อาคารสำนักงานเกรด A กรุงเทพฯ “พุ่ง” รับความต้องการกว่า 2 ล้านตร.ม.

alivesonline.com : “เน็กซัส” สำรวจตลาดอาคารสำนักงานเกรด A กรุงเทพฯ ในช่วง 12 เดือนทยอยเปิดไปแล้ว 5 แห่ง ส่งผลให้มีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นเป็น 2.53 ล้านตารางเมตร ส่วนค่าเช่าปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 1,025 บาท/ตร.ม./เดือน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 7% คาดผู้ประกอบการจะทยอยเปิดอีก 13 โครงการภายใน 2 ปีข้างหน้า ส่งผลให้ภาวะการแข่งขันของตลาดอาคารสำนักงานคึกคัก มั่นใจอนาคต 5 ปีมีพื้นที่เพิ่มถึง 1 ล้านตารางเมตร

นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอทไวซอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า จากการสำรวจตลาดอาคารสำนักงานเกรด A ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2561 พบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในและชั้นกลาง มีพื้นที่สำนักงานเกรด A ประมาณ 2.34 ล้านตารางเมตร และนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2561 จนถึงปัจจุบันมีอาคารสำนักงานเกรด A ใหม่ ๆ ทยอยเปิดตัวเพิ่มขึ้นอีก 5 อาคาร คิดเป็นพื้นที่เช่าเกือบ 2 แสนตารางเมตร เพิ่มขึ้นเกือบ 10% จากปีก่อน และจะยังทยอยเปิดเพิ่มอย่างต่อเนื่องอีก 13 อาคารในช่วง 2 ปีข้างหน้า คิดเป็นพื้นที่เช่าเกือบ 3.5 แสนตารางเมตร

ในรอบปีที่ผ่านมา (ตุลาคม 2561-กันยายน 2562) มีอาคารสำนักงานเกรด A ที่เปิดตัวในกรุงเทพฯ รวมทั้งสิ้น 5 อาคาร ได้แก่ สิงห์ คอมเพล็กซ์ (Singha Complex), 101 แอท ทรู ดิจิทัล พาร์ค (101@True Digital Park), ที-วัน (T-ONE), เอ็มเอส สยาม (MS Siam) และสามย่านมิตรทาวน์ (Samyan Mitrtown) นับเป็นอาคารสำนักงานที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการของผู้เช่า ทั้งเรื่องการเดินทางและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน เนื่องจากทุกโครงการล้วนตั้งอยู่บนสุดยอดของทำเลและศูนย์กลางแหล่งธุรกิจของกรุงเทพฯ แทบทั้งสิ้น โดยอาคารหลายแห่งยังมีการเชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้า BTS และ MRT อีกด้วย

“การเพิ่มขึ้นของซัปพลายใหม่ ไม่ส่งผลต่อตลาดมากนัก โดยพบว่าอัตราการเช่าลดลงเพียง 1% จาก 96% ในปีที่แล้ว เหลืออยู่ที่ 95% ในไตรมาสนี้ นั่นหมายความว่าความต้องการอาคารสำนักงานเกรด A ยังคงมีอยู่มาก ขณะที่ราคาค่าเช่าเฉลี่ยขยับขึ้นถึง 7% มาอยู่ที่ 1,025 บาท/ ตารางเมตร /เดือน จากเดิม 960 บาท/ ตารางเมตร/ เดือน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว”

นายธีระวิทย์ กล่าวอีกว่า ในช่วง 2 ปีข้างหน้าคาดว่าจะมีอาคารสำนักเกรด A สร้างเสร็จและพร้อมเปิดใช้งานได้อีก 10-13 อาคาร อาทิ เดอะ พาร์ค (The PARQ), สีลม เซ็นเตอร์ (Silom Center), สยาม สเคป (Siam Scape) และ โอ-เนส ทาวเวอร์ (O-NES Tower) ซึ่งอาคารเหล่านี้จะทำให้มีพื้นที่เช่าเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 3.5 แสนตารางเมตร โดยคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า พื้นที่เช่าอาคารสำนักงานเกรด A จะเพิ่มมากขึ้นถึง 1 ล้านตารางเมตร

จากข้อมูลทั้งหมดที่ทำการสำรวจมาสรุปได้ว่า ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าเกรด A ในกรุงเทพฯ ยังมีความต้องการอีกมาก การเข้ามาของซัปพลายใหม่ ๆ ทำให้ตลาดมีสีสันมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าเกรด A มีอยู่อย่างจำกัดมากว่า 20 ปีแล้ว การเปิดอาคารสำนักงานเพิ่มมากขึ้นทำให้ผู้เช่ามีทางเลือกมากยิ่งขึ้น ทั้งทางเลือกด้านทำเล สิ่งอำนวยความสะดวก รวมไปถึงการให้บริการภายในอาคาร ทั้งยังส่งผลดีอย่างมากกับกลุ่มผู้เช่าที่เป็นต่างชาติ (Multi-National Corporation หรือ MNC) เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้เป็นบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาในไทยซึ่งต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร การเช่าอาคารสำนักงานเกรด A ใหม่ ๆ ที่สวยงาม อยู่บนทำเลทอง จึงเป็นการเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับลูกค้า หรือคู่ค้าของบริษัทนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยการเพิ่มขึ้นของซัปพลายใหม่อย่างรวดเร็วนี้จึงส่งผลให้ตลาดตื่นตัวมากขึ้นและทำให้เจ้าของอาคารเดิมต้องหันมาใส่ใจกับอาคารของตนเองให้มากซึ่งก็ถือเป็นกำไรของผู้บริโภคนั่นเอง

นายธีระวิทย์กล่าวเพิ่มว่า การพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภคถือเป็นความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากการพัฒนาโครงการนั้นคือการคิดสร้างวันนี้เพื่อขายพื้นที่วันหน้า โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีในการพัฒนาจึงต้องอาศัยการมองตลาดที่เฉียบขาดและทำเลทองของโครงการ ตัวอย่างเช่นโครงการล่าสุดของปีนี้คือ “สามย่านมิตรทาวน์” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน ชูจุดเด่น “Smart & Eco Friendly” และเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีทั้งอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม โรงแรม และศูนย์การค้า มีระบบสาธารณูปโภคครบครัน ส่วนที่เป็นอาคารสำนักงานเกรด A หรือ “มิตรทาวน์ ทาว์เวอร์” สูง 31 ชั้น มีพื้นที่เช่ามากถึง 4.8 หมื่นตารางเมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนสี่แยกพระราม 4 – พญาไท เดินทางสะดวกจากการลงทุนทำอุโมงค์เชื่อมรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสามย่าน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการและเข้าใจถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยคาดว่าจะเป็นอาคารสำนักงานที่มีอัตราการเช่า 100% ในเร็ว ๆ นี้

