สิงคโปร์ เปิดแผนการท่องเที่ยวแห่งอนาคต “SingapoReimagine”

alivesonline.com : การท่องเที่ยวสิงคโปร์ (Singapore Tourism Board) ประกาศเปิดตัวโครงการใหม่เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โครงการที่มีเป้าหมายเพื่อทำให้การท่องเที่ยวในสิงคโปร์มีความหมายมากกว่าที่เคย พร้อมเปิดตัวพื้นที่สำหรับสร้างบทสนทนา แชร์เรื่องราวและไอเดียจากหลากหลายที่มา เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวบทใหม่ของสิงคโปร์ไปพร้อมกัน

SingapoReimagine แพลตฟอร์มที่เริ่มต้นด้วยงาน Reimagine Travel – Global Conversations” พื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนจากทั่วโลกได้เข้ามาสร้างบทสนทนาร่วมกัน เพื่อวิเคราะห์และเปลี่ยนแปลงการท่องเที่ยวในระดับโลก โดยในช่วงแรก การท่องเที่ยวสิงคโปร์รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพคนสำคัญที่เข้ามาแชร์วิธีการที่รัฐบาลและเอกชนในสิงคโปร์นั้นร่วมมือกันเพื่อสร้างความเป็นไปได้ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนนั้นประสบความสำเร็จได้ นอกจากนี้ ในส่วนของฟอรั่มอื่น ๆ ยังมีบทสนทนาและแนวคิดใหม่จากพันธมิตรทั่วโลกที่ได้รับเชิญเข้ามาแบ่งปันความรู้และแลกเปลี่ยนความคิด โดยสิงคโปร์รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในปีนี้เป็นปีแรก ก่อนที่จะหมุนเวียนไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในปีต่อไป

การท่องเที่ยวสิงคโปร์เปิดตัว Reimagine Travel in Singapore อันเป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้นจากกลุ่มสมาชิกที่มาจากคอมมูนิตี้ในประเทศและพันธมิตรด้านการท่องเที่ยวที่มาร่วมกันออกแบบไอเดียและฟื้นคืนการท่องเที่ยวให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ SingapoRediscovers ที่มีขึ้นเพื่อสนับสนุนให้คนและหน่วยงานในประเทศได้ร่วมกันค้นพบและเชื่อมโยงกับพื้นที่ท่องเที่ยวแบบอันซีน และประสบการณ์การท่องเที่ยวในสิงคโปร์ โดยทั้งสองโครงการข้างต้น จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2564และจะมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในเวลาต่อมา

นายคีธ ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการท่องเที่ยวสิงคโปร์ (STB) กล่าวว่า COVID-19 เป็นวิกฤติครั้งใหญ่ที่ทุกคนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องเผชิญ แต่ท่ามกลางวิกฤติก็ยังมีโอกาสอันดีที่ให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันเริ่มต้นกดปุ่มรีเซ็ตใหม่ และช่วยกันฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อนว่าจะเป็นไปได้ การเดินทางเพื่อร่วมกันสร้างการท่องเที่ยวแบบใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และพวกเราต้องการที่จะเดินทางครั้งนี้ร่วมไปกับคนสำคัญ นั่นคือคอมมูนิตี้ทุกแห่งในประเทศ รวมถึงพันธมิตรทั้งในสิงคโปร์ และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เราพร้อมที่จะเดินหน้าไปสู่การแชร์ไอเดียสร้างสรรค์และกลยุทธ์ใหม่ร่วมกับทุกคน เพื่อทำให้การท่องเที่ยวนั้นดีขึ้นกว่าที่เคย”

เสริมสร้างความมั่นใจให้กับการท่องเที่ยว

แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลารอคอยให้การเดินทางระหว่างประเทศกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง สำหรับสิงคโปร์เอง มีผลการศึกษาเรื่อง Brand Health Study ในเดือนสิงหาคม 2563 ที่สำรวจตลาด 14 ประเทศทั่วโลกโดยบริษัทวิจัยตลาด Ipsos เปิดเผยข้อมูลว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางทั้งเพื่อพักผ่อนและท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจ (BTMICE – Business Travel and Meetings, Incentive Travel, Conventions and Exhibitions) ยังมีภาพว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่ปลอดภัยในการเดินทาง แม้ว่าจะยังอยู่ในสถานการณ์ COVID-19 ก็ตาม

จากการศึกษายังพบว่า ความมั่นใจจากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 76% สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน และเพิ่มขึ้น 90% สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจ บ่งชี้ว่าพวกเขาพร้อมที่จะออกเดินทางอีกครั้งใน 12 เดือนข้างหน้าถ้าหากเป็นไปได้

สิงคโปร์ในมุมมองใหม่

SingapoReimagine คือการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการท่องเที่ยว ในช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา อุตสาหกรรมและภาคธุรกิจด้านการท่องเที่ยวได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นฟู และความชาญฉลาดในการแก้ปัญหา เพื่อรับมือกับความต้องการของนักท่องเที่ยว และเสริมสร้างความมั่นใจในทุกมิติของประสบการณ์การท่องเที่ยวว่าทั้งปลอดภัยและให้ความสุขได้ตลอดทริป

Reimagine Safety – การท่องเที่ยวสิงคโปร์ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับพันธมิตรในอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับการประเมินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่เป็นไปตามมาตรฐานใหม่ของประเทศ ตัวอย่างนโยบายด้านความสะอาดอย่างเช่น SG Clean Quality เครื่องหมายคุณภาพที่กำหนดให้สถานประกอบการด้านการท่องเที่ยวต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ด้านสุขอนามันและความสะอาด Safe Management Measures (SMMs)

Reimagine Technology – การขับเคลื่อนเป็นไปได้เพราะมีเทคโนโลยีเป็นหัวใจสำคัญ ตั้งแต่การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการสัมผัส และการใช้หุ่นยนต์ทำความสะอาด การมีแอปพลิเคชัน TraceTogether และโทเคน ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือดิจิทัลในการติดตามนักท่องเที่ยวที่แรกในโลก สิงคโปร์มีเป้าหมายสำคัญคือการทำให้การท่องเที่ยวนั้นปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความเป็นไปได้ใหม่สำหรับการท่องเที่ยว ทั้งการมอบประสบการณ์เสมือนจริง เวทีการประชุมและพื้นที่จัดกิจกรรมแบบผสมผสาน จนถึงหุ่นยนต์บาริสต้า ที่พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้มาเยือนโดยไม่ละเลยเรื่องความปลอดภัย

