กรมการท่องเที่ยว เพิ่ม Line Official

กรมการท่องเที่ยว ขอเชิญชวน “ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว” แอด Line Official Account ภายใต้ชื่อ DOT & Tour Operator ช่องทางใหม่เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสาร ประกาศ และกฎหมายด้านการท่องเที่ยว โดยเข้าไปที่แอปพลิเคชัน Line กดเพิ่มเพื่อน
– ด้วยการค้นหา Line ID พิมพ์คำว่า @333nfzjg
– หรือสแกน QR code ตามภาพ
รับข้อมูลข่าวสารดีดีจากเราได้แล้ววันนี้!
แชร์บอกต่อกันมาเยอะ ๆ นะครับ

นายกสมาคมโรงแรมไทย เข้าพบ รมว.กระทรวงการท่องเที่ยว

นางสาวศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ นายกสมาคมโรงแรมไทย พร้อมคณะ เข้าพบ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ในการผลักดันมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ณ ห้องรับรอง ชั้น 2 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

อว.แก้วิกฤติ COVID-19 จ้างงานเดือนละ 9 พันบาท

alivesonline.com : “สุวิทย์ เมษินทรีย์” แก้วิกฤติคนตกงานช่วง COVID–19 ผุดโครงการ “อว.สร้างงาน” จ้างงานประชาชน 1 หมื่นคน ไม่จำกัดอายุ – วุฒิการศึกษา- สาขาวิชา – ไม่เกี่ยงประสบการณ์ ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 9 พันบาท ระยะเวลา 5 เดือน แถมทำแล้วอยากพัฒนาทักษะไปประกอบอาชีพใหม่ เปิดโครงการการบ่มเพาะธุรกิจให้ฟรี

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า กระทรวง อว. จัดทำ “โครงการ อว. สร้างงาน” สำหรับประชาชนที่ว่างงาน อันเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19  ซึ่งจะเป็นการจ้างงานประชาชน จำนวน 1 หมื่นคน เป็นระยะเวลา 5 เดือน มีค่าตอบแทนให้เดือนละ 9 พันบาท ไม่ได้จำกัดอายุ วุฒิการศึกษา สาขาวิชาที่สำเร็จการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ผู้สนใจติดต่อ โทร.0 2610 5330-31

“โครงการ อว. สร้างงาน” จะรับผู้ว่างงานเข้ามาทำงานภายใต้หน่วยงานของ กระทรวง อว. จำนวน 42 หน่วยงาน ซึ่งจะเป็นหน่วยงานจ้างงานที่จะจ้างงานประชาชนให้มาทำงานภายใต้ภารกิจของหน่วยงานนั้น ๆ โดยผู้ได้รับการจ้างงาน นอกจากจะได้งานทำแล้วยังจะได้รับการพัฒนาทักษะทางวิชาการในด้านต่าง ๆ แตกต่างกันไป โดยหน่วยงานจ้างงานทั้ง 42 แห่งของ กระทรวง อว. จะทำหน้าที่รับสมัคร การมอบหมายงาน การให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ได้รับการจ้างงาน การฝึกทักษะที่จำเป็นต่อการทำงาน การติดตามและประเมินผล เป็นต้น โดยหากผู้ที่ได้รับการจ้างงานต้องการนำทักษะที่ได้รับการจากการทำงานไปประกอบอาชีพใหม่ยังสามารถเข้าร่วมโครงการการบ่มเพาะธุรกิจของหน่วยงานของ กระทรวง อว.ได้อีกด้วย

สำหรับหน่วยงานที่จะจ้างงาน ประกอบด้วย สถาบันอุดมศึกษาของรัฐทั่วประเทศ 39 แห่ง โดยงานที่ผู้ที่ได้รับการจ้างจะไปทำงานกระจายอยู่ในท้องถิ่น หรือชุมชนต่าง ๆ มากกว่า 1.5 พันชุมชน โดยจะทำงานเน้นหนักการพัฒนาชุมชนเมือง ชุมชนชนบท อาทิ การพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคติดต่อชุมชน ทำการช่วยสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลชุมชนที่สำคัญต่อการเฝ้าระวัง  ช่วยในการวางแผนและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดแนวทางในด้านสาธารณสุขชุมชน การพัฒนาระบบ Smart Farming ในชุมชน ทำการช่วยสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลด้านการเกษตรในชุมชน ช่วยในการวางแผนการพัฒนาระบบ Smart Farming รายเกษตรกร ช่วยในการจับคู่เทคโนโลยีที่เหมาะสม ช่วยงานถ่ายทอดเทคโนโลยี Smart Farming ที่สามารถดำเนินการได้ในระยะสั้น การจัดการขยะชุมชน ช่วยงานถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการจัดการขยะที่สามารถดำเนินการได้ในระยะสั้น การส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ช่วยสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลในด้านที่เกี่ยวข้อง ช่วยในการวางแผนและวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในพื้นที่ การบริหารจัดการน้ำชุมชน การพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ช่วยงานสำรวจข้อมูลในด้านที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน เป็นต้น

