WELLUX ชูนวัตกรรม SAMSUNG หวังชิงแชร์ตลาดหลอด LED

alivesonline.com : ตลาดหลอดไฟ LED มูลค่า 6 พันล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง 20% คาดมีแนวโน้มทดแทนหลอดไฟทุกประเภทภายใน 5 ปี เปิดช่องให้ WELLUX ผู้เล่นหน้าใหม่บุกตลาด พร้อมชูนวัตกรรมระดับโลก Innovation LED SAMSUNG Inside มุ่งเป้า 60 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 62 ก่อนทำยอดขายแตะ 500 ล้านบาท พร้อมส่วนแบ่งการตลาด 5-10% ภายใน 3 ปี

นายธัญญวิชญ์ เตชาทัตอัครวินท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวลลักซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่างของประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการขยายตัวของการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน โดยคาดว่าในปี 2561 จะมีมูลค่าสูงกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โคมไฟ มูลค่ากว่า 1.6 หมื่นล้านบาท หลอดไฟ 6 พันล้านบาท และอุปกรณ์อื่น ๆ 4 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะมีการเติบโตประมาณ 2.7% เพิ่มขึ้นจาก 1.5% ในปี 2560

จากการเติบโตดังกล่าวประกอบกับการศึกษาตลาดอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาประมาณ 5-6 ปี ทำให้พบว่าตลาดหลอดไฟมีการเติบโตต่อปีถึง 20% โดยมีผลิตภัณฑ์ 2 ส่วนหลักคือ “หลอดไฟ LED” ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เพิ่งได้รับความนิยมในตลาดเพียงไม่ถึง 5 ปี แต่กลับมีสัดส่วนสูงถึง 60% ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งคือ “หลอดฟลูออเรสเซนส์และหลอดไส้ประหยัดไฟ” มีสัดส่วน ประมาณ 40% ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะมีสัดส่วนลดลง จน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ได้ประเมินสถานการณ์ไว้ว่า หลอดไฟ LED จะเข้ามาทดแทนหลอดไฟทุกประเภทภายในระยะเวลา 5 ปี หรือ ไม่เกินปี 2566

ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจเปิดตัวผลิตภัณฑ์หลอดไฟ LED ขนาด 9 วัตต์ ด้วยนวัตกรรมใหม่ล่าสุดภายใต้แบรนด์ “เวลลักษ์” (WELLUX) โดยเป็นพันธมิตรกับผู้นำด้านเทคโนโลยีและสมาร์ทโฟนระดับโลกคือ “SUMSUNG” ในการเลือกใช้ Innovation LED SAMSUNG Inside เป็นชิปหลักของหลอดไฟ WELLUX โดยตั้งเป้าหมายทำยอดขาย 500 ล้านบาท พร้อมส่วนแบ่งการตลาด 5-10% ภายใน 3 ปีหลังจากเริ่มทำตลาดอย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562

นายธัญญวิชญ์ กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นจะเริ่มทำตลาดค้าส่ง (Wholesales) ก่อนเป็นลำดับแรกในสัดส่วนประมาณ 60-70% โดยปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่ายในลักษณะยี่ปั๊วและซาปั๊วทั่วประเทศประมาณ 700-800 ราย จากนั้นจึงจะเริ่มขยายช่องทางการขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดทั่วไป เช่น บุญถาวรเซรามิค, โฮมโปร, ไทวัสดุ รวมถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โดยจะเน้นตลาดกลางลงล่าง ทั้งกลุ่มส่วนราชการ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงแรม กลุ่มสถาปนิก-ผู้รับเหมา และกลุ่มร้านอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ในลักษณะ B2B ส่วนที่เหลือ 30-40% คือผู้ใช้ทั่วไปในลักษณะ B2C โดยจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดภาคกลางและภาคเหนือเป็นหลักเนื่องจากมีการพัฒนาโครงการก่อสร้างสำคัญ ๆ หลายแห่ง ประกอบกับผู้บริโภคในพื้นที่มีกำลังซื้อสูงกว่าพื้นที่อื่น ๆ

“ตลาดหลอดไฟ LED มีอนาคตที่ท้าทายเพราะแม้ว่าในช่วงเปิดตลาดใหม่มูลค่าต่อหน่วยมีราคาสูงถึง 500-600 บาท แต่ด้วยเหตุที่ผู้บริโภคให้ความนิยมและความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ปัจจุบันมีผู้ประกอบการทั้งเก่าและใหม่นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องในระดับราคาเพียงประมาณ 100-200 บาท จึงทำให้การแข่งขันในตลาดจำเป็นต้องใช้การนำเสนอในเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีมากกว่าราคา ในขณะที่ WELLUX เน้นการนำเสนอทั้งเรื่องนวัตกรรมทันสมัยของ SAMSUNG ด้วยจุดเด่นด้านอายุการใช้งานนานกว่า 2.5 หมื่นชั่วโมง ในราคาต่อหน่วยเริ่มต้นเพียง 89-99 บาท”

นายธัญญวิชญ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 20 หน่วยสินค้า (SKU) โดย 80% เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชิปของ SAMSUNG เป็นหลัก ขณะที่การผลิตใช้การดำเนินงานในลักษณะ OEM จากประเทศจีนด้วยกำลังการผลิตประมาณ 6 หมื่นหลอดต่อเดือน โดยมีแผนที่จะร่วมทุนกับพันธมิตรจากประทศจีนในการก่อสร้างโรงงานผลิตในประเทศไทยภายในปี 2564 หรือ 2 ปีนับจากนี้ เพื่อใช้เป็นฐานในการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน หรือ AEC

ด้าน นางสาวภัคคินี สกุลอาริยะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด บริษัท เวลลักซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงที่มาของชื่อแบรนด์ “WELLUX” ว่า เป็นการเล่นคำภาษาอังกฤษระหว่างคำว่า “WELL” ซึ่งหมายถึง “ดี” และ “LUX” ซึ่งให้ความหมายทั้งคำว่า “แสงสว่าง” และ “ความหรูหรา” หรือ “Luxury” เพื่อให้ผู้บริโภคจดจำว่าหลอดไฟ WELLUX คือ “สิ่งที่ดีสำหรับทุกคน”

ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2562-2565 บริษัทฯ จะใช้งบประมาณการตลาด 50 ล้านบาทในการสร้างการรับรู้สู้ผู้บริโภค เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายรายได้ 60 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2562 โดยจะเน้นการสื่อออนไลน์ประมาณ 80% และสื่อออฟไลน์ 20% โดยเบื้องต้นการใช้สื่อออฟไลน์จะเน้นรถเคลื่อนที่และป้ายโฆษณาเป็นหลัก โดยกำลังเตรียมแผนการใช้สื่อวิทยุและสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างต่อไป พร้อมกันนั้นยังจะเน้นการใช้ Corporate CSR ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น การบริจาค รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น หลอดไฟ แผงโซลาร์เซลล์ สปอตไลท์ และอื่น ๆ ให้แก่องค์กรต่าง ๆ เช่น วัด โรงเรียน โรงพยาบาลทั่วประเทศ เป็นต้น

“เนื่องจากบริษัทฯ เป็นพันธมิตรกับ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศไทย พร้อมด้วย บริษัท ดาต้าบาร์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ของบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด จึงทำให้ในเบื้องต้น หลอดไฟ WELLUX สามารถนำสมาร์ทโฟน SAMSUNG Galaxy Note 9 และ SAMSUNG A7 มาใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมการขายให้แก่ผู้ค้าส่งทั่วประเทศตามเงื่อนไขและเวลาที่กำหนด โดยหลังจากนั้นจะยังคงนำผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ SAMSUNG เช่น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า และอื่น ๆ มาใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมการขายต่อไป”

สำหรับผลิตภัณฑ์ หลอดไฟ WELLUX ที่นำเสนอเทคโนโลยี Innovation LED SAMSUNG Inside เบื้องต้นมี 3 ชนิดคือ 1.Dapt Technology หลอดไฟที่ถูกออกแบบเพื่อถนอมสายตาจากการเปล่งแสงใน 4.5 วินาที เพื่อช่วยปกป้องดวงตาจากการเปลี่ยนแปลงของสายตากะทันหัน 2.Colour Dimming เปิดสวิทช์ครั้งแรกเป็นแสงเดย์ ไลท์ เปิดครั้งที่ 2 เป็นแสงวอร์ม ไลท์ เปิดครั้งที่ 3 เป็นแสงคูล ไลท์ 3.Step Dimming กดเปิดสวิทช์ 1 ครั้งให้แสงสว่าง 100% กดสวิทช์ครั้งที่ 2 ให้แสงสว่าง 50% และกดสวิทช์ครั้งที่ 3 ให้แสงสว่าง 15%

ใหม่ ! WELLUX หลอดไฟ LED นวัตกรรมสูงของ SAMSUNG

 

บริษัท เวลลักซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวนวัตกรรมหลอดไฟ LED ขนาด 9 วัตต์ คุณภาพสูง ภายใต้แบรนด์ “เวลลักซ์” (WELLUX) โดยใช้ Innovation LED SAMSUNG Inside เป็นชิป LED SAMSUNG คุณภาพสูง ให้อายุการใช้งานได้ถึง 2.5 หมื่นชั่วโมง มีความคงทน ให้แสงสว่างหลอด LED ทั่วไป ในราคาเพียง 89-99 บาท

สำหรับผลิตภัณฑ์ หลอดไฟ WELLUX ที่นำเสนอเทคโนโลยี Innovation LED SAMSUNG Inside เบื้องต้นมี 3 ชนิดคือ

1.Dapt Technology หลอดไฟที่ถูกออกแบบเพื่อถนอมสายตาจากการเปล่งแสงใน 4.5 วินาที เพื่อช่วยปกป้องดวงตาจากการเปลี่ยนแปลงของสายตากะทันหัน

2.Colour Dimming เปิดสวิทช์ครั้งแรกเป็นแสงเดย์ ไลท์ เปิดครั้งที่ 2 เป็นแสงวอร์ม ไลท์ เปิดครั้งที่ 3 เป็นแสงคูล ไลท์

3.Step Dimming กดเปิดสวิทช์ 1 ครั้งให้แสงสว่าง 100% กดสวิทช์ครั้งที่ 2 ให้แสงสว่าง 50% และกดสวิทช์ครั้งที่ 3 ให้แสงสว่าง 15%

3-4 ธ.ค.61 ชวนชมงาน”วันคนพิการสากล ปี 61” มุ่งเน้นสิทธิความเท่าเทียม


alivesonline.com : ตามที่ องค์การสหประชาชาติ ประกาศให้วันที่
3 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันคนพิการสากล” และเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกร่วมกันจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจของสังคมเกี่ยวกับคนพิการและเปิดโอกาสให้คนพิการได้มีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมของสังคมอย่างสร้างสรรค์ เป็นธรรมและเสมอภาคกับคนทั่วไป นั้น

ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ได้จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันคนพิการสากลเป็นประจำทุกปี ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ร่วมกับ สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย จัดงาน “วันคนพิการสากล ประจำปี 2561” ระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม 2561 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสวันคนพิการสากล นอกจากนั้น ยังเป็นการดำเนินการเพื่อสร้างความตระหนักและส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมได้ร่วมกันสร้างสังคมที่เป็นธรรม เสมอภาค เท่าเทียม เป็นสังคมที่ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

สำหรับแนวคิดในการจัดงานวันคนพิการสากลได้สอดคล้องกับองค์การสหประชาชาติ กำหนดหัวข้อการจัดงานตามประเด็นหลัก (Theme) คือ “การเสริมพลังคนพิการ และการประกันการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเสมอภาค ทั่วถึง และเป็นธรรม” (Empowering Persons With Disabilities and Ensuring Inclusiveness and Equality)

ในปี 2562 ประเทศไทย โดย นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ประธานอาเซียนของไทยต่อจากสิงคโปร์ ได้ประกาศแนวคิดหลัก (Theme) สำหรับการเป็นประธานอาเซียนของไทยคือ “Advancing Partnership for Sustainability” หรือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ประการ 1) การก้าวไกล (Advancing) โดยให้อาเซียนมองและก้าวไปด้วยกันสู่อนาคตอย่างมีพลวัต 2) การร่วมมือ ร่วมใจ (Partnership) ผ่านการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนภายในอาเซียนและกับประเทศคู่เจรจาและประชาคมโลก 3) ความยั่งยืน (Sustainability) กล่าวคือ การสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ

นอกจากนี้ในระดับอาเซียน ประเทศไทยยังได้ผลักดันแผนแม่บทอาเซียน 2568 (ASEAN Enabling Masterplan) เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานและบูรณาการงานด้านคนพิการเข้าไปมีส่วนร่วมในประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community หรือ APSC) และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community หรือ AEC) เพื่อให้คนพิการสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในทุกมิติอย่างแท้จริง

สำหรับภายในประเทศไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มีการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งเป็นกลไกหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เน้นให้คนพิการสามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการอื่นอันเป็นสาธารณะอย่างเท่าเทียม ปราศจากการถูกเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งความพิการ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรเครือข่ายด้านคนพิการให้มีความเข้มแข็ง สอดคล้องกับแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2560–2564) ที่ได้กำหนดวิสัยทัศน์ “คนพิการเข้าถึงสิทธิได้จริง ดำรงชีวิตอิสระ ในสังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันอย่างยั่งยืน” ภายใต้ยุทธศาสตร์แห่งความเท่าเทียม (EQUAL) สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การจัดงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2561 ซึ่งจะเน้นถึงการฉายภาพความสำเร็จของการอยู่ในสังคมของคนพิการได้อย่างยั่งยืน ผ่านการมีงานทำของคนพิการ ตามมาตรา 33 34 และ 35

ดังนั้นการที่จะให้เห็นถึงศักยภาพคนพิการอย่างแท้จริงคือ การที่คนพิการมีงานทำ ซึ่งมีพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ในมาตรา 33 34 35 ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้คนพิการมีงานทำ ดำรงชีวิตด้วยตนได้เองอย่างยั่งยืน จึงเกิดแนวคิดว่าการจัด “งานวันคนพิการสากล ประจำปี 2561” จะเน้นในเรื่องของงานและการจ้างงาน เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างโอกาสให้กับคนพิการ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนพิการอย่างมีศักดิ์ศรีและยั่งยืน เพราะการมีงานทำมีรายได้ เป็นการบ่งบอกถึงการทำหน้าที่ของบุคคลเต็มตามศักยภาพและส่งผลให้บุคคลนั้นมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างภาคภูมิ

ทั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย อาทิ องค์กรคนพิการ 7 ประเภท คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ไอชาร์) กระทรวงแรงงาน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) องค์กรภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายคนพิการ

สำหรับกิจกรรมภายใน “งานวันคนพิการสากล ประจำปี 2561” แบ่งออกเป็น 3 โซน คือ

1.โซนพิธีการ เป็นรูปแบบเวทีเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ในการมีงานทำของคนพิการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจ้างงานคนพิการอย่างมีศักดิ์ศรี และยั่งยืน เพื่อมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานด้านคนพิการและปัจจัยความสำเร็จ (Key success) ร่วมกันระหว่างคนพิการ องค์กรคนพิการ ภาคเอกชน และภาครัฐ

นอกจากนี้ยังมี เวทีเสวนา “ขอนแก่นโมเดล…เดินหน้าการจ้างงานคนพิการผ่านชุมชน” เป็นการยกตัวอย่างในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เน้นการใช้องค์ความรู้ในการขยายเครือข่ายคนพิการและผู้ดูแลให้รวมตัวร่วมคิดร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมทำงานจนพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองได้และเป็นที่ยอมรับของชุมชน มีกระบวนการทำงานที่โดดเด่น สามารถสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม และส่งผลให้เกิดการจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 และ 35 ในหน่วยงานต่าง ๆ และ การทำเวิร์คชอปช่องทางทำกิน “ขนมไทย ทำกินได้ ทำขายรวย” เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการประกอบอาชีพของคนพิการ โดยได้นำครูจากศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการบ้านทองพูนเผ่าพนัส จ.อุบลราชธานี มาเป็นผู้ฝึกสอนในงานและให้คนพิการได้ทดลองปฏิบัติจริง

2.โซนนิทรรศการ ประกอบด้วย องค์กรคนพิการ 7 ประเภท สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน ภาคเอกชนที่สนับสนุนภาคเอกชนที่สนับสนุนงานด้านคนพิการดีเด่น และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

3.โซนบูธขายผลิตภัณฑ์คนพิการ ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาชีพคนพิการ อาทิ เช่น งานศิลปะ งานฝีมือและงานประดิษฐ์เครื่องใช้ งานจักรสาน งานตัดเย็บ งานทอผ้า อาหาร อาหารแปรรูป จำนวนกว่า 150 บูธ

สำหรับนักถ่ายภาพ ทุกช็อตสำคัญต้องมั่นใจ แบตเตอรี่ OSKA วางใจได้เสมอ

อุปกรณ์ถ่ายภาพมีหลากหลาย ล้วนใช้เพื่อสร้างสรรค์ภาพที่แตกต่าง ให้ได้ตรงตามสไตล์ที่ใจต้องการ ไม่ว่าคุณจะใช้กล้องฟูลเฟรม มิลเลอร์เลส กล้องคอมแพ็ค กล้องวิดีโอ Action Cam หรือกล้องที่ใช้เพื่อภารกิจพิเศษ ตั้งแต่โมเดลใหม่ล่าสุดที่กำลังจะเปิดตัวไปจนถึงโมเดลสุดหายากอายุนับหลายสิบปีย้อนหลัง “OSKA” ก็มีแบตเตอรี่กล้องคุณภาพระดับสากล มาตฐาน มอก.มากกว่า 2,000 รุ่น ให้เลือกใช้ครบถ้วน

ไม่ว่าคุณจะชอบถ่ายภาพแนว Landscape มุมกว้าง พาโนรามา ไปถึง Super Wide Fish eye หรือจะชอบมิติที่น่าหลงใหลของ Tele ลึกไปจนถึง Macro ที่น่าค้นหา หรือจะเล่าอารมณ์ด้วยสปีดช้าสไตล์โมชั่น ไทม์แลป จนถึงรัวยับไฮสปีด สุดเร้าใจ ทุกคนต่างมั่นใจว่าแบตเตอรี่กล้อง OSKA จะช่วยให้ทุกชัตเตอร์ไม่พลาดแม้เสี้ยววินาที จนถูกยอมรับให้เป็นแบตเตอรี่กล้องของไทยที่นักถ่ายภาพไว้วางใจเป็นที่หนึ่งมายาวนานกว่า 23 ปี