Reimagine City & Nature – เมื่อมองไปถึงโอกาสในอนาคต สิงคโปร์มีเป้าหมายที่จะเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่เน้นเรื่องความยั่งยืนในระดับโลก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมประเทศถึงลงทุนไปกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่คำนึงถึงความต้องการของชุมชนและสิ่งแวดล้อม และตอนนี้สิงคโปร์กำลังเดินทางไปสู่การบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้เป็นเมืองท่ามกลางธรรมชาติ (City In Nature) อาทิ โครงการ Jewel ในสนามบินชางงี หรือ “การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์” รวมถึงการพัฒนาทะเลสาบจูร่งภายใต้โครงการ Jurong Lake District Tourism Development ให้เป็นพื้นที่ไลฟ์สไตล์ระดับโลกที่ผสมผสานองค์ประกอบทั้งเรื่องของความยั่งยืน นวัตกรรม ธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน หรือโครงการ Mandai Precinct ศูนย์กลางทางธรรมชาติที่พัฒนาภายใต้แนวคิดสร้างพื้นที่ที่เป็นมิตรต่อชีวิตสัตว์ป่า รวมถึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังมีสถานที่อื่น ๆ อีกมากมาย

เรื่องราวเกี่ยวกับ SingapoReimagine

เรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในมุมมองใหม่จะได้รับการบอกเล่าผ่าน SingapoReimagine ในนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานกับสื่อมวลชน อินฟลูเอนเซอร์ และพันธมิตรการท่องเที่ยวในแต่ละประเทศ เพื่อผลักดันให้เกิดความต้องการที่จะกลับมาเที่ยวสิงคโปร์อีกในภายหน้า

การท่องเที่ยวสิงคโปร์ยังพัฒนา SingapoReimagine ให้เป็นแพลตฟอร์มที่รองรับกลุ่มตลาดการท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจ หรือกลุ่ม MICE ให้ประเทศได้ก้าวขึ้นมาเป็นจุดหมายปลายทางที่ทั้งปลอดภัย เต็มไปด้วยนวัตกรรมและน่าเชื่อถือ ผลักดันให้สิงคโปร์เป็นปลายทางสำหรับการจัดประชุมบริษัทข้ามชาติ ผ่านความร่วมมือกับสื่อ สื่อดิจิทัล และช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่นเดียวกับพัฒนาในส่วนภาคธุรกิจไปพร้อมกัน

“โตชิบา” เสริมแกร่งโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและอุตสาหกรรม

alivesonline.com : โตชิบา” ยกทัพโซลูชันป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ร่วมงาน “CEBIT ASEAN Thailand 2020” โชว์เทคโนโลยีสุดล้ำลดความเสี่ยงทางไซเบอร์เสริมความแข็งแกร่งแก่ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและอุตสาหกรรม ตั้งเป้าขยายธุรกิจด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เจาะตลาดประเทศไทย

ปัจจุบันทั่วโลกเกิดเหตุการณ์การโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการแพร่หลายในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ทางกายภาพเข้าสู่ระบบเครือข่าย ส่งผลให้ระบบควบคุมงานอุตสาหกรรม (Industrial Control Systems : ICS) รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งแต่เดิมทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมระบบปิดที่มีความปลอดภัย ตกอยู่ในสภาวะเปราะบางและกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์มากยิ่งขึ้น นำมาซึ่งความเสียหายทางการเงิน อุปกรณ์เครื่องจักรเองก็ไม่เพียงถูกทำลาย แต่ยังก่อให้เกิดความเสียหายด้านอื่น ๆ ที่ไม่สามารถประเมินค่าอีกด้วย อาทิ ความเสียหายด้านทรัพย์สินทางปัญญา ความเชื่อมั่นทางธุรกิจ และชื่อเสียงขององค์กร

จากรายงานของ Statista บริษัทชั้นนำด้านข้อมูลการตลาดและผู้บริโภค ระบุว่า ประเทศไทยมีการลงทุนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์โดยรวมเพิ่มขึ้นทุกปีมาตั้งแต่ปี 2558 โดยคาดว่างบประมาณในส่วนนี้จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นสัดส่วนราว 0.07% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ภายในปี 2568 ด้วยเหตุที่ตลาดมีความต้องการมากขึ้น อีกทั้งภาครัฐยังออกกฎข้อบังคับเข้มงวดขึ้นเพื่อยกระดับการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ตลาดโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในประเทศไทยจึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

“โตชิบา” ได้พัฒนาโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ด้วยการบูรณาการจุดแข็งเรื่ององค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการผลิตที่สั่งสมมากว่า 140 ปี ผสานเข้ากับความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใช้แนวทางพัฒนาแบบ Intelligence Centric ทำให้โซลูชันหลัก ๆ ของ “โตชิบา” ไม่เพียงช่วยป้องกันเหตุโจมตีทางไซเบอร์เท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างให้ระบบมีความทนทาน หรือยืดหยุ่นต่อการถูกโจมตี (Cyber Resilience) ทำให้ระบบยังสามารถกลับมาทำงานได้อย่างสมบูรณ์เหมือนเดิมอีกด้วย

ทั้งนี้ จากการนำโซลูชันดังกล่าวไปใช้ในโรงงานไฟฟ้าแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลข้อมูล (Visualization) และการตรวจจับ (Detection) เหตุโจมตีแบบเรียลไทม์ ณ จุดเข้าระบบ (Entry Point) และพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วระบบได้ โดยจะทำการวิเคราะห์ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นและคอยติดตามตรวจสอบสถานการณ์อย่างเข้มงวด ช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบในภาพรวมสูงขึ้น และมีค่าใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อซัปพลายเออร์และผู้ใช้ปลายทางมากที่สุด