นอกจากนี้ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ยังจะให้ไปทำโครงการคืนผืนป่าให้ประชาชน ซึ่งผู้ที่ได้รับการจ้างงานจะต้องปฏิบัติงาน ได้แก่ การสำรวจพื้นที่การจัดทำเขตหมู่บ้าน การจัดทำแผนจัดการทรัพยากรที่ดินป่าไม้ การสำรวจข้อมูลรายแปลง เป็นต้น ซึ่งจะครอบคลุมการทำงานในพื้นที่ 2,324,037 ไร่ 16 จังหวัด สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ทำเรื่อง โครงการช่วยเหลือการผลิตแก่เอสเอ็มอีและโอทอปในโรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร  ซึ่งผู้ที่ได้รับการจ้างงานจะต้องปฏิบัติงาน ได้แก่ การวางแผนการผลิต การใช้เครื่องมือในการผลิต การควบคุมการผลิต การตรวจสอบมาตรฐานและคุณภาพผลิตภัณฑ์ การวิเคราะห์ต้นทุนการผลิต และ กองทุนส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ไปช่วยเหลือเกษตรกร โดยการนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปช่วย ซึ่งผู้ที่ได้รับการจ้างงานจะต้องปฏิบัติงาน ได้แก่ การช่วยในเทคโนโลยีการแปรรูปมะม่วง เทคโนโลยีการจัดเก็บและยืดอายุของผลผลิตมะม่วง การช่วยผลิตชุดปลูกผัก การช่วยแปรรูปผลไม้ในรูปผลไม้แช่แข็ง เป็นต้น

“โครงการ อว.สร้างงาน แม้จะเป็นมาตรการระยะสั้นระยะเวลา 5 เดือน แต่จะเป็น 5 เดือนที่มีค่าหากผู้เข้าร่วมโครงการนำไปต่อยอดหรือนำทักษะที่ได้รับการจากการทำงานไปประกอบอาชีพใหม่ ซึ่ง กระทรวง อว.พร้อมที่จะเปิดรับให้ทุกคนสามารถเข้าร่วมโครงการการบ่มเพาะธุรกิจของหน่วยงานของ กระทรวง อว. ได้เลย โดยในระยะต่อไป กระทรวง อว. ได้เตรียมเสนอของบประมาณในส่วนของ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เพื่อการจ้างงาน รวมถึงการปรับเปลี่ยน หรือเพิ่มทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ ซึ่งจะเป็นการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนในชุมชน เกษตรกร ตลอดจนผู้ประกอบการรายย่อย” ดร.สุวิทย์ กล่าวในที่สุด

 

รมว.ท่องเที่ยวอาเซียน ร่วมถกวาระพิเศษผ่าน Video Conference

alivesonline.com : “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” ร่วมประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนสมัยพิเศษ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ย้ำประเทศไทยพร้อมร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการเร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายหลังวิกฤติการณ์ COVID-19

วันนี้ (29 เม.ย.63) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนสมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ณ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวราชอาณาจักรกัมพูชา Dr.Thong Khon เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีท่องเที่ยวจากทุกประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงรองเลขาธิการอาเซียนด้านเศรษฐกิจ ร่วมประชุม

นายพิพัฒน์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงมาตรการในการฟื้นตัวเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้อุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด โดยมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยอาศัยการดำเนินงานของทีมสื่อสารในภาวะวิกฤติการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism Crisis Communications Team : ATCCT) เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ทันเวลา เชื่อถือได้ ตลอดจนแสวงหาความร่วมมือกับคู่เจรจาและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของอาเซียน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในมาตรการสนับสนุนและบรรเทาทุกข์ในภาคการท่องเที่ยว เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจอันเป็นผลสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19

ประเทศไทยมีมาตรการในการบรรเทา เยียวยา และฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการและแรงงานในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ตลอดจนการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวด้วยการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ การพัฒนาเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ซึ่งมีการดำเนินการใน 2 ระยะ โดยในระยะแรก ประกอบด้วย มาตรการด้านการเงินและการคลัง และมาตรการด้านการให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยมาตรการทั้ง 2 ด้านมีการเริ่มต้นดำเนินการไปแล้ว