สมรภูมิลอจิสติกส์ไทย “แข่งเดือด” รับตลาดโต 20%

alivesonline.com : เผยตลาดธุรกิจขนส่งและลอจิสติกส์ไทย มูลค่ากว่า 2แสนล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 15-20% ท่ามกลางภาวะแข่งขันดุเดือด “จีไอเอส” มุ่งเป้าหมายผู้นำตลาด IoT Logistics ส่ง “NOSTRA LOGISTICS Analytics Platform” และ “Telematics Solution” ตอบรับตลาดขาขึ้น ผลักดันธุรกิจขนส่งสู่ “สมาร์ท ลอจิสติกส์” ชูจุดขาย 3S “SAFTY-SAVING- SATISFACTION” เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุน

นางวรินทร สีสุขดี ผู้อำนวยการส่วนผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ บริษัท จีไอเอส จำกัด เปิดเผยว่า จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กำลังขยายตัวต่อเนื่อง ประกอบกับการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ รวมถึงการส่งออกที่ขยายตัว ส่งผลต่ออุตสาหกรรมขนส่งและลอจิสติกส์ในประเทศไทย มูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท มีการขยายตัวไปในทิศทางเดียวกันด้วยอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึงปีละ 15-20% จัดเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่มีอัตราการเติบโตสูงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

บริษัทฯ มองเห็นโอกาสและวางกลยุทธ์ทางการตลาดในอุตสาหกรรมขนส่งและลอจิสติกส์ จึงเปิดเกมรุกด้วย NOSTRA LOGISTICS Analytics Platform และ Telematics Solution เป็นผลิตภัณฑ์เรือธง พร้อมด้วย GPS Tracking เพื่อมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจขนส่งที่มองหาระบบการจัดการการขนส่งและลอจิสติกส์ที่ทรงประสิทธิภาพในยุคแห่งการแข่งขันที่เข้มข้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยหัวใจสำคัญของธุรกิจขนส่งคือ ความเร็วในการจัดส่งสินค้า การส่งมอบสินค้าตรงเวลา สินค้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พนักงานให้บริการอย่างมืออาชีพ และผู้รับสินค้ามีความพึงพอใจ

 

“ธุรกิจลอจิสติกส์ไทยเติบโตท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด โดยผู้ประกอบการได้เร่งปรับตัว พร้อมนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็น หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ และโมบายแอปพลิเคชันเรียลไทม์ เข้ามาปรับใช้ในการให้บริการลอจิสติกส์เพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่กับการเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า”

 

นางวรินทร กล่าวอีกว่า แม้ธุรกิจขนส่งและลอจิสติกส์จะเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่มีการเติบโตสูง แต่ก็จัดเป็นกลุ่มธุรกิจที่ต้องเผชิญหน้ากับสภาพตลาดการแข่งขันที่รุนแรง ดังเช่นปัญหาใหญ่ 3 ประการ ได้แก่ การเข้ามาชิงพื้นที่ตลาดของกลุ่มทุนลอจิสติกส์ต่างชาติซึ่งมีความพร้อมทั้งต้นทุนและเครือข่ายทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น สินค้าออนไลน์และอี-คอมเมิร์ซฯลฯ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังต้องแบกรับต้นทุนการขนส่งที่สูง เช่น ค่าเชื้อเพลิง หรือการวิ่งรถเที่ยวเปล่าที่ทำให้สูญเสียโอกาสในการใช้รถ จึงต้องปรับตัวด้วยเทคโนโลยีและการพัฒนารูปแบบทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว

สำหรับผลิตภัณฑ์เรือธงที่ต่อยอดจากระบบ GPS Tracking เพื่อตอบสนองความต้องการตลาด 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ “NOSTRA LOGISTICS Analytics Platform” เป็นการสร้างแพลตฟอร์มสำหรับผู้ประกอบการขนส่งและลอจิสติกส์ เพื่อเชื่อมโยงทุกข้อมูลการขนส่งเข้าสู่ระบบดิจิทัลและผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้ง GPS, Telematics, IoT (Internet of Things) และ Big Data Analytics จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการธุรกิจขนส่ง ตั้งแต่การจัดเก็บข้อมูลติดตามการขนส่งที่มาจากแหล่งข้อมูล หรือแพลตฟอร์มระบบ GPS Tracking ที่ต่างกัน อาทิ ข้อมูลพิกัดรถ ระยะทาง ระยะเวลา ความเร็วในการขับรถ พฤติกรรมการขับขี่และข้อมูลอื่น ๆ ที่มาจากอุปกรณ์เทเลเมติกส์ โดยรวบรวมและนำเข้าสู่ NOSTRA LOGISTICS Analytics Platform แล้วประมวลผลและนำเสนอภาพรวมข้อมูลจากรถขนส่งทั้งหมดเพื่อประกอบการทำงานในระดับโอเปอเรชั่น รวมถึงการวิเคราะห์และให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ผู้บริหารจัดการ Fleet เช่น รายงานภาพรวมการจัดส่งสินค้าตามแผนงาน รายงานประเมินคะแนนพฤติกรรมผู้ขับขี่ ฯลฯ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา และช่วยตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้แม่นยำขึ้นด้วยแพลตฟอร์มนี้จะช่วยลดปัญหาการเชื่อมโยงข้อมูลขนส่งให้แก่ผู้ประกอบการแต่ละราย ลดข้อจำกัดในการเลือกใช้ระบบติดตามการขนส่ง ลดความยุ่งยากและเวลาในการจัดการข้อมูลต่างระบบ และเพิ่มศักยภาพการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาการขาดข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจที่ถูกต้องสำหรับธุรกิจ

