาน เดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้า เป็นต้น เลือกโครงการที่เหมาะกับตัวเรา เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเรา

2.ศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับการจอง ข้อสัญญา และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

3.เตรียมตัวและเอกสารในการกู้สินเชื่อ (กรณีซื้อด้วยสินเชื่อ) เลือกธนาคารและวงเงินกู้ที่เหมาะสม

4.เตรียมค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้ก่อนวันโอนกรรมสิทธิ์จะต้องตรวจสอบความเรียบร้อยของห้องให้ดีเพื่อที่จะไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง

รู้รายละเอียดดีขนาดนี้แล้ว จะตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียมทั้งทีก็ต้องเลือกให้พิถีพิถันหน่อยจริงไหม อย่าลืมพิจารณา โครงการธนาแอสโทเรีย ปิ่นเกล้า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ คอนโดมิเนียมบนทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในย่านปิ่นเกล้า ตั้งบนถนนจรัญสนิทวงศ์ระหว่าง ซ.44 และ 46 ติดรถไฟฟ้า MRT สถานีบางยี่ขัน บริหารงานโดย บริษัท ธนาแลนด์ จำกัด ผู้มีประสบการณ์ และเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพมากกว่า 40 ปี ด้วยความทุ่มเทในการดูแลบ้านของลูกค้าในทุกขั้นตอน ทั้งการเลือกวัสดุที่มีคุณภาพ การตรวจสอบโครงสร้างให้ได้ความแข็งแรง การใส่ใจในการให้สาธารณูปโภคที่มากกว่า รวมไปถึงการดูแลลูกค้าหลังการขาย

“ธนาแอสโทเรีย” คอนโดมิเนียมหรู พร้อมให้ทุกท่านเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานขายโครงการ เปิดทุกวัน เวลา 09.00-19.00 น. สอบถาม 0 2434 2000 www.thanaland.co.th / IG : thanaastoria / Line@ thanaland #Thanaland #ThanaAstoria

ธุรกิจครอบครัวทั่วโลก เชื่อมั่นรายได้โตต่อเนื่อง หลังส่งไม้ต่อให้ผู้นำรุ่นที่ 3

alivesonline.com : PwC เผยผลสำรวจรายได้ของธุรกิจครอบครัวในปีที่ผ่านมาเติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปี พบกิจการภายใต้ผู้นำรุ่นแรกเติบโตดีกว่ารุ่นอื่น ๆ ด้านผู้นำรุ่นปัจจุบันมั่นใจรายได้ในอีก 2 ปีข้างหน้ายังโตต่อเนื่อง ขณะที่พบธุรกิจครอบครัวมากกว่าครึ่ง หรือ 53% ที่มีผลประกอบการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก มีการกำหนดคุณค่าองค์กรที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร ด้านธุรกิจครอบครัวไทย ผู้นำรุ่นใหม่ยังเผชิญความท้าทายด้านช่องว่างระหว่างวัยและการได้รับการยอมรับในฝีมือบริหาร หลังทยอยส่งไม้ต่อการบริหารให้ผู้นำรุ่นที่ 3

นายนิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หัวหน้าสายงานธุรกิจครอบครัว และหุ้นส่วนสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Global Family Business Survey 2018 ที่ทำการสำรวจธุรกิจครอบครัวจำนวน 2,953 บริษัท ใน 53 ประเทศทั่วโลกว่า รายได้ของธุรกิจในปีที่ผ่านมาเติบโตเป็นเลข 2 หลักซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2550 โดย 84% ของผู้บริหารคาดว่า รายได้ของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่ 16% ยังมองด้วยว่า รายได้จะเติบโตอย่าง “รวดเร็ว” และ “ก้าวกระโดด”