ส่วนมาตรการในระยะที่สอง ประกอบด้วยมาตรการสำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ มาตรการเสริมสร้างและการรักษาขีดความสามารถด้านการท่องเที่ยว, มาตรการด้านการสร้างรายได้แก่สถานประกอบการท่องเที่ยว, การพัฒนาทักษะบุคลากรด้านการท่องเที่ยว, การสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและด้านสุขอนามัย, การช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับรองถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนในการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูการท่องเที่ยวอาเซียน (Joint Statement of the ASEAN Tourism Ministers on Strengthening Cooperation to Revitalise ASEAN Tourism) โดยมีความตกลงร่วมกัน ดังนี้

1.สนับสนุนการประสานงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งรัดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารการเดินทางที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุข และมาตรการจำเป็นอื่น ๆ ของประเทศสมาชิกอาเซียน ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ผ่านการดำเนินงานของทีมสื่อสารในภาวะวิกฤติการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism Crisis Communication Team : ATCCT)

2.กระชับความร่วมมือระหว่างองค์กรการท่องเที่ยวแห่งชาติของประเทศสมาชิกอาเซียน (National Tourism Organisations) กับหน่วยงานอาเซียนอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหุ้นส่วนภายนอกอาเซียน โดยเฉพาะด้านการสาธารณสุข ข้อมูลข่าวสาร การคมนาคมขนส่ง และการเข้าเมือง

3.ส่งเสริมความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจาอาเซียน ในการตอบสนองภาวะวิกฤติ ความพร้อมทางด้านการสื่อสาร การประสานความร่วมมือ การบรรเทาสาธารณภัยระดับประเทศ และมาตรการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ตลอดจนการเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือและจัดการกับโรคระบาด หรือภัยคุกคามร้ายแรงอื่นได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

4.ดำเนินนโยบายและมาตรการที่มีความชัดเจนเพื่อเพิ่มความมั่นใจของทั้งนักท่องเที่ยวภายในอาเซียนและนักท่องเที่ยวนานาชาติที่เดินทางมายังอาเซียน รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม เพื่อคุ้มครองผู้ปฏิบัติงานและชุมชนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศสมาชิกอาเซียน

5.สนับสนุนการพัฒนาแผนฟื้นฟูภายหลังวิกฤติ COVID-19 และการนำแผนดังกล่าวไปปฏิบัติ อาทิ การเสริมสร้างศักยภาพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน การร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมความมั่นใจของทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว รวมทั้งการตลาดและการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มุ่งเป้าให้อาเซียนเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวร่วม ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน

6.ให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจทั้งระดับจุลภาคและมหภาคเพิ่มมากขึ้น โดยให้การสนับสนุนแก่ผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาทิ การสนับสนุนทั้งทางเทคนิคและการเงิน

การบรรเทาภาษี การยกระดับขีดความสามารถโดยเฉพาะทักษะดิจิทัล

7.แสวงหาความร่วมมือกับคู่เจรจาอาเซียน องค์กรนานาชาติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อเตรียมการให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความพร้อมต่อการจัดการการท่องเที่ยวภายหลังวิกฤติ COVID-19 ได้อย่างยั่งยืน

ททท.-มิชลิน ส่งมอบอาหารระดับ “ดาวมิชลิน” ให้บุคลากรทางการแพทย์ รพ.จุฬาฯ

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 3563 นายกฤษณะ แก้วธำรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และนางทิพวรรณ นิธิเจษฎาวงศ์ ผู้อำนวยการมิชลินไกด์ประเทศไทย ร่วมกันมอบอาหารกล่องจากร้าน R-Haan (2 ดาวมิชลิน) และ ร้าน Upstairs at Mikkeller (1 ดาวมิชลิน) จำนวน 200 กล่อง แก่บุคคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยมี ภช.เพ็ญประภา ตั้งวันเจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาล ด้านระบบยาและเวชภัณฑ์ เป็นผู้แทนรับมอบ

กิจกรรมดังกล่าวอยู่ภายใต้โครงการ “ห่วงใยเมืองไทย ก้าวไปด้วยกัน” โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง ททท. และ “มิชลิน ไกด์ ประเทศไทย” ในการส่งมอบกำลังระหว่างกันคนไทยด้วยกัน เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติ COVID-19 ด้วยการจัดส่งอาหารกล่องจากร้านอาหาร 19 ร้านที่ได้รับรางวัลประเภทต่าง ๆ ในหนังสือมิชลิน ไกด์ “MICHELIN Guide Bangkok, Chiang Mai  Phuket & Phang-Nga 2020” ส่งมอบความอร่อยให้ 9 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช สถาบันบำราศนราดูร โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อเป็นการส่งต่อกำลังใจถึงกัน รวมจำนวน 2 พันกล่อง