ส่วนอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งคือ “Telematics Solution” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้เหนือกว่าระบบ GPS Tracking ทั่วไป ด้วยการใช้ IoT (Internet of Things) เชื่อมต่อและสื่อสารกับกล่องจีพีเอสและอุปกรณ์เทเลเมติกส์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งบนรถ โดยนอกจากข้อมูลการติดตามรถแล้ว เทเลเมติกส์จะเน้นเรื่องการตรวจสอบและป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงอันตรายในระหว่างการขับขี่เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน โดยสามารถแจ้งเตือนคนขับและผู้ควบคุมงานขนส่งได้แบบเรียลไทม์ ทั้งยังเก็บข้อมูลของระบบเครื่องยนต์ในการใช้รถตามการใช้งานจริง เช่น น้ำมัน ระยะทาง เพื่อประเมินสภาพรถขนส่งและวางแผนการบำรุงรักษารถ รวมทั้งแสดงรายงานผลในรูปแบบต่าง ๆ สำหรับสรุปผลการวิ่งงานขนส่ง พร้อมรายงานประเมินคะแนนพฤติกรรมผู้ขับขี่ ด้วยเทเลเมติกส์โซลูชันจะเพิ่มความปลอดภัยตลอดทริปขนส่ง บริหารการใช้รถขนส่งได้มีประสิทธิภาพ และควบคุมค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการตอบโจทย์ธุรกิจขนส่งที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถ เสริมความปลอดภัย และลดต้นทุนค่าใช้จ่าย

“นอสตร้า โลจิสติกส์ มีจุดแข็งอยู่ที่ประสบการณ์ในธุรกิจขนส่งและลอจิสติกส์ในประเทศไทยมากกว่า 15 ปี โดยมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็น Professional IoT Logistics Solutions System Integrator ผู้เชี่ยวชาญในการสร้างและให้บริการโซลูชันด้วยเทคโนโลยี IoT Logistics จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ระบบ NOSTRA LOGISTICS ให้เป็น Total Transportation and Logistics System ที่มีฟังก์ชันเพื่องานขนส่งแบบครบวงจร ได้แก่ Fleet Tracking & monitoring, Fleet management, Shipment management, Resource optimization และ Safety management และโซลูชันที่พัฒนาอย่างเฉพาะเจาะจงให้กับธุรกิจของลูกค้าเพื่อตอบโจทย์การทำงานที่แตกต่างกันในแต่ละธุรกิจ โดยจะสามารถใช้ประโยชน์จากระบบของ NOSTRA LOGISTICS ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผนวกกับการออกแบบโซลูชันแบบพร้อมใช้งาน หรือ Ready to Use Solutions”

นางวรินทร กล่าวต่ออีกว่า นอสตร้า ลอจิสติกส์ จะเดินหน้าธุรกิจด้วยจุดขาย 3S เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุน ประกอบด้วย SAFETY สร้างความปลอดภัยให้แก่ชีวิต สินค้า และทรัพย์สินการขนส่งให้แก่ธุรกิจ SAVING ธุรกิจสามารถประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายขนส่ง และน้ำมัน และ SATISFACTION ธุรกิจและลูกค้าของธุรกิจมีความพึงพอใจจากการนำเสนอบริการขนส่งที่มีมาตรฐานการบริการที่มีคุณภาพ เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการนำเสนอโปรดักส์และโซลูชันที่ตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจขนส่งและลอจิสติกส์

“สำหรับภาพรวมสถานการณ์และแนวโน้มตลาดลอจิสติกส์ในไตรมาส 4 ยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา โดยอยู่ในระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์เทเลเมติกส์เชื่อมต่อกับระบบ GPS ติดตาม ทั้งกล้องวิดีโอออนไลน์แบบเคลื่อนที่ หรือ MDVR และกล้อง DMS เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ของพนักงานขับรถและช่วยลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ให้แก่ลูกค้าธุรกิจขนส่งทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่หลายโครงการ เป็นผลให้ผลประกอบการตลอดไตรมาส 3 เติบโต จึงมั่นใจว่าจะสามารถปิดไตรมาส 4 เป็นไปตามเป้า ด้วยการเติบโตเพิ่มรวม 50% จากปีที่ผ่านมา” นางวรินทร กล่าวในตอนท้าย

อ.ต.ก. ยกระดับสินค้าเกษตรอินทรีย์

alivesonline.com : องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์” เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพทั้งในและต่างประเทศ มุ่งยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืน เพิ่มความเชื่อมั่นด้านการกระจายสินค้าเกษตรคุณภาพให้เกษตรกรผู้ปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพ

นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เปิดเผยว่า อ.ต.ก. ตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและได้ดำเนินการขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาลในการปฏิรูปและพัฒนาทางด้านภาคการเกษตร โดยเล็งเห็นความสำคัญและสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาทำการเกษตรแบบปลอดภัย ทั้งยังคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภค จึงได้เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์” (Organic Market) ให้เป็นตลาดสำหรับเกษตรกรจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยเป็นทั้งศูนย์กลางการกระจายสินค้าเกษตรอินทรีย์ ทั้งยังเป็นตลาดเกษตรอินทรีย์สำหรับเกษตรกรที่จัดจำหน่ายโดยเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านการเกษตร และดำเนินการจัดจำหน่ายทั้งปลีกและส่งในประเทศและต่างประเทศ

อ.ต.ก. มีแผนงานดำเนินการพัฒนา “ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์” เพื่อขยายโอกาสทางการตลาด เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ พร้อมจัดทำโครงการประชาสัมพันธ์ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพ อ.ต.ก. เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ฯ และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืนและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกษตรกร ทั้งยังเป็นแหล่งกลางเปิดโอกาสให้เกษตรกรได้นำผลิตผล หรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สินค้าอุตสาหกรรมในครัวเรือน และสินค้าอื่น ๆ มาจัดจำหน่ายแลกเปลี่ยนให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เป็นการเชื่อมโยงทางการตลาด เพิ่มช่องทางการจำหน่าย สร้างโอกาสทางธุรกิจ เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น โดยเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-18.00 น.

“ตลาดเกษตรอินทรีย์” แบ่งโซนจัดจำหน่ายออกเป็น 2 โซน เพื่อความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค ได้แก่ การจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ (Sale of Organic Product) และการจำหน่ายสินค้าปลอดภัย (Sale of Food Safety) ซึ่งภายในจะจำหน่ายสินค้าออร์แกนิก สินค้าเกษตรคุณภาพปลอดภัย รวมทั้งสินค้าเกษตรอินทรีย์ ที่คัดสรรได้มาตรฐานจากเกษตรกรกว่า 50 ราย อาทิ พืชผักผลไม้อินทรีย์ตามฤดูกาลปราศจากสารเคมีปนเปื้อน ข้าวหลากหลายสายพันธุ์ ไข่ไก่ออร์แกนิก สินค้าแปรรูปจากกระบวนการธรรมชาติ รวมถึงของขึ้นชื่อระดับ Best of Ortorkor เช่น เห็ดแครง อ.ต.ก.

