“วีซ่า” เผย นักท่องเที่ยวไทยไปต่างประเทศ “ชอบเดินทางเดี่ยว”

alivesonline.com : จากผลสำรวจเกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวระดับโลกของวีซ่า (Visa Global Travel Intentions Study) โดยผลสำรวจฉบับนี้ศึกษาเกี่ยวกับเทรนด์และพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักเดินทางจำนวน 17,500 ราย จาก 27 ประเทศทั่วโลก พบว่า ในช่วงสองปีที่ผ่านมา คนไทยมากกว่าหนึ่งในสี่(28%) เลือกเดินทางท่องเที่ยว “คนเดียว” ไปยังต่างประเทศ มากกว่าค่าเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (23 %) และนักท่องเที่ยวทั่วโลก (24%)

เมื่อเจาะลึกลงไปยังพบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เลือกเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวนั้น 45% อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 18–24 ปี และ 37% เป็นนักเดินทางที่ท่องเที่ยวละทำงานไปพร้อม ๆ กัน ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวในช่วงอายุ 25–35 ปี และกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังทรัพย์สูง (28 %)

ในทางกลับกันนั้นมากถึง 71% จากกลุ่มนักท่องเที่ยวในช่วงอายุ 36–44 ปี เลือกที่จะเดินทางไปเป็นหมู่คณะมากกว่า

‘สุริพงษ์ ตันติยานนท์’ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องตื่นเต้นที่พบว่าเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดนักท่องเที่ยวชาวไทยแบบเดี่ยวไปยังต่างประเทศมากยิ่งขึ้น การพัฒนาของเทคโนโลยีช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนท่องเที่ยวและจองที่พักได้ด้วยตนเองมากขึ้น นอกจากนั้นเทคโนโลยีในการชำระเงินและนวัตกรรมต่าง ๆ ยังเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวก ความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจในการใช้จ่ายระหว่างท่องเที่ยวในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

เมื่อกล่าวถึงการท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะ หรือกลุ่มที่ใหญ่ขึ้น โดยปกติแล้วขนาดของหมู่คณะจะอยู่ที่ 5 คนโดยเฉลี่ย และในกลุ่มมักจะประกอบไปด้วย คนรัก/คู่สมรส (49%) เพื่อน/เพื่อนร่วมงาน (42%) ในขณะที่ผู้สูงวัยกว่า 72%ยังชอบที่จะเดินทางกับครอบครัว หรือเพื่อนฝูง

หากพูดถึงกิจกรรมยอดนิยมระหว่างการท่องเที่ยวนั้น นักท่องเที่ยวชาวไทยจะแตกต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วในเอเชียแปซิฟิก สามกิจกรรมยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยคือ เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดมาเป็นอันดับหนึ่ง (71%) ตามด้วยลิ้มรสอาหารท้องถิ่น (69%) และการชอปปปิ้ง (68%) ในขณะที่นักท่องเที่ยวจากเอเชียแปซิฟิกนั้นเลือกที่จะลิ้มรสอาหารท้องถิ่นมาเป็นอันดันแรก (73%) ตามด้วยการชอปปิ้ง (69%) และเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาด (64%)

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมไปกันคือ สถานที่ทางวัฒนธรรม (52 %) ไปเที่ยวสวนสนุก (34 %) และศาสนสถาน (29%)

หากกล่าวถึงเรื่องอาหารแล้ว นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมที่จะทานอาหารในร้านอาหารท้องถิ่น หรือร้านอาหารขนาดเล็ก (39%) มากกว่าร้านสตรีทฟู๊ด (30%)

สำหรับการชอปปิ้งนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งในกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อเดินทางไปยังต่างประเทศ โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยเน้นการชอปปิ้งในสถานที่ที่มีสินค้าและร้านค้าที่หลากหลายเป็นหลัก อาทิ ร้านปลอดภาษีในสนามบิน (34%) ตามมาด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ (33%) และร้านค้าขนาดเล็ก (30%)

‘สุริพงษ์’ กล่าวในตอนท้ายว่า “เรารู้สึกยินดีที่ได้แบ่งปันผลวิจัยและเทรนด์การท่องเที่ยวของนักเดินทางชาวไทย เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในการนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน”