สำหรับโครงการ The Michelin Guide Thailand ททท. ได้ดำเนินการร่วมกับ บริษัท มิชลิน ทราเวล พาร์ทเนอร์ จำกัด ตั้งแต่ปี 2560 2564 เพื่อยกระดับสินค้า บริการทางด้านอาหาร และเป็นการส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวด้านอาหาร (Gastronomy Tourism) ซึ่งเป็นการชูศักยภาพทางการท่องเที่ยวอีกด้านหนึ่งของไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

“รับฟัง” เสียงแรงงาน : “รับมือ” ขาดแคลนแรงงานทักษะสูง

alivesonline.com : ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะในปัจจุบันนี้ดูเหมือนจะเป็นความกังวลของผู้บริหารในทุกภูมิภาคทั่วโลก ตลาดแรงงานตกอยู่ในภาวะตึงตัว การขาดแคลนแรงงานสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่อัตราการว่างงานต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษซึ่งไม่ถือเป็นปัญหาใหม่ของประเทศไทยและอีกหลาย ๆ ประเทศในโลก

นายจ้างจำเป็นต้องตื่นตัวและรับฟังความต้องการของแรงงานเพื่ออุดช่องโหว่และวางแนวทางในการรับมือการขาดแคลนแรงงานทักษะสูง พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นและความต้องการแรงงานแต่ละช่วงวัยกับคำถามว่า คุณต้องการอะไร? อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ? เป็นข้อสงสัยที่ผู้บริหารองค์กรทุกองค์กรควรที่จะตั้งคำถาม

“แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” ในฐานะที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญตลาดแรงงานเชิงนวัตกรรมชั้นนำระดับโลกได้เปิดเผยถึงผลการวิจัยในหัวข้อ “การขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถประจำปี 2563” โดยได้ทำการสำรวจแบ่งกลุ่มแต่ละช่วงวัย พบว่า แรงงานแต่ละคนมีความต้องการนั้นแตกต่างกันไปตามอายุ เพศ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ หรืออุปนิสัยส่วนตัวของแต่ละคน เงินเดือนที่มากขึ้น งานที่ท้าทาย ทีมงานที่ยอดเยี่ยม ความก้าวหน้าที่จะได้รับ และที่สำคัญทักษะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะสามารถต่อรองได้ แต่มีบางอย่างที่นายจ้างสามารถทำเพื่อรักษาบุคลากรที่มีความสามารถและเป็นที่ต้องการได้ การทำความเข้าใจต่อความต้องการของบุคลากรในแต่ละเจเนอเรชั่นต่างๆ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญซึ่งจะช่วยให้นายจ้างสร้างและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ ปรับเปลี่ยนความต้องการของแรงงานให้สอดคล้องคล้องกับความต้องการและความปรารถนาของแรงงานทักษะที่เราต้องการ

กลุ่มแรงงานแรก คือ กลุ่มคนเจนแซด (Gen Z) มีช่วงอายุ 18-24 ปี เรื่องแรกที่สำคัญสุดของกลุ่มนี้คือ “ค่าตอบแทน-เงินเดือน” โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง เพราะคนเจนนี้เกิดในยุคที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เรียนรู้ได้เร็ว มีความทะเยอทะยาน ต้องการเงินและความก้าวหน้าในอาชีพ แต่ผู้หญิงและผู้ชายมีความต้องการที่ต่างกัน โดยผู้หญิงจะให้ความสำคัญกับเงินและการพัฒนาทักษะมากกว่าเกือบสองเท่า ในขณะที่ผู้ชายบอกว่าทักษะและอาชีพมีความสำคัญเท่ากับค่าตอบแทน ผู้หญิงเมื่อจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและเข้ามาอยู่ในตลาดแรงงานมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย และเป็นครั้งแรกในหลายทศวรรษที่ผู้ชายและผู้หญิงได้ค่าตอบแทนไม่เท่าเทียมกัน

กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มแรงงานรุ่นมิลเลนเนียล ช่วงอายุ 25-34 ปี เป็นกลุ่มประชากรที่สำคัญของตลาดแรงงานในปัจจุบัน สิ่งที่ต้องการคือ “ความยืดหยุ่น” โดยเฉพาะในผู้หญิง คนรุ่นนี้ต้องการสิ่งที่เหมือนกัน แต่ในความเหมือนก็ยังมีความต่าง ทั้งในผู้หญิงและผู้ชายต่างก็ต้องการความยืดหยุ่นและความท้าทาย พวกเขามองการทำงานในอนาคตเหมือนการ “วิ่งมาราธอน” เพราะยังต้องทำงานอีกหลายปีและต้องการหาจุดสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานสำหรับการทำงานที่ยาวนานดังกล่าว ผู้หญิงในรุ่นมิลเลนเนียลเห็นว่าการทำงานที่ท้าทายของพวกเธอต้องมาพร้อมกับความยืดหยุ่น เพราะพวกเธออาจจะต้องรับหน้าที่การงานที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนภายในครอบครัว เพื่อการรักษาสมดุลระหว่างงานและหน้าที่ ดังนั้นความยืดหยุ่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ส่วนกลุ่มที่ 3 เรียกว่า กลุ่มคนเจนเอ็กซ์ (Gen X) อายุ 35-54 ปี สะท้อนเรื่อง “ความยืดหยุ่นมีคุณค่าเท่ากับความเป็นอยู่ที่ดี” คนเจนนี้ต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อตำแหน่งงานที่สูงขึ้น มีทักษะทางสังคมที่ดีขึ้น มีความมั่นคง และเริ่มค้นหาความสมดุลในชีวิตมากขึ้น ผู้ชายให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นมากพอ ๆ กับผู้หญิง พวกเขาอยากให้แต่ละวันเริ่มต้นและสิ้นสุดลงด้วยความยืดหยุ่น ทำงานไกลบ้านได้เป็นบางครั้งไม่ใช่ตลอดเวลา และต้องการใบลาในการดูแลครอบครัวในฐานะลูก หรือพ่อแม่ ดังนั้นคนเจนนี้จึงให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นเป็นปัจจัยหลัก ๆ

กลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มคนเบบี้บูมเมอร์ (Boomer) อายุ 55-65 ปีขึ้นไป คนกลุ่มนี้ “มีความรักหัวหน้าและเพื่อนร่วมทีมสูง” คนเจนนี้เริ่มมีอายุที่สูงขึ้น อยากเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองให้รู้สึกมีแรงกระตุ้น มีส่วนร่วมและแรงบันดาลใจมากกว่าสายงานในวิชาชีพของตน คนยุคบูมเมอร์มักจะถูกผลักดันด้วยค่าตอบแทน งานที่ท้าทายและความยืดหยุ่น แม้ว่าพวกเขาจะให้ความสำคัญสูงสุดกับความเป็นผู้นำและทีมงานก็ตาม แต่พวกเขาก็มีความผูกพันกับเจ้านายและทีมงานเป็นอย่างมาก ทำให้พวกเขาต้องการส่งต่อความดีความสามารถกับคนรุ่นต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม แม้ผลการวิจัยด้านความต้องการ ซึ่งนำมาวิเคราะห์กับทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของ “มาสโลว์” (Maslow’s Hierarchy Of Needs Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ที่ได้รับการยอมรับในสากล แต่ในปัจจุบัน การรู้ว่าคนทำงานต้องการอะไรกลายเป็นเรื่องสำคัญอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การทำให้ถูกตั้งแต่แรกและสิ่งที่ดึงดูดให้คนทำงานเข้ามาอยู่ในองค์กรหนึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวกันที่ทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันและอยากอยู่กับองค์กรต่อไป เมื่อต้องแข่งขันและแย่งชิงคนเก่งที่มีทักษะความสามารถสูงมีความเข้มข้นขึ้นทุกที ดังนั้น การเตรียมพร้อมและวางยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องตั้งแต่ต้นจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุนระยะยาวและทิ้งปิรามิดของ “มาสโลว์” เพื่อนำมาสู่ “ปิรามิดความต้องการของฉันเอง”!

“แมนพาวเวอร์ กรุ๊ป” จึงได้จัดทำปิรามิด 5 ขั้น มุ่งมั่นสู่ความสำเร็จแบบฉบับคนทำงาน” ดังนี้

ฐานแรกของปิรามิด ไม่จำเป็นต้องแจ้งเตือนการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ ค่าตอบแทนเป็นเรื่องสำคัญเสมอ-แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือได้มาอย่างไร? ค่าตอบแทนเป็นปัจจัยหลักในการดึงดูดและรักษาพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม บริษัทต่าง ๆ จึงต้องมีไอเดียในการเพิ่มค่าตอบแทนที่เป็นมากกว่าเงินสด เพื่อสร้างความแตกต่างและดึงดูดแรงงานทักษะ ฐานปิรามิดนี้จึงให้ความสำคัญเรื่องสวัสดิการและสิทธิประโยชน์มากพอ ๆ กับค่าตอบแทน โดยมีผลวิจัยระบุว่า แรงงาน 89% ในสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมมากพอ ๆ กับค่าตอบแทน