ผลสำรวจประจำปีนี้ยังพบว่า ผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นแรกมีความสามารถในการเพิ่มรายได้ให้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักมากกว่าผู้นำรุ่นอื่น ๆ อย่างชัดเจน ขณะที่ 75% ของผู้บริหารธุรกิจครอบครัวเชื่อว่า การมีวัฒนธรรมองค์กรและคุณค่าที่แข็งแกร่งจะช่วยสร้างความได้เปรียบให้กับกิจการได้มากกว่าธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว โดย 49% ของผู้บริหารได้มีการกำหนดคุณค่าองค์กรโดยเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

“ผลการดำเนินงานภายใต้การบริหารธุรกิจครอบครัวของผู้นำรุ่นบุกเบิกที่เติบโตด้วยตัวเลข 2 หลักมากกว่ารุ่นอื่น ๆ นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการบริหารความต่อเนื่องของรูปแบบทางธุรกิจกับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังพบว่าการที่องค์กรมีการกำหนดคุณค่าที่ชัดเจนและมีการเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรยังส่งผลต่อการกำหนดแผนเชิงกลยุทธ์ในเชิงบวก รวมถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งด้วยเมื่อเทียบกับผู้นำในรุ่นปัจจุบัน จะเห็นว่าผู้นำรุ่นนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ หรือแม้แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมาก”

 3 ความท้าทายของธุรกิจครอบครัวในอนาคต

เมื่อแบ่งเป็นรายทวีปพบว่า ธุรกิจครอบครัวในทวีปตะวันออกกลางและแอฟริกาแสดงความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของรายได้มากที่สุด โดย 28% คาดว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตามด้วยธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก (24%) ยุโรปตะวันออก (17%) อเมริกาเหนือ (16%) อเมริกากลางและใต้ (12%) และยุโรปตะวันตก (11%)

สำหรับความท้าทาย 3 อันดับแรกของธุรกิจครอบครัวในอนาคตนั้น ประกอบด้วย นวัตกรรม (66%) การเข้าถึงแหล่งแรงงานที่มีทักษะ (60%) และการเข้าสู่ดิจิทัล (44%) โดย 80% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวมองว่าปัจจัยเหล่านี้คือความท้าทายที่มีนัยสำคัญ

 

ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า 53% ของธุรกิจครอบครัวที่มีรายได้เติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก สามารถระบุหมวดหมู่คุณค่าองค์กรได้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการผสมผสานกลยุทธ์ความเป็นเจ้าของกับกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจครอบครัวเข้าด้วยกัน

ข้อมูลเชิงลึก “ความต่าง” ระหว่างรุ่น

ด้าน นายปีเตอร์ อิงกลิช หัวหน้าสายงานธุรกิจครอบครัว บริษัท PwC โกลบอล และผู้เขียนรายงานร่วม กล่าวว่า การกำหนดคุณค่าองค์กรอย่างแข็งขันจะทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติและได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า โดยการกำหนดหมวดหมู่คุณค่าองค์กรอย่างชัดเจนจะเป็นเหมือน “เข็มทิศภายใน” ให้ธุรกิจครอบครัวที่สามารถใช้นำทางและก้าวข้ามความท้าทายของการเข้ามาของเทคโนโลยี

“สิ่งที่ผลสำรวจนี้ชี้ไว้ชัดคือ คุณค่าของธุรกิจครอบครัวกับคุณค่าของครอบครัวนั้นไม่เหมือนกัน โดยคุณค่าของธุรกิจครอบครัวควรต้องได้รับการกำหนดและมีการสื่อสารอย่างชัดเจน ทั้งยังต้องฝังลึกลงไปในวัฒนธรรมขององค์กร รวมถึงต้องมีการทบทวนกระบวนการตัดสินใจในแต่ละวันอยู่เป็นประจำ”

ผลสำรวจธุรกิจครอบครัวของ PwC ยังได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความแตกต่างระหว่างรุ่นที่มีผลต่อการวางแผนส่งมอบกิจการและการวางตัวผู้สืบทอดของธุรกิจครอบครัว ดังนี้