“สินค้าในตลาดจะสามารถตอบโจทย์ด้านความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ดี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการสร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้น รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่ต้องการสินค้าออร์แกนิกคุณภาพสูงและสินค้าเฉพาะที่ไม่มีสารเคมี 100% ที่ตรงกับโจทย์ของตลาดเกษตรอินทรีย์ฯ ที่มีความโดดเด่นด้านปัจจัยคุณภาพและความปลอดภัยในระดับสูง นายกมลวิศว์ กล่าวในตอนท้าย

“ไลบรารี่ เอสเตท” เปิดตัว 3 โครงการส่งท้ายปี 62

alivesonline.com :ไลบรารี่ เอสเตทเดินหน้าธุรกิจอสังหาฯ สวนทางตลาดรวมชะลอตัว เปิดตัวโครงการใหม่โนเวล เรสซิเดนซ์ ลาดพร้าว 18” บ้านแฝดและทาวน์โฮม 3.5 ชั้น ระดับลักซ์ชัวรี่ ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มครอบครัวสมัยใหม่ บนทำเลธุรกิจลาดพร้าว 18 เตรียมจัดงาน VVIP DAY ในวันที่ 9 ..62 ตั้งเป้าขยายมูลค่าโครงการถึง 1 พันล้านบาทภายใน 2 ปี พร้อมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นายศุภกิจ รวีอร่ามวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลบรารี่ เอสเตท จำกัด และบริษัทในเครือ เปิดเผยว่า แนวทางในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ มุ่งดำเนินการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้าน อาคารพาณิชย์ และคอนโดมิเนียม โดยให้ความสำคัญตั้งแต่การเลือกทำเลที่ดี การออกแบบดีไซน์โครงการโดยคำนึงถึงอัตลักษณ์ของพื้นที่นั้น ๆ การกลั่นกรองทางความคิดอย่าง ละเอียด เพื่อกำหนดฟังก์ชันที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม การเลือกสรรวัสดุที่มีคุณภาพ เรียบง่าย ทันสมัย ใช้งานได้จริง ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของผู้อยู่อาศัย โดยการดำเนินงานที่ผ่านมา 6 ปีประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องผ่านการพัฒนาโครงการต่าง ๆ มากมายรวมมูลค่ามากกว่า 2 พันล้านบาท

สำหรับในปี 2562 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการตามแผนที่วางไว้ โดยแต่ละโครงการมีจุดเด่นที่ชัดเจนและแตกต่าง รวมถึงยังสะท้อนถึงการใช้ชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ ของคนเมืองอีกด้วยคือ โครงการ “เดอะคอมเมิร์ซ ประชาอุทิศ-สุขสวัสดิ์” (The Commerce Prachauthit–Suksawat) เป็นโครงการประเภทอาคารพาณิชย์และโฮมออฟฟิศ จำนวน 41 ยูนิต มูลค่ารวม 225 ล้านบาท โครงการ “ฟิโล เอกมัย 6” (Philo Ekkamai 6) เป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 78 ยูนิต มูลค่ารวม 365 ล้านบาท และล่าสุดเปิดตัว โครงการ “โนเวล เรสซิเดนซ์ ลาดพร้าว 18” (Novel Residence Ladprao 18) จำนวน 16 ยูนิต มูลค่ารวม 320 ล้านบาท โดยกำหนดเปิดตัวโครงการด้วยการจัดงาน VVIP DAYในวันที่ 9 พ.ย.62

โครงการ “โนเวล เรสซิเดนซ์ ลาดพร้าว 18” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮม 3 ชั้นครึ่ง สามารถจอดรถได้ถึง 4 คัน จำนวน 16 ยูนิต ขนาด 30-57 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 350-400 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้น16 ล้านบาทขึ้นไป มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ มีระบบรักษาความปลอดภัย รวมทั้งกล้องวงจรปิด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พร้อมเริ่มก่อสร้างประมาณ ไตรมาสที่ 4 ปี 2562 คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณ ปี 2564

นายศุภกิจ กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ยังได้เตรียมวางแผนเปิดตัวอีก 2–3 โครงการใหม่ โดยตั้งเป้าขยายมูลค่าโครงการถึง 1 พันล้านบาทภายใน 2 ปี พร้อมกันนี้ยังมีแผนขยายธุรกิจสู่รูปแบบธุรกิจภาคบริการ เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม ในกรุงเทพฯ ภูเก็ต และกลุ่มโรงแรมนานาชาติ ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยเช่นกัน

“เราเติบโตจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบอาคารพาณิชย์ ขยายสู่ตลาดคอนโดมิเนียม บ้านแล ทาวน์โฮม โดยค่อย ๆ เติบโตและขยายอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคให้มากที่สุด เน้นทำเลที่ตั้งเป็นจุดเด่นสำคัญที่มีแนวโน้มมูลค่าสูงขึ้นในอนาคต เช่น ย่านลาดพร้าว เอกมัย เป็นต้น โดยเราคิดเผื่อผู้บริโภคเสมอว่าเมื่อซื้อโครงการของเราแล้วในอนาคตจะมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขาย 400 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 20 % ต่อปี โดยปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน หรือ Backlog ประมาณ 150 ล้านบาท” นายศุภกิจ กล่าวในตอนท้าย

“บีเอ็ม มอเตอร์ กรุ๊ป” อัดโปร “ล่อใจ” ดึงลูกค้าซื้อรถมือสอง

อัดฉีดยาแรง “บีเอ็ม มอเตอร์ กรุ๊ป” งัดโปร “ออกรถ 100 บาท ผ่อนปีหน้า” ปลุกคนอยากมีรถยนต์เป็นของตนเอง แต่ยังไม่ต้องการมีภาระ หวังกระตุ้นยอดขายผ่านหน้าร้าน 30% และทางออนไลน์ 70% ชูกลยุทธ์เด่นทางการตลาด ทั้งแจกและแถม แจกโทรศัพท์มือถือ I PHONE 11 ผ่อนปีหน้า แจกอุปกรณ์แต่งรถยนต์ มูลค่า 50,000 บาท ฟรีประกันไฟแนนซ์คุ้มครองรถยนต์ วารันตีหลังการขาย 3 ปี และเลือกผ่อนชำระงวดเดือนกุมภาพันธ์ เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีประกันสังคม-บุคคลมีเงินหมุนเวียนทางบัญชี