ฐานปิรามิดขั้นที่สอง เป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์ เพราะพนักงานอยากให้ความต้องการของพวกเขาได้รับการตอบสนอง กลยุทธ์การบริหารจัดการคนจึงต้องอาศัยความเป็นศาสตร์และศิลป์ คนทำงานต้องการความเข้าใจและคำแนะนำ รวมไปถึงการที่ได้งานที่สามารถพิสูจน์ความสามารถของพวกเขา การประเมินผลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้นายจ้างสามารถเข้าใจตนเองและพนักงานได้ดีขึ้นว่ามีพึงพอใจ หรือมีความต้องการทางด้านใด โดย ดร.โทมัส ชาเมอร์รล-พรีมูซิค หัวหน้านักวิจัยและพัฒนาบุคลากร แมนพาวเวอร์กรุ๊ป มีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “การประเมินตามหลักวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือที่มีความถูกต้องแม่นยำและน่าเชื่อถือที่สุดในการคัดสรรคนให้เหมาะสมกับงาน”

ส่วนฐานปิรามิดที่สาม ความหลากหลายช่วยเพิ่มรสชาติให้กับชีวิตการทำงาน พนักงานต้องการการศึกษา ประสบการณ์ การลงมือทำ ความท้าทายเป็นหนึ่งใน 5 สิ่งที่พนักงานทุกวัยให้ความสำคัญมากที่สุด ในการเสนอความท้าทายและโอกาสเพื่อดึงดูดและรักษาให้คนอยู่องค์กรนาน ๆ นายจ้างจำเป็นต้องเข้าใจทักษะ วัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ เราจะสามารถฝึกฝนคนเพื่อให้เขาเติบโตก้าวหน้าในองค์กรของเราโดยใช้วิธี “จมน้ำ หรือว่ายน้ำ” โดยไม่ให้สนับสนุนใด ๆ อาจนำไปสู่ อาการหมดไฟ (Burnout Syndrome) นายจ้างจึงต้องมีทักษะในการสอนงานแนะแนวทางในการทำงาน มองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และเปิดรับปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ การสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ เกือบสองในสามขององค์กรเสนอการฝึกอบรมให้แก่พนักงานแต่พวกเขาบอกว่าต้องการแค่เวลาในการเรียนรู้ บริษัทจำเป็นต้องสร้างถึงการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสนับสนุนให้พนักงานทุกคนมีส่วนในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ องค์กรยังต้องเข้าใจว่าแรงกระตุ้นในการเรียนรู้ของแต่ละคนแตกต่างกันไปตามวงจรชีวิตของพวกเขา เมื่อเวลา เงิน และการขาดแรงงานสนับสนุนเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด ดังนั้น พนักงานจึงต้องการเวลาที่จะอุทิศให้กับการเรียนรู้ ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและผลตอบแทนสำหรับเวลาที่พวกเขาได้ลงทุนไป อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยระบุว่า พนักงานที่มีผู้จัดการที่รับฟังปัญหาเกี่ยวกับการทำงานจะมีโอกาสน้อยกว่า 62% ที่จะหมดไฟในการทำงาน

ฐานปิรามิดที่สี่ สร้างความยืดหยุ่นเพื่อสร้างสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานให้ความสำคัญกับผลผลิตภาพมากกว่าการทำงานในขณะเจ็บป่วย พนักงานให้ความสำคัญกับความสมดุลและการมีทางเลือกและนั่นไม่สามารถต่อรองได้ นายจ้างต้องพยายามสร้างสมดุลของความยืดหยุ่น หัวหน้าต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง มีความเสมอภาคในที่ทำงาน ความสุขนอกเวลางานอาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสุขในที่ทำงาน ทั้งนี้ผลวิจัยระบุว่า ในสหราชอาณาจัก รมีคนทำงานแค่ 6% เท่านั้นที่ยังต้องทำงานตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.

สุดท้ายปิรามิดส่วนยอดสุด เป็นส่วนของวัตถุประสงค์ทางด้านเศรษฐกิจและเรื่องสิทธิซึ่งให้มากกว่าความโปร่งใสในเหตุผลของคุณ คนทำงานต้องการความภาคภูมิใจในคนที่พวกเขาทำงานให้ และภูมิใจในสิ่งที่พวกเขาทำ แบรนด์ที่เข้มแข็ง ชื่อเสียงที่ยาวนาน สถานที่น่าทำงาน เป็นเหตุผลที่สำคัญที่พวกเขาจะทำงานให้กับองค์กรของคุณ ส่วนช่องว่างด้านทักษะไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแล้วจะหมดไป แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมในการทำงาน เมื่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กระทบกับทุกคนก็เป็นหน้าที่ขององค์กรและทุกคนที่จะต้องช่วยกันอุดช่องว่างที่เกิดขึ้นเพื่อให้องค์กรเดินหน้าต่อไปได้ โดยผลวิจัยระบุว่า อินเดีย ออสเตรเลีย เม็กซิโก สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา มีแรงงานที่มุ่งเน้นที่เป้าหมายมากที่สุด โดยแรงงานเหล่านี้ถูกขับเคลื่อนด้วยแบรนด์และชื่อเสียง