เปิดตัวโครงการ “ดูเร็กซ์ เรด” รวมพลังกระตุ้นให้โลกสนใจ “โรคเอดส์”

alivesonline.com : “ดูเร็กซ์” (Durex) เปิดประเด็น กระตุ้นความสนใจเรื่องเชื้อเอชไอวีและสุขภาพทางเพศ เนื่องในโอกาสวันเอดส์โลก 1 ธันวาคมของทุกปี พร้อมดึงพันธมิตรอย่าง “เรด” (RED) ร่วมสนับสนุนพันธกิจที่จะขจัดโรคเอดส์ให้หมดสิ้น

สำหรับผู้บริโภคชาวไทยสามารถร่วมสนับสนุนโครงการรณรงค์จาก ‘ดูเร็กซ์ เรด’ (DUREXTM)RED ด้วยการซื้อชุดผลิตภัณฑ์ “ดูเร็กซ์ เรด บ๊อกซ์” รุ่นลิมิเต็ด สมทบทุนสำหรับโครงการ “คีพพิ่ง เกิร์ลส์ อิน สคูล” (Keeping Girls in School) ในประเทศแอฟริกาใต้ที่มีประชากรติดเชื้อเอดส์กว่า 7.2 ล้านคน โดยโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดการติดเชื้อเอชไอวีและการตั้งครรภ์ในหมู่หญิงสาว ด้วยการสนับสนุนให้ผู้หญิงให้ความสำคัญกับการศึกษาต่อ พร้อมปรับปรุงการเข้าถึงบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศและเพศสัมพันธ์

ทั้งนี้ ชุดผลิตภัณฑ์ “ดูเร็กซ์ เรด บ๊อกซ์ รุ่นลิมิเต็ด” จะเปิดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นที่เว็บไซต์ Lazada, Shopee และ JD CENTRAL

“ดูเร็กซ์” แบรนด์สำคัญภายใต้บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (Reckitt Benckiser) ผู้นำด้านสุขภาพและสุขอนามัย ตั้งเป้ามอบเงินบริจาคแก่องค์กร “เดอะ โกลบอล ฟันด์” (The Global Fund) กว่า 164 ล้านบาท (5 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 3 ปี พร้อมสมทบทุนบริจาคจากมูลนิธิ “บิลและเมลินดาเกทส์” (Bill & Melinda Gates Foundation) อีก 164 ล้านบาท (5 ล้านเหรียญสหรัฐ) รวมเป็นเงินบริจาคอย่างน้อยกว่า 328 ล้านบาท (10 ล้านเหรียญสหรัฐ)

นายเบน วิลสัน ผู้อำนวยการฝ่าย Global Category “ดูเร็กซ์” กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้คนกว่า 37 ล้านคนทั่วโลกใช้ชีวิตในฐานะผู้ติดเชื้อเอชไอวี ความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ของ “ดูเร็กซ์” กับ “เรด” ในครั้งนี้จึงเป็นการมอบโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อหยุดยั้งโรคเอดส์ จึงหวังว่าความร่วมมือครั้งสำคัญนี้จะปกป้องและสร้างความแตกต่างให้เกิดแก่หญิงสาวจำนวนมากที่ติดเชื้อเอชไอวีในแอฟริกาใต้

สำหรับ “ดูเร็กซ์” เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ระดับโลกที่ร่วมมือกับแบรนด์ “เรด” ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์รุ่นพิเศษหรือ “ดูเร็กซ์ เรด บ็อกซ์” โดย “เรด” เป็นแบรนด์ใหญ่ซึ่งก่อตั้งโดย “โบโนและบอบบี้ ชรีเวอร์” ในปี 2549 โดยปัจจุบัน “เรด” ระดมทุนกว่า 16,422 ล้านบาท (500 ล้านเหรียญสหรัฐ) ให้องค์กร “เดอะ โกลบอล ฟันด์” ที่ตั้งขึ้นเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ โดยยอดเงินทั้งหมดนั้นนำไปมอบให้โครงการต่าง ๆ โดยตรง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเงินบริจาคนี้ได้นำไปช่วยเหลือคนที่จำเป็นจริง ๆ