นายธนภัทร เจริญธนโสภณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีเอ็ม มอเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ศูนย์จำหน่ายรถยนต์มือสองทันสมัยที่ใหญ่สุด เปิดเผยว่า บริษัทฯจั ดแคมเปญ “ออกรถ 100 บาท ผ่อนปีหน้า” เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีประกันสังคม-บุคคลมีเงินหมุนเวียนทางบัญชี กระตุ้นยอดขายผ่านหน้าร้าน 30% และทางออนไลน์ 70 % ซึ่งเป็นโปรโมชั่นที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการตลาดรถยนต์มือสอง โดยเหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถยนต์มือสองใหม่แต่ยังไม่พร้อมที่จะมีภาระ รวมถึงผู้ต้องการซื้อรถยนต์มือสองในปี 2562 แต่ต้องการผ่อนในปี 2563 โดยแคมเปญนี้ มีรถยนต์มือสองกว่า 300 คันให้เลือก สำหรับทุกคน ทุกสาขาอาชีพ อายุ 20 ปีขึ้นไป ไม่มีปัญหาเครดิต สามารถเข้าร่วมกิจกรรมนี้และเป็นเจ้าของรถยนต์มือสอง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 31 พฤศจิกายน 2562

ผู้เข้าร่วมแคมเปญทุกท่านยังจะได้รับของแจกแถมอีกมากมาย ฟรี ๆ อาทิ (1) ฟรีค่าจัด-ค่าโอน (2) ฟรีประกันภัยรถยนต์ (3) ฟรีจัดส่งทั่วประเทศ (4) ฟรีดูแลหลังการขาย (5) ฟรีค่างวด ผ่อนเดือนกุมภาพันธ์ (6) ฟรีของแต่ง และ (7) ฟรี I PHONE 11

ผู้สนใจเชิญแวะมาเลือกซื้อรถยนต์มือสอง คุณภาพดี ราคาถูกที่ “บีเอ็ม มอเตอร์ กรุ๊ป” ทั้ง 4 สาขา ได้แก่ บริษัท บีเอ็ม มอเตอร์ กรุ๊ป จำกัด สำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่ ต.คานหาม อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา สาขา 2 โรจนะ ออโต้ คาร์ (1) จำหน่ายรถยนต์มือสองประเภทรถกระบะ ตั้งอยู่ใกล้กับปั้มน้ำมันชะลอ สาขา 3 โรจนะ ออโต้ คาร์ (2) จำหน่ายรถยนต์มือสองประเภทรถยนต์เก๋ง ตั้งอยู่ตรงข้ามแม็คโคร สาขา 4 รถบ้านมือสอง โรจนะ ออโต้ คาร์ (3) ตั้งอยู่บนถนนอุทัย บริเวณสี่แยกไฟแดงอุทัย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม call center โทร.09 2247 6666 หรือ www.rojanacar.com Facebook : รถมือสอง บีเอ็มมอเตอร์ กรุ๊ป อยุธยา

“สตาร์มาร์ค” ร่วมพัฒนาชุมชน “กลุ่มโรงเรียนบ้านป่าเลา ลำพูน”

ทำดีต้องบอกต่อ… “วีก้า – ณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ” บอสสาวมาดเท่ หนึ่งในทีมผู้บริหาร บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด บริษัทอันดับหนึ่งที่คร่ำหวอดในวงการของอาณาจักรการออกแบบตกแต่งที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร มานานกว่า 37 ปี นอกจากขึ้นแท่นบอสสาวคนเก่งแล้ว ยังเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องช่วยเหลือสังคม เพราะเมื่อทราบข่าวโครงการดี ๆ อย่าง “โครงการพัฒนาชุมชน เพื่อโรงเรียนและชุมชนชาวไทยภูเขา กลุ่มโรงเรียนบ้านป่าเลา อ.แม่ทา จ.ลำพูน” ที่จัดโดย บริษัท ชีวาทัย จำกัด บอสสาวใจบุญไม่รอช้า รีบมอบเงินร่วมสมทบทุนโครงการทันที ด้วยเพราะมีปณิธานเดียวกันที่ต้องการสร้างฐานความมั่นคงให้สังคมในระยะยาว โดยอยากให้เยาวชนในโรงเรียนและชุมชนบนพื้นที่ห่างไกลจากโอกาส ได้มีความเป็นอยู่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตลอดจนตั้งใจร่วมส่งเสริมให้เยาวชนเกิดสำนึกในการบำรุงรักษาทรัพยากรในพื้นที่ รวมถึงศิลปวัฒนธรรมของชนเผ่าให้คงอยู่คู่ชุมชนอย่างยั่งยืนเพราะคนไทยไม่เคยทิ้งกัน…น้ำใจงามแบบนี้ ต้องขอปรบมือให้รัว ๆ เลยค่ะ

 

สิ่งที่ควรปฏิบัติ…เมื่อรู้ว่าเป็น “โรคลมพิษ”

alivesonline.com : “โรคลมพิษ” (Urticaria) ภัยใกล้ตัวที่เราทุกคนไม่ควรมองข้ามเพราะสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้จะเป็นโรคที่ไม่มีความร้ายแรงมากนัก แต่ก็สร้างความรำคาญใจให้ผู้ป่วยค่อนข้างมาก ทั้งในด้านบุคลิกภาพ การทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวัน

แต่คนส่วนใหญ่มักไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าตนเองนั้นแพ้อะไร อีกทั้งด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในยุคปัจจุบันก็อาจเป็นอีกปัจจัยเร่งที่ทำให้เกิดความรุนแรงของ “โรคลมพิษ” ได้เช่นกัน ดังนั้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคลมพิษอย่างถูกต้อง จึงเป็นสิ่งที่คนไทยไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่ง เพราะโรคดังกล่าวอาจเกิดขึ้นกับคุณ หรือคนใกล้ชิดก็เป็นได้

ศ. พญ. กนกวลัย กุลทนันทน์ ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า วันที่ 1 ตุลาคม ของทุก ๆ ปี เป็น “วันโรคลมพิษโลก” โรงพยาบาลศิริราชจึงได้สานต่อจัดกิจกรรม “ศิริราชห่วงใย ชวนใส่ใจโรคลมพิษ ครั้งที่ 4” เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของโรคลมพิษ ซึ่งถึงแม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็มีผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย รวมไปถึงการเข้าถึงการบำบัดรักษาที่เหมาะสม โดยผู้ป่วยจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสบการณ์ในการรักษา