ล่าสุด “โตชิบา” ได้นำโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์รุ่นเด่น มาร่วมจัดแสดงในงาน “CEBIT ASEAN Thailand 2020” งานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านไอที ธุรกิจสตาร์ตอัป เอสเอ็มอี และบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ โซลูชันด้านความปลอดภัยสำหรับระบบควบคุม CYTHEMIS™, CyberX, WaterFall และ Meister Series ซึ่งรองรับการทำงานแบบเรียลไทม์ ทั้งการแสดงผลข้อมูล การตรวจจับภัยคุกคาม และการแจ้งเตือน รวมถึงการส่งผ่านข้อมูลทางเดียวจากระบบเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติงาน (Operational Technology – OT) ไปสู่ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology – IT) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและภาคอุตสาหกรรมที่มีการนำเทคโนโลยี IoT เข้ามาใช้

นายทาคาชิ อามาโนะ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ บริษัท โตชิบา คอร์ปอเรชั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของข้อมูล บริษัท โตชิบา ดิจิทัล โซลูชันส์ คอร์ปอเรชั่น เผยว่า ในฐานะศูนย์กลางการผลิตแถวหน้าของภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทยถือเป็นตลาดเป้าหมายที่สำคัญแห่งหนึ่งของโตชิบาในการขยายธุรกิจโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แบบครบวงจร ซึ่งเกิดจากการผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีโลกไซเบอร์และเทคโนโลยีกายภาพของเราเข้าด้วยกัน ภายใต้กิจกรรมขายรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงบริการภาคสนามของเราที่ได้รับการพัฒนาให้มีความเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม “โตชิบา” พร้อมแล้วที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็งแก่ระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในประเทศไทย ให้มีความทนทาน หรือยืดหยุ่นต่อการถูกโจมตี (Cyber Resilience) ในลักษณะต่างๆ

 

 

ศิลปิน 3 รุ่นร่วมโชว์สุดตัว “มรดกพื้นบ้านผสานสู่สากล”

alivesonline.com : จัดเต็มทุกองศาเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนเพลงที่หลั่งไหลเข้าชมฟรีคอนเสิร์ต “มรดกพื้นบ้านผสานสู่สากล” ซึ่งจัดโดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 17.00-19.00 น.ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

การจัดการแสดงฟรีคอนเสิร์ตครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ และวันพ่อแห่งชาติ ทั้งยังเป็นการแสดงความยกย่อง อนุรักษ์ เชิดชูศิลปินไทย ถึงความสามารถ ความงดงาม เป็นแรงผลักดันให้ศิลปินไทยที่มากไปด้วยความสามารถ ให้มีกำลังใจสร้างสรรค์ผลงานต่อไป ตลอดจนเพื่อเป็นอีกหนึ่งพื้นที่การเรียนรู้ของประชาชนทั่วไปกับศิลปินนักร้องนักดนตรี ผ่านวิธีการนำเสนอการแสดงดนตรีสดออนไลน์ (Live streaming) ที่กำลังอยู่ในกระแสนิยมปัจจุบัน

สำหรับรูปแบบของฟรีคอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นการจัดการแสดงดนตรีพื้นบ้านในรูปแบบคอนเสิร์ตของศิลปิน อาทิ ศิลปินแห่งชาติ หรือศิลปินพื้นบ้าน  ร่วมกับนักร้อง นักดนตรีร่วมสมัย โดยการรวบรวมบทเพลงดนตรีพื้นบ้าน มาดัดแปลงผสมผสานกับดนตรีสากลให้เป็นหนึ่งเดียว ร่วมด้วยศิลปินนักร้องชั้นแนวหน้าและมากความสามารถร่วมยุคร่วมสมัย

ไฮไลต์สุดพิเศษของการแสดงครั้งนี้คือการขับขานบทเพลง “อีแซวตอบปัญหาหัวใจ” โดย “แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์” ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) ประจำปี 2539 ซึ่งจะมาขับขานคู่กับลูกสาว คือ “สมหญิง ศรีประจันต์” เพราะบทเพลงนี้วงอินดี้ร็อค “My Morning Jacket” ได้นำไปใส่เนื้อร้องภาษาอังกฤษของบทเพลง “Holding On To Black Metal” และบรรจุลงในอัลบัม พร้อมให้เครดิตอย่างสมเกียรติจนสร้างความเซอร์ไพรส์ในวงการดนตรีระดับโลกมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้

แฟนเพลงที่เข้าร่วมรับชมคอนเสิร์ตครั้งนี้ยังได้ร่วมอิ่มเอมกับบทเพลงจากศิลปินรุ่นใหญ่อีกหนึ่งท่านคือ “ชรัส เฟื่องอารมย์” ซึ่งนำบทเพลง“พ่อ” และ“ผีเสื้อ” มาขับกล่อมให้แฟน ๆ ได้ล่องลอยกับบทเพลงซึ้ง ๆ จากน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์

ขณะเดียวกัน “แจ๊ค ธนพล” ยังนำบทเพลง“เจ้าชู้บ้านไกล” และเพลง “ช่วยน้องทำนา” มาสร้างความคึกคักให้แฟนเพลงได้เปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างไม่เคอะเขิน นอกจากนั้นยังมี “หลิว อาจารียา” ซึ่งนำบทเพลง “อุ้ยว้าย” พร้อมด้วย “สมหญิง ศรีประจันต์” ที่นำบทเพลง “ผัวหาย” มาสร้างความสนุกสนานอย่างต่อเนื่อง โดยมี “ฝน ธนสุนธร” ซึ่งมาโชว์ลูกคอในบทเพลง “หม้ายขันหมาก” ชนิดที่เรียกว่าสะกดผู้ฟังให้หยุดนิ่งอยู่กับที่นั่ง และยังได้ร่วมร้องเพลงฉ่อย “กับข้าวเพชฌาต” อันเป็นเพลงดังของ “แม่ขวัญจิต” ในอดีตอีกด้วย

สำหรับแขกพิเศษที่มาร่วมให้กำลังใจ “แม่ขวัญจิต” คือ ศิลปินแห่งชาติ “ชัยชนะ บุญนะโชติ” กับ “พิกุล บุญนะโชติ” ที่เคยร่วมวงดนตรีเดียวกัน แถมยังมาร่วมขับร้องเพลงแก้เกี้ยวกันสนุก ๆ คือเพลง “แบ่งสมบัติ” “เบื่อสมบัติ” สร้างความคึกคักให้ไม่น้อย