ทั้งนี้ บทสรุปการให้ในสิ่งที่พนักงานต้องการสำหรับแรงงานที่มีทักษะสูงสามารถเรียกร้องสิ่งใดก็ได้ และนายจ้างก็จำเป็นต้องปรับอุปสงค์ของตนเองเพื่อให้สอดคล้องกับอุปทาน นายจ้างจึงต้องเข้าใจความต้องการของแรงงาน เพื่อที่จะสามารถรักษาบุคลากรที่มีทักษะความสามารถสูงซึ่งเป็นวิธีการที่นายจ้างองค์กรอื่นทำเช่นเดียวกัน

 

ดังนั้น การรับรู้และรับฟังความต้องการของแรงงานตั้งแต่ต้นจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ พร้อมนำเสนอแนวทางการรักษาและคงไว้ซึ่งแรงงานคุณภาพ ดังนี้

เรื่องแรก มีมุมมองความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับผลตอบแทน – นอกเหนือจากค่าจ้างแต่คุณภาพชีวิตมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ดังนั้นการให้รางวัลคนทำงานอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยให้เขาบรรลุความต้องการในเส้นทางอาชีพของพวกเขา

เรื่องที่สอง การประเมินความพร้อมและศักยภาพ – มอบความเข้าใจกับพนักงาน เพื่อจะเติบโตและก้าวหน้า ซึ่งจะทำให้องค์กรคุณได้พนักงานที่มีแรงใจและความพึงพอใจ เพื่อการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เรื่องที่สาม การสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ – นับเป็นการมอบความท้าทายให้พนักงาน ผสมผสานด้วยการสนับสนุนในสายอาชีพพนักงานให้เติบโตและประสบความสำเร็จ

เรื่องที่สี่ การสร้างความยืดหยุ่นเพื่อสร้างสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน – เป็นปัจจัยหนึ่งในการผลักดันด้านสวัสดิภาพและผลิตภาพ

เรื่องที่ห้า การให้มากกว่าความโปร่งใสด้าน “เหตุผล” ของคุณ – การเปิดเผยและความจริงใจถึงเป้าหมายองค์กร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจกับพนักงานเป็นอีกประเด็นที่สำคัญ ส่งให้เกิดแรงขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน

จากบทสรุปของผลวิจัยครั้งนี้ “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” จึงคาดหวังว่าจะเป็นแนวทางและการประยุกต์ใช้เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ ดูแล รักษา และกลายเป็นผู้สร้าง “คนเก่ง” สู่ความได้เปรียบในการแข่งขันท่ามกลางโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง.

เสวนาออนไลน์ฟรี! “อุตฯ อาหารไทยในช่วงวิกฤติ COVID-19″

alivesonline.com : จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมและธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป และ “อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” ผู้จัดงาน”โพรแพ็ค เอเชีย” (ProPak Asia) จึงได้ร่วมมือกันจัดเสวนาออนไลน์ (Webinar) ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ในหัวข้อ อุตสาหกรรมอาหารของไทยในช่วงวิกฤต COVID-19 โดยจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดี ที่ 28 เมษายน 2563 เวลา 15.00-16.00 น. (รอบภาษาไทย) และเวลา 16.00-17.00 น. (รอบภาษาอังกฤษ) เพื่อเป็นการให้ความรู้และช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในการลดผลกระทบ ลดความเสี่ยง พร้อมนำเสนอถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจฝ่าวิกฤติในขณะนี้ รวมถึงเปิดมุมมองความคิดในการสร้างโอกาส การต่อยอด และการเติบโตทางธุรกิจภายหลังวิกฤติ COVID-19

การเสวนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำของประเทศไทย พร้อมด้วย นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ-ภูมิภาคอาเซียน และ นายอาชว์ ประกาศวุฒิสาร ผู้จัดการโครงการ “อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” ร่วมเป็นวิทยากร

