สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน จับมือพันธมิตรญี่ปุ่น ยกระดับมาตรฐาน

alivesonline.com : สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน จับมือสมาคมรับสร้างบ้านญี่ปุ่น ลุยพัฒนา 3 ด้านหลัก การจัดงาน Exhibition ส่งเสริมด้านการตลาด การแลกเปลี่ยนข่าวสารเทคโนโลยี และการประสานงานภาครัฐและหน่วยงานด้านการศึกษาพัฒนาบุคลากรเพิ่มขีดความสามารถทางด้านงานก่อสร้าง มั่นใจช่วยยกระดับบริษัทรับสร้างบ้านสู่มาตรฐานสากล

นางศิริพร สิงหรัญ  นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน  เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง กับ Japan Traditional Wooden Home Association หรือ JTA ซึ่งเป็นสมาคมของบริษัทรับสร้างบ้านประเภทไม้ จากประเทศญี่ปุ่น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความร่วมมือกันทางธุรกิจในหลาย ๆ ด้านรวมถึงการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีระหว่างกันระหว่างผู้ประกอบการของทั้งสองสมาคมฯ และเรื่องของการพัฒนาฝีมือแรงงานซึ่งทางญี่ปุ่นให้ความสนใจค่อนข้างมาก เพราะในปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นกำลังขาดแคลนเรื่องแรงงานอยู่เป็นจำนวนมาก โดยการลงนามในข้อตกลงดังกล่าวประกอบไปด้วยเรื่องหลัก ๆ 3 หัวข้อ ประกอบไปด้วย 1. ความร่วมมือทางด้านการพัฒนาทางด้านการจัดกิจกรรมระหว่างบริษัทของทั้ง 2 ประเทศ อาทิ การจัดงาน Exhibition การจัดงานสัมมนา ตลอดจนการแลกเปลี่ยนทางด้านบุคลากรร่วมกัน 2. การแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลข่าวสาร ทางด้านธุรกิจรับสร้างบ้าน เพื่อการพัฒนาภาพรวมของธุรกิจร่วมกัน และ 3. การพัฒนาและความร่วมมือทางด้านอื่น ๆ เพื่อให้เกิดศักยภาพสูงสุดกับธุรกิจรับสร้างบ้าน ระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และสถาบันการศึกษาอื่น ๆ

“เราเคยมีข้อตกลงกับ JTA มาเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ครั้งนั้นเราร่วมกันทำโครงการ Business Study Tour and Technical Knowledge Exchange Event in Residential Construction Industry โดยการนำผู้ประกอบการญี่ปุ่นเข้ามาเยี่ยมชมสถานที่ก่อสร้างในประเทศไทย ขณะเดียวกันทางเราก็มีการเดินทางไปดูงานที่ญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ก็จะมีความร่วมมือในการพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมกันอีกโครงการหนึ่ง ซึ่งหลังจากนี้ความร่วมมือน่าจะมีความเข้มข้นและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น”

นางศิริพร กล่าวในตอนท้ายว่า ปัจจุบันหลาย ๆ ธุรกิจมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ความร่วมมือในครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลให้ทั้งผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยสามารถพัฒนาความรู้ด้านต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กันซึ่งนอกจากจะเป็นการยกระดับมาตรฐานของธุรกิจรับสร้างบ้านแล้ว ยังจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคที่จะได้บ้านระดับคุณภาพด้วยเช่นกัน

“เฮียฮ้อ” ทุ่มสุดตัว ดันช่อง 8 เปิดเกมรุกสู้ศึกทีวีดิจิทัลปี 63

alivesonline.com : “เฮียฮ้อ” สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ เปิดศึกกระชากเรตติ้งทีวีดิจิทัล ประกาศพลิกโฉม ช่อง 8 ปี 63 ใช้คอนเซปต์ “CH 8 Connext to The New Era” งัดกลยุทธ์ C4 บริหารงาน เพิ่มดีกรีความบันเทิงแบบยกแผง ทั้งคอนเทนต์รายการ ข่าว ละคร มวย และวาไรตี้ ปรับโฉม “รายการข่าว” ด้วยแนวคิด “เล่าง่าย เข้าใจง่าย เชื่อถือได้” จับมือพันธมิตรผู้จัดละครและนักแสดงกลุ่มใหม่มากฝีมือ สร้างละครฟอร์มยักษ์กว่า 10 เรื่อง และซีรีส์ 4 ตอนจบ เสริมทัพด้วยมวย “ไทยไฟท์” ดีเดย์ออกอากาศต้นปี 63

นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัล ปี 2563 ทุกช่องต่างพร้อมปรับโฉมผังรายการให้มีคุณภาพถูกใจผู้ชมมากยิ่งขึ้น จึงคาดว่าการแข่งขันจะเป็นไปอย่างดุเดือดและรุนแรง โดยในส่วนของช่อง 8 จะมีการพลิกโฉมปรับผังรายการใหม่เพื่อเป็นแรงส่งให้ช่อง 8 ชิงแชมป์เรตติ้งจากผู้ชมเพิ่มเป็นผู้นำในกลุ่มรายการข่าว ละคร มวย และวาไรตี้ โดยมีการปรับทิศทางการบริหาร “กลุ่มธุรกิจสื่อ” แบบบูรณาการ ภายใต้แนวคิด “CH 8 Connext to The New Era” เชื่อมโยงโครงสร้างคอนเทนต์ที่โดนใจดึงดูดสายตา

แนวคิดดังกล่าวเป็นการกำหนดแผนการตลาดที่แม่นยำนำร่องผ่านกลยุทธ์ C4 เป็นจุดขาย ได้แก่ 1.CUSTOMER CENTRIC ส่งมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ และสร้าง Emotional Value ให้กลุ่มผู้ชมช่อง 8, 2.CONTENT ยกระดับคุณภาพ โดยร่วมมือกับผู้ผลิตที่มีความชำนาญสร้าง Product Branding ในแต่ละคอนเทนต์เพื่อสร้างการจดจำให้กับคนดูหน้าจอ เช่น เดอะซีรีส์ “รัก ลวง หลอน” และสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนให้แต่ละคอนเทนต์ด้วยกิจกรรม On-Ground 3.COMMUNICATION สร้างสรรค์รูปแบบการสื่อสารใหม่ ๆ และเชื่อมต่อ On-Air กับ Online เข้าด้วยกัน เพื่อตอบสนองการรับชมได้ทุกไลฟ์สไตล์ในทุก ๆ คอนเทนต์และทุกเวลาเชื่อมต่อระหว่างผู้ชมผ่านจอโทรทัศน์กับผู้ชมผ่านออนไลน์เข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการใช้ Creative Idea เข้าไปช่วยเพื่อให้การสื่อสารเกิด Wow Factor และได้ผลรับจำนวนผู้ชมใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ และ 4.CREATE CUSTOMIZE ปรับรูปแบบการขายสื่อโฆษณาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ตรงตามความต้องการและตอบโจทย์ลูกค้าผู้สนับสนุน โดยเน้นการขายเชิงรุกทั้งในด้าน On Air, Online และ On-Ground

“ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2562 คอนเทนต์ของช่อง 8 เข้าถึงผู้ชม 55 ล้านคน หรือ 86% ของผู้ชมทั้งประเทศ ในขณะที่ช่องทางออนไลน์มีฐานผู้ชมเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสที่ผ่านมาฐานผู้ชมคอนเทนต์ช่อง 8 ผ่านยูทูปมีมากกว่า 47 ล้านคน และมีฐานการเข้าถึงโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจช่อง 8 เดือนละกว่า 40 ล้านคนที่สามารถชมข่าวสารได้ตลอด 24 ชั่วโมง จากกลยุทธ์ทั้งหมดนี้จึงเป็นการขยายฐานผู้ชมทั่วประเทศให้สำเร็จเร็วขึ้นโดยจะโฟกัสในการนำเสนอคอนเทนต์ที่เหมาะสม โดนใจ เจาะกลุ่มคนดูที่ใหญ่ที่สุด ครอบคลุมอายุ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งมีโอกาสเป็นผู้ชมใหม่ เน้นเนื้อหาที่ดูง่ายแบบครอบครัว โดยคาดว่าจะเห็นผลตามเป้าหมายในไตรมาส 2 ของปี 2563 ซึ่งจะส่งผลดีต่อเนื่องในระยะยาว” นายสุรชัย กล่าวในที่สุด

ด้าน นางสาวนงลักษณ์ งามโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์.เอส.เทเลวิชั่น จำกัด กล่าวว่า ในปี 2563 ช่อง 8 ได้แบ่งสัดส่วนผังรายการเป็นละคร 40% ข่าว 40% วาไรตี้ 10% และกีฬา 10% โดยจะเพิ่มเส้นละครฟอร์มยักษ์และซีรีส์ไทย 4 ตอนจบ ควบคู่ไปกับการเสริมทัพผู้จัดใหม่ที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมาร่วมผลิตละครคุณภาพที่จะมีผลงานออกมาก่อนคือ “สถาพร นาควิไลโรจน์” ในละครเรื่อง “เรยา” ฯลฯ โดยนำละครที่ได้รับความนิยมทุกยุคทุกสมัย การันตีความสนุกกว่า 10 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสะใภ้ไร้ศักดินา, ภูตรัตติกาล, ปอบผีเจ้า, เรือนสายสวาท, ขุมทรัพย์ลำโขง ฯลฯ

ช่อง 8 ยังได้นักแสดงมากฝีมือเข้ามาร่วมงานละครครั้งแรก อาทิ พลอย-เฌอมาลย์, จั๊กจั่น-อคัมย์สิริ, นิว-วงศกร, โอม-อัชชา, เบนซ์-ปุณยาพร, หยาดทิพย์ ราชปาล, เขตต์-ฐานทัพ, น้ำผึ้ง-ณัฐริกา, มิ้น-ณัฐวรา ฯลฯ ประเดิมด้วยละครฟอร์มยักษ์ส่งท้ายปี “สางนางพราย” จากผู้จัด เอ๊ะ-อิศริยา สายสนั่น นำแสดงโดย จั๊กจั่น-อคัมย์สิริ, กอล์ฟ-อนุวัฒน์, น้ำหวาน-กรรณาภรณ์ ในช่วงทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 18.40-20.10 น. ต่อด้วย เดอะซีรีส์ “รัก ลวง หลอน” ซีรีส์แนวอาถรรพ์ ลึกลับ ความเชื่อ ในช่วงเวลา 20.30-21.30 น.

นางสาวนงลักษณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับคอนเทนต์ข่าวของช่อง 8 ยังคงเป็นผู้นำด้านข่าวของช่องทีวีดิจิทัล โดยยังคงแนวคิด “เล่าง่าย เข้าใจง่าย เชื่อถือได้” ในรายการคุยข่าวหลักของช่องคือ ข่าวเช้า ข่าวเย็น ข่าวค่ำ โดยยกระดับคุณภาพและเพิ่มความหลากหลายของรายการข่าวด้วย ข่าวเช้ารุ่งอรุณ, ปากท้องต้องรู้, ข่าวเด่น และข่าวเข้ม ซึ่งเป็นรายการข่าวที่มีเนื้อหาเข้มข้นในแต่ละประเด็น ส่วนรายการ “เจาะประเด็น” รายการฮาร์ดทอล์ก ได้ “เมย์-ชนิตร์นันทน์” ผู้ประกาศข่าวมาดเข้มเป็นพิธีกรเดี่ยวเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจแบบคมชัดทุกแง่มุม ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.45 น.

ส่วนรายการ “ข่าวเข้มช่อง 8” ได้ “จูล-ยลณกัณฑ์” ผู้ประกาศข่าวหนุ่มมาดสุขุม ร่วมกับ “เมย์-ชนิตร์นันทน์” ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 21.30 น. และวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 21.50 น. ซึ่งได้รับกระแสการตอบรับดีเกินคาดทำให้สัดส่วนกลุ่มรายการข่าวปัจจุบันของช่องแบ่งเป็นข่าวภูมิภาค 70% ข่าวการเมือง 20% ข่าวสังคมและอาชญากรรม 10%

สำหรับแผนการตลาด ได้จัดแคมเปญ “ข่าวช่อง 8 เข้าใจง่าย เชื่อถือได้” บนหน้าจอโทรทัศน์และต่อยอดแคมเปญ “ข่าวช่อง 8 แชร์เลยไม่ต้องเช็ค” บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งทั้ง 2 แคมเปญจะตอกย้ำและเชื่อมโยงคอนเทนต์ข่าวจากหน้าจอโทรทัศน์ไปสู่ออนไลน์แบบถูกต้อง น่าเชื่อถือ และเข้าถึงคนดูให้ได้มากที่สุด โดยคาดว่าจะเห็นผลในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2563

นางสาวนงลักษณ์ กล่าวด้วยว่า ด้านรายการวาไรตี้ยังครอบคลุมความสนุกในทุกมิต เอาใจกลุ่มผู้ชมที่ชอบรายการสุดแหวกที่จะหาของแปลกแต่จริงมาให้ชม ในรายการ “อึ้งทึ่งเสียว ต่างแดน” ซึ่งในปี 2563 จะมีถ่ายทำในต่างประเทศ เพื่อเอาใจฐานผู้ชมที่ชื่นชอบรายการนี้ และรายการ “เฉียด” ที่นำเสนอคลิปเหตุการณ์ระทึก เฉียดเป็น เฉียดตาย หนึ่งช่องทางสำหรับช่วยเตือนสติ เตือนใจ ซึ่งทั้ง 2 รายการเป็นรายการแม่เหล็กครองใจคนดูมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีรายการใหม่เอาใจคนชอบเรื่องลี้ลับทั้งที่พิสูจน์ได้และพิสูจน์ไม่ได้กับรายการ “ช่องส่องผี” รายการผีหนึ่งเดียวในโลกที่จะพาผู้ชมไปเปิดมิติโลกคู่ขนาน นำทีมค้นหาดวงจิตโดย “บ๊วย-เชษฐวุฒิ วัชรคุณ” ร่วมพิสูจน์ทุกความลี้ลับแบบชวนขนหัวลุก ทุกวันศุกร์ เริ่ม 29 พฤศจิกายน 2562 เวลา 20.30 น.