การจัดฟรีคอนเสิร์ตครั้งนี้ยังเปิดเวทีให้ศิลปินรุ่นกระเตาะ “มายมิ้นท์ ณัฐกมล” มาวาดลวดลายในบทเพลง “น้ำตาดอกคำใต้” ให้แฟน ๆ ได้ทึ่งในความสามารถ พร้อมกับนักดนตรีไทยวัยจิ๋ว น้องถ่าน- น้องเสก จากวง “บ้านเด็กรักดนตรีไทย” จังหวัดอ่างทองที่มาวาดลวดลายน่าประทับใจ โดยตลอดการแสดงฟรีคอนเสิร์ตทั้ง 2 ชั่วโมงเต็มยังมีการนำบทเพลงต่าง ๆที่คุ้นหู แต่หาฟังได้ยาก รวมเกือบ 20 บทเพลงที่เหล่าศิลปินมาฟีเจอริ่งร่วมกันเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้แฟน ๆ ได้ลืมเวลากันเลยทีเดียว

ฟรีคอนเสิร์ต “มรดกพื้นบ้านผสานสู่สากล” จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้ประชาชนคนไทยตระหนักถึงการนำแนวทางการสานต่อของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาประยุกต์ใช้ในการอนุรักษ์มรดกศิลปะการแสดงดนตรีรูปแบบใหม่ เกิดการต่อยอดจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันเยาวชนคนรุ่นใหม่ยังจะได้ซึมซับรับรู้ผ่านการแสดงของศิลปินรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงและนำศิลปวัฒนธรรมด้านดนตรีไทยรูปแบบใหม่ไปประยุกต์ใช้และเกิดการต่อยอด ถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมต่อไปอีกด้วย

การท่องเที่ยวสิงคโปร์ เปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ชวนคนไทยใช้ใจเที่ยว

alivesonline.com : การท่องเที่ยวสิงคโปร์ ชวนคนไทยใช้ใจเที่ยว ผ่านการหวนคิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขและความทรงจำดี ๆ จากการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศสิงคโปร์ ผ่านวิดีโอโฆษณาสร้างแรงบันดาลใจชิ้นล่าสุด ภายใต้แนวคิด “Travel by Your Heart” ที่จะทำให้เรารู้ว่าโรคโควิด-19 ไม่เคยทำให้ (ใจ) เราห่างกัน

เบื้องหลังแนวคิดของวิดีโอโฆษณาชิ้นนี้ต้องการสื่อสารว่า ถึงแม้การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 จะทำให้แผนการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศของใครหลายคนต้องหยุดชะงักไปแบบไม่มีกำหนดอย่างน่าเสียดาย แต่เราก็ยังสามารถมีความสุขและสนุกกับการท่องเที่ยวได้ เพียงแค่เราใช้หัวใจมองสิ่งรอบตัวในมุมที่แตกต่าง เช่นเดียวกับ 2 หนุ่มสาวในโฆษณาชิ้นนี้ที่แม้ตัวจะอยู่เมืองไทย แต่หัวใจเหมือนได้เดินทางไปเช็คอินเติมพลังบวกกันยังสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังมากมายในสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็น Apple Marina Bay Sands แอปเปิ้ลสโตร์แห่งแรกของโลก ที่ตั้งอยู่บนผืนน้ำ ณ อ่าวมารีน่า, ซูเปอร์ทรี โกรฟ (Supertree Grove) ต้นไม้ยักษ์ที่มีโครงสร้างเป็นคอนกรีตและเหล็ก สวนแนวตั้งความสูงกว่า 25-50 เมตร ไฮไลต์เด่นของสวนพฤกษศาสตร์การ์เด้น บาย เดอะ เบย์ (Garden by the Bay), เมอร์ไลออน พาร์ค (Merlion Park) ที่ตั้งของรูปปั้นสิงโตพ่นน้ำ สัญลักษณ์อันโด่งดังของสิงคโปร์, โรงละครเอสพลาเนด (Esplanade Theatres on the Bay) ที่เป็นที่จดจำเพราะมีลักษณะโครงสร้างคล้ายทุเรียน รวมทั้ง มนต์เสน่ห์อันงดงามตระการตาของนิทรรศการศิลปะดิจิทัล Future World ที่พิพิธภัณฑ์ศิลป์และศาสตร์ (ArtScience Museum) ปิดท้ายกันที่มื้ออาหารแสนอร่อยของร้านจัมโบ้ ซีฟู้ด (Jumbo Seafood) ร้านอาหารทะเลระดับตำนานกว่า 30 ปีของสิงคโปร์ที่มีรางวัลการันตีต่อเนื่องยาวนาน

วิดีโอโฆษณา “Travel by Your Heart” จะพาทุกคนไปเปิดโลกใช้ใจเที่ยวสิงคโปร์กันแบบไหน ติดตามชมได้ที่ https://www.facebook.com/watch/?v=785466035519120 ดูจบแล้ว ถ้าไปได้เมื่อไหร่ สัญญานะว่าจะไปด้วยกัน

“ทีเส็บ” ผนึกกำลังภาครัฐและเอกชนยกระดับบุคลากรไมซ์รองรับธุรกิจสู้ COVID-19

alivesonline.com : “ทีเส็บ” ร่วมกับ กรมควบคุมโรค และเครือข่ายภาคการศึกษาด้านไมซ์พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม DMC และ IVA สร้างความรู้ความเข้าใจมาตรฐานการติดตาม ควบคุม และประเมินผลด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำหรับนักเดินทางต่างชาติเพื่อป้องกัน COVID-19 รองรับธุรกิจไมซ์