ภายในงานได้มีกลุ่มผู้ป่วย บุคคลทั่วไป และบุคลากรทางแพทย์เข้าร่วมงานจำนวนกว่า 100 คน และมีสถานีที่จัดขึ้นมาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคลมพิษ จำนวน 4 สถานี ประกอบด้วย สถานีที่ 1 – ยาที่ใช้การรักษาโรคลมพิษ สถานีที่ 2 – แบบประเมินอาการผู้ป่วยโรคลมพิษ สถานีที่ 3 และ 4 – การทดสอบผื่นลมพิษจากการสาเหตุทางกายภาพ โดยทุกสถานีได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้รู้จักและทดลองทดสอบจริงกับอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อการวินิจฉัย ทั้งยังสามารถสอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้อย่างใกล้ชิดตลอดงานอีกด้วย

โรคลมพิษ (Urticaria) เป็นโรคที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถเป็นได้ เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อตัวกระตุ้น ผิวหนังจะมีลักษณะเป็นผื่นหรือปื้นนูนแดง ไม่มีขุย มีขนาดตั้งแต่ 0.5-10 ซม. มักกระจายตามร่างกายอย่างรวดเร็วและทำให้ผู้ป่วยมีอาการคันตามบริเวณที่มีผื่นขึ้น โดยทั่วไปแต่ละผื่นจะอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง แล้วผื่นนั้นก็จะราบไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ แต่ก็สามารถมีผื่นใหม่ขึ้นที่อื่น ๆ ได้ ผื่นเกิดจากการที่ร่างกายปล่อยสาร “ฮีสตามีน” (Histamine) และสารอื่น ๆ ผู้ป่วยบางรายอาจมีริมฝีปากบวม ตาบวม ร่วมด้วย รายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการปวดท้อง แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก หอบหืด เป็นลมจากความดันโลหิตต่ำได้ แต่ก็พบน้อยมาก

ทั้งนี้ สามารถแบ่งชนิดของโรคลมพิษเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ “โรคลมพิษเฉียบพลัน” (Acute Urticaria) ผื่นลมพิษที่จะเกิดขึ้นตามร่างกายในระยะเวลาติดต่อกันไม่เกิน 6 สัปดาห์ และ “โรคลมพิษเรื้อรัง” (Chronic Urticaria) ผื่นลมพิษที่จะมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ อย่างต่อเนื่องนานเกินกว่า 6 สัปดาห์ขึ้นไป

โรคลมพิษมักจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีความกังวลต่อการดำเนินชีวิตตลอดเวลา สิ่งที่ควรปฏิบัติหากรู้ว่าตนเองนั้นเป็นโรคลมพิษ เพื่อบรรเทาและป้องกันลมพิษได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังช่วยให้การวินิจฉัยของแพทย์สามารถทำได้ง่ายขึ้น ดังเช่น

1.หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดลมพิษตามแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด

2.ต้องนำยาต้านฮิสตามีนติดตัวไว้เสมอ เมื่อเกิดอาการจะใช้ได้ทันที

3.ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด

4.ไม่แกะเกาผิวหนัง เพราะอาจทำให้เกิดผิวหนังอักเสบจากการเกา

5.รับประทานยาตามแพทย์สั่ง หากยาทำให้เกิดอาการง่วงซึม จนรบกวนการทำงานควรบอกแพทย์เพื่อเปลี่ยนยา

ศ.พญ.กนกวลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ผื่นลมพิษในผู้ป่วยบางราย แม้ว่าแพทย์จะพยายามตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็อาจหาสาเหตุที่ชัดเจนไม่พบซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าความรู้ทางการแพทย์ปัจจุบันยังไม่มากพอที่จะอธิบายหาสาเหตุได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แนะนำว่าผู้ป่วยโรคลมพิษควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ ซึ่งหากพบสาเหตุที่ก่อให้เกิดลมพิษและหลีกเลี่ยงหรือรักษาสาเหตุนั้นได้ จะทำให้โรคลมพิษสงบลงหรือหายขาดได้.

“ทีเส็บ” ปิดปีงบประมาณ 2562 ดึง 18 งานใหญ่กรุยทางสร้างรายได้ 2.5 พันล้านบาท

alivesonline.com : “ทีเส็บ” สรุปปีงบประมาณพ.ศ.2562 ประกาศความสำเร็จจับมือภาคีร่วมประมูลสิทธิชิงชัย 18 งานประชุมนานาชาติเข้ามาจัดในไทย ระหว่างปี 2563-2569 คาดมีผู้เข้าประชุมรวมกว่า 3 หมื่นคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2.5 พันล้านบาท ตอกย้ำศักยภาพไทยในฐานะผู้นำตลาดการประชุมนานาชาติของอาเซียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ตลาดการประชุมนานาชาติ (Conventions) เป็นหนึ่งในตลาดหลักสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ นับว่าความสำเร็จในการประมูลสิทธิงานประชุมนานาชาติเข้าสู่ประเทศไทย สะท้อนถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในระดับนานาชาติทุกมิติ ทั้งประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการจัดงานระดับโลก บุคลากรมืออาชีพระดับสากลทั้งสมาคม องค์กร และสถาบันการศึกษาที่เข้มแข็ง ผนวกกับการสนับสนุนจากภาครัฐ ส่งผลให้ไทยคว้าชัยเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมระดับโลกมากมาย ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ด้านการนำเสนอความเจริญก้าวหน้าเชิงวิชาการและสร้างเครือข่ายแต่ละสาขาวิชาชีพในเวทีนานาชาติแล้ว ยังเปิดโอกาสให้บุคลากรในประเทศเข้าถึงองค์ความรู้ระดับสากล สร้างการเติบโตให้กับทุกอุตสาหกรรมของประเทศผ่านเวทีการประชุมนานาชาติ ตลอดจนสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจ ทั้งจากการเดินทางมาประชุม การท่องเที่ยว และการยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้านการจัดงานระดับโลก

จากรายงานล่าสุดของ สมาคมการประชุมนานาชาติระดับโลกปี 2561 (International Congress and Convention Association – ICCA) เผยว่าอุตสาหกรรมไมซ์ไทยครองอันดับหนึ่งด้านการจัดประชุมนานาชาติของอาเซียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (ปี 2559-2561) โดยมีจำนวนการจัดงาน 174 งาน 171 งาน และ 193 งานตามลำดับ ขึ้นเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย ด้วยจำนวนการจัดประชุมนานาชาติ 193 งาน รองจากญี่ปุ่น (492 งาน) จีน (449 งาน) และเกาหลีใต้ (273 งาน) สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในภูมิภาคได้เป็นอย่างดี