ในส่วนของรายการมวยได้จับมือกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่แห่งวงการมวย “มด-นพพร วาทิน” โปรโมเตอร์เจ้าของรายการมวยไทยระดับโลก “ไทยไฟท์” ที่จะเข้ามาเสริมทัพในช่วงต้นปี 2563 เมื่อรวมกับรายการมวยประจำอย่าง “มวยฮาร์ดคอร์-มวยพันธุ์ดุ” และ “มวยไทยซุปเปอร์แชมป์” แล้ว จะทำให้ช่อง 8 เป็นช่องที่มีคอนเทนต์รายการมวยที่หลากหลาย เป็น New Destination ของคอมวยที่มีความสนุกเร้าใจมากยิ่งขึ้นและยังจะช่วยเป็นแรงหนุนให้ช่อง 8 ขึ้นแท่นเป็น “King of Fighting Sport”

“ฟินเทค” ธุรกิจใดจะประยุกต์ใช้ได้ดีกว่ากัน ?

alivesonline.com : PwC เผยอุตสาหกรรมบริการทางการเงินและอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคมทั่วโลก หันมาใช้ “ฟินเทค” เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาแรงงานที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีและขาดความรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบข้อบังคับที่เพียงพอ ระบุการจับมือและเป็นพันธมิตรกันจะเป็นทางออกที่ดีในการปิดช่องว่างด้านแรงงานและนำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาเสริมให้กับธุรกิจ พร้อมแนะผู้ประกอบการไทยลงทุนด้านระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลควบคู่ไปกับการพัฒนาฟินเทค เพื่อป้องกันความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

นายบุญเลิศ กมลชนกกุล หัวหน้าสายงาน Clients and Markets และหุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี ด้านธุรกิจบริการทางการเงิน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน “2019 Global Fintech Report” ของ PwC ที่ทำการสำรวจผู้บริหารในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน (Financial Services) และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม (Technology, Media and Telecommunications) มากกว่า 500 คนทั่วโลก เพื่อหาปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดถึงความสำเร็จและความท้าทายในการพัฒนาและสร้างผลกำไรจากการประยุกต์ใช้โมเดลทางธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย “ฟินเทค” ว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมบริการทางการเงินและอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคมต่างกำลังนำ “ฟินเทค” มาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดค่าใช้จ่าย ปรับปรุงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า พร้อมทั้งเพิ่มความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของตน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารดิจิทัลที่กำลังออกแบบข้อเสนอและรูปแบบค่าใช้ค่ายใหม่ ๆ ให้แก่ลูกค้า ผู้จัดการการลงทุนที่นำหุ่นยนต์ที่ปรึกษามาให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ หรือบริษัทประกันภัยที่นำเซ็นเซอร์มาใช้ในการติดตามสุขภาพและป้องกันการเจ็บป่วยของลูกค้า โดยผลสำรวจของ PwC ระบุว่า ผู้บริโภคมีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล โดยโจทย์ใหญ่วันนี้ไม่ได้อยู่ที่ “ฟินเทค” ว่า จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมบริการทางการเงินหรือไม่อีกต่อไป แต่บริษัทใดจะสามารถนำฟินเทคมาประยุกต์ใช้ได้ดีที่สุดและขึ้นเป็นผู้นำตลาด

ผลจากสำรวจที่น่าสนใจมี ดังต่อไปนี้

  • การประยุกต์ใช้กลยุทธ์ที่มี “ฟินเทค” เป็นศูนย์กลางมีความสำคัญยิ่ง ผลจากการสำรวจพบว่า 47% ของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ และ 48% ของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการทางการเงินมีการนำฟินเทคมาใช้ในรูปแบบปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์อย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ 44% และ 37% ของบริษัทใน 2 อุตสาหกรรมนี้ยังได้นำเทคโนโลยีเกิดใหม่มาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์และบริการของพวกเขา

นาย จอห์น การ์วีย์ หัวหน้าสายงานบริการทางการเงินโลก ของ PwC กล่าว การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่จะเกิดผลได้ ต้องถูกขับเคลื่อนจากระดับบริหารลงสู่ระดับพนักงานและต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีกลยุทธ์ โดยคณะผู้บริหารและคณะกรรมการต้องมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดในการตัดสินใจถึงสิ่งที่องค์กรต้องการจะได้รับ

  • อุตสาหกรรมบริการทางการเงินควรมองหาไอเดียจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีถึงการใช้ “ฟินเทค” ที่ดีที่สุด ผู้บริหารในกลุ่มอุตสาหกรรรมบริการทางการเงินที่ถูกสำรวจคิดว่า การประยุกต์ใช้ “ฟินเทค” เพื่อปรับปรุงบริการให้เกิดความง่ายและรวดเร็วในการใช้งานจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาฐานลูกค้า โดยบริษัทที่มุ่งเน้นในการนำ “ฟินเทค” มาตอบโจทย์ความต้องการนี้ อาจตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าได้ แต่ไม่ได้สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องแข่งขันกับบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคมที่มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลอย่างเฉียบคม
  • อุตสาหกรรมบริการทางการเงินและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ ควรปิดช่องว่างทักษะด้วยการฝึกอบรมพนักงานและมองหาแรงงานจากกันและกัน ผลจากการสำรวจพบว่า 80% ของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ และ 75% ของอุตสาหกรรมบริการทางการเงินกำลังสร้างตำแหน่งงานใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ “ฟินเทค” แต่ 42% ของทั้ง 2 อุตสาหกรรมกำลังประสบปัญหาในการหาแรงงานที่มีทักษะเหล่านี้ ในขณะที่ 73% ของอุตสาหกรรมบริการทางการเงินมีการจ้างบุคลากรจากกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยมีเพียง 52% ของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ เท่านั้นที่มีการจ้างทาเลนท์จากอุตสาหกรรมบริการทางการเงินในระยะต่อไป การหาวิธีการในการดึงดูดบุคลากรจากกันและกันของทั้ง 2 อุตสาหกรรมจะมีความสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจในอนาคต เพราะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากกันและกัน ส่งผลให้การยกระดับทักษะแรงงาน (Upskilling) จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นตามลำดับ
  • บริษัทในอุตสาหกรรมบริการทางการเงินและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ ควรหันมาเป็นพันธมิตรกันมากขึ้นในอนาคต ท่ามกลางกระแสของการควบรวมกิจการ การหาพันธมิตร หรือการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตผ่าน “ฟินเทค” ขององค์กรต่าง ๆ ผลสำรวจพบว่า 78% ของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ และ 76% ของอุตสาหกรรมบริการทางการเงินมองหาการจับมือกับธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันกับตน โดยน้อยกว่าครึ่ง (44% ของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ และ 47% ของบริษัทในอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน) มองการจับมือกับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน “ฟินเทค” จึงชี้ให้เห็นว่า องค์กรของทั้ง 2 อุตสาหกรรมกำลังพลาดโอกาสทางธุรกิจในการร่วมมือกันในยามที่บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการทางการเงินกำลังต้องการเพิ่มขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยี ขณะที่บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ ก็ต้องการสินค้าและความเชี่ยวชาญด้านกฎระเบียบเพื่อแข่งขันในตลาดบริการทางการเงิน