เงินสนับสนุนจากองค์กร “เดอะ โกลบอล ฟันด์” ที่ “เรด” ให้การสนับสนุนนั้นได้ช่วยเหลือผู้คนแล้วกว่า 110 ล้านคนทั่วโลก ด้วยวิธีต่าง ๆ ทั้งด้านการป้องกัน รักษา ให้คำปรึกษา ทดสอบเชื้อเอชไอวี และบริการอื่น ๆ

นายเดบอรา ดูแกน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เรด” กล่าวถึงความร่วมมือกับดูเร็กซ์ครั้งนี้ว่า “เรด” มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง “ดูเร็กซ์” ผ่านวิธีการที่กระตุ้นจิตสำนึกและสร้างแรงบันดาลใจให้กับสังคม นอกจากเงินจำนวนหลายล้านเหรียญสหรัฐที่เราบริจาคให้องค์กร “เดอะ โกลบอล ฟันด์” แล้วนั้น ผลิตภัณฑ์จากความร่วมมือ “เรด” ยังสามารถช่วยชีวิตคนได้อย่างชาญฉลาด

สถิติเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคเอดส์ (ข้อมูลล่าสุดปี 2560) :

– ประชากรกว่า 36.9 ล้านคนใช้ชีวิตในฐานะผู้ติดเชื้อเอชไอวี: (ผู้ใหญ่ 35.1 ล้านคน / เด็ก อายุต่ำกว่า 15 ปี 1.8 ล้านคน )

– มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคจำนวนกว่า 2.8 แสนคน จากเดิมที่มีผู้ติดเชื้ออยู่แล้วประมาณ 5.2 ล้านคน

– 36.9 ล้านคนทั่วโลก ใช้ชีวิตในฐานะผู้ติดเชื้อเอชไอวี

– 21.7 ล้านคน ได้รับการรักษาด้วยยาต้านรีโทรไวรัส

– 1.8 ล้านคน ได้รับเชื้อเอชไอวี

– 9.4 แสนคน เสียชีวิตด้วยการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์

– 77.3 ล้านคน ได้รับเชื้อเอชไอวีตั้งแต่การระบาด

– 35.4 ล้านคน เสียชีวิตจากการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ตั้งแต่การระบาด

การเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์

  • การเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ลดลงกว่า 51% ตั้งแต่ยอดการเสียชีวิตสูงสุดในปี 2547
  • ในปี 2560 มีผู้คนกว่า 9.4 แสนคนทั่วโลก เสียชีวิตจากการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ เมื่อเทียบกับ 1.9 ล้านคนในปี 2547 และ 1.4 ล้านคนในปี 2553

ผู้หญิง

  • ทุก ๆ สัปดาห์มีหญิงสาวอายุระหว่าง 15-24 ปี มากกว่า 7 พันคนได้รับเชื้อเอชไอวี
  • ในกลุ่มประเทศแอฟริกาทางใต้ของซาฮารา สามในสี่ของการติดเชื้อเกิดขึ้นในเด็กหญิงอายุระหว่าง 15-19 ปี และหญิงสาวอายุระหว่าง 15-24 ปีมีโอกาสที่จะใช้ชีวิตในฐานะผู้ติดเชื้อเอชไอวีกว่าผู้ชายถึง 1 เท่าตัว
  • กว่าหนึ่งในสาม (35%) ของผู้หญิงทั่วโลก เผชิญปัญหาความรุนแรงทางร่างกาย และ/หรือทางเพศในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิต
  • ในบางภูมิภาค ผู้หญิงที่เผชิญปัญหาความรุนแรงนั้นมีโอกาสที่จะติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าถึง 1.5 เท่า

 