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 “ทีเส็บ” ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งสมาคม องค์กร และสถาบันการศึกษา เข้าร่วมประมูลสิทธิ์การจัดงานประชุมนานาชาติเข้ามาจัดในประเทศไทยและได้รับชัยชนะสามารถดึงงานเข้ามาจัดในไทยระหว่างปี 2563-2569 รวม 18 งาน แบ่งเป็นการจัดงานในปี 2563 จำนวน 6 งาน ปี 2564 จำนวน 7 งาน ปี 2565 จำนวน 4 งาน และปี 2569 จำนวน 1 งาน ประมาณการว่าจะมีผู้เดินทางมาร่วมประชุมจากต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 30,100 คน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2,540 ล้านบาท

“งานประชุมนานาชาติที่จะจัดขึ้นในประเทศไทย ครอบคลุมงานประชุมหลากหลายธุรกิจ ทั้งอุตสาหกรรมการแพทย์ การบิน และการศึกษา อาทิ งานประชุม World Congress of Psychiatry 2020 โดยสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย คาดว่าจะมีผู้ร่วมงานจากต่างประเทศ จำนวน 8 พันคน งานประชุม The Routes Asia Development Forum 2020 โดยบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มีผู้ร่วมงานจากต่างประเทศ 1.5 พันคน งานประชุม World Diabetes Congress 2021 โดยสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ มีผู้ร่วมประชุมจากต่างประเทศ 8 พันคน งานประชุม International Conference on Family Planning 2021 โดยราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย คาดว่าจะมีผู้ร่วมงานจากต่างชาติ 3.5 พันคน”

นายจิรุตถ์ กล่าวด้วยว่า ในปี 2563 “ทีเส็บ” ตั้งเป้าหมายนักเดินทางกลุ่มไมซ์ รวมทั้งสิ้น 37,781,000 คน สร้างรายได้ให้ประเทศ 232,700 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดต่างประเทศ 1,386,000 คน สร้างรายได้ 105,600 ล้านบาท และตลาดในประเทศ 36,395,000 คน สร้างรายได้ 127,100 ล้านบาท

นอกจากนี้ “ทีเส็บ” ยังได้จัดงาน International Convention Bid Achievement Appreciation 2019 เพื่อมอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้แก่ภาคีผู้บริหารสมาคม องค์กร และสถาบันการศึกษา ซึ่งได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศไทยในการยื่นประมูลสิทธิ์การจัดงานประชุมนานาชาติในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 18 หน่วยงานที่สร้างผลงานชนะการประมูลสิทธิ์ดึงงานเข้ามาจัดในประเทศไทยภายใต้การสนับสนุนของทีเส็บ

“การจัดงานมอบรางวัลเชิดชูเกียรติในครั้งนี้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับผู้มีคุณูปการต่อประเทศไทยจากความสำเร็จในการประมูลสิทธิ์จัดงาน ร่วมผลักดันประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดงานประชุมนานาชาติสำคัญระดับโลก ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรของประเทศในสาขาอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยดำเนินงานให้สัมฤทธิ์ผลตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย สร้างความมั่นคงและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอีกด้วย” นายจิรุตถ์ กล่าวในตอนท้าย

“ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน” เปิดตัวมอเตอร์ไซค์รุ่นปี 2020

alivesonline.com : “ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน มอเตอร์ คอมพานี” ประกาศเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์มอเตอร์ไซค์รุ่นปี 2020 ที่ทุกคนรอคอยอย่างเป็นทางการ ซึ่งรวมถึงมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ตระกูลทัวร์ริ่ง (Touring) อย่าง “อิเล็กตร้า ไกลด์ สแตนดาร์ด (Electra Glide™ Standard)” พร้อมให้ลูกค้าเลือกสรรมอเตอร์ไซค์ในฝันที่เพียบพร้อมทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่และสไตล์หลากหลายรุ่น ซึ่งจะเปิดตัวในราคาเริ่มต้นเพียง 1,299,000 บาท

อิเล็กตร้า ไกลด์ สแตนดาร์ด ถือเป็น “มอเตอร์ไซค์แบบพื้นฐาน” เน้นมอบประสบการณ์การเดินทางที่ปราศจากการเสริมแต่งใด ๆ ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากต้นแบบรุ่นแกรนด์ อเมริกัน ทัวร์ริ่ง (Grand American Touring) ของ “ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน” โดย “อิเล็กตร้า ไกลด์ สแตนดาร์ด” ถูกออกแบบสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบการขับขี่ระยะไกลแบบวิถีดั้งเดิมซึ่งต้องการตัดขาดจากเสียงอึกทึกทุกรูปแบบในชีวิตประจำวันและสัมผัสความรื่นรมย์แห่งการเดินทางที่แท้จริง ด้วยรูปลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์ที่เรียบง่าย ไร้จอมอนิเตอร์ใด ๆ ทำให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินกับประสบการณ์บนเส้นทางอย่างเต็มที่ ซึ่งประสบการณ์พื้นฐานอันไร้สิ่งรบกวนนี้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบและวางโครงสร้างของ “อิเล็กตร้า ไกลด์ สแตนดาร์ด” โดยนำเสนอโทนสีดำ Vivid Black เพียงสีเดียว ในราคาเพียง 1,299,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมีมอเตอร์ไซค์รุ่นอื่น ๆ อีกมากมายที่จะมาส่งเสียงคำรามให้กระหึ่มโชว์รูมทั้ง โร้ด คิง (Road King™), โร้ด คิง สเปเชียล (Road King™ Special), สตรีท ไกลด์ สเปเชียล (Street Glide™ Special), โร้ด ไกลด์ สเปเชียล (Road Glide™ Special), และอัลตร้า ลิมิเต็ด (Ultra Limited)

การเปิดตัวมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่และการนำเสนอเทคโนโลยีขั้นสูงถือเป็นส่วนสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ More Roads to Harley-Davidson ในการเพิ่มฐานลูกค้านักขับขี่ “ฮาร์ลีย์” รุ่นใหม่ ผ่านการเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์มอเตอร์ไซค์กลุ่มใหม่ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคหน้าใหม่ให้เข้าถึงแบรนด์ได้ง่ายขึ้นและช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของผู้จำหน่ายทั่วโลก