นายวิลสัน ชาว หัวหน้าสายงานเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคมทั่วโลก ของ PwC กล่าวว่า ในประเทศจีนตอนนี้เราเริ่มเห็นการรวมตัวกันของ 2 อุตสาหกรรมนี้มากขึ้น โดยเห็นหน่วยงานกำกับกำลังจับคู่ให้บริษัทที่เรียกได้ว่าเป็นบิ๊กโฟร์ของทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ และธนาคารพาณิชย์มาทำงานร่วมกันในเรื่องต่าง ๆ หรือจะเรียกว่า เป็นการแต่งงานแบบคลุมถุงชนก็ว่าได้ โดยการรวมกันในลักษณะนี้ บริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ จะเป็นฝ่ายที่ให้ความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี ขณะที่บริษัทในอุตสาหกรรมบริการทางการเงินจะเป็นผู้ส่งมอบสินค้าและบริการ

 ภูมิทัศน์ “ฟินเทค” ในปัจจุบัน

ปัจจุบันเทคโนโลยีเกิดใหม่ช่วยให้บริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่มีต้นทุนต่ำลง แต่สร้างความสะดวกสบายและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ “ฟินเทค” ยังช่วยลดอุปสรรคในการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบริษัทบริการทางการเงินที่มีรากฐานมายาวนาน ไปจนถึงสตาร์ทอัป และผู้ประกอบการหน้าใหม่จากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ เกิดเป็นเครือข่ายความร่วมมือที่แม้จะแข่งขันกัน แต่ก็ทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกันหรือ Coopetition

ผู้ชนะและผู้แพ้

บริษัทใดที่นำ “ฟินเทค” มาประยุกต์กำลังเปลี่ยนโฉมตลาดสินค้าและบริการ ในขณะที่ผู้ที่ยังไม่มีการนำมาใช้จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง 3 ใน 4 ของผู้บริหารในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการทางการเงินและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ กล่าวว่า มีแผนที่จะเพิ่มการลงทุน “ฟินเทค” ในอีก 2 ปีข้างหน้า มากกว่า 90% แสดงความมั่นใจว่า “ฟินเทค” จะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า แม้โฟกัส ความก้าวหน้า และระดับความรวดเร็วในการใช้ “ฟินเทค” กับตลาดของแต่ละองค์กรจะแตกต่างกัน

นายบุญเลิศ กล่าวในตอนท้ายว่า ในส่วนของประเทศไทยที่ปัจจุบันกำลังเข้าสู่สังคมไร้เงินสด จึงทำให้กระแสของการประยุกต์ใช้ฟินเทคในกลุ่มผู้ประกอบการไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริการการชำระเงินออนไลน์ที่เติบโตอย่างมาก ขณะที่ผู้เล่นหน้าใหม่ในกลุ่มนอนแบงก์ก็เข้ามาในตลาดจำนวนมากขึ้นเช่นกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ PwC จึงมองว่า ระยะต่อไปทั้ง 2 กลุ่มอุตสาหกรรมจะมีการทำงานร่วมกันมากขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการความเชี่ยวชาญและ Know How ของกันและกัน ด้านธนาคารพาณิชย์ของไทยยังมีข้อจำกัดในเรื่องของเทคโนโลยีที่ต้องการในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ เช่นเดียวกันที่บริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ และบริษัทสตาร์ทอัปก็ต้องการความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านกฎระเบียบจากฝั่งการเงิน ที่ผ่านมาเราจึงเห็นธนาคารไทยหลายรายมีการจัดตั้งบริษัทย่อยด้าน “ฟินเทค” หรือเป็นพันธมิตรกับบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีฯ เพื่อให้สามารถพัฒนานวัตกรรมทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการทั้ง 2 อุตสาหกรรมต้องคำนึงควบคู่ไปกับการพัฒนาฟินเทคคือ การมีมาตรการการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับลูกค้า

 

“อัพยัง” บุกตลาดเครื่องซักผ้าอัตโนมัติ “ไต้หวัน-ไทย”

alivesonline.com : “อัพยัง” ผู้นำด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อันดับต้น ๆ ของไต้หวัน ส่ง “อควา” (AQUA) แบรนด์เครื่องซักผ้าอัตโนมัติอันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น เปิดให้บริการเครื่องซักผ้าแบบหยอดเหรียญใน “แฟมิลี่มาร์ท” ไต้หวัน พร้อมจับมือ “กันยง” เปิดตลาดไทย นำร่องร้านสะดวกซักรูปแบบแฟรนไชส์ “มารุ ลอนดรี้” ย่านห้วยขวาง

นายบรูซ วู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัพยัง ประเทศไต้หวัน เปิดเผยว่า “อัพยัง” ในฐานะผู้จัดจำหน่ายเครื่องซักผ้าอัตโนมัติแบรนด์ “อควา” (AQUA) อย่างเป็นทางการในไต้หวัน ได้เป็นพันธมิตรร่วมกับ “แฟมิลี่มาร์ท” ร้านสะดวกซื้อชื่อดังระดับเอเชีย และมีสาขามากที่สุดเป็นอันดับสองในไต้หวัน โดยนำเครื่องซักผ้าอัตโนมัติแบรนด์ “อควา” มาติดตั้งในร้าน “แฟมิลี่มาร์ท” เพื่อให้บริการสะดวกซัก 24 ชั่วโมง โดยเริ่มให้บริการ 3 สาขา ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562

“อควา” (AQUA) เป็นแบรนด์เครื่องซักผ้าหยอดเหรีญอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่น ในขณะที่ “อัพยัง” มีจุดเด่นเรื่องความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องซักผ้าอัตโนมัติมากว่า 40 ปี จึงมั่นใจว่าการบริการสะดวกซักในร้าน “แฟมิลี่มาร์ท” จะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันร้านสะดวกซื้อเป็นที่นิยมอย่างมากในไต้หวัน ผู้คนสามารถซื้อของอุปโภค-บริโภคได้แบบครบวงจรตลอด 24 ชั่วโมง สะดวก และปลอดภัย ซึ่งนับเป็นพื้นที่ศักยภาพในการให้บริการเครื่องซักผ้าอัตโนมัติที่จะดึงดูดผู้ใช้บริการได้มาก และยังสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจในการขยายตัวสาขาตามจำนวนของ “แฟมิลี่มาร์ท” ที่มีอยู่ถึง 3,165 สาขาในไต้หวัน