รพ.กรุงเทพ แนะเสริมสร้างพัฒนาการและดูแลฟัน “เด็ก” วัย 1-4 ปี

alivesonline.com : เด็ก…ต้องการการดูแลที่ใกล้ชิด เพื่อความสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกาย อารมณ์ จิตใจ พัฒนาการ และพฤติกรรม ผู้ปกครองและคนใกล้ชิดควรใส่ใจดูแลสุขภาพเด็กตั้งแต่วันนี้ เพื่อเตรียมพร้อมให้เด็กในวันนี้เป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องของ “สุขภาพฟัน” ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญและไม่ควรละเลย

นพ.พรเทพ สวนดอก (ซ้าย) กุมารแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ และ ทพญ.ดาราวรรณ หอมรสสุคนธ์ (ขวา) ทันตแพทย์เด็ก โรงพยาบาลกรุงเทพ

นพ.พรเทพ สวนดอก กุมารแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า เด็กมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละระยะเป็นลักษณะเฉพาะ พัฒนาการ 4 ด้านของเด็ก ได้แก่ การศึกษาปฐมวัย เป็นการศึกษาเด็กอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีและเรียนรู้เกี่ยวกับพัฒนาการเด็กความต้องการของเด็ก สอนให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์ฝึกพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน เช่น พัฒนาการทางร่างกาย พัฒนาการทางด้านสังคม พัฒนาการทางด้านอารมณ์ และพัฒนาการทางด้านจิตใจ

เด็กจะเจริญเติบโตตั้งแต่อยู่ในครรภ์กระทั่งหลังคลอด โดยร่างกายและสมองจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 0-6 ปีแรกของชีวิต ขบวนการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือ การเจริญเติบโตและพัฒนาการ หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านวุฒิภาวะ (Maturity) ของอวัยวะระบบต่าง ๆ และตัวบุคคล ทำให้เพิ่มความสามารถของบุคคลในการทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำสิ่งที่ยากและซับซ้อนยิ่งขึ้นได้ ตลอดจนการเพิ่มทักษะและความสามารถในการปรับตัวในภาวะใหม่ของบุคคล

สำหรับพัฒนาการของเด็กแบ่งออกเป็น 4 ด้านคือ

1.พัฒนาการด้านร่างกาย การบังคับกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น ชอบปีนป่ายเตะบอล สามารถขี่รถจักรยานสามล้อได้

2.พัฒนาการด้านสติปัญญา เด็กสามารถที่จะใช้สัญลักษณ์แทนวัตถุและสถานที่ได้ มีทักษะการใช้ภาษาอธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้ สามารถที่จะอธิบายประสบการณ์ของตนได้ โดยเด็กในวัยนี้สามารถที่จะวาดภาพพจน์ในใจได้ รวมถึงการใช้ความคิด หรือสร้างจินตนาการและการประดิษฐ์ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของเด็กในวัยนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณครูส่งเสริมให้เด็กใช้การคิดประดิษฐ์ในการเล่าเรื่องหรือการวาดภาพก็จะช่วยพัฒนาการด้านนี้ของเด็กได้มากยิ่งขึ้น

3.พัฒนาการด้านอารมณ์ เด็กในวัยนี้เริ่มมีลักษณะอารมณ์แบบผู้ใหญ่คือ โกรธ อิจฉา กังวล ก้าวร้าว พอใจ เป็นต้น

4.พัฒนาการด้านสังคม เด็กจะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ดีขึ้น อาบน้ำ แต่งตัว ใส่รองเท้าเอง บอกเวลาขับถ่าย เข้าห้องน้ำเองและทำความสะอาดหลังขับถ่ายเองได้ ทั้งนี้ เด็กต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตัว เพื่อให้สังคมยอมรับและทำตัวให้เข้ากลุ่มได้

ส่วนพัฒนาการของเด็กวัย 1-4 ปี ได้แก่

วัย 1 ปี เริ่มพูดเป็นคำที่มีความหมาย เช่น พ่อ แม่ เลียนเสียง ท่าทางและเสียงพูดได้

วัย 1 ปี 3 เดือน ชี้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตามคำบอก ดื่มน้ำจากถ้วย