  • ธุรกิจครอบครัวในกลุ่มอุตสาหกรรมสื่อ บันเทิง (65%) ค้าปลีก (53%) และบริการทางการเงิน (52%) มีความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งรายใหม่ ๆ ไปจนถึงความปลอดภัยและความเข้าใจถึงภัยคุกคามสูงกว่าค่าเฉลี่ย (30%)
  • 26% ขององค์กรขนาดใหญ่ (ที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป) มีความกังวลต่อการเข้ามาของเอไอและหุ่นยนต์ในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่ากลุ่มขององค์กรที่มีรายได้ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือน้อยกว่า (16%) อย่างมีนัยสำคัญ
  • 69% ของผู้ถูกสำรวจบอกว่า ตนคาดหวัง หรือส่งเสริมให้ผู้นำรุ่นต่อไปในอนาคต รวมถึงสมาชิกในครอบครัวได้รับประสบการณ์และพัฒนาทักษะภายนอกธุรกิจครอบครัว เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถปรับตัวรับมือกับนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้

นายอิงกลิช กล่าวต่ออีกว่า ธุรกิจครอบครัวและธุรกิจเอกชนมากกว่า 3.5 แสนรายที่มีจะต้องมีการส่งไม้ต่อในอนาคต เนื่องจากผู้นำรุ่นปัจจุบันจะเกษียณจะยิ่งทำให้เกิดความกังวลถึงความต่อเนื่องของการประกอบธุรกิจ โดยผู้นำรุ่นต่อไปจะยิ่งเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ต่างไป ทั้งในเรื่องของผลกระทบจากเทคโนโลยี เช่น เอไอ หุ่นยนต์ และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์

“รายงานของเรายังคงชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของวิธีการทำงานที่มีคุณค่าขององค์กรเป็นตัวนำซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ได้อย่างต่อเนื่อง วิธีการนี้ยังช่วยดึงดูดและเตรียมความพร้อมด้านทักษะให้กับผู้นำรุ่นต่อไปซึ่งจะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล”

การวางแผนเชิงกลยุทธ์ : จุดบอดของธุรกิจครอบครัว

นายเดวิด วิลส์ หัวหน้าสายงานผู้ประกอบการและธุรกิจเอกชน บริษัท PwC โกลบอล กล่าวเตือนว่า แม้ว่าผลสำรวจจะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและศักยภาพการเติบโตของธุรกิจครอบครัว แต่ผลสำรวจระบุว่า ธุรกิจไม่ได้ประสบความสำเร็จตามคาดเสมอไป เพราะแม้ว่าธุรกิจครอบครัวจะมีความทะเยอทะยานที่จะประความสำเร็จอย่างแรงกล้า แต่การวางแผนเชิงกลยุทธ์ยังคงเป็นจุดบอดของธุรกิจครอบครัวจำนวนมาก

 

ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจที่พบว่า 21% ยอมรับว่าไม่มีการวางแผนเชิงกลยุทธ์เลย ขณะที่ 30% มีแผนกลยุทธ์อยู่ในใจแต่ไม่ได้มีการปฏิบัติการให้เป็นรูปธรรมแต่อย่างใด ในทางกลับกัน 49% ของกลุ่มธุรกิจครอบครัวที่มีการวางแผนเชิงกลยุทธ์อย่างเป็นทางการในระยะกลาง 42% ในกลุ่มนี้มีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก นี่แสดงให้เห็นว่าการวางแผนเชิงกลยุทธ์กับการมีผลการดำเนินงานอันเป็นเลิศมีความสัมพันธ์กันชัดเจน ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างรูปแบบการปฏิบัติงานที่โดดเด่นแล้ว ยังจะเป็นมรดกตกทอดให้กับธุรกิจครอบครัวในรุ่นต่อ ๆ ไปด้วย

“ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจนั้นดำเนินไปอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นแปลว่า ธุรกิจที่มีการเติบโตอยู่ในขณะนี้ อาจจะไม่ได้เติบโตอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ฉะนั้น ธุรกิจครอบครัวที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วได้ ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ 2 ข้อคือ กลยุทธ์ความเป็นเจ้าของและกลยุทธ์ทางธุรกิจ”