ทั้งนี้ จากผลการสำรวจในเดือนพฤษภาคม 2555 มีร้านสะดวกซื้อประมาณ 9,255 แห่งในไต้หวัน ซึ่งเทียบเท่ากับหนึ่งสาขาต่อ 2,500 คน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดต่อหัวในโลก และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี โดย “แฟมิลี่มาร์ท” นับเป็นร้านสะดวกซื้อที่มีสาขามากอันดับ 2 ในไต้หวัน ด้วยจำนวนสาขา 3,165 แห่ง (มกราคม 2561) โดยในแต่ละปีมียอดประกอบการสูงถึงกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (อ้างอิง : https://en.wikipedia.org/wiki/FamilyMart#Taiwan)

สำหรับเครื่องซักผ้า “อควา” เป็นแบรนด์เครื่องซักผ้าอัตโนมัติสัญชาติญี่ปุ่น โดดเด่นด้านความแข็งแรงทนทาน มีประสิทธิภาพสูง ผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัย ใช้งานง่าย ได้รับการยอบรับอันดับหนึ่งทั้งในญี่ปุ่นและไต้หวัน นอกจากนั้น ยังให้บริการร้านซักผ้าอัตโนมัติ KURIN KURIN ซึ่งเป็นแบรนด์ร้านสะดวกซักในเครือบริษัทอัพยังที่เปิดให้บริการในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

นายบรูซ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการดำเนินงานในประเทศไทย บริษัท อัพยัง ไต้หวัน ได้ร่วมมือกับ “กันยง” บริษัทผู้นำด้านการจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของไทย นำเครื่องซักผ้าอัตโนมัติ “อควา” มาให้บริการในประเทศไทยอีกด้วย โดยได้เปิดตัว “มารุ ลอนดรี้” (MARU Laundry) แบรนด์ร้านสะดวกซักภายใต้การบริหารงานของ บริษัท กันยงอัพยัง จำกัด และเปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทยใจ บริเวณห้วยขวาง กรุงเทพฯ เมื่อไม่นานนี้ ให้บริการเครื่องซักผ้าอัตโนมัติแบบหยอดเหรียญตลอด 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่อย่างลงตัว สามารถซัก-อบแห้งเสร็จด้วย 1 โปรแกรม ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง การันตีเร็วที่สุดเจ้าเดียวในไทย พร้อมน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มในตัว โดยผู้ใช้บริการไม่ต้องนำมาเอง ทั้งยังมีโปรแกรมการล้างถังซักก่อนทุกครั้งเพื่อสุขอนามัย โปรแกรมถนอมผ้าป้องกันเสื้อผ้าไม่ให้พันกันและไม่ใช้เกิดรอยยับ นอกจากนั้น ยังมีระบบความปลอดภัยสูง ซึ่งถือเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่มีระบบตรวจสอบเมื่อพบก๊าซรั่ว (GAS monitor system) โดยผู้ใช้บริการสามารถนั่งรอผ้าภายในร้านสะดวกซักที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เย็นสบาย และมี USB Charger ให้บริการภายในร้าน หรือจะเช็คสถานะการซักผ้าแบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชันของร้านก็สามารถไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ระหว่างรอซักผ้าอีกด้วย

ร้าน “มารุ ลอนดรี้” สาขาแรก ยังถือเป็นโมเดลตัวอย่างร้านแฟรนไชส์ให้ผู้สนใจประกอบธุรกิจร้านสะดวกซักอีกด้วย โดยการลงทุนแฟรนไชส์ของ “มารุ ลอนดรี้” จะมีทีมการตลาดที่ให้คำปรึกษาตั้งแต่หาทำเล ตกแต่งร้าน และโปรโมตร้าน ไปจนถึงมีแอปพลิเคชันสุดล้ำด้วยเทคโนโลยี IoT ที่เจ้าของแฟรนไชส์สามารถติดตั้งระบบตรวจสอบระยะไกลจากบริษัทผู้ขายแฟรนไชส์ได้อีกด้วย โดยที่เจ้าของร้านไม่ต้องมาเฝ้าหน้าร้านตลอดเวลาอีกด้วย สามารถเช็คสถิติการใช้เครื่อง จำนวนเงินที่ได้รับ รวมถึงการแจ้งเครื่องเสีย โดยจุดเด่นของแบรนด์คือใช้เครื่องซักผ้าแบรนด์ “อควา” ที่แข็งแรงทนทาน การันตีค่าบำรุงรักษาน้อย ซึ่งบริษัทอัพยัง เป็นตัวแทนจำหน่ายโดยตรงของ “อควา” ดังนั้นจึงมีอะไหล่พร้อมสำหรับการบำรุงรักษาได้ตลอดเวลา น่าเชื่อถือ และคุ้มค่าต่อการลงทุน

ด้าน นายสิทธิชัย ยินดีคุณานันท์ ประธานกรรมการ บริษัท กันยงอัพยัง จำกัด กล่าวว่า บริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญของ “มารุ ลอนดรี้” ให้บริการแบบครบวงจร ตอบโจทย์ไลฟสไตล์การใช้ชีวิตในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างตรงจุด ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของเราได้มากขึ้น ในทางกลับกันผู้ลงทุนแฟรนไชส์กับเราก็มั่นใจได้ว่า ธุรกิจแฟรนไชส์ของ “มารุ ลอนดรี้” จะสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้ลงทุนมากกว่าที่เคย ด้วยแผนการคืนทุนที่ไว้วางใจได้ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนในการพิจารณา

ผู้สนใจลงทุนแฟรนไชส์ “มารุ ลอนดรี้”สอบถามเพิ่มเติม โทร.0 2118 2959 อีเมล : sales@marulaundry เว็บไซต์ www.marulaundry.com Facebook : @MARULaundry2019

“ดิ แอสเพน ทรี” ยึดไทยผุดโครงการดูแลผู้สูงวัยระดับโลก

alivesonline.com : “ดิ แอสเพน ทรี” ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงวัยอย่างครบวงจร ลงนามในหนังสือแสดงเจตนารมย์ร่วมกัน (LOI) กับ “Baycrest Global Solution” ศูนย์วิจัยด้านการแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากแคนาดา มุ่งดำเนินงานและวางมาตรฐานระดับโลกในการดูแลผู้สูงวัยที่โครงการ “ดิ แอสเพน ทรี” คอนโดฯ ความสูงระดับกลาง จำนวน 290 ห้อง ซึ่งตั้งอยู่ที่โครงการ “เดอะ ฟอเรสเทียส์” กรุงเทพฯ