          สำหรับเนื้อหาในการเสวนา ประกอบด้วย

  • สถานการณ์ด้านการผลิตอาหารของประเทศไทยที่มีต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคเอเชีย และระดับโลก
  • สถานการณ์การผลิตอาหารไทย ทั้งการบริโภคภายในประเทศ การนำเข้าและส่งออก
  • ความพร้อมของไทยในการต่อสู้ และโอกาสในการฟื้นตัวหลังวิกฤติ COVID-19
  • ผลิตภัณฑ์และบริการใดที่มีความต้องการมากที่สุดในช่วงวิกฤตินี้
  • มาตรฐานอาหารปลอดภัย (Food Safety) จากวิกฤติครั้งนี้
  • การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและออโตเมชั่นสำหรับโรงงาน และประโยชน์ของเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ

ผู้สนใจเข้าร่วมการเสวนาสามารถสมัคร ได้ที่ https://bit.ly/2XMikCf หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ kaweeporn.a@informa.com

 

 

 

อย่าแชร์ ข่าวลือ! รัฐมนตรีการคลัง พร้อมยุติแจกเงิน 5 พันบาท

alivesonline.com : ตามที่มีข่าวปรากฏตามสื่อ เรื่อง “รัฐมนตรีการคลัง เผยพร้อมยุติแจกเงินเยียวยา โครงการเราไม่ทิ้งกัน 5,000 บาท” นั้น

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวว่า มาตรการเยียวยา โครงการเราไม่ทิ้งกัน 5,000 บาท ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัตินั้น มีข้อกำหนดให้ช่วยเหลือผู้ได้รับสิทธิ รายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน–มิถุนายน 2563) ซึ่ง กระทรวงการคลัง ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมติ ครม. ทั้งนี้ยังไม่มีการประกาศยุติแจกเงินเยียวยา จาก กระทรวงการคลัง แต่อย่างใด

ดังนั้น ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และติดตามข่าวสารจาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง โดยสามารถติดตามได้ที่ http://www.fpo.go.th/main หรือ โทร.0 2273 9020

ททท. เปิด Facebook Group “การฝากร้านแห่งประเทศไทย – Amazing Market”

alivesonline.com : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สร้างพื้นที่ให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น ชุมชน ร้านอาหาร ได้เข้ามาฝากร้านเสนอขายสินค้าเพื่อสร้างรายได้ในช่วง COVID-19

จึงขอเชิญทุกท่านเข้าเป็นสมาชิกเพื่อช่วยอุดหนุนสินค้าจากชุมชนและผู้ประกอบการทั่วไทย หรือนำเสนอขายสินค้า อีกทั้งสามารถแสดงความต้องการซื้อสินค้าได้ด้วยเช่นกัน

เบื้องต้นทางกลุ่มฯ ได้เปิดให้โพสต์จำหน่ายสินค้าชุมชน ร้านอาหาร เครื่องแต่งกายท้องถิ่น สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมที่ถูกกฎหมายสามารถโพสต์จำหน่าย Voucher ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป และสำหรับโฮมสเตย์ กิจกรรมทางการท่องเที่ยว บริษัททัวร์ รถเช่า สามารถประชาสัมพันธ์กิจการได้ แต่ขอสงวนสิทธิ์การจำหน่ายแพ็คเกจในช่วงเวลานี้ โดยจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงเมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ดีขึ้นต่อไป

ไม่จริง ! “มหาดไทย” สำรวจข้อมูลช่วยผู้ไม่ได้รับ 5 พันบาท

alivesonline.com : ตามที่มีข่าวปรากฏตามสื่อต่าง ๆ เรื่อง “มหาดไทย ออกแบบฟอร์มสำหรับผู้ไม่ได้รับ 5,000 บาท กระจายผ่านผู้ใหญ่บ้าน กำนัน” นั้น

สำนักงานเลขานุการกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้ กรมการปกครอง สำรวจข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหา COVID-19 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใช้ประกอบการพิจารณาในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เหมาะสมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

การสำรวจข้อมูลดังกล่าวเปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบแจ้งรายการความช่วยเหลือที่ต้องการได้ถึง 15 รายการ โดยเรียงลำดับความต้องการจากมากไปน้อย (จาก 1 – 15) ไม่ใช่การเลือกเพียงรายการเดียวตามที่กล่าวอ้าง และการสำรวจข้อมูลดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาตรการเยียวยา 5,000 บาท (3 เดือน) ของ กระทรวงการคลัง แต่อย่างใด

ตามที่เข้าใจกันว่า สามารถกรอกข้อมูลขอรับการช่วยเหลือได้เพียงข้อเดียวและแบบฟอร์มดังกล่าวเกี่ยวข้องกับมาตรการเยียวยาเงิน 5,000 บาท จึงไม่มีมูลความจริง

ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ  และสามารถติดตามข่าวสาร กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ที่เว็บไซต์ multi.dopa.go.th/secofdopa/ หรือ โทร.0 2222 8887 หรือ 0 222 62810