ธุรกิจครอบครัวไทย : คนรุ่นใหม่เผชิญแรงกดดันสูง

นายนิพันธ์ กล่าวเสริมว่า ธุรกิจครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมาก เพราะมากกว่า 80% ของธุรกิจไทยนั้นเป็นธุรกิจครอบครัวตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ รวมถึงบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3 ใน 4 นั้นเป็นธุรกิจครอบครัวเช่นกัน

สำหรับสถานการณ์ที่ผ่านมานั้น ธุรกิจครอบครัวไทยส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้การบริหารงานของผู้นำรุ่นที่ 2 โดยบางครอบครัวเริ่มส่งต่อกิจการให้แก่ผู้นำรุ่นที่ 3 แล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่ากลุ่มผู้นำรุ่นใหม่ของไทยเหล่านี้ต้องเผชิญกับแรงกดดันและความท้าทายในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตคล้ายคลึงกับผู้นำรุ่นใหม่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างระหว่างวัย ช่องว่างที่เกิดจากการสร้างความน่าเชื่อถือ และช่องว่างในการสื่อสาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำทั้ง 2 รุ่นจำเป็นต้องเปิดใจและมีการสื่อสารระหว่างกันมากขึ้น

 

ยิ่งไปกว่านั้น ธรรมนูญครอบครัวถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจครอบครัวไทย เพราะจะเป็นตัวกำหนดกฎ กติกา และเงื่อนไขในการทำงานร่วมกันของสมาชิกครอบครัว รวมทั้งช่วยลดปัญหาของสมาชิกรุ่นต่อ ๆ ไปที่เข้ามาสืบทอดกิจการ แต่ธรรมนูญครอบครัวจะมีได้ต้องเกิดจากคุณค่าภายในครอบครัวและคุณค่าของธุรกิจครอบครัวที่แข็งแกร่ง ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัว ทั้งยังต้องมีจุดสมดุลระหว่างเป้าหมายของกิจการกับความต้องการของครอบครัวด้วย

กระนั้นก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ของไทยในหลายองค์กรเริ่มมีการบริหารงานแบบมืออาชีพมากขึ้นซึ่งจะนำพาองค์กรสู่การมีการกำกับดูแลกิจการที่ดีได้ ผลที่ตามมาคือธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ มีภาพลักษณ์ที่ดี และจะนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจอื่น ๆ ได้อีกมาก นอกจากนี้ ยังมีความตื่นตัวในการลงทุนด้านดิจิทัลซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีของธุรกิจครอบครัวยุคใหม่.

HUNGRY HUB ตอบโจทย์นักชิม ดันรายได้ให้ร้านอาหารพันธมิตรกว่า 100 ล้านบาท

‘สุรสิทธิ์ สัจจะเดว์’ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HUNGRY HUB

alivesonline.com : แอปพลิเคชันจองร้านอาหารออนไลน์ HUNGRY HUB (ฮังกรี้ ฮับ) ชูคอนเซ็ปต์สร้างความแตกต่างตอบสนองความต้องการนักชิม ด้วยแพคเกจพิเศษ สร้างรายได้รวมให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรสูงขึ้นถึง 50%

HUNGRY HUB มีแพคเกจการรับประทานที่แตกต่างบนแอปพลิเคชั่นที่ไม่เหมือนใคร ได้แก่ All You Can Eat โปรโมชั่นอิ่มอร่อยแบบไม่อั้นแบบบุฟเฟ่ต์, a la carte (อาลาคาร์ท) เฉพาะร้านอาหารที่มีเมนูอาหารตามสั่งเท่านั้น, Party Pack แพคเกจที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2561 ซึ่งนำเสนอเมนูชุดพิเศษสำหรับกลุ่มนักรับประทานในร้านตั้งแต่ 2-4 คนขึ้นไป พร้อมส่วนลดอย่างน้อย 20% สำหรับร้านอาหารที่ไม่ค่อยมีส่วนลด และ Buffet Plus ที่เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2561 กับข้อเสนอตัวเลือกเมนูพิเศษสำหรับลูกค้า HUNGRY HUB เท่านั้น