วันนี้คุณสามารถสั่งซื้อแบตเตอรี่ที่เหมาะกับกล้องคุณทุกรุ่นของ OSKA ได้ที่ร้าน BIG Camera ศูนย์รวมกล้องดิจิตอล และร้านกล้องชั้นนำทั่วประเทศ หรือหากสนใจสอบถามปัญหาแบตเตอรี่สามารถติดต่อ OSKA ได้ที่ Call Center โทร.0 2730 0022 หรือติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.oskabatt.com และ www.facebook.com/OSKABatteryExpert

 

“โฮสต์เมกเกอร์” ติดอันดับ 3 ธุรกิจเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วสุดในอังกฤษ

alivesonline : “โฮสต์เมกเกอร์” บริษัทที่ได้รับรางวัลด้านบริการจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและอยู่อาศัยจากยุโรปได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งในสามธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศอังกฤษ โดยมีอัตราการเติบโตมากถึง 6,445% ภายในระยะเวลา 4 ปี จากเริ่มต้นที่มีพนักงานเพียง 5 คน จนปัจจุบันมีมากกว่า 500 คน และเปิดให้บริการ 9 แห่งทั่วโลก

“โฮสต์เมกเกอร์” บริษัทที่ได้รับรางวัลด้านบริการจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและอยู่อาศัยจากยุโรป ได้รับการยกย่องว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุดเป็นอันดับสาม ในประเทศอังกฤษ จากรางวัล “The Deloitte Technology Fast 50” หลังจากได้สร้างโซลูชั่นทางเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจและบริการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัยเพื่อพลิกภาพอุตสาหกรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลกพร้อมเพิ่มประสบการณ์การเดินทางให้ดียิ่งขึ้น

ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีได้สร้างชุดเครื่องมือดิจิทัลอัจฉริยะ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ในการต้อนรับที่ดียิ่งขึ้นสำหรับโฮสต์และผู้เข้าพัก นอกจากนี้เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตและขยายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้มีการเติบโตของยอดขาย 6,445% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา “โฮสต์เมกเกอร์” จึงถูกยกย่องเป็นหนึ่งในธุรกิจด้านเทคโนโลยีที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดในประเทศอังกฤษ

“โฮสต์เมกเกอร์” ให้บริการด้านการบริหารจัดการที่พักแบบครบวงจร โดยมีการบริการที่ครบครันตั้งแต่การทำการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไปจนถึงการบำรุงรักษาบ้าน รวมถึงนำเสนอความท้าทายด้านเทคโนโลยีจากการสร้างอัลกอริทึมกำหนดราคาอสังหาริมทรัพย์ไปจนถึงเครื่องมือการจัดตาราง และการประสานงานเจ้าหน้าที่ภาคสนาม

‘อังกูร บาเทีย’ หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยี “โฮสต์เมกเกอร์” ผู้นำทีมวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย พร้อมอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นนำที่ใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์หลัก ได้ช่วยพัฒนาระบบตั้งแต่การแสดงผลสำหรับการจองให้ลูกค้าไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินงานที่พัฒนาขึ้นภายในองค์กรโดยใช้ระบบการเขียนโปรแกรม NodeJS และใช้ Python สำหรับระบบหลังบ้าน นอกจากนี้ในส่วนของระบบหน้าบ้านใช้ ReactJS/React-native สำหรับการใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องการความละเอียดสูงโดยระบบ AWS ที่มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ Kubernetes และ Docker containers

ผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะสำหรับโฮสต์เมกเกอร์ที่สะท้อนความเป็นผู้นำในแวดวงอุตสาหกรรม ได้แก่

  • เครื่องมือกำหนดราคา

อัลกอริทึมกำหนดราคา (Pricing Algorithm) ที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะของ “โฮสต์เมกเกอร์” ซึ่งออกแบบมา เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับโฮสต์โดยการสร้างกลยุทธ์การกำหนดราคาแบบพิเศษสำหรับแต่ละบ้าน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ตำแหน่งที่ตั้ง ฤดูกาล และค่าเฉลี่ยของตลาด ทำให้ทีมสามารถกำหนดราคอสังหาริมทรัพย์ที่ดูแลจัดการโดย “โฮสต์เมกเกอร์” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเครื่องมือสนับสนุนการกำหนดราคาแบบเรียลไทม์ซึ่งสามารถปรับราคาการจองโดยอัตโนมัติในช่องทางต่าง ๆ

  • แดชบอร์ดตารางกำหนดการ

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของทีมงานของ “โฮสต์เมกเกอร์” ในการประสานงานกับทีมจัดส่งผ้าลินิน แม่บ้าน ทีมซ่อมบำรุง และพนักงานต้อนรับที่ยินดีต้อนรับแขกทุกท่านเมื่อมาถึง แดชบอร์ดการจัดตารางเวลาจะช่วยบันทึกกำหนดการประจำวันสำหรับพนักงานทุกคนอย่างมีประสิทธิภาพ

แดชบอร์ดตารางกำหนดการดังกล่าวขับเคลื่อนโดยการผนวกของอัลกอริทึมและแหล่งข้อมูลซึ่งจะถูกจำลองเป็นภาษา Python และจะถูกแบ่งออกเป็นข้อจำกัดต่าง ๆ และจะได้รับการแก้ไขโดย OR-Tools นอกจากนี้ ในส่วนของ OpenStreetMap และ OpenTripPlanner ซึ่งช่วยเพิ่มข้อมูลการขนส่งสาธารณะจะถูกนำมาใช้เพื่อหาเส้นทางที่เหมาะสมสำหรับพนักงาน

  • แอปพลิเคชันมือถือสำหรับเจ้าหน้าที่ภาคสนาม

เพื่อสามารถสื่อสารข้อมูลที่สร้างขึ้นจากแดชบอร์ดกำหนดการให้ดียิ่งขึ้น “โฮสต์เมกเกอร์” ได้สร้างแอปพลิเคชันมือถือพร้อมกับแสดงตารางเวลาสำหรับแต่ละวันและรายการตรวจสอบงานสำหรับแต่ละบ้าน เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีการดำเนินการที่สอดคล้องกัน