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2563 สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดหลักสูตรและการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพให้แก่บุคลากร และมาตรการการติดตาม ควบคุม กำกับ และประเมินผลด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในโครงการ MICE Hygiene Discipline Guidelines (แนวปฏิบัติด้านสุขอนามัย สำหรับอุตสาหกรรมไมซ์) ที่ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยได้มอบหมายให้เครือข่ายภาคการศึกษาไมซ์ (MICE Academic Cluster) ซึ่งประกอบด้วย มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรดังกล่าวขึ้น เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจตามมาตรฐานการติดตาม ควบคุม กำกับ และประเมินผลด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำหรับนักเดินทางต่างชาติเพื่อป้องกัน COVID-19 เป็นการยกระดับศักยภาพการบริการด้านการจัดการเดินทางในรูปแบบใหม่ของบริษัทที่ดูแลบริหารการเดินทาง หรือ Destination Management Company (DMC) และบุคลากรด้านการบริการลูกค้าชาวต่างชาติ หรือ International Visitor Assistant (IVA) เพื่อรองรับนักธุรกิจชาวต่างชาติในอนาคต

นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ ศบค. เรื่องข้อตกลงความร่วมมือช่องทางพิเศษ (Special Arrangement) เพื่ออนุญาตให้ผู้ไม่มีสัญชาติไทยเดินทางเข้ามาในประเทศ ซึ่งเป็นมาตรการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศของไทยในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ตามข้อตกลงพิเศษกับต่างประเทศ (ยกเว้นการกักตัว 14 วัน) ที่มีการระบุเงื่อนไขต่าง ๆ ของการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในระยะสั้น โดยกำหนดโควตาจำนวนผู้เดินทาง และมาตรการที่ผู้เดินทางต้องปฏิบัติตามทั้งก่อนการเดินทางและระหว่างที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่ง “ทีเส็บ” ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานรับผิดชอบร่วมกับ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงต่างประเทศ นำเสนอขั้นตอนการอนุญาตเข้าประเทศ โดยต้องมีผู้ติดตามทางการแพทย์สาธารณสุข และบริษัทที่ดูแลบริหารการเดินทาง หรือ DMC (Destination Management Company) เพื่อจัดและบริหารแผนการเดินทาง สำหรับนักธุรกิจที่เดินทางเข้ามาในระยะสั้นแบบไม่กักตัว ตั้งแต่ก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง และหลังการเดินทางกลับประเทศ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อสร้างมาตรฐานการบริการด้านความปลอดภัย ถูกสุขอนามัย เรียนรู้เกี่ยวกับ COVID-19 และการป้องกัน ผนวกกับการให้บริการที่ต้องรักษามาตรฐานไม่ให้เสียชื่อในฐานะเจ้าบ้านที่ดีที่มีการบริการได้มาตรฐาน Beyond Expectation ตามแบบ Thai Hospitality ที่มีชื่อเสียง และสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างงานแก่บริษัทให้บริการต่าง ๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่ไกด์ที่จะยกระดับความสามารถ หรือ Re-Skill ตามนโยบายของภาครัฐ เตรียมความพร้อมรองรับธุรกิจในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบการติดตามตัวและการสืบสวนโรคที่ดีจนนำไปสู่การตรวจหาโรคในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงได้ทันเวลาและสามารถควบคุมไม่ให้โรคแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกรมควบคุมโรคหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะได้นำความรู้ เทคนิค และประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้จากการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพให้แก่บุคลากร และมาตรการการติดตาม ควบคุม กำกับ และประเมินผลด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคCOVID- 19 ในโครงการ MICE Hygiene Discipline Guidelines ในครั้งนี้ ไปใช้ในการปฏิบัติจริงให้เกิดประโยชน์สูงสุด และขอสนับสนุนส่งเสริมการเดินทางกลุ่มไมซ์ ปลอดภัยไร้โรค ในอนาคตอันใกล้นี้

ด้าน นายปัญจพล เหล่าพูนพัฒน์ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร ในฐานะที่ได้รับนโยบายจาก “ทีเส็บ” ซึ่งเป็นผู้บริหารการจัดการอบรมในครั้งนี้ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการจัดฝึกอบรมนี้มุ่งเน้นอบรมให้เกิดองค์ความรู้ ความสามารถ และทักษะด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1.มีความรู้ ความเข้าใจ การคัดกรองผู้ติดเชื้อและทักษะด้านสาธารณสุขเบื้องต้น 2.มีความรอบรู้และทักษะการบริการ การเป็นเจ้าบ้านที่ดี และการประสานงาน 3.มีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ (English for Specific Purpose: ESP) เพื่อการสื่อสารและเจรจาต่อรองกับคณะ/ผู้ไม่มีสัญชาติไทยตลอดการเดินทางในประเทศไทยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถสื่อสารข้ามวัฒนธรรมได้อย่างเหมาะสม 4.มีความรู้ ความเข้าใจระบบการเข้าเมือง และการจัดการข้อมูลของผู้เดินทางจากต่างประเทศ และ 5.มีทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เคารพความหลากหลายและยอมรับในความแตกต่าง รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ตลอดจนมีคุณธรรมจริยธรรม ไม่เปิดเผยความลับของผู้ถูกคุมไว้สังเกตจากต่างประเทศให้ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับทราบ โดยมุ่งเน้นพัฒนาองค์ความรู้สู่บุคลากร บริษัทดูแลบริหารการเดินทาง หรือ Destination Management Company (DMC) และบุคลากรด้านการบริการลูกค้าชาวต่างชาติ หรือ International Visitor Assistant (IVA) ซึ่งมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมในครั้งนี้กว่า 150 ท่าน

“ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” บุก “เดอะมอลล์ บางแค”

ใกล้ถึงสิ้นปี 2563 แล้ว แต่ “ครัวคุณต๋อย” ยังไม่หยุดเสิร์ฟความอร่อยเอาใจเหล่านักชิมผู้ชื่นชอบอาหารคาว หวาน และอาหารว่างนานาชนิด เตรียมกำนัลความสุขให้แฟน ๆ ได้อิ่มเอมกันถ้วนหน้าใน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ณ เดอะมอลล์ บางแค บริเวณ Grand Hall และ Event Hall GC ชั้น G ระหว่างวันที่ 1-10 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00-21.30 น. เดินทางสะดวก ใช้รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ลงสถานีหลักสอง

“อาต๋อย – ไตรภพ ลิมปพัทธ์” แห่ง “ครัวคุณต๋อย” ในฐานะผู้จัดงาน  ได้มีการปรับรูปแบบงานให้เหมาะสม โดยในงานนี้ได้ร่วมมือกับ “ช้อปปี้” ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ นำเสนอรูปแบบการขายอาหารทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความอร่อยให้เข้าถึงและครอบคลุมผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม

“อาต๋อย” บอกด้วยว่า เมื่อนิวนอร์มัลเกิดขึ้น ในแง่ชีวิตและธุรกิจหมายถึงต้องดำเนินการเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงให้เร็วและยั่งยืนที่สุด การคิดแบบเดิม ๆ ไม่เพียงพออีกต่อไป ตลาดออนไลน์ยังเติบโตได้อีกมาก โดยสิ่งที่ “ครัวคุณต๋อย” มองคือ การส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ผู้บริโภค ไม่ว่าจะมาภายในงานแบบออฟไลน์ หรือสั่งอาหารออนไลน์ หากไม่ได้ประสบกาณ์ที่ดีที่สุดการเติบโตก็ไม่มีทางยั่งยืน ขณะเดียวกันการสร้างแบรนด์ดิ้งคือสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญทั้งในเรื่องของรสชาติ ความอร่อย คุณภาพ และบริการ

งาน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ณ เดอะมอลล์ บางแค  ยังมีสินค้าจากชุมชนให้สายชอปได้จับจ่ายแบบจุใจภายใต้เครื่องหมายสินค้าคุณภาพ “ครัวคุณต๋อย Selected” กับแนวคิด “อยู่ดีกินดี” ทั้งยังคงการันตีความสนุกให้แก่ผู้ที่มาร่วมงานด้วย 4 พิธีกรประจำ นำทีมโดย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ ร่วมด้วย ณวัฒน์ อิสรไกรศีล กีรติ เทพธัญญ์ และโก๊ะตี๋ อารามบอย โดยเน้นสีสันและลูกเล่นสร้างบรรยากาศให้กับงานที่ยังคงเต็มไปด้วยเรื่องราวความอร่อยของอาหารจานเด็ดจากสุดยอดร้านอาหารหลากหลายประเภท เสิร์ฟความอร่อยสุดทันสมัยด้วยเมนูต่าง ๆ มากกว่า 500 รายการ และมากกว่า 70 ร้านค้าชื่อดังที่เคยมาออกรายการ “ครัวคุณต๋อย” อาทิ เจ็กจุ่นต้มเลือดหมู เฮียเพ้งเป็ดย่าง กาละแมกะทิสดแม่ลำดวน ข้าวต้มแปลงนาม ซี่โครงหมูย่างเฮ้าซอสจากร้านครัวจันทมาศ หลนปูม้าจากร้านแม่ทองปอนด์ ก๋วยจั๊บยืนพื้น ไส้อั่วจากร้านอุไรรัตน์ กุยช่ายเจ๊หงอ ครัวเจ๊ง้อ ขาหมูกรอบ บายเชฟเดย์ ลอดช่องไทยมหาชัยวัดเจษฯ และอีกมากมาย

ผู้ที่ชื่นชอบอาหารพลาดไม่ได้ ! วันที่ 1-10 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00-21.30 น. นั่งรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ลงสถานีหลักสอง แล้วมาพบกันที่งาน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ณ เดอะมอลล์ บางแค บริเวณ Grand Hall และ Event Hall GC ชั้น G #คัดสรรของดีการันตีความอร่อย

 

มหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2563

alivesonline.com : สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือสำนักงาน ป.ป.ส. กระทรวงยุติธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นประธานในงานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2563 ในวันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ณ ห้องเอ็กซิบิชั่น ฮอสล์ 5 – 6 อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี

สำหรับงานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2563 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “กองทุนแม่ของแผ่นดิน สันติวิธีสู่พื้นที่ปลอดภัย” โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ประกอบด้วย พิธีพระราชทานเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดินแก่หมู่บ้านชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดินใหม่ ประจำปี 2563 จำนวน 1,056 แห่ง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้แทนหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดินเข้ารับพระราชทาน การแสดงนิทรรศการสดุดีพระเกียรติคุณพระบรมวงศานุวงศ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดและนิทรรศการแสดงผลการดำเนินงานกองทุนแม่ของแผ่นดินจากพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้บทเรียนในการดำเนินงาน

กองทุนแม่ของแผ่นดินได้ดำเนินการมาเป็นปีที่ 16 ในปัจจุบัน มีหมู่บ้านชุมชนที่เข้าร่วมรวมจำนวน 24,455 แห่ง โดยถือเป็นพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ก่อให้เกิดเป็น “กองทุนแม่ของแผ่นดิน” อันเป็นทุนตั้งต้นแห่งความดีงามในการร่วมใจกันแก้ไขปัญหายาเสพติดของคนในหมู่บ้านชุมชน เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นให้ประชาชนเสริมสร้างความเข้มแข็งของตนเองในการร่วมกันขจัดภัยยาเสพติดตามแนวทางสันติวิธี บนพื้นฐานการให้อภัยทางสังคม ความรู้รักสามัคคี และการสร้างความสมานฉันท์ เพื่อร่วมกันเอาชนะปัญหาต่าง ๆ โดยที่ผ่านมาหมู่บ้านชุมชนหลายแห่งสามารถพลิกฟื้นเป็นหมู่บ้านชุมชนที่เข้มแข็งด้วยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ก่อเกิดพลังในการแก้ไขปัญหา และต่อยอดไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจชุมชน นำมาซึ่งความสงบสุขและความปลอดภัยร่มเย็นในหมู่บ้านชุมชน

“คีนน์-BTS ใส่ใจสุขอนามัยผู้โดยสารรถไฟฟ้า”

alivesonline.com : ได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดของบริษัทนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติสำหรับ บริษัท คีนน์ จำกัด ผู้นำทางด้านไบโอเทคโนโลยี หลังคว้ารางวัล องค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2563 ล่าสุด ดร.วสันต์ อริยพุทธรัตน์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท คีนน์ จำกัด เตรียมจัดงานใหญ่ “คีนน์-BTS ใส่ใจสุขอนามัยผู้โดยสารรถไฟฟ้า” พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์ “KEEEN Germ Killer Bio Disinfectant (คีนน์ เจิร์ม คิลเลอร์ ไบโอ ดิสอินแฟคแท็นท์)” และผลิตภัณฑ์ใหม่ “Dr.KEEEN Hygienic Hand Foam (ดร.คีนน์ ไฮจินิค แฮนด์โฟม)” โฟมล้างมือไม่ง้อน้ำ มูลค่า 10,606,800 บาท เพื่้อช่วยดูแลความปลอดภัยและสุขอนามัยของผู้โดยสารรถไฟฟ้า BTS ในวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน 2563 เวลา 10.00-12.00 น. ณ ห้องลาดพร้าว สวีท ชั้น M โรงแรม เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ

TMA จับมือศศินทร์ เตรียมประกาศผลรางวัลพระราชทาน ความเป็นเลิศการบริหารจัดการธุรกิจแห่งปี

alivesonline.com : สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตรียมจัดงานพิธีประกาศผลและมอบรางวัลพระราชทาน SMEs Excellence Awards และรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2020 โดยมุ่งหวังที่จะช่วยผลักดันและสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ อันจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน

 ในปี 2563 คณะอนุกรรมการโครงการฯ ได้กำหนดให้มีพิธีประกาศผลรางวัลและมอบรางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “SMEs Excellence Awards 2020” และรางวัลพระราชทาน “Thailand Corporate Excellence Awards 2020” ในวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ที่โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ โดยมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลและกล่าวแสดงความยินดีแก่องค์กรที่ได้รับรางวัล

รางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2020 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 9 สาขารางวัล แบ่งประเภทของสาขารางวัลออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ประกอบด้วย

  • รางวัลสำหรับองค์กรที่มีรายได้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี จำนวน 8 สาขา ดังนี้

1.สาขาความเป็นเลิศด้านการพัฒนาการบริหารจัดการขององค์กร (Corporate Improvement Excellence)

2.สาขาความเป็นเลิศด้านการบริหารทางการเงิน (Financial Management Excellence)

3.สาขาความเป็นเลิศด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management Excellence)

4.สาขาความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ (Innovation Excellence)

5.สาขาความเป็นเลิศด้านผู้นำ (Leadership Excellence)

6.สาขาความเป็นเลิศด้านการตลาด (Marketing Excellence)

7.สาขาความเป็นเลิศด้านสินค้า/การบริการ (Product / Service Excellence)

8.สาขาความเป็นเลิศด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Excellence)

  • รางวัลสำหรับองค์กรขนาดกลางที่มีรายได้ไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาทต่อปี จำนวน 1 สาขา คือ สาขาความเป็นเลิศในการบริหารจัดการโดยรวม (Corporate. Management Excellence)

ในส่วนของรางวัล SMEs Excellence Awards 2020 แต่ละประเภทธุรกิจ คือธุรกิจการผลิต ธุรกิจการบริการ และธุรกิจการค้าปลีก/ค้าส่ง  ประกอบด้วยรางวัล ดังนี้

1.รางวัลพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

2.รางวัล SMEs Excellence Awards โดยแบ่งลำดับรางวัลเป็น 2 ลำดับ

-อันดับที่ 1 Gold Awards

-อับดับที่ 2 Silver Awards

สำหรับขั้นตอนในการเสนอชื่อองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการรางวัล Thailand Corporate Excellence Awards คณะผู้ทรงคุณวุฒิจะเป็นผู้เสนอรายชื่อองค์กรในแต่ละสาขารางวัล จากนั้นแต่ละองค์กรจะต้องนำส่งข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการบริหารองค์กรในสาขานั้นๆ รวมถึงผลลัพธ์และความสำเร็จจากการดำเนินงาน เพื่อโครงการฯ ได้นำข้อมูลไปใช้ประกอบการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงขององค์กรที่มีรายได้สูงสุด 1,000 องค์กรในประเทศไทย เพื่อคัดเลือกองค์กรที่จะได้รับรางวัลพระราชทานฯ ในแต่ละสาขารางวัลต่อไป

ในการคัดเลือกองค์กรสำหรับรางวัล SMEs Excellence Awards นั้น ธนาคารต่าง ๆ จะคัดเลือกองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีระบบการบริหารจัดการโดยรวมที่เป็นเลิศ ซึ่งประกอบธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิต การบริการ หรือการค้าปลีก/ค้าส่ง โดยแต่ละ SMEs จะจัดส่งข้อมูลองค์กรและแนวทางการบริหารจัดการให้กับคณะกรรมการได้พิจารณาให้คะแนน โดยคณะกรรมการจะคัดเลือกองค์กรที่ได้คะแนนผ่านเกณฑ์มาตรฐาน จากนั้นคณะกรรมการจะเข้าเยี่ยมชมและประมวลผลคะแนนเป็นรอบที่ 2 โดยคณะกรรมการจะพิจารณา SMEs ที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการองค์กรในด้านต่าง ๆ เพื่อรับรางวัลพระราชทานต่อไป

ผู้สนใจร่วมงานพิธีประกาศรางวัลความเป็นเลิศการบริหารจัดการธุรกิจแห่งปี และโอกาสพบกับผู้บริหารองค์กรชั้นนำระดับประเทศ ติดต่อ : คุณภาณิชา โทรศัพท์ 0 2319 7677 ต่อ 271 บัตรราคา : 4,500 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)

“ทีเส็บ” ประกาศทีมผู้ชนะ Thailand’s MICE Startup ปี 3

aliveonline.com : “ทีเส็บ” ประกาศผลการตัดสินให้ “NewMediaX” กับผู้จัดงาน “Thailand Toy Expo” เป็นผู้ชนะเลิศประกวดนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดงานไมซ์ พร้อมรองชนะเลิศ “Loops” กับผู้ประกอบการ “MICE Communication” และ “Alto Tech” กับผู้ประกอบการ “SYN Hotel” ซึ่งคณะกรรมการมีมติว่าสามารถช่วยยกระดับมาตรฐานบริการไมซ์ เนื่องจากทำให้การจัดงานแบบ Virtual มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถทำให้คนร่วมงานทั้ง 2 ฝั่งคือออนไลน์และออฟไลน์มีส่วนร่วมในงานมากขึ้น