การดำเนินงานของ HUNGRY HUB จะคิดค่าดำเนินการเพียงเล็กน้อยกับลูกค้าแต่ละรายเท่านั้น พร้อมจำกัดข้อเสนอแบบบุฟเฟ่ต์เพียง 10–15% ของที่นั่งทั้งหมดในร้านเท่านั้น โดยในส่วนของบุฟเฟ่ต์ HUNGRY HUB มีการทำงานร่วมกับร้านอาหาร 130 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ในราคาเริ่มต้นเพียง 249–2,000 บาทต่อคน โดยมีผู้ใช้บริการกว่า 4.3 พันคนต่อร้านอาหาร 1 แห่ง แต่ละเดือนสร้างรายได้ให้แต่ละร้านถึง 1.9 ล้านบาท

จากแพคเกจดังกล่าวจึงทำให้ HUNGRY HUB มีผู้ใช้บริการจองโต๊ะร้านอาหารกว่า 2.8 แสนคน สร้างรายได้รวมให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรมากกว่า 100 ล้านบาท นับเป็นการเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนสูงขึ้นถึง 50% โดยมียอดค่าใช้จ่ายต่อการจองโต๊ะเฉลี่ย 2.1 พันบาท

‘สุรสิทธิ์ สัจจะเดว์’ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HUNGRY HUB เปิดเผยว่า ปัจจุบัน HUNGRY HUB ดำเนินธุรกิจในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ โดยมีร้านอาหารพันธมิตรชื่อดังหลายแห่ง อาทิ Audrey Cafe, Arno’s, Cafe Pla (กลุ่ม iberry), Maisen (กลุ่ม S&P), Yuutaro, Outback Steakhouse, Hongmin, Hong Kong Noodle, โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ และโรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ เป็นต้น ส่วนในปี 2562 มีแผนขยายธุรกิจไปยังเขตชายฝั่งตะวันออก (Eastern Seaboard) และเมืองอื่น ๆ ในประเทศไทย พร้อมตั้งเป้าเปิดตัวในระดับนานาชาติอีกด้วย

“HUNGRY HUB มีส่วนช่วยให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเข้าถึงโอกาสในวงกว้างขึ้น โดยเฉพาะการจองโต๊ะแบบกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นงานเฉลิมฉลอง หรืองานเลี้ยงอาหารค่ำของแต่ละบริษัทซึ่งสามารถควบคุมงบประมาณได้ ขณะเดียวกันลูกค้ายังมั่นใจได้ว่าจะได้ร้านอาหารที่มีสถานที่ อาหาร และบรรยากาศเหมาะสมที่สุด โดยเราจะแนะนำร้านอาหารใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้บริการ ขณะเดียวกันยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจและเพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย”

ด้าน ร้าน “ออเดรย์ คาเฟ่” (Audrey Cafe) ร้านอาหารชื่อดังที่มี 8 สาขาในไทย และเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เป็นพันธมิตรกับ HUNGRY HUB มากว่า 2 ปีจนประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น โดยมีผู้ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันกว่า 6 หมื่นคน ได้รับการแสดงความคิดเห็นกว่า 4.7 พันรีวิว มากกว่า Google และ Wongnai 4–5 เท่า ด้วยคะแนนที่สูงขึ้น 4.5/5

‘บีท-ชวิทย์ เสรีวัฒโนภาส’ ผู้อำนวยการบริษัท ออเดรย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า เราได้ทำงานร่วมกับ HUNGRY HUB มาเกือบ 2 ปีแล้ว และรู้สึกประทับใจกับจำนวนลูกค้าที่ได้รับ โดยเราได้ทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยมและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าของเรา

‘เจฟฟรีย์ สปีลแมน’ ผู้อำนวยการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ และโรงแรมดับเบิ้ลทรี บาย ฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ อีกหนึ่งในพันธมิตรที่เป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก กล่าวว่า