แอปพลิเคชันดังกล่าวมีฟังก์ชันการทำงานเพื่อให้แน่ใจในคุณภาพการให้บริการรวมถึงการติดตาม GPS ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับบ้าน การอัปเดตกำหนดการหากพนักงานมีความล่าช้าและอื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ตัวแอปพลิเคชันยังทำให้การบริการของพนักงานทุกระดับไหลลื่น รวมถึงพนักงานต้อนรับ (การพบปะและทักทาย), แม่บ้าน, พนักงานขับรถ (การส่งและรับคืนผ้าลินิน) และพนักงานแก้ปัญหาของลูกค้า โดยแอปพลิเคชัน “Hostmaker Operations” สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่มีให้บริการทั้งใน Apple Store และ Google Play Store ซึ่งแอปพลิเคชันนี้ได้รับการพัฒนาจากการใช้แพลตฟอร์มแบบตอบกลับโดยใช้ประโยชน์จากทักษะทางจาวาสคริปต์ของทีมวิศวกร “โฮสต์เมกเกอร์”

  • ระบบจัดการอสังหาริมทรัพย์ (PMS)

ระบบจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Property management system – PMS) จัดทำขึ้นโดยเฉพาะของ “โฮสต์เมกเกอร์” ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดของทุกอสังหาริมทรัพย์ที่บริหารจัดการโดย “โฮสต์เมกเกอร์” ซึ่งจะรวบรวมทุกอย่างให้อยู่ในระบบ ตั้งแต่ที่อยู่และข้อมูลการขนส่งไปจนถึงกำหนดการวันที่เทศบาลมาเก็บขยะตามบ้านของผู้เช่าพัก ระบบจัดการอสังหาริมทรัพย์จะทำหน้าที่เหมือนระบบหลังบ้านซึ่งให้ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในที่เดียวรวมถึงการจองและประสานงานกับผู้จัดการช่องทางสำหรับการเผยแพร่รายชื่อหลายช่องทาง

  • แดชบอร์ดของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์

สร้างขึ้นสำหรับโฮสต์เพื่อดูและวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของอสังหาริมทรัพย์ในแฟ้มผลงานของพวกเขา แดชบอร์ดนี้สามารถแสดงให้โฮสต์เห็นรายได้แบบเรียลไทม์ การเข้าพัก และการจองผ่านทางอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายสำหรับโทรศัพท์มือถือ โฮสต์สามารถใช้หน้าแดชบอร์ดควบคุมอสังหาริมทรัพย์ที่พร้อมให้บริการการจองด้วยการคลิกปุ่มและดูราคาการจองซึ่งถูกกำหนดแบบไดนามิกขึ้นอยู่กับราคาในตลาด

แดชบอร์ดได้รับการผนวกรวมเข้ากับชุดแอปพลิเคชันของ “โฮสต์เมกเกอร์” รวมถึงอัลกอริทึมการกำหนดราคา ระบบจัดการอสังหาริมทรัพย์ และแดชบอร์ดกำหนดการ ช่วยให้ “โฮสต์เมกเกอร์” สามารถกำหนดตารางการให้บริการจัดการอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามความต้องการของโฮสต์

‘นกุล ชาร์มา’ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “โฮสต์เมกเกอร์” กล่าวว่า เทคโนโลยีเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจของเราเสมอมาและถือได้ว่าเราเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ต้องขอขอบคุณผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ทันสมัยของเรา เรารู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติมากที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศอังกฤษ และเราเชื่อมั่นว่าโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีอันทันสมัยของเราจะสามารถช่วยให้เรามองไปข้างหน้ากับแผนการเติบโตที่มุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิม”

ข้อมูลเพิ่มเติม www.hostmaker.com หรือ LINE @hostmakerthailand    

 

 

“แพรนด้า จิวเวลรี่” ปรับแผนธุรกิจได้ผล ทำกำไรขั้นต้นดีสุดในรอบ 2 ปี

alivesonline.com : “แพรนด้า จิวเวลรี่” เผยผลประกอบการมีแนวโน้มดี รักษากำไรโตต่อเนื่อง หลังลดต้นทุนการดำเนินงาน ย้ำธุรกิจการผลิตแข็งแกร่ง – การจัดจำหน่ายปรับตัวดี – ค้าปลีกเข้าไฮซีซั่นดันยอดขายเพิ่ม เผยได้แรงหนุนจากกำลังซื้อของผู้บริโภคอเมริกา มองแนวโน้มปี 62 สดใส เตรียมขยายฐานการเติบโต ขณะที่งบฯ 9 เดือน มีรายได้ 2,039.67 ล้านบาท กำไร 108.47 ล้านบาท

นายชนัตถ์ สรไกรกิติกูล ประธานกรรมการการเงินและบริหารความเสี่ยง บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ PDJ ผู้นำธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และค้าปลีกเครื่องประดับอัญมณี เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 มีแนวโน้มเติบโตและสามารถรักษาอัตรากำไรในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่องทั้ง 3 ธุรกิจ อันเป็นผลมาจากธุรกิจการผลิตรับรู้รายได้ต่อเนื่อง จากคำสั่งซื้อของฐานลูกค้าเดิมซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาที่ฟื้นตัวดี อีกทั้งบริษัทฯ มีโอกาสขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติมในกลุ่มลูกค้าที่สนใจย้ายฐานผลิตเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความไม่ชัดเจนของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา

ในส่วนของธุรกิจการจัดจำหน่ายมีอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานและควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกคาดว่ายอดขายจะทยอยปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งถือเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ

“จากการปรับกลยุทธ์ในทั้ง 3 ธุรกิจของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันเห็นผลที่ค่อนข้างชัดเจนทั้งอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรจากการดำเนินงาน โดยเฉพาะฐานการผลิตที่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้ดีขึ้น ลดปริมาณการสูญเสีย สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตของฐานการผลิตซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักให้มีเสถียรภาพมากขึ้น และหากการดำเนินงานทั้ง 3 ธุรกิจสามารถเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ คาดว่าในปี 2562 จะมีโอกาสขยายการเติบโตในธุรกิจอื่น ๆ ลำดับต่อไป”