(จากซ้ายไปขวา) ‘เกเบรียล ลาแฟลม’ เลขานุการโท (ฝ่ายพาณิชย์) และรองกงสุล สถานเอกอัครราชทูตแคนาดา พร้อมด้วย ‘มุนทูยา ดิมิทรอฟ’ รองผู้อำนวยการ บริษัท ดิ แอสเพน ทรี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ‘รัช ตันตนันตา’ ประธานผู้อำนวยการ บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ‘โดนิกา พอตตี’ เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย ‘ดร.วิลเลี่ยม ไรซ์แมน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานผู้อำนวยการ Baycrest Health Sciences ‘เฮ จูน พาร์ค’ ประธานผู้อำนวยการ บริษัท ดิ แอสเพน ทรี คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ ‘วีรวรรณ สุวรรณชาติ’ ผู้อำนวยการ บริษัท ดิ แอสเพน ทรี คอร์ปอเรชั่น จำกัด เข้าร่วมพิธีลงนามในหนังสือแสดงเจตนารมย์ (LOI) ร่วมกันระหว่าง บริษัท ดิ แอสเพน ทรี คอร์อปเรชั่น จำกัด และ บริษัท Baycrest Global Solution ณ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ชั้น 4 อาคารแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด

นางเฮ จูน พาร์ค ประธานผู้อำนวยการ บริษัท ดิ แอสเพน ทรี คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า Baycrest Global Solutions (เบย์เครสต์ โกลโบล โซลูชั่น) เป็นบริษัทในเครือของ Baycrest Center จะเริ่มดำเนินงานโครงการแรกของ “ดิ แอสเพน ทรี” ซึ่งจะเป็นสังคมระดับลักซ์ชัวร์รีที่พร้อมด้วยการให้บริการ สิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมแบบรายวัน โดยมุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้สูงวัยมีความแอคทีฟรวมถึงมีความสุขทั้งทางกายและใจ โดยประกอบไปด้วยคอนโดมิเนียมความสูงระดับกลางจำนวน 290 ห้อง ตั้งอยู่ภายในโครงการ “เดอะ ฟอเรียเทียส์” กรุงเทพฯ

โครงการ “เดอะ ฟอเรสเทียส์” คือโครงการเมืองในป่า บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณถนนบางนา พัฒนาโดยบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติและเป็นบริษัทแม่ของโครงการ “ดิ แอสเพน ทรี” ส่วน “Baycrest” คือผู้นำระดับโลกในการดูแลด้านที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย รวมถึงด้านการดูแลสุขภาพ งานวิจัย นวัตกรรม และการศึกษา โดยมุ่งเน้นที่สุขภาวะสมอง และ ผู้สูงวัย โดย “Baycrest” ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่ดูแลผู้สูงวัยเฉพาะทางที่ดีที่สุดในโลก จากนิตยสาร Newsweek Magazine 2019 ในรายงานเรื่องโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของโลก

นางเฮ จูน พาร์ค กล่าวอีกว่า “Baycrest” คือองค์กรที่มีชื่อเสียงระดับโลกทางด้านความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้สูงวัย โดยได้ทำงานด้านนี้ที่โตรอนโตมานานกว่า 100 ปี ประกอบกับมีการนำผลงานวิจัยมาร่วมวิเคราะห์และพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับต่อยอดจากสิ่งที่เรามีอยู่ ถือเป็นการทำงานร่วมกับองค์กรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งแรกของ Baycrest เพื่อพัฒนาความเป็นมืออาชีพทางด้านการดูแลผู้สูงวัยในภูมิภาคนี้และทั่วเอเชีย โดย ดิ แอสเพน ทรี และ Baycrest จะร่วมมือกันนำโมเดล Aging-In-Place ไปสู่ตลาดอื่น ๆ ในเอเชีย โดยจะนำเสนอรูปแบบการผสมผสานระหว่างไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและการดูแลสุขภาพที่ตอบโจทย์ความท้าทายต่าง ๆ ของสังคมผู้สูงวัย ความร่วมมือกันในครั้งนี้จึงจะนำมาสู่การปฏิวัติของตลาดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของสังคมผู้สูงวัยในประเทศไทยและการเพิ่มจำนวนของผู้สูงวัยในภูมิภาคนี้ หรือที่เรียกกันว่า “เกรย์ สึนามิ”

ด้าน ดร. วิลเลี่ยม อี ไรซ์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานผู้อำนวยการ Baycrest กล่าวว่าการประกาศความร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสของความสำเร็จในการดูแลผู้สูงวัยในภูมิภาคเอเชีย โดยวิสัยทัศน์ของ “ดิ แอสเพน ทรี” คือการนำแนวทางปฏิบัติต่อผู้สูงวัยที่ดีที่สุดมาผสมผสานกับความเชี่ยวชาญในการออกแบบและบริการทางด้านการใช้ชีวิตเพื่อนำเสนอรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจสำหรับภูมิภาคเอเชีย”

“Baycrest และดิ แอสแพน ทรี มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการทำงานอย่างหนักเพื่อนำ Successful Aging มาสู่ภูมิภาคเอเชีย โดยเราจะทำให้ผู้สูงวัยสามารถดูแลและควบคุมตัวเองได้ เรามองไปข้างหน้าและมุ่งหวังที่จะสร้างคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดีในทุกองค์ประกอบตั้งแต่สภาพแวดล้อมสีเขียวไปจนถึงที่พักอาศัยด้วยด้วยการออกแบบ Universal Design ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้สูงวัยที่เปลี่ยนไป พร้อมโปรแกรมดูแลสุขภาพที่สร้างความสุขและสุขภาพที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัยด้วยรูปแบบ Age in Place”

อนึ่ง การลงนามร่วมกันในครั้งนี้ได้รับการลงนามโดย นายรัช ตันตนันตา ประธานผู้อำนวยการ บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และประธานกรรมการบริหารบริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ ดร.วิลเลี่ยม อี ไรซ์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานผู้อำนวยการ Baycrest Health Sciences เพื่อร่วมมือกันสร้างสังคมผู้สูงวัยคุณภาพระดับสากลและสร้างแบบจำลองที่สามารถประยุกต์ให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ รวมถึงตลาดในต่างประเทศด้วย

“มั่นคงเคหะการ” เพิ่มทุน 1 พันล้านบาท ตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ

alivesonline.com : “มั่นคงเคหะการ” เคาะเพิ่มทุน 1,000 ล้านบาท บริษัทในเครือ “พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์” มุ่งขยายธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า ภายใต้ชื่อ “โครงการบางกอก ฟรี เทรด โซน” พร้อมเดินหน้าจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ “พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์” เตรียมจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ เชื่อช่วยดันสัดส่วนกำไรกลุ่มธุรกิจเพื่อขายและกลุ่มธุรกิจเพื่อเช่าและบริการสู่ 50:50 ได้ตามแผนธุรกิจ 5 ปี

นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย เพื่อเช่าและบริการ เปิดเผยว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (PD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ “มั่นคงเคหะการ” ถือหุ้น 100% และเป็นผู้พัฒนาโครงการบางกอก “ฟรี เทรด โซน” (Bangkok Free Trade Zone : BFTZ) ซึ่งเป็นโรงงานให้เช่าที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 อัตรารายได้จากค่าเช่าเติบโตถึง 30% มีอัตราผู้เช่ากว่า 90% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 จากพื้นที่เช่ากว่า 1.5 แสนตารางเมตร ปัจจุบันบริษัทฯ มีการก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มเติมอีก 7 หมื่นตารางเมตร ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2563 โดยคาดว่าจะสามารถพัฒนาโครงการเต็มพื้นที่ประมาณ 2.8 แสนตารางเมตร ภายในสิ้นปี 2563

จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติอนุมัติให้ บริษัท พรอสเพคฯ จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จํากัด เพื่อดำเนินธุรกิจผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการจัดตั้งบริษัทดังกล่าวจะถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจของ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) ที่จะช่วยให้บริษัทฯ มีสัดส่วนของกำไรในกลุ่มธุรกิจเพื่อขายและกลุ่มธุรกิจเพื่อเช่าและบริการอยู่ที่ 50:50 ภายใน 5 ปี ตามแผนธุรกิจที่วางไว้

นายวรสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการอนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อยแล้ว ล่าสุดได้ออกหุ้นกู้มูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 1,650 ล้านบาท อายุ 3 ปี 11 เดือน 19 วัน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.75% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ซึ่งสามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท โดยพร้อมเสนอขายในวันที่ 2–11 ธันวาคม 2562 โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าใจการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เป็นเพิ่มโอกาสและช่องทางการลงทุนที่ดีให้แก่กลุ่มนักลงทุน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงและการเติบโตให้แก่ “มั่นคงเคหะการ” อีกด้วย

สำหรับ โครงการ “บางกอก ฟรี เทรด โซน” (BFTZ) เป็นโครงการที่พัฒนาโดย บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 1 พันไร่ ประกอบด้วย พื้นที่เพื่อการเช่า (Leasable Area) 700 ไร่ และพื้นที่เพื่อการสาธารณูปโภค อาทิ ถนนสาธารณะ โรงบำบัดน้ำเสีย และส่วนการรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ ฯลฯ อีก 300 ไร่ ถือเป็นโครงการที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากตั้งอยู่บนถนนบางนาตราด กม.23 นับเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านลอจิสติกส์และศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญ สามารถเชื่อมโยงฐานการผลิตในการขนส่งสินค้าทั้งทางบกทางอากาศและทางทะเล มีความได้เปรียบในเรื่องการการเดินทางและขนส่ง เนื่องจากอยู่ใกล้กรุงเทพฯ และนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง อาทิ นิคมอุตสาหกรรมบางพลี และนิคมอุตสาหกรรมบางปู ประกอบด้วยอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงาน สิ่งสำคัญคือโครงการนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่สีม่วง (ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า) จากปัจจัยต่าง ๆ ส่งผลให้โครงการ BFTZ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีอัตราการเช่าประมาณ 90% โดยกลุ่มผู้เช่าหลักคือ นักลงทุนญี่ปุ่น มีสัดส่วนประมาณ 34%

“นู ฟอร์มูล่า มิเนอรัล คลีนซิ่ง วอเตอร์” ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวแพ้ง่าย

 

“นู ฟอร์มูล่า” (NU FORMULA) เชิญคุณร่วมสัมผัสความมหัศจรรย์จากธรรมชาติใน “นู ฟอร์มูล่า มิเนอรัล คลีนซิ่ง วอเตอร์” (NU FORMULA Mineral Cleansing Water) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสูตรน้ำแร่บริสุทธิ์ สู่ทางเลือกที่ดีที่สุดในการทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก ด้วยนวัตกรรม Mineral Micellar + อนุภาคนาโนเทคโนโลยีพิเศษ เข้าจัดการทุกสิ่งสกปรกบนผิว สลายเมคอัพบนใบหน้าและรอบดวงตาได้อย่างอ่อนโยน ไม่ทิ้งความมันเหนอะหนะบนใบหน้า พร้อมขจัดสิ่งอุดตันบนผิวหน้า ช่วยลดปัญหาสิวอุดตันได้อย่างหมดจด เหมาะกับทุกสภาพผิวแม้ผิวบอบบางแพ้ง่าย พร้อมผสานกับที่สุดแห่งการฟื้นบำรุง ด้วยส่วนผสมสำคัญจากธรรมชาตินานาชนิดจากส่วนที่ดีที่สุดทั่วทุกมุมโลก ทั้ง Rose Water Swiss Cress, Chamomile, Panthenol, Bilberry, Maple ช่วยมอบความสดชื่นสู่ผิว พร้อมปลอบประโลมผิวอย่างอ่อนโยน ช่วยเติมความชุ่มชื่น ปกป้องผิวจากมลภาวะ ลดการระคายเคือง ไม่ให้ผิวแห้งกร้าน ป้องกันการเกิดริ้วรอยและฟื้นฟูสภาพผิว เพื่อคืนความกระจ่างใสให้ผิวหน้าเปล่งปลั่งกว่าที่เคย

การันตีโดย KEVIN” (Kevin Teacher) ผู้เชี่ยวชาญด้านสกินแคร์และเมคอัพกูรูชื่อดัง ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 50 ล้านคนในประเทศจีน ที่ยกให้เป็น “สินค้า 1 ใน 10 The Must Have Items” ที่ต้องซื้อเมื่อมาประเทศไทย รวมถึงผู้ใช้จริงในไทยและบิ้วตี้บล็อกเกอร์กว่า 100 คนให้การตอบรับและรีวิว

ไม่เพียงเท่านี้ ยังผ่านการรับรอง “for Sensitive Skin” จากผลทดสอบสินค้ากับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย, การทดสอบ Non-Skin Irritation and Non-Eye Irritation และการทดสอบจากแพทย์ผิวหนัง Dermatologist Tested ทั้งยังได้รับ 5 รางวัลชนะเลิศ The Best Cleansing Water for Sensitive Skin จาก CLEO, PRAEW, LISA, KONVY AWARD, และ C-CHANNEL และเป็นผลิตภัณฑ์ Best Seller ที่ขายดีตั้งแต่เปิดตัวจนถึงปัจจุบัน ทั้งในไทยและต่างประเทศ

พิสูจน์ความมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ที่ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวด้วยตัวคุณเองกับ “นู ฟอร์มูล่า มิเนอรัล คลีนซิ่ง วอเตอร์” ได้แล้วที่ Watsons, KONVY.com, EVEANDBOY, Beautrium, Matsumoto Kiyoshi, Beauty Market, Stardust, Hej, Nineti9, 24-shopping, shopat24, Beauty Playground และพบกันเร็ว ๆ นี้ ได้ที่ Boots Retail

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดตามข่าวสารดี ๆ จาก “นู ฟอร์มูล่า” ได้ที่ Website : www.nu-formula.com และ Facebook : nuformulathailand