“เราได้มีโอกาสร่วมงานกับ HUNGRY HUB โดยได้นำห้องอาหาร Scalini ที่โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ เข้าร่วมแคมเปญ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในตลาดและรักษาระดับค่าเฉลี่ยของเราไว้ ทั้งในขณะที่ยังช่วยให้มีโอกาสขายเพิ่มขึ้นด้วย HUNGRY HUB จึงเป็นแอปพลิเคชันที่ไม่ซ้ำแบบใคร รวมถึงมีสมาชิกหลากหลายและมีความสามารถในการใช้จ่าย”

ในช่วงที่ผ่านมา HUNGRY HUB ได้รับรางวัลสตาร์ทอัประดับนานาชาติต่าง ๆ มากมาย อาทิ รางวัลชนะการนำเสนอแอปพลิเคชัน ในงาน “The Pitch Corner” ในการประชุมสุดยอด “The Seedstars World Summit 2018” ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีนักลงทุนต่างชาติและผู้เข้าร่วมประชุมเข้าแข่งขันจาก 14 ประเทศทั่วโลก รวมถึงการได้รับรางวัลชนะเลิศในงาน “Echelon Asia Summit 2018” ในการแข่งขัน The Pitch สาขาอี-คอมเมิร์ซ ณ ประเทศสิงคโปร์

การขยายตัวของ HUNGRY HUB ที่ครอบคลุมร้านอาหารที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรมากขึ้น จึงเท่ากับเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น เพราะธุรกิจร้านอาหารยังได้ขยายตัวสำหรับกลุ่มผู้ใช้บริการที่ต้องการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ ๆ ด้วยแนวคิดการรับประทานอาหารแนวใหม่นั่นเอง.

 

“ฟิลิปส์” ส่งต่อความรู้การทำ CPR พร้อมหนุนเครื่อง AED ในทุกงาน “วิ่งมาราธอน”

alivesonline.com : บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพ สานต่อปณิธานการสร้างสังคมแห่งการช่วยชีวิต ด้วยการจัดอบรมความรู้เรื่องการทำ CPR พร้อมผลักดันให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญในการติดตั้งเครื่อง AED ในสถานที่สาธารณะที่สำคัญ โดยเฉพาะในงาน “วิ่งมาราธอน” พร้อมนำเครื่อง AED จาก “ฟิลิปส์” ไปประจำการหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

เพราะเทรนด์การรักษาสุขภาพและการออกกำลังกายกำลังมาแรง โดยเฉพาะการ “วิ่ง” ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่าย ๆ เพียงมีรองเท้าวิ่งกับใจที่อยากจะวิ่งก็เริ่มต้นได้ทันที ทั้งยังสามารถชวนเพื่อนร่วมก๊วน หรือจะไปเล่นเดี่ยว ๆ ก็ทำได้ แต่การวิ่งก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เลือดสูบฉีดมากและกระตุ้นให้หัวใจต้องทำงานมากขึ้น จึงเสี่ยงก่อให้เกิด “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบไฟฟ้าที่ควบคุมการบีบและการเต้นของหัวใจ จนส่งผลให้ไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงสมองและส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ทัน

“ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” เป็นภาวะที่สามารถเกิดได้กับทุกคน แม้จะมีสุขภาพแข็งแรงก็ตามและสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ตามที่ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุสำคัญอันดับแรกของการเสียชีวิต โดยจากสถิติพบว่านักวิ่งมาราธอน 1 ใน 2 หมื่นรายเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น

ในขณะที่ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 16 กันยายน 2561 พบว่าในประเทศไทยปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด 432,943 คน อัตราการเสียชีวิต 20,855 คน กรณีของการเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกรณีฉุกเฉิน ดังนั้น การรู้จักวิธีการทำ CPR อย่างถูกต้องร่วมกับการใช้เครื่อง AED จึงเท่ากับเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตได้

‘วิโรจน์ วิทยาเวโรจน์’ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฟิลิปส์” มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมผู้สูงอายุ จึงต้องการส่งเสริมการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน หรือ CPR (Cardio Pulmonary Resuscitation) และการใช้เครื่อง AED เพื่อเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