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2561 มีรายได้รวม 716.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 627.23 ล้านบาท จำนวน 88.84 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.16% กำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) กลับมาเป็นบวกอยู่ที่ 7 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการงวด 9 ที่ผ่านมามีรายได้รวม 2,039.67 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 108.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุน 143.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 175.43% กำไรขั้นต้นดีที่สุดในรอบ 2 ปีอยู่ที่ 603.04 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 29.57% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 575.83 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 26.19%

“แสนสิริ” ปลื้ม “ดีคอนโด ริน เชียงใหม่” ดันยอดขายรวมใกล้ทะลุเป้า 5 หมื่นล้านบาท

alivesonline.com : “แสนสิริ” เผยชาวเชียงใหม่ให้ความเชื่อมั่นแบรนด์ ตอบรับ “ดีคอนโด ริน” โครงการล่าสุดในเชียงใหม่ เผยโครงการได้รับการตอบรับดีทั้งจากคนไทยและต่างชาติ อาทิ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และเกาหลี ส่งผลโกยยอดขายพรีเซลล์ 2 วันทะลุ 80% ดันยอดขายรวมล่าสุดทะลุ 4.48 หมื่นล้านบาท ประกาศเตรียมทุบเป้าตามยอดขายที่วางไว้ 5 หมื่นล้านบาทตามแผนปี 61

นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แสนสิริ” ประสบความสำเร็จในการเปิดขาย “ดีคอนโด ริน” โครงการล่าสุดในจังหวัดเชียงใหม่ สามารถทำยอดขายได้ถึง 80% ภายในระยะเวลา 2 วันของการเปิดขายพรีเซลล์ในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยโครงการได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ อาทิ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และเกาหลี เป็นต้น

จากความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้ยอดขายรวม “แสนสิริ” ล่าสุดอยู่ที่ 4.48 หมื่นล้านบาทจากเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่วางไว้ 5 หมื่นล้านบาท ตอกย้ำการให้ความเชื่อมั่นในแบรนด์ “แสนสิริ” ของกลุ่มลูกค้าเชียงใหม่ รวมถึงความแข็งแกร่งในคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “ดีคอนโด” ในจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากที่ผ่านมาปิดการขายไปแล้วถึง 5 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 7 พันล้านบาท

ความสำเร็จในครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริ จากการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ แนวคิดการออกแบบโครงการ นวัตกรรมในที่อยู่อาศัย ตลอดจนการบริการหลังการขาย รวมถึงความมั่นใจการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ “ดีคอนโด” ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติ ทั้งในด้านศักยภาพทำเลที่ตั้งโครงการในแต่ละทำเล รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานที่พัฒนาขึ้นจากความต้องการของลูกค้าในแนวคิดที่ทันสมัย สอดรับกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ ออกมาเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่สร้างสรรค์จิตนาการ อาทิCo – Working Space และ Co-Kitchen Space รวมถึงการทำกิจกรรมและพักผ่อนในพื้นที่ส่วนกลางร่วมกันอย่างเต็มที่

นายสมเกียรติ กล่าวด้วยว่า จากศักยภาพการเติบโตของเมืองเชียงใหม่ที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากโครงการเมกะโปรเจคต์ของภาครัฐในอนาคต อาทิ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โครงการขยายสนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าในเชียงใหม่ ยังส่งผลให้ความต้องการคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองในเชียงใหม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

“ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเชียงใหม่ขยายตัวขึ้นมากถึง 8% จากปีที่ผ่านมา จากความต้องการที่พักอาศัยทั้งของคนในพื้นที่เติบโตดีมาก นอกจากนี้ยังมีคนนอกพื้นที่เข้ามาทำงานและมีกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาหาที่พักอาศัย ทั้งยังมีแนวโน้มจะขยายตัวจากการเติบโตของระบบสาธารณูปโภคที่เตรียมจะพัฒนาขึ้นมาต่อเนื่อง โดยโครงการแนวสูงที่ได้รับความนิยมคือโครงการในเขตโซนเมืองเชียงใหม่ และดอยสะเก็ด เพราะใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก และถนนสายหลัก”

สำหรับ โครงการ “ดีคอนโด ริน” ริน เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Fully Furnished ความสูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ประกอบด้วยห้องพัก 3 ฟังก์ชัน ตั้งแต่ห้องสตูดิโอ พื้นที่ประมาณ 28 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ประมาณ 32 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ประมาณ 52 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 ไร่ ติดกับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ จึงตอบโจทย์ความต้องการของตลาดคอนโดมิเนียมในเชียงใหม่ได้เป็นอย่างดี

ภายในโครงการยังประกอบด้วย Private Walk Way ทางเดินส่วนตัวเฉพาะลูกบ้าน “ดีคอนโด” ในทำเลนี้ อาทิ ดีคอนโด ซายน์, ดีคอนโด นิม และดีคอนโด พิงค์ ที่เชื่อมสู่เซ็นทรัลฯ ได้อย่างง่ายดาย พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. กล้อง CCTV ประตูแบบ Digital Door Lock และลิฟต์แบบล็อคชั้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากขึ้น รวมถึงความสะดวกสบายแก่ลูกบ้านด้วย Home Service Application ช่องทางพิเศษเพื่อให้ลูกบ้านและนิติบุคคลของแต่ละโครงการได้ใช้งานบริการต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์อย่างง่ายดาย เพิ่มความสะดวกสบายสูงสุดแก่ลูกบ้าน

ทั้งนี้ โครงการ “ดีคอนโด ริน” มีจำนวนทั้งสิ้น 411 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท เปิดขายในราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท ข้อมูลโครงการ www.sansiri.com หรือโทร.1685

“อีริคสัน Mobility Report” คาดปี 2567 ผู้สมัครใช้ 5G สูงถึง 1.5 พันล้านราย

alivesonline.com : จากรายงาน “อีริคสัน Mobility ReportW ฉบับล่าสุด คาดการณ์ว่าผู้สมัครใช้งาน 5G จะสูงถึง 40% ของจำนวนประชากรโลกและจำนวนผู้สมัครใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่จะแตะถึง 1.5 พันล้านรายภายในปี 2567 ทำให้ 5G เป็นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในระดับโลก โดยปัจจัยหลักต่าง ๆ ในการนำ 5G มาใช้ประกอบไปด้วยประสิทธิภาพของเครือข่าย ค่าใช้จ่ายต่อกิกกะไบต์ และความต้องการนำไปใช้งานใหม่ ๆ

นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์อีกว่าภูมิภาคอเมริกาเหนือและเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือจะเป็นผู้นำในการใช้ 5G ซึ่งคาดว่าในภูมิภาคอเมริกาเหนือจะมีการสมัครใช้งาน 5G สูงถึง 55% ของการสมัครใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมด ภายในปี 2567 ขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือมีตัวเลขอยู่ที่ 43% ส่วนส่วนภูมิภาคยุโรปตะวันตกมีการคาดการณ์ว่า 5G จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 30% ของการสมัครใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในภูมิภาคภายในปี 2567

สำหรับจำนวนการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ IoT ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (cellular IoT) ทั่วโลกนั้นจะถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีที่เรียกว่า NB-IoT และ Cat-M1 โดยคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนการเชื่อมต่อของ cellular IoT ถึง 4.1 พันล้านภายในปี 2567 โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 2.7 พันล้าน

ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นจริงจังและขนาดของตลาด cellular IoT ในภูมิภาคนี้ ดังนั้นผู้ให้บริการที่มีความพร้อมในเทคโนโลยี NB-IoT และ Cat-M1 จะทำให้เกิดความหลากหลายและการพัฒนาสำหรับการใช้งานใหม่ ๆ ในวงกว้างของตลาดนั้น ๆ

จีนเป็นตลาดหลัก ส่งผลให้ปริมาณการใช้ข้อมูลเติบโตขึ้น 79% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 และไตรมาสที่ 3 ของปี 2561

ปริมาณการใช้ข้อมูลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 เติบโตขึ้นถึง 79% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตสูงที่สุดตั้งแต่ปี 2556 ปริมาณการใช้ข้อมูลต่อสมาร์ทโฟน 1 เครื่องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะประเทศจีน เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ตัวเลขของระดับโลกสูงขึ้นอย่างมาก ด้วยตัวเลขปริมาณการใช้ข้อมูลตั้งแต่ปลายปี 2560 ถึงปลายปี 2561 มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นถึง 140% ทำให้ภูมิภาคนี้มีปริมาณการใช้ข้อมูลต่อสมาร์ทโฟน 1 เครื่องเท่ากับ 7.3 กิกกะไบต์ต่อเดือน สูงเป็นอันดับสองของโลก เทียบเท่ากับการดูวิดีโอที่มีความละเอียดสูงผ่านสตรีมมิ่งถึง 10 ชั่วโมงต่อเดือน สำหรับภูมิภาคอเมริกาเหนือยังคงเป็นภูมิภาคที่มีปริมาณการใช้ข้อมูลต่อสมาร์ทโฟนมากที่สุด สูงถึง 8.6 กิกกะไบต์ต่อเดือนภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเทียบเท่ากับการดูวิดีโอที่มีความละเอียดสูงผ่านสตรีมมิ่งถึง 12 ชั่วโมงต่อเดือน

ในระหว่างปี 2561-2567 คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณการใช้ข้อมูลโดยรวมเพิ่มขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ รวมทั้งเครือข่าย 5G ที่มีแนวโน้มว่าจะมีสัดส่วนถึง 25% ภายในระยะเวลาดังกล่าว

‘เฟรดดริก เจดดริงค์’ รองประธานบริหารและหัวหน้างานฝ่ายธุรกิจเครือข่าย กล่าวว่า ขณะนี้ 5G เข้าใกล้ตลาดเรามามากขึ้นแล้ว อัตราการเติบโตและการครอบคลุมมีแนวโน้มว่าจะมาเร็วกว่าเทคโนโลยีรุ่นก่อน ๆ ในขณะเดียวกันจำนวนอุปกรณ์ cellular IoT ก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานที่จะส่งผลกระทบไม่เพียงแค่ในตลาดผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อหลาย ๆ อุตสาหกรรมในวงกว้าง”

อัพเดทสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ยกเว้นประเทศอินเดียและจีน) เทคโนโลยี WCDMA และ HSPA (3G) ยังคงเป็นเทคโนโลยีหลัก ถือสัดส่วนอยู่ที่ 48% ของผู้ใช้งานทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครใช้งาน 4G ยังคงเติบโตขึ้นถึง 70% ภายในปี 2561 ถือสัดส่วนอยู่ที่ 26% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 คาดว่าเทคโนโลยี 4G จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 63% ของผู้ใช้งานทั้งหมดในภูมิภาคนี้ ในส่วนของปริมาณการใช้ข้อมูลต่อสมาร์ทโฟน (กิกกะไบต์ต่อเดือน) จะมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างมากจาก 3.8 กิกกะไบต์ต่อเดือน เป็น 19 กิกกะไบต์ต่อเดือน ภายในปี 2567

อัพเดทสถานการณ์ในประเทศไทย

‘นาดีน อัลเลน’ ประธาน บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจสื่อสารไร้สายที่ประสบความสำเร็จถือเป็นรากฐานสำคัญของผู้ให้บริการด้านการสื่อสารที่จะก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ จาก 5G อย่างไรก็ตาม 4G ยังคงเป็นเทคโนโลยีหลักและเป็นพื้นฐานของ 5G ผู้ให้บริการในประเทศไทยที่ต้องการเป็นผู้นำตลาด ควรเปิดโอกาสทางธุรกิจจากอุตสาหกรรมภาคต่าง ๆ ในวงกว้าง ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ให้บริการด้านเครือข่ายเท่านั้น โดยในประเทศไทยเราประเมินว่าเทคโนโลยี 5G จะสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ให้บริการได้สูงขึ้นถึง 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 ของรายได้ที่คาดการณ์ไว้ภายในปี 2569 โดยอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และความปลอดภัยด้านสาธารณะจะเป็นภาคส่วนที่ผู้ให้บริการสามารถสร้างรายได้จาก 5G ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามผู้ให้บริการจำเป็นจะต้องมีการเตรียมความพร้อมสำหรับ 5G เพื่อประโยชน์ของคนในประเทศไทยต่อไป

อนึ่ง รายงาน “อีริคสัน Mobility Report” ยังมีบทความเรื่อง fixed wireless access จะทำให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร, วิดีโอสตรีมมิ่งจากเมกะบิตสู่กิกกะไบต์ และการพัฒนาตลาดผลิตอุปกรณ์ไร้สายอัจฉริยะ.