หนึ่งในฟีเจอร์การทำงานใหม่ที่พบในมอเตอร์ไซค์บางรุ่นของตระกูลทัวร์ริ่ง (Touring) รุ่นปี 2020 คือ Reflex™ Defensive Rider System* คือเทคโนโลยีคอลเลกชั่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อผสานสมรรถนะของมอเตอร์ไซค์ให้สอดคล้องกับระบบการยึดเกาะถนนในขณะที่เร่งความเร็ว ลดความเร็ว และเบรก โดยใช้ระบบควบคุมแชสซี การควบคุมเบรกด้วยระบบไฟฟ้า และเทคโนโลยีการส่งกำลังแบบใหม่ล่าสุดนายธนบดี กุลทล (มาร์ค) ผู้จัดการประจำประเทศ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ประเทศไทย กล่าวว่า นักขับขี่ในเมืองไทยที่หลงใหลมอเตอร์ไซค์ “ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน” มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่รุ่นปี 2020 ของเราพร้อมสร้างความประทับใจแก่นักขับขี่ที่ต้องการโลดแล่นบนท้องถนนด้วยมอเตอร์ไซค์คันใหม่ได้อย่างแน่นอน การเป็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์ “ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน” จะเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้น ด้วยการกำหนดราคาของรถตระกูลทัวร์ริ่งรุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึงรุ่น “อิเล็กตร้า ไกลด์” และ “โร้ด คิง” ซึ่งมีราคาเริ่มต้นเพียง 1,299,000 บาทนอกจากนี้ รถรุ่นปี 2020 ยังมีโทนสีใหม่ให้เลือกมากถึง 18 สี

 “ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน” ฉลองการเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ทัวร์ริ่งรุ่นปี 2020พร้อมราคาใหม่ ในงาน “Orange and Black Tag Eventณ โชว์รูมผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทุกแห่งทั่วประเทศไทย ในวันที่ 26 ตุลาคม 2562 โดยจะมอบข้อเสนอสุดพิเศษทั้งการซื้อมอเตอร์ไซค์ ชิ้นส่วนอะไหล่อุปกรณ์ตกแต่งและเครื่องแต่งกาย รวมถึงรถมอเตอร์ไซค์รุ่นปี 2019 ที่ร่วมรายการ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/OB-TH

GET จัดแคมเปญฉลอง 10 ล้านทริป 25-27 ต.ค.62

ไลฟ์สไตล์แอปพลิเคชัน GET เดินทางมาครบ 10 ล้านทริปในกรุงเทพฯ หลังเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ด้วยบริการเรียกรถมอเตอร์ไซค์ สั่งอาหาร และส่งพัสดุ โดยได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากชาวกรุงเทพฯ มาโดยตลอด

เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จครั้งนี้ GET ได้มอบรางวัลพิเศษให้กับผู้ใช้ที่มียอดจำนวนครั้งที่ใช้บริการสูงที่สุด ซึ่งไว้วางใจใช้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ของ GET แล้วมากกว่า 650 ครั้ง

 นอกจากนั้น เพื่อขอบคุณคนขับของ GET สำหรับความทุ่มเท GET มอบรางวัลให้กับคนขับที่ขับจำนวนเที่ยวมากที่สุด ได้แก่ นายวระพงศ์ สีมุน คนขับรถจักรยานยนต์วินที่เข้าร่วมเป็นคนขับของ GET ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งขับรถส่งผู้โดยสาร ส่งอาหารและส่งพัสดุมาแล้วกว่า 6,200 ทริป และนายเจนภัทร ตาหนู คนขับรถส่วนบุคคลที่เข้าร่วมเป็นคนขับของ GET ในเดือนมีนาคม 2562 และขับรถส่งอาหารและส่งพัสดุมาแล้วกว่า 3,300 ทริป นอกจากนั้น GET ยังมอบรางวัลให้กับนายนิธิกร ภูมิโคกรักษ์ คนขับรถจักรยานยนต์วิน และนายประทวน วงคุต คนขับรถส่วนบุคคลที่ได้รับคะแนนความพึงพอใจด้านการบริการสูงสุดจากผู้ใช้

 นายภิญญา นิตยาเกษตรวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GET กล่าวว่า

“ผมภูมิใจมากกับความ สำเร็จครั้งนี้ของเราที่เกิดขึ้นหลังจากเราเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบได้เพียง 8 เดือน ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่าเราเดินมาถูกทาง ทั้งในด้านกลยุทธ์และความทุ่มเทเพื่อช่วยให้ทั้งคนขับและผู้ประกอบการเติบโตในยุคดิจิทัลได้อย่างเข้มแข็งและความตั้งใจในการมอบบริการที่ยอดเยี่ยมของเรา เราก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำด้านบริการฟู้ดเดลิเวอรี่อย่างรวดเร็ว และเป็นทางเลือกที่ชาวกรุงเทพฯ จำนวนมากเลือกใช้บริการ เมื่อเดือนกรกฎาคม หรือ 5 เดือนหลังเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ เรามียอดดาวน์โหลดครบ 1 ล้านครั้ง และวันนี้เราก้าวมาถึงยอดดาวน์โหลดที่ 1.6 ล้านครั้งแล้ว แต่ GET จะเดินทางมาถึง 10 ล้านทริปไม่ได้ ถ้าไม่มีคนขับที่ทุ่มเท ผู้ใช้ที่ให้การสนับสนุนเราเป็นอย่างดีมาโดยตลอด และร้านค้าพาร์ทเนอร์ที่ให้ความสนใจ และเราจะไม่หยุดพัฒนาเพื่อเดินทางไปถึงอีก 10 ล้านทริปต่อไปให้เร็วกว่า 8 เดือนอย่างแน่นอน”

ในโอกาสนี้ GET จึงจัดแคมเปญ “GET แจกจริง จัดหนัก ฉลอง 10 ล้านทริป” ตั้งแต่วันที่ 25 – 27 ตุลาคม 2562 โดยมอบคูปองส่วนลด GET FOOD มูลค่า 100 บาท (คูปองมูลค่า 50 บาท 2 ใบ / ผู้ใช้) โดยผู้ใช้สามารถรับคูปองได้ผ่านแอปพลิเคชัน GET ตั้งแต่วันที่ 25 – 27 ตุลาคม 2562 (มีจำนวนจำกัดและสามารถใช้ได้กับร้านพาร์ทเนอร์เท่านั้น) นอกจากนี้ ยังแจก Apple Watch Series 3 ให้ผู้ใช้ที่มียอดใช้สูงสุดในแต่ละวัน! 3 เครื่อง 3 วัน ตลอดช่วงแคมเปญ!