จากสถิติของ สมาคมหัวใจอเมริกัน (American Heart Association : AHA) พบว่าการทำ CPR อย่างถูกวิธีสามารถช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิต (Survival Rate) ได้ถึง 3 เท่า และหากมีการทำ CPR ร่วมกับการใช้เครื่อง AED จะช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตได้ถึง 40%

“เราเล็งเห็นว่าการแข่งขันมาราธอนนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ คือ งาน BDMS Bangkok Marathon 2018 ถือเป็นอีเว้นท์ที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้เราสามารถผลักดันแนวคิดในการสร้างสังคมแห่งการช่วยชีวิต ทั้งยังเป็นตัวอย่างที่ดีด้านการแพทย์แก่งานวิ่ง หรือการแข่งขันกีฬาอื่น ๆ ที่จะหันมาให้ความสำคัญกับการฝึกฝนด้านการทำ CPR และการใช้เครื่อง AED”

ด้วยเหตุนี้ “ฟิลิปส์” จึงได้สนับสนุนการจัดฝึกอบรม CPR และ AED แก่เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครจำนวนกว่า 50 คนก่อนวันงาน พร้อมสนับสนุนเครื่อง AED ให้กับทีมแพทย์และอาสาสมัครในงาน BDMS Bangkok Marathon 2018 เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ทีมงานว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่มีผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันจะสามารถกู้ชีวิตได้อย่างปัจจุบันทันที.

ชี้แพลตฟอร์ม “คลาวด์” ไทยโอกาสโตสูง หลังมูลค่าตลาดโลกแตะ 1.78 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

alivesonline.com : เผยตัวเลขการใช้งานแพลตฟอร์มคลาวด์ของประเทศไทยเติบโตสูงขึ้น สะท้อนภาพการปรับเปลี่ยนขององค์กรธุรกิจในประเทศ สอดคล้องกับเทรนด์ของโลก คาดปี 2561 ธุรกิจคลาวด์มีมูลค่าแตะ 1.78 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ย้ำการใช้คลาวด์เป็นส่วนสำคัญของการทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชั่นที่ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ

นายอิชิโร ฮาระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาผู้ให้บริการการปรับเปลี่ยนองค์กรธุรกิจ ในเครือบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า แพลตฟอร์มคลาวด์เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางซึ่งมีการใช้คลาวด์เพิ่มสูงขึ้นทั้งในฝั่งผู้บริโภคและฝั่งของภาคธุรกิจในทุกประเทศทั่วโลก

จากข้อมูลของ “ฟอร์เรสเตอร์ รีเสิร์ช” บริษัทชั้นนำด้านการวิจัยระดับโลก ได้มีการสรุปภาพรวมตลาดพับบลิคคลาวด์ (Public Cloud) ในปี 2561 ว่าจะมีมูลค่าแตะ 1.78 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีมูลค่า 1.46 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 22% ทั้งยังคาดการณ์ด้วยว่า กว่า 50% ขององค์กรระดับเอนเทอร์ไพรส์ทั่วโลกจะมีการใช้แพลตฟอร์มคลาวด์อย่างน้อย 1 แพลตฟอร์ม เพื่อขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนองค์กรโลกสู่ดิจิทัล หรือการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น เพื่อตอบความต้องการของผู้บริโภค

นายฮาระ กล่าวด้วยว่า ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับตัวเลขการเติบโตของ “เอบีม คลาวด์” ในประเทศไทยที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นจากลูกค้าอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการใช้คลาวด์ด้าน Cloud Data Center, SAP Integrated ERP on Cloud, ระบบบริหารทรัพยากรบุคคลผ่านคลาวด์ (Cloud-Based Human Capital Management) หรือ HCM, การทำบล็อกเชนผ่านคลาวด์ (Blockchain Network Project on Cloud Platform) และ Cloud Network Architecture เป็นต้น