วัย 1 ปี 6 เดือน เริ่มเดินได้คล่อง รู้จักขอ และทำตามคำสั่งง่าย ๆ ได้

วัย 1 ปี 8 เดือน พูดแสดงความต้องการ พูด 2-3 คำติดต่อกัน เริ่มพูดโต้ตอบ

วัย 2 ปี สามารถเรียกชื่อสิ่งต่าง ๆ และคนที่คุ้นเคย ตักอาหารกินเอง

วัย 2 ปี 6 เดือน ซักถาม พูดคำคล้องจอง เลียนแบบท่าทาง หัดแปรงฟัน

วัย 3 ปี บอกชื่อและเพศตนเองได้ รู้จักให้และรับ รู้จักรอ

วัย 4 ปี เริ่มซักถามคำว่า “ทำไม” สามารถล้างหน้า แปรงฟันได้เอง บอกขนาด ใหญ่ เล็ก ยาว-สั้น และเล่นรวมกับคนอื่นโดยรอตามลำดับก่อนหลังได้

สิ่งที่ควบคู่ไปพร้อม ๆ กับพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตคือ “สุขภาพของเด็ก” โดยเฉพาะย่างยิ่ง “สุขภาพฟัน” เพราะ “โรคฟันผุในเด็กเล็ก” มักเกิดขึ้นได้เพราะเด็กกับขนมหวานเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก จนส่งผลให้โรคฟันผุถือเป็นโรคติดเชื้อที่พบมากในประชากรเด็กไทย !

 

ทพญ.ดาราวรรณ หอมรสสุคนธ์ ทันตแพทย์เด็ก โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า หน้าที่ของ “ฟันน้ำนม” ใช้เพื่อบดเคี้ยวอาหาร ให้ความสวยงามและความมั่นใจให้แก่เด็ก สร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็น ช่วยในการออกเสียงที่ไพเราะ และที่สำคัญคือ ช่วยเก็บที่ให้ “ฟันแท้” ที่จะขึ้นมาในวันข้างหน้า ในช่วงวัยเด็กเล็กที่มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย พร้อม ๆ กับการเจริญเติบโตของฟันและขากรรไกร ควรมีการกระตุ้นพัฒนาการของลูกน้อยไปด้วยกัน ควรแยกเวลาดื่มนมและเวลานอนออกจากกัน ซึ่งเด็กมีโอกาสฟันผุมากขึ้นหากปล่อยให้เด็กดูดนมหลับคาอก หรือหลับคาขวด หรือตื่นขึ้นมาดื่มนมในเวลากลางคืน ไม่แนะนำให้ใช้เครื่องดื่มรสหวานใส่ขวดนม หรือใช้นมปรุงแต่งรส น้ำหวาน น้ำผลไม้ เพราะจะทำให้ฟันผุลุกลามอย่างรวดเร็ว

จากผลสำรวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติในปี 2560 พบว่า กว่า 50% ของเด็กไทยมีฟันผุก่อนเข้าชั้นอนุบาล ทั้งนี้ โรคฟันผุมีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของลูกน้อย โดยฟันน้ำนมซี่แรกจะขึ้นเมื่อเด็กอายุประมาณ 6-7เดือน เด็กแต่ละคนมีฟันซี่แรกอาจขึ้นเร็ว หรือช้าต่างกัน บางคนมีฟันซี่แรกอาจจะขึ้นตั้งแต่ 3 เดือน หรือบางคนฟันซี่แรกอาจขึ้นหลังจากอายุครบ 1 ขวบปีไปแล้ว แต่ไม่พบบ่อยนัก

การขึ้นของฟันน้ำนมมักจะเริ่มจากฟันหน้าล่างแล้วขึ้นไปที่ฟันหน้าบน ทยอยขึ้นจนมีฟันน้ำนมครบ 20 ซี่เมื่ออายุประมาณ 2 ขวบครึ่งถึง 3 ขวบ ในช่วง1-4 ปีจึงเป็นช่วงสำคัญในการวางรากฐานสุขภาพช่องปากที่ดีสำหรับลูกน้อย เริ่มต้นการรักษาสุขภาพช่องปากตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้นโดยแนะนำให้มีการทำความสะอาดฟันและช่องปากร่วมกับการพบทันตแพทย์สำหรับเด็กตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้น หรือไม่เกิน 6 เดือนหลังฟันซี่แรกขึ้น