“แลคตาซอย” จัดกิจกรรม “Lactasoy Gift” ลุ้นรับกิ๊ฟต์เซ็ต 1,450 บาท

“แลคตาซอย” ชวนทุกคนร่วมสนุกกับกิจกรรม “Lactasoy Gift” เพียงแชร์โพสต์ตามลิงก์ http://bit.ly/LSgift20 ไปยังหน้าฟีดของตัวเองโดยตั้งค่าโพสต์สาธารณะ พร้อมแท็กคนที่คุณรัก พิมพ์คำอวยพร และแคปเจอร์โพสต์ที่แชร์มาคอมเมนต์ใต้โพสต์ พร้อมกับติด #LactasoyGift เพื่อยืนยันการร่วมสนุก ใครทำถูกต้องตามกติกา และคิดสร้างสรรค์การอวยพรได้โดนใจคณะกรรมการมากที่สุด รับไปเลยกิ๊ฟต์เซ็ตจาก “แลคตาซอย” ประกอบด้วย Lactasoy Bag มูลค่า 500 บาท Little Soy Doll มูลค่า 300 บาท T-Shirt มูลค่า 250 บาท และบัตรชมภาพยนตร์รางวัลละ 2 ใบ มูลค่า 400 บาท รวมมูลค่ารางวัลละ 1,450 บาท รวม 50 รางวัล หมดเขตร่วมสนุกวันที่ 15 ธันวาคม 2562 โดยจะประกาศผลรางวัลวันที่ 16 ธันวาคม 2562 ทาง FB : Lactasoy

เปิดอบรมฟรีศาสตร์พระราชา “วิชาของแผ่นดิน”

alivesonline.com : พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ เตรียมจัดยิ่งใหญ่ “ภูมิพลังแผ่นดิน” เทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้านการพัฒนาและอนุรักษ์ดิน โชว์นิทรรศการของขวัญจากดินและนิทรรศการพ่อแห่งแผ่นดิน การยกย่องพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาด้านการพัฒนาดินในรูปแบบทันสมัยตลอด 5 วัน พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศาสตร์พระราชาจากการอบรมวิชาของแผ่นดินและอบรมเชิงปฏิบัติการกว่า 30วิชาฟรีจากปราชญ์เกษตรทั่วประเทศ ระหว่าง 4-8 ธันวาคม 2562 ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ ปทุมธานี

นายสหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ ผู้อำนวยการสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปิดเผยว่า พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ เตรียมจัดงานมหกรรม “ภูมิพลังแผ่นดิน” เพื่อเทิดพระเกียรติและเผยแพร่พระเกียรติคุณพระปรีชาสามารถพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้านอนุรักษ์ทรัพยากรดินและการพัฒนาดิน ระหว่างวันที่ 4–8 ธันวาคม 2562 เวลา 08.00–18.00 น. โดยภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการของขวัญจากดิน, นิทรรศการพ่อแห่งแผ่นดิน, นิทรรศการดินของพ่อ, นิทรรศการปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน, นิทรรศการดินดล ดลบันดาลชีวิต, นิทรรศการพิเศษจากภาคีความร่วมมือทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศาสตร์พระราชาจากการอบรมวิชาของแผ่นดิน และอบรมเชิงปฏิบัติการกว่า 30 วิชา ตลอดจนชม ชิม และเลือกซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์จากเกษตรกรตัวจริงในตลาดนัดเศรษฐกิจพอเพียงกว่า 300 บูธ

สำหรับวันที่ 5 ธันวาคม 2562 เวลา 09.00 น. ร่วมกันทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์ เพื่อน้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลเชิดชูสดุดีพระเกียรติคุณและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หลังจากนั้นจะได้ชมการแสดงดนตรีและการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย 4 ภาค และเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในหลวงรักเรา พร้อมภาพยนตร์แอนิเมชั่น 3 มิติ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงร่วมเรียนรู้ศาสตร์พระราชา สืบสาน รักษา ต่อยอด สืบทอดพลังแห่งความดีผู้ทรงเป็นดั่งกำลังของแผ่นดิน พลังของปวงชนชาวไทย

นอกจากนี้ ยังเปิดให้ประชาชนเข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์พระราชา “วิชาของแผ่นดิน” กว่า 30 วิชา พร้อมเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจากปราชญ์เกษตรผู้น้อมนำคำพ่อสอน อาทิ “หลักสูตรการใช้ถ่านชีวภาพฟื้นฟูดิน” โดย ดร.สุนันทา เศรษฐ์บุญสร้าง “หลักสูตรปศุสัตว์อินทรีย์ด้วยเทคโนโลยีสรรพสิ่ง” โดยอาจารย์พงษ์ธร เอี่ยมศรี “เครือข่ายทำนา 1 ไร่ 1 แสน จ.บุรีรัมย์ นวัตกรรมทำนาเงินล้าน” โดยอาจารย์ชัยพร  พรหมพันธุ์ ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน สาขาปราชญ์เกษตรดีเด่น ปี 2558 “หลักสูตรโซล่าร์เซลล์เพื่อการพึ่งตนเอง” โดยอาจารย์ธนภพ เกียรติฉวีพรรณ จ.ฉะเชิงเทรา “หลักสูตรไม้ผลอินทรีย์วิถีพอเพียง” โดยอาจารย์เจน คงศรี สวนจ่าเจนโฮมสเตย์ จ.ลพบุรี “หลักสูตรโกโก้ พืชแซมสร้างรายได้” โดยอาจารย์นิตย์ ตั่นอนุพนธ์ เกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ จ.ประจวบคีรีขันธ์ อบรมเรียนรู้เชิงปฏิบัติ เช่น “หลักสูตรนวัตกรรมโรงเห็ดลดต้นทุน” โดยอาจารย์มานะ โพธิ์ชัย เครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรฯ จ.กำแพงเพชร “หลักสูตรการทำขนมดอกโสน” โดยอาจารย์นวน เล็บครุฑ เครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรฯ จ.นครปฐม “หลักสูตรการแปรรูปปาล์มฟอกเทล” โดยอาจารย์พร้อมพงศ์ สุพรรณ เครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรฯ จ.เชียงใหม่ เป็นต้น

ในส่วนของ “ตลาดนัด คลังปัญญาของแผ่นดิน” ได้ขอความร่วมมือประชาชนที่เข้าร่วมงานพกถุงผ้ามาชม ชิม ชอป ตามสไตล์คนรักสุขภาพ หลากหลายด้วยสินค้าเกษตรอินทรีย์ ผัก ผลไม้ตามฤดูกาล ต้นไม้ ผลิตภัณฑ์แปรรูปคุณภาพจากเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ทั่วทุกภูมิภาคกว่า 300 บูธ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2529 2212-13, 08 7359 7171, 09 4649 2333 Line ID : @wisdomkingfan Facebook : พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ

นายกรัฐมนตรี ร่วมเชิดชูและสนับสนุนธุรกิจไทย

ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (กลาง) นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติกล่าวปาฐกถาและเป็นประธานในพิธีงานประกาศผลรางวัล โครงการรางวัลพระราชทาน “Thailand Corporate Excellence Awards” และรางวัลพระราชทาน “SMEs Excellence Awards 2019” ซึ่งจัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมมอบรางวัลให้องค์กรธุรกิจ และ SMEs ในสาขาความเป็นเลิศในด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นตัวอย่างของความสำเร็จและเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ โดยมี นายธีรนันท์ ศรีหงส์ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย และศาสตราจารย์ ดร.เอียน เฟนวิค (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้การต้อนรับ ณ ห้องคริสตัลฮอล์ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก เมื่อเร็ว ๆ นี้