“คลาวด์เป็นปัจจัยสำคัญในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นขององค์กรธุรกิจ โดยช่วยให้การทำงานของระบบ ERP หรือระบบบริหารจัดการอื่น ๆ ภายในองค์กรทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่น สามารถขยายปริมาณการใช้งานได้ตามความต้องการ ทุกธุรกิจไม่ว่าจะมีขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ สามารถใช้คลาวด์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจได้มาก”

นายฮาระ กล่าวด้วยว่า การแข่งขันในโลกธุรกิจปัจจุบัน แข่งขันกันด้วยเวลาที่เร็วที่สุดในการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า “เอบีม คลาวด์” จึงตอบโจทย์เรื่องดังกล่าวด้วยการมีเทมเพลตเตรียมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทมเพลตสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมไฮเทค, อุตสาหกรรมอาหาร, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่เช่าซื้อ ฯลฯ ทำให้การติดตั้งคลาวด์เป็นไปด้วยความรวดเร็ว อีกทั้งภายใน “เอบีม คลาวด์” ยังมีแอปพลิเคชันที่ลูกค้าสามารถเข้าใช้งานได้ตามความต้องการ ซึ่งนับเป็นจุดเด่นของ “เอบีม คลาวด์”

ผลงานและความสำเร็จในการช่วยธุรกิจปรับเปลี่ยนองค์กรของ “เอบีม คอนซัลติ้ง” ยังพบได้จากหลายประเทศทั่วโลก เช่น การช่วยธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเม็กซิโก ซึ่งมีการปรับกระบวนการทำงานและการสื่อสารระหว่างฝ่ายขายและฝ่ายการผลิตให้เป็นไปแบบไร้รอยต่อ ส่วนในประเทศไทยได้มีส่วนร่วมในการวางแผนสร้างโรงงานแห่งใหม่ของผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์จากประเทศญี่ปุ่นเพื่อรองรับการเติบโตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเช่นกัน

นายฮาระ กล่าวอีกว่า องค์กรธุรกิจควรเลือกผู้ให้บริการที่ปรึกษาทางด้านบริการคลาวด์ที่มีประสบการณ์ มีทีมงานที่มีความรู้และประสบการณ์ในการให้บริการคลาวด์ในธุรกิจเดียวกัน หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้อง มีเทมเพลตสำหรับธุรกิจต่าง ๆ เพื่อความรวดเร็วในการติดตั้งและสามารถใช้งานได้ทันท่วงที มีแอปพลิเคชันที่หลากหลายให้เลือกใช้งาน รวมทั้งมีระบบ ERP หรือระบบบริหารจัดการอื่น ๆ อยู่บนคลาวด์ ประการสำคัญคือจะต้องสามารถเป็นผู้ให้บริการด้านคลาวด์ที่ครบจบในที่เดียวกัน (One Stop Service) และอัปเดตกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา

สำหรับ “เอบีม คลาวด์” เป็นคลาวด์ประเภท SaaS (Software-as-a-Service) ประกอบด้วย แอปพลิเคชันสำหรับธุรกิจต่าง ๆ, บริการคลาวด์ซึ่งครอบคลุมแอปพลิเคชันบริการ, บริการโครงสร้าง Infrastructure, การตรวจสอบและความปลอดภัยต่าง ๆ (Security & Monitoring) รวมทั้งเครือข่ายที่มีอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีบริการด้านการดูแลคลาวด์หลังการติดตั้งรวมอยู่ในแพคเกจเดียวกัน

“คลาวด์ถือเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาพร้อมเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลก เหล่านี้จะเป็นเครื่องมือชั้นดีของภาคธุรกิจในการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ดิจิทัลผ่านการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กร และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าในภาพรวม โดยบริษัทฯ มีแผนแนะนำ เอบีม คลาวด์ ให้ลูกค้ากลุ่มที่ยังไม่ได้ใช้คลาวด์ หรือกลุ่มที่ยังมีการใช้คลาวด์เพียงบางส่วนของธุรกิจ โดยคาดว่าจะสามารถมีลูกค้าใช้ เอบีม คลาวด์ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะตลอดระยะเวลา 5 ปี จากนี้” นายฮาระ กล่าวในตอนท้าย