“โรคฟันผุ” เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้ง่ายที่สุด มักเกิดจากเชื้อโรคกลุ่ม Strep Mutans ซึ่งมีการใช้น้ำตาลแล้วผลิตเป็นกรด ทำให้เกิดมีการสูญเสียแร่ธาตุของโครงสร้างฟัน เชื้อโรคกลุ่มใหญ่นี้พบได้ทั้งในช่องปากตั้งแต่ฟันยังไม่ขึ้นและส่งต่อได้จากแม่ แต่โรคฟันผุก็สามารถป้องกันได้หากผู้ปกครองได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากทันตแพทย์ โดยแนะนำให้พบทันตแพทย์ครั้งแรกเมื่อเด็กมีอายุครบ 1 ขวบ โดยทันตแพทย์จะทำการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุของเด็ก รวมถึงพิจารณาการใช้ฟลูออไรด์ที่เหมาะสมในการให้ฟลูออไรด์เสริมตามความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ

ทันตแพทย์ยังจะสอนวิธีทำความสะอาดช่องปากและฟัน เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถได้ฝึกปฏิบัติจริงในเด็ก แนะนำการใช้เลือกใช้แปรงสีฟันและยาสีฟันที่เหมาะสม โดยในเด็กเล็กแนะนำให้ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ในปริมาณน้อยไม่เกินหนึ่งเม็ดข้าวสารแล้วใช้ผ้าสะอาดช่วยเช็คฟองออกเพื่อป้องกันการกลืนยาสีฟันในเด็ก การรับประทานอาหารระหว่างมื้อ ไม่ควรเกิน 2 ครั้งต่อวัน หลีกเลี่ยงการให้ขนมกรุบกรอบ ขนมถุง ลูกอม เยลลี่ น้ำหวาน น้ำอัดลม ฝึกรับประทานอาหารให้เป็นเวลา ในช่วงนี้ต้องประเมินว่า เด็กมีนิสัย ติดจุกนมปลอม ดูดนิ้ว เม้ม หรือกัดริมฝีปาก-กัดเล็บหรือไม่ ถ้ามีควรเข้ารับการปรึกษาจากทันตแพทย์เพื่อแนะนำการปรับเปลี่ยนนิสัยดังกล่าว

การตรวจฟันครั้งแรกก็เหมือนกับการพาลูกไปฉีดวัคซีนและดูพัฒนาการด้านการเจริญเติบโตของลูกน้อยกับกุมารแพทย์ โดยทันตแพทย์จะให้คำปรึกษาแนะนำผู้ปกครอง ผู้ดูแลเด็ก ในการดูแลสุขภาพช่องปากเป็นรายบุคคล เพื่อให้ลูกน้อยมี “สุขภาพฟัน” ที่แข็งแรงและให้มี “ฟันสวย” ยิ้มใสตลอดอายุการใช้งานของฟัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ทันตกรรมเด็ก Call Center โทร.1719

เสริมพลังคนพิการด้วย “นวัตกรรมเพื่อคนทั้งมวล”

พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีเปิด “งานวันคนพิการสากล ประจำปี 2561” ภายใต้แนวคิด “การเสริมพลังคนพิการ และการประกันการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเสมอภาค ทั่วถึง และเป็นธรรม” (Empowering Persons with Disabilities and Ensuring Inclusiveness and Equality) พร้อมทั้งมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่คนพิการต้นแบบ 11 รางวัล รางวัลองค์กรที่สนับสนุนงานด้านคนพิการดีเยี่ยม 3 รางวัล องค์กรที่สนับสนุนงานด้านคนพิการดีเด่น 64 รางวัล หน่วยงานดีเด่นด้านการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ จำนวน 8 รางวัล และมาตรฐานองค์กรอื่นใดที่ให้บริการแก่คนพิการระดับดีมาก 32 รางวัล โดยมีผู้เข้าร่วมงานจำนวนทั้งสิ้น 3 พันคน ประกอบด้วย ผู้แทนจากสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ภาคีเครือข่ายคนพิการ องค์กรคนพิการทั้ง 7 ประเภท คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน องค์กรคนพิการระหว่างประเทศ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 2 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

 

งาน “Photo Fair 2018” : กิจกรรมเพื่อคนรักการถ่ายภาพเต็มรูปแบบ

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ โปรดให้ คุณหญิงเพ็ญศรี ไชยยงค์ เป็นผู้แทนพระองค์เปิดงาน “Photo Fair 2018” และเปิดนิทรรศการศิลปินนักถ่ายภาพไทยปี 2561 งานยิ่งใหญ่ของวงการถ่ายภาพไทย พร้อมกิจกรรมเพื่อคนรักการถ่ายภาพเต็มรูปแบบ รวมถึงการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศกว่า 150 บริษัทที่มาร่วมงาน บนพื้นที่กว่า 1.5 หมื่นตารางเมตร ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

 

DKSH จัดมหกรรมลดราคาสินค้าครั้งยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี

บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำการให้บริการด้านการขยายตลาดที่เน้นภูมิภาคเอเชีย ได้จัดงาน “ดีเคเอสเอช แฟร์ ครั้งที่ 11” พร้อมมอบส่วนลดสูงสุดถึง 80% จากแบรนด์ดังกว่า 100 แบรนด์ เพื่อเป็นการขอบคุณและสมนาคุณลูกค้าที่สนับสนุนมาอย่างยาวนาน ณ สำนักงานของดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

 

“เคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์” ชมเชยพนักงานในเครือ

นางสาวธีรยา สมิตินนท์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้จัดการทั่วไป “เคป เฮ้าส์ กรุงเทพฯ” ในเครือเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ มอบกระเช้าแสดงความชมเชยแด่ นายอรรถชัย ชมพู (กลาง) Fitness Staff ของ “เคป เฮ้าส์ กรุงเทพฯ” ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR) ให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติรายหนึ่งและส่งมอบให้กับรถฉุกเฉินเพื่อดูแลต่อไปจนได้รับความปลอดภัย โดยได้รับคำชมเชยจากโครงการฝึกอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน โดย มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

 

BEAUTY รับรางวัล Forbes Asia’s 200 Best Under a Billion

ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ (กลาง) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY รับมอบรางวัล Forbes Asia’s 200 Best Under a Billion สุดยอดบริษัท 200 แห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มียอดขายต่ำกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยผลประกอบการที่เติบโตทั้งด้านยอดขาย กำไร และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น จัดโดยนิตยสาร Forbes Asia ในงาน Forbes Asia “Best Under A Billion” Forum and Awards ณ The Palace Hotel Tokyo ประทศญี่ปุ่น เมื่อเร็ว ๆ นี้

 

WICE โชว์แผนธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโต

นายชูเดช คงสุนทร (ขวา) กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE รับมอบของที่ระลึกจากนายชัยยศ จิวางกูร (ซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ในโอกาสนำเสนอข้อมูลแผนการดำเนินงาน แนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจ โดยได้รับเกียรติจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์และเจ้าหน้าที่การตลาดเข้าร่วมรับฟังข้อมูลเป็นจำนวนมาก ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 3 สำนักงานใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด (มหาชน) อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ ชิดลม เมื่อเร็ว ๆ นี้

 

มอบทุนพัฒนาวิชาชีพด้านเภสัชศาสตร์ปี 2561

นายธีระพงศ์ ปังศรีวงศ์ (กลาง) ประธานกรรมการมูลนิธิอาจารย์เกษม ปังศรีวงศ์ จัดงานมอบทุนสนับสนุนโครงการด้านเภสัชศาสตร์ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2561 จำนวน 19 โครงการ รวมเป็นเงิน 1,897,600 บาท  เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพวิชาชีพเภสัชศาสตร์ทุกสาขาให้มีความเจริญก้าวหน้า ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยมี ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร. ภก. จอมจิน จันทรสกุล (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการบริหารมูลนิธิฯ และผู้รับมอบทุนฯ เข้าร่วมงาน ณ อาคาร B.L.H. ถนนวิทยุ ปทุมวัน กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้