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า โครงการ “Thailand’s MICE Startup” ในปี 2563 มีความสำคัญอย่างมากต่ออุตสาหกรรมไมซ์และต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวคือการระบาดของ COVID-19 ทำให้อุตสาหกรรมไมซ์ทั่วโลกต้องปรับตัวนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถทางการแข่งขัน ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมศักยภาพของสตาร์ทอัปไทยให้แข่งขันได้ในเวทีโลก

การประกวดผลงานในปีนี้ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก คือมีผู้สนใจเข้าร่วมมากถึง 23 ทีม และคณะกรรมการก็ได้สร้างเกณฑ์การตัดสินให้เกิดมาตรฐานของงานที่สูงขึ้น ประกอบด้วย 1.สามารถอธิบายกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และปัญหาที่ต้องการได้รับการแก้ไขได้อย่างชัดเจน 2.พิสูจน์ได้ว่าแก้ปัญหาได้ตอบโจทย์ ผลลัพธ์ชัดเจนตรงประเด็นและนำมาปรับปรุงได้ 3.ได้ทดลองนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหากับลูกค้าเป้าหมายและได้รับการตอบสนองที่ดี 4.นำเสนอโซลูชันแพ็คเกจ (Solution Package) ที่เข้าใจง่าย ชัดเจน 5. มีแผนการนำเงินรางวัลไปใช้อย่างชัดเจน 6.มีขอบเขตแผนงานชัดเจนและเหมาะสมในการขยายไปลูกค้าอื่น ๆ 7 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไมซ์ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมไมซ์ในวงกว้าง สามารถอธิบายและแจกแจงเป็นมูลค่าของผลกระทบได้

ตลอดระยะเวลาประมาณ 5 เดือนที่ผ่านมาการแข่งขันมาถึงรอบตัดสินจาก 5 ทีมที่เข้ารอบสุดท้ายได้แก่ 1.Loops กับผู้ประกอบการ MICE Communication 2.SSP Platform กับผู้ประกอบการ Green World Media 3.Potioneer กับผู้ประกอบการ BITEC 4.Alto Tech กับผู้ประกอบการ SYN Hotel และ 5.NewMediaX กับ ผู้จัดงาน Thailand Toy Expo

ผลการตัดสินปรากฎว่า รางวัลชนะเลิศคือ “NewMediaX” จับคู่กับ ผู้จัดงาน “Thailand Toy Expo” รับเงินรางวัล 4 แสนบาท เป็นผลงานด้าน Hybridsolution รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง “Loops” จับคู่กับผู้ประกอบการ “MICE Communication” รับเงินรางวัล 2 แสนบาท เป็นผลงาน Vanpooling for Mega Sport Events เพื่อแก้ปัญหาที่จอดรถและระบบจราจรให้กับผู้เข้าร่วมงานในการจัดงานเมกะอีเวนต์ด้านกีฬา รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง “Alto Tech” จับคู่กับผู้ประกอบการ “SYN Hotel” รับเงินรางวัล 1 แสนบาท เป็นผลงานด้านการประหยัดพลังงานโดยการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วย

สำหรับองค์กรพันธมิตรที่เข้าร่วมสนับสนุนในโครงการ “Thailand’s MICE Startup” มาตั้งแต่ปีแรก จนถึงปีที่ 3 ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) และ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช.

นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมศักยภาพและผลักดันผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมและดิจิทัล เพื่อยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โครงการนี้ถือเป็นเวทีที่เฟ้นหานวัตกรรมดี ๆ เพื่อเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถและแก้ไขปัญหาสำหรับอุตสาหกรรมไมซ์ได้อย่างแท้จริง รวมถึงเปิดโอกาสให้นวัตกร (Innovator) และบริษัทผู้ผลิตนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Tech Entrepreneurs) ได้เรียนรู้แนวทางการออกแบบและพัฒนาผลงาน ขยายผลไปสู่เชิงพาณิชย์ รวมถึงต่อยอดไปสู่การร่วมลงทุน ภายใต้ความร่วมมือของการสนับสนุนจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งมีความพร้อมในด้านต่าง ๆ

นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวถึงการประกวดในปีนี้ว่า เวทีนี้ถือเป็นเวทีในการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง และยังเป็นสัญลักษณ์ของการร่วมมือ (Co-Create) ระหว่างหน่วยงานรัฐ ในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยให้พัฒนาไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โครงการนี้นอกจากจะได้สินค้าและบริการที่มีไอเดียใหม่ ๆ นำมาต่อยอดให้อุตสาหกรรมไมซ์ไทยแล้วนั้น ยังแจ้งเกิดสตาร์ทอัปหน้าใหม่ เราพร้อมสนับสนุน ผลักดันกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้ผ่านโครงการและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ทางสำนักงานมีอยู่ อาทิ โครงการ depa Accelerator โครงการ Tech Tycoon เราต้องการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทยให้อยู่ระดับแนวหน้าของภูมิภาคอาเซียนในอนาคตอันใกล้ โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความต้องการในแต่ละประเภทของธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมไมซ์ด้วย

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. กล่าวว่าอุตสาหกรรมไมซ์ “สร้าง” และ “ใช้” “นวัตกรรม” ที่เน้นการบริการที่มีคุณค่าสูงและรูปแบบที่ไม่ตายตัว เพื่อสร้างความพึงพอใจในสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Society) เช่น การจัดประชุมองค์กร การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การจัดประชุมนานาชาติ และการจัดนิทรรศการ ทำให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางธุรกิจไมซ์” ในระดับนานาชาติ ซึ่งจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ประเทศที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับแคมเปญ “INNOVATION THAILAND” และจากวิกฤติการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในปีที่ผ่านถือเป็นการสร้างโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ทำให้ NIA ได้ริเริ่มนำนวัตกรรมเข้ามาเป็นเครื่องมือในการจัดอีเว้นท์เสมือนจริง เพื่อนำเสนอสุดยอดนวัตกรรมฝีมือคนไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์รูปแบบใหม่ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกภาคส่วน