ฝ่าด่านความอ้วนจากพันธุกรรม

alivesonline.com : วิวัฒนาการทางการแพทย์สาขาพันธุศาสตรการแพทย์และจีโนมิกส์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเป็นองค์ความรู้ที่สามารถอธิบายการก่อโรคต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากยีนและโครโมโซมในร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยพบว่าปัจจัยที่ควบคุมสุขภาพและความอ้วน มีผลมาจากทั้งพันธุกรรม ประวัติครอบครัว พฤติกรรมการกิน การดำรงชีวิต รวมถึงการรับสารกระตุ้นจากภายนอกเช่น ยา หรือ ฮอร์โมนต่าง ๆ

พญ.กอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล และ รศ.ดร.นพ. โอบจุฬ ตราชู

พญ.กอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการทางการแพทย์ จิณณ์ เวลเนส คลินิก (Jin Wellness Clinic) โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง กล่าวว่า ปัญหาความอ้วนเป็นปัญหาที่มีสาเหตุร่วมจากหลายปัจจัย และยังก่อให้เกิดโรคเรื้อรังได้ในหลายอวัยวะ เช่น หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไต ตับ ดังนั้นการประเมินปัญหาและการดูแลรักษาจึงต้องครอบคลุมตั้งแต่ระดับพันธุกรรม การกินอาหาร การออกกำลังกาย การเผาผลาญพลังงาน เช่น ถ้าบุคคลนั้นมีประวัติครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้องมีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน หรือมีโรคที่เป็นความผิดปรกติของการใช้พลังงานของร่างกายในครอบครัวหลายคน เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เก๊าท์ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมองตีบแตกตัน หรือมีคนในครอบครัวเสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุ คนกลุ่มนี้ควรจะเข้ามารับคำแนะนำ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้น เช่น การควบคุมน้ำหนัก การกินอาหารที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย การออกกำลังกายที่เพียงพอ รวมถึงการปรับพื้นฐานสภาพจิตใจให้แข็งแกร่งพร้อมต่อสู้กับความเครียดในสังคมปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาความอ้วนและความผิดปกติด้านการเผาผลาญสารอาหารบางชนิด เป็นผลจากระดับยีนเป็นตัวหลักเด่นเหนือสิ่งแวดล้อม เช่น ยีนควบคุมความอิ่มเสียไป หรือยีนที่ควบคุมการสร้างไขมันในร่างกายผิดปกติ เป็นต้น คนกลุ่มนี้จะต้องเข้มข้นในการปรับพฤติกรรมเพื่อต่อสู้กับพันธุกรรม รวมถึงอาจมีความจำเป็นต้องใช้ยา ซึ่งอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์

สู้พันธุกรรมด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการดำรงชีวิต?

รศ.ดร.นพ. โอบจุฬ ตราชู แพทย์เฉพาะทางสาขาอายุรศาสตร์และเวชพันธุศาสตร์ ศูนย์จิณณ์ เวลเนส คลินิก (Jin Wellness Clinic) โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง กล่าวว่าเพิ่มเติมว่า หลายคนถอดใจเรื่องความอ้วน เนื่องจากเห็นคนในตระกูลอ้วนมาตั้งแต่รุ่นก่อน ๆ หรือหลายคนเครียดว่าพยายามลดน้ำหนักเท่าไหร่ก็ไม่ลง การพบแพทย์ที่สามารถดูแลอย่างองค์รวมและบูรณาการร่วมกับศาสตร์ต่าง ๆ จะวางแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การประเมินทางด้านพันธุกรรม โภชนาการ กายภาพบำบัด และฟื้นฟูสภาพจิตใจ การเลือกอาหารให้เหมาะสมในแต่ละบุคคลไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงมีข้อมูลที่สำคัญทางการแพทย์อย่างครบถ้วนในการวางแผน