ติดตามรายละเอียดได้ใน

รับชมไลฟ์สดผ่านเฟสบุ๊ค เวลา 21.00 น. เวลาประเทศไทย วันนี้ 

อ่านรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับเต็มได้ที่นี่

ระดมพลังยกระดับกิจการฮาลาลไทยสู่ “การฮาลาลแม่นยำ”

alivesonline.com : การประชุมวิชาการและการแสดงสินค้านานาชาติ “THAILAND HALAL ASSEMBLY 2018” ร่วมฉลอง 20 ปีมาตรฐานฮาลาลไทย ระดมพลังจัดงานภายใต้แนวคิด “บูรณาการฮาลาลแม่นยำ ยุคเศรษฐกิจฐานชีวภาพ” ระหว่างวันที่ 14–16 ธ.ค.61 ณ ไบเทค บางนา มุ่งส่งเสริมให้กิจการฮาลาลประเทศไทยพัฒนาสู่ยุคสมัยแห่ง “การฮาลาลแม่นยำ” เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการ ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศวฮ.) และประธานจัดงาน “Thailand Halal Assembly 2018” เปิดเผยว่า สถาบันมาตรฐานและมาตรวิทยาเพื่อประเทศอิสลาม (Standard and Metrology Institute for Islamic Country) หรือ SMIIC ได้ยกย่องให้งาน “Thailand Halal Assembly” หรือ THA เป็นการจัดงานประชุมวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ฮาลาลนานาชาติที่นับว่าดีที่สุด ในปี 2561 จึงกำหนดจัดการประชุมวิชาการและการแสดงสินค้านานาชาติ “Thailand Halal Assembly 2018” ระหว่างวันที่ 14–16 ธันวาคม 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) บางนา กรุงเทพฯ ถือเป็นการจัดงานครั้งที่ 5 ภายใต้แนวคิด “Precision Halalization in The Bioeconomy Era” หรือ “บูรณาการฮาลาลแม่นยำในยุคเศรษฐกิจชีวภาพ”

คำว่า “การฮาลาลแม่นยำ” หรือ “Precision Halalization” เป็นการสื่อให้ทุกฝ่ายได้รับทราบว่ากิจการฮาลาลประเทศไทยกำลังพัฒนาสู่ยุคสมัยแห่งการฮาลาลแม่นยำ เช่นเดียวกับยุคการแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) และการเพาะปลูกแม่นยำ (Precision Farming) ที่ได้รับการกล่าวขานกันก่อนหน้านี้

การบูรณาการฮาลาลแม่นยำ เป็นความพยายามของประเทศไทยในการผสมผสานเทคโนโลยีเพื่อการรับรองฮาลาล ไม่ว่าจะการตรวจทางห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ฮาลาลโดยนำระบบ H-Number ที่พัฒนาขึ้นใหม่เข้ามาใช้ เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมอาหารสามารถเลือกวัตถุดิบฮาลาลได้อย่างถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องตรวจการปนเปื้อนในวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อีกต่อไป และเลือกใช้ห้องปฏิบัติการเฉพาะที่จำเป็น ในระบบการมาตรฐานฮาลาลมีการพัฒนาระบบ HAL-Q Plus เพื่อให้การดำเนินงานการมาตรฐานฮาลาลเป็นไปอย่างจำเพาะโดยใช้เวลาสั้น และเลือกทำเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนหะรอมเท่านั้น

“นอกจากระบบห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ฮาลาลและระบบการมาตรฐานฮาลาลที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นการใหญ่แล้วนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญเช่นเดียวกันคือ “มาตรฐานและมาตรวิทยา” ซึ่ง SMIIC ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดย สถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย หรือ สมฮท. ซึ่งจะเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 20 ปีของมาตรฐานฮาลาลประเทศไทยในงาน THA 2018 โดยจะร่วมกับ ศวฮ.เพื่อพัฒนามาตรฐานฮาลาลใหม่ ๆ ให้ประเทศไทยอย่างน้อย 5-6 มาตรฐาน เพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินงานฮาลาลในทุก ๆ ด้าน เพราะการใช้มาตรฐานฮาลาลที่ถูกต้องมีส่วนสำคัญในการพัฒนางานบูรณาการฮาลาลแม่นยำนั่นเอง”

สำหรับงาน THA 2018 ประกอบด้วยงานประชุมวิชาการนานาชาติ ด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และธุรกิจฮาลาล (HASIB) ครั้งที่ 11, การประชุมองค์กรรับรองฮาลาลนานาชาติ ครั้งที่ 5, นิทรรศการเฉลิมฉลอง 20 ปี มาตรฐานฮาลาลไทย, การจับคู่เจรจาทางธุรกิจฮาลาล, การเสวนาในหัวข้อต่าง ๆ และงาน Thailand International Halal Expo 2018 หรือ THIHEX 2018 เป็นงานแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาลทั้งไทยและต่างประเทศมากกว่า 350 บูท หลากหลายประเภทสินค้า

รศ.ดร.วินัย กล่าวในตอนท้ายว่า ทั้งหมดนี้เป็นอีกครั้งที่ ศวฮ.ตั้งใจจะยกระดับงาน HASIB โดยยกขึ้นสู่ระดับงาน International Halal Science and Technology Conference หรือเรียกสั้น ๆ ว่า IHSATEC 2018 ซึ่งถือเป็นการประกาศความเป็นหนึ่งทางด้านการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาลาลนานาชาติให้สมกับที่ทุกฝ่ายคาดหวัง

“แมคลาเรน 600 แอลที” ปรากฏโฉมครั้งแรกในไทย

‘วิทวัส ชินบารมี’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด จัดงานเปิดตัว “แมคลาเรน 600 แอลที” สุดยอดยนตรกรรมระดับหรูจากประเทศอังกฤษ รุ่นใหม่ล่าสุด เพื่อยกระดับตำนานซูเปอร์คาร์ตระกูลแอลที คลาสสิกให้ก้าวล้ำสู่อนาคต อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในงานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 35 ณ อิมแพค เมืองทองธานี