จะรู้ได้อย่างไร ว่าตัวเรามียีนที่เสี่ยงต่อโรคอะไรบ้าง 

การสืบประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวตั้งแต่รุ่นคุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ ก็สามารถเป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงได้ส่วนหนึ่ง แต่หลายครั้งที่พบคนไข้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ทั้งที่คนในครอบครัวไม่มีประวัติการเป็นโรคดังกล่าว เนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิต และอาหารบางชนิดมีผลต่อการทำงานของยีนที่มีลักษณะเปลี่ยนไปจากเดิม จึงอาจส่งผลต่อความรุนแรงของโรคที่แฝงมากับยีนทางพันธุกรรมได้

หากต้องการทราบว่าตัวเอง หรือคนในครอบครัวที่สุขภาพยีนเป็นอย่างไร เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรม หรือต้องการคัดกรองพันธุ์แฝงโรคพันธุกรรมก่อนสมรสและมีบุตร สามารถตรวจสุขภาพยีนในประเทศไทยได้ที่ ศูนย์จิณณ์ เวลเนส คลินิก (Jin Wellness Clinic) โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ซึ่งมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตรวจวิเคราะห์ยีนได้อย่างละเอียดและหากพบว่ามีความเสี่ยงก็จะมีการพูดคุยเพื่อรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น มีความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งก็ต้องวางแผนการคัดกรองมะเร็งเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ หรือเป็นคู่สมรสที่เสี่ยงต่อการเกิดลูกมีโรคพันธุกรรมผิดปกติ เช่น ปัญญาอ่อน ตาบอด หูหนวก ก็สามารถวางแผนเลือกวิธีการมีบุตรด้วยเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ ถ้ามีพันธุกรรมผิดปกติต่อการเผาผลาญไขมันหรือน้ำตาลก็ต้องพูดคุยทางเลือกการรักษ และปรับการรับประทานให้ทานอาหารที่มีโภชนาการที่ถูกต้อง ฝึกออกกำลังกายให้เพียงพอเหมาะสมจะลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและความทุพพลภาพได้

ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.thonburibamrungmuang.com หรือสอบถามโทร0 2220 7999 ต่อ 83100 หรือ 08 4235 5284

“ดร.สมชาย” โชว์ความสำเร็จ สิทธิบัตร “ยามะเร็งมุ่งเป้าต้นแบบสหรัฐอเมริกา”

alivesonline.com : “ดร.สมชาย” เวชสำสำอางแบรนด์ไทยแบรนด์แรก โชว์ความสำเร็จด้านไบโอเทคโนโลยี ก้าวไปอีกขั้นกับสิทธิบัตร “ยามะเร็งมุ่งเป้าต้นแบบสหรัฐอเมริกา” พร้อมวางแผนยื่นจดทะเบียนยา และดึงไบโอเทคโนโลยีเข้ามาสู่สกินแคร์ เพื่อการดูแลผิวแบบตรงจุด

แพทย์หญิง อรอินท์ เรืองวัฒนสุข กรรมการผู้จัดการ ผลิตภัณฑ์แบรนด์ “ดร.สมชาย” เปิดเผยว่า หลังจากที่ปีที่แล้วได้จดสิทธิบัตรยา Small Molecule สำหรับฆ่าเซลล์มะเร็งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้วนั้น ยังได้ทำการค้นคว้าและวิจัยกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยเดินหน้าการออกแบบและใช้วิศวกรรมเคมีโครงสร้างโมเลกุล สร้างยาต้นแบบสำหรับรักษามะเร็งขึ้นมา ซึ่งยาตัวนี้มีความจำเพาะกับ “เอสโตรเจน รีเซฟเตอร์” ซึ่งมักพบในมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีจำเพาะเพื่อบรรจุยาเข้าสู่เม็ดเลือด แล้วให้เม็ดเลือดพาตัวยาไปออกฤทธิ์จำเพาะ ในขั้นต้นยาต้นแบบตัวนี้ได้รับสิทธิบัตรจากประเทศสหรัฐอเมริกาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทดสอบประสิทธิภาพในสัตว์ร่วมกับพาร์ตเนอร์ พบว่า ยาสามารถลดขนาดของก้อนมะเร็งได้น่าพอใจมาก โดยบริษัทฯ วางแผนยื่นจดทะเบียนยา แต่ยังอยู่ในขั้นตอน ซึ่งต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา “ดร.สมชาย” ให้ความสำคัญกับไบโอเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก เพื่อเปิดมิติใหม่แห่งการรักษาโรคถึงระดับพันธุกรรมและกำลังมีโปรเจกต์ยื่นสิทธิบัตรที่ต่างประเทศอีกหลายตัว นอกจากนี้ ยังมีบริษัทย่อยที่ทำเรื่องการปรับแต่งจีโนมเพื่อสร้างยา มีหน่วยงานที่ทำเรื่อง Plant-Based Food อาหารที่ทำจากพืชเป็นหลัก ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ทั่วโลก

การที่ “ดร.สมชาย” เข้าถึงไบโอเทคโนโลยีระดับสูง จะเป็นแรงบวกเสริมให้ยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สกินแคร์ไปได้อีกขั้น ซึ่งสกินแคร์ของเรามีโครงสร้างที่ซับซ้อนมากขึ้น แต่ให้ผลลัพท์ที่ดี ในราคาที่คู่แข่งทำได้ยาก ซึ่งในอนาคตเราตั้งใจจะดึงไบโอเทคโนโลยีเข้ามาสู่สกินแคร์ให้มากขึ้น ให้เป็น Bio-Dermocosmetics Skincare ที่แก้ปัญหาผิวได้ตรงจุดมาก นี่จึงเป็นอีกขั้นของ “ดร.สมชาย” ที่มุ่งมั่นพัฒนางานวิจัย เพื่อนำไปสู่การผลิตยายุคใหม่และผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ให้คนไทยได้เข้าถึงยาที่จำเป็นและได้ใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์คุณภาพสูง

ครั้งแรกของการผนึกพลังด้านความยั่งยืน “Thailand Sustainability Expo 2020”

alivesonline.com : นับเป็นปรากฏการณ์ความร่วมมือครั้งสำคัญและยิ่งใหญ่ขององค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืนของประเทศไทยที่จะมาร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในงาน “Thailand Sustainability Expo 2020” (TSX) ระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2563 ณ ห้างสรรพสินค้าสามย่านมิตรทาวน์ ชั้น G ชั้น 3 และ ชั้น 5

การจัดงานครั้งนี้ได้น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว “สืบสาน รักษา และต่อยอด” มาเป็นแนวทางในการจัดงานตามศาสตร์พระราชาและหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาส และสร้างเครือข่ายสังคมของการมีส่วนร่วมสู่การนำไปปฏิบัติที่ใช้ได้ผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง

การจัดงานครั้งนี้อยู่ภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (Sufficiency for Sustainability) โดยการนำของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (มหาชน) (TU) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) รวมถึงเครือข่าย TSCN (Thailand Supply Chain Network) หรือเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย และองค์กรอื่น ๆ

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ “ไทยเบฟ ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy – SEP) มาเป็นหลักปฏิบัติ อันจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ประการขององค์การสหประชาชาติ ดังจะเห็นได้ว่า “ไทยเบฟ” เป็นบริษัทแรกในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับคัดเลือกเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 เป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืน DJSI ระดับโลกติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน DJSI กลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ติดต่อกันเป็นปีที่ 4

นอกจากนี้ ในปี 2562 “ไทยเบฟ” ยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์โลกให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น “ไทยเบฟ” จึงยึดมั่นและทุ่มเทเพื่อ “สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโตที่ยั่งยืน” ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยมุ่งมั่นที่จะปกป้องสิ่งแวดล้อมเพราะเชื่อว่าสิ่งแวดล้อมถือเป็นรากฐานของชุมชนและสังคมที่แข็งแกร่งและส่งผลให้การวางรากฐานทางธุรกิจมั่นคงเช่นกัน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตทางธุรกิจของ “ไทยเบฟ” ที่เป็นไปตามเป้าหมายการก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “ไทยยูเนี่ยน” ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนมาโดยตลอดและดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี นอกเหนือจากการปฏิบัติตามกฎระเบียบสากลแล้ว ยังมุ่งมั่นในพันธกิจที่จะเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก โดยมีนโยบายความยั่งยืนตามกลยุทธ์ SeaChange® ที่เราดำเนินควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2561 และ 2562 “ไทยยูเนี่ยน” ได้เป็นผู้นำอันดับ 1 กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารของโลกจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ โดยปัจจุบัน “ไทยยูเนี่ยน” ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน โดยยังมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในวันนี้ “ไทยยูเนี่ยน” จึงมีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดงาน Thailand Sustainability Expo 2020 (TSX) ในครั้งนี้

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า GC ต้นแบบด้านความยั่งยืนของโลก ภายใต้แนวคิด Circular for Better Living ด้วย 3 นโยบายตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ Smart Operating คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและนำมาหมุนเวียนอย่างคุ้มค่า Responsible Caring คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ และ Loop Connecting คือ การเชื่อมโยงทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่อุปทาน สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อเชื่อมต่อธุรกิจแบบครบวงจร นอกจากนี้ GC ยังได้รับการยอมรับจากทั่วโลก อาทิ United Nations Global Compact หรือ UNGC ประเมินให้เป็น GLOBAL COMPACT LEAD หนึ่งเดียวในประเทศไทย จาก 37 องค์กรทั่วโลก และ ในปี 2562 ดัชนีด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ DJSI ได้จัดอันดับให้ GC เป็นที่ 1 ของโลก และ อยู่ในระดับ Top 10 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ใน Chemical Sector

เรียกได้ว่างาน “Thailand Sustainability Expo 2020” เป็น “บิ๊ก อีเวนต์” แห่งปีที่เป็นการรวมตัวขององค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืนของประเทศไทยที่จะมาร่วมกันสร้าง “พลังร่วม” ในครั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนอย่างแท้จริง

สวัสดี “1 Baht” โปรแรงประจำปีจาก “วัตสัน”

#ช้อปมันส์วันบาท กลับมาอีกครั้ง วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย ส่งโปรแรงประจำปี Watsons 1 Baht” ชิ้นแรกราคาปกติ ซื้อชิ้นที่สอง ในราคา 1 บาท เอาใจขาชอปอย่างจัดหนัก ด้วยดีลดีสุดคุ้ม ครบทุกความต้องการ ทั้งของใช้ส่วนตัว เมคอัพ สกินแคร์ และผม ได้ทั้งหน้าร้าน และวัตสันออนไลน์

โปรแรงเอาใจสายช้อป กับดีลสุดคุ้ม รีบช้อปเลย!

  • เดอมาแอคชันพลัส บายวัตสัน คลีนซิ่งวอเตอร์ /ลิปแอนด์อายเมคอัพ รีมูฟเวอร์/ คลีซิ่งออยส์ดีพคลีน

ราคาชิ้นแรก 249-380 บาท / ชิ้นที่ 2 ราคา 1 บาท  

  • ซีเอ ทรูไวท์ อีเอ็กซ์ เอสเซนส์โลชั่น 150 มล.

ราคาชิ้นแรก 420 บาท / ชิ้นที่ 2 ราคา 1 บาท

  • วาสลีน เซรั่ม 320 มล.(ทุกสูตร)

ราคาชิ้นแรก 249-259 บาท  / ชิ้นที่ 2 ราคา 1 บาท

  • โชโกบุสึ ครีมอาบน้ำ ชนิดรีฟิล 500 มล. (ทุกสูตร)

ราคาชิ้นแรก 98 บาท / ชิ้นที่ 2 ราคา 1 บาท

  • วิสทร้า เกรปซีท 20 แคปซูล

ราคาชิ้นแรก 259 บาท / ชิ้นที่ 2 ราคา 1 บาท

  • เดนทิสเต้ ยาสีฟัน 100 กรัม สูตรป้องกันอาการเสียวฟัน

ราคาชิ้นแรก 165 บาท / ชิ้นที่ 2 ราคา 1 บาท

พบกับความครบ แถมลดแรงขนาดนี้ได้ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม – 30 กันยายน 2563 ที่ร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศไทย หรือชอปออนไลน์ผ่านวัตสันออนไลน์ และสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สื่อ ณ จุดขาย Official Line WatsonsTH เว็บไซต์ Watsons.co.th และแอปพลิเคชัน WatsonsTH ทั้ง PlayStore และ AppStore

“อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” เผยเทรนด์เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์

alivesonline.com : ยักษ์ใหญ่งานแสดงสินค้านานาชาติระดับโลก “อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” ยัน “โพรแพ็ค เอเชีย 2020” จัดแน่ 20-23 ตุลาคม 2563 เผยผู้ร่วมจัดแสดงงานชั้นนำระดับโลกกว่า 300 บริษัท เตรียมขนนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตและบรรจุภัณฑ์โชว์แน่น พร้อมเผยเทรนด์ปีนี้เน้นดิจิทัล ความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มั่นใจผู้เข้าร่วมงานคึกคัก หลังเดินสายโรดโชว์เช็กความพร้อมผู้ผลิต ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมต่างยืนยันร่วมงาน เหตุธุรกิจหยุดพัฒนาไม่ได้

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ-ภูมิภาคอาเซียน “อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์ COVID-19 ซึ่งเกิดขึ้นมานานกว่า 6 เดือนจะยังคงเป็นที่วิตกของคนทั่วโลก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคการผลิตและอุตสาหกรรมคาดว่าน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ผู้ประกอบการเริ่มปรับตัวได้และทยอยกลับมาดำเนินการได้เป็นปกติมากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลของ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ที่รายงานว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิ.ย.63 ขยายตัว 4.18% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 55.21% จากเดิมที่ 52.34% นับเป็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่ดี นอกจากนั้นก็ยังมีบางอุตสาหกรรมได้รับผลบวกจากสถานการณ์ COVID-19 อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม ยาและเวชภัณฑ์

ผลการสำรวจของบริษัทวิจัยด้านการตลาดจากหลายสำนักยังให้ข้อมูลใกล้เคียงกันว่าเทรนด์การดำเนินธุรกิจและอุตสาหกรรมจะมุ่งไปสู่ยุคดิจิทัล (Digitalization) เร็วขึ้น โดยส่วนหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เข้ามาเร่งกระบวนการ ซึ่งภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างเร่งด่วนในการลงทุนเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาแรงงานคนเป็นหลัก ส่วนความต้องการของผู้บริโภคนั้นจะเป็นเรื่องของความปลอดภัยและการซื้อจะผ่านช่องทางออนไลน์ (e-Commerce) รวมทั้งยังคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกส่วนของกระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์ให้เพิ่มมากขึ้น

งาน “โพรแพ็ค เอเชีย 2020” ถือเป็นงานแสดงสินค้าด้านการผลิต แปรรูป และบรรจุภัณฑ์ที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำที่สำคัญที่สุดงานหนึ่งของภูมิภาคเอเชีย แม้ปีนี้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศส่วนใหญ่จะยังไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมงานได้ “อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” ซึ่งมีประสบการณ์และเป็นผู้จัดงานแสดงสินค้านานาชาติอันดับหนึ่งของโลก จึงได้มีการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) มาใช้เสริมในการจัดงาน โดยล่าสุดได้มีการนำ “บีเพลส” (BEPlace) แพลตฟอร์มการจัดงานแสดงสินค้าออนไลน์มาเสริมการจัดงานฯ โดย “บีเพลส” จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าร่วมงานและมีโอกาสพบปะผู้ประกอบการที่เข้าร่วมจัดแสดงงาน “โพรแพ็ค เอเชีย 2020” ได้ พร้อมทั้งสามารถเจรจาธุรกิจและการประชุมออนไลน์เสมือนเดินทางเข้าร่วมงานจริงได้เช่นกัน

ด้านมาตรการการป้องการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในการจัดงาน “โพรแพ็ค เอเชีย 2020” นั้น ผู้จัดฯ ได้มีการดำเนินมาตรการด้านสุขอนามัย โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยตามมาตรฐานของ “อินฟอร์มา ออลซีเคียว” (Informa AllSecure) และ ตาม ศบค. เป็นสำคัญ อาทิ การจัดวางพื้นที่พร้อมระยะห่างสำหรับทางเดิน การควบคุมความหนาแน่น การลดการสัมผัสในการรับเอกสาร โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ทั้งการใช้บัตรเข้างานอิเล็กทรอนิกส์ (e-Badge) การเพิ่มช่องทางการร่วมจัดกิจกรรมและสัมมนาผ่านระบบออนไลน์

นางสาวรุ้งเพชร กล่าวด้วยว่า จากการปรับตัวสู่งานแสดงสินค้าแบบไฮบริดและชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) รวมถึงการเดินสายโรดโชว์พบปะกับผู้ผลิตและผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ได้รับการยืนยันว่ากลุ่มผู้ประกอบการยังมีความต้องการที่จะเข้าร่วมชมงานเช่นเดียวกับภาวะปกติ แม้สถานการณ์ COVID-19 ยังไม่หมดไป แต่การดำเนินธุรกิจก็ไม่สามารถหยุดได้เช่นกัน ทำให้ต้องปรับตัวและพัฒนาให้รับกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดและพร้อมรับกับการฟื้นตัวที่จะเกิดขึ้น โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการจับตาจากทั่วโลกว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจต่อการลงทุน จากมาตรการทางด้านสาธารณสุขและความพร้อมในการเป็นฐานการผลิตสินค้าให้แก่โลก

สำหรับกำหนดการจัดงาน “โพรแพ็ค เอเชีย 2020” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20–23 ตุลาคม 2563 เวลา 9.00–18.00 น. ณ. ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ ผู้สนใจสามารถเข้าชมงานสามารถข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดงานได้ที่ www.propakasia.com   

TMA ระดมสมองผู้นำความคิดยกระดับความสามารถด้านการแข่งขันของไทยใน “Thailand Competitiveness Conference 2020”

alivesonline.com : สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ปรับรูปแบบใหญ่งาน Thailand Competitiveness Conference สู่วิถี New Normal บนระบบสัมมนาออนไลน์ ระดมสมองผู้นำทางความคิดทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักวิชาการทั้งจากประเทศไทยและต่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนทรรศนะ มุ่งยกระดับความสามารถของประเทศไทยในการแข่งขันด้านต่าง ๆ ทั้งภาคเศรษฐกิจ บริการ การท่องเที่ยว ดิจิทัล และอื่น ๆ พร้อมเปิดเวทีให้ผู้สนใจร่วมรับฟังฟรี ในวันที่ 7 – 8 กันยายน 2563 ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์เข้าร่วมได้ที่ https://bit.ly/tmaregistration

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เปิดเผยว่า สมาคมฯ กำหนดจัดงานสัมมนาประจำประจำปี 2563 ภายใต้หัวข้อ “Thailand Competitiveness Conference 2020” ซึ่งถือเป็นวาระครบรอบ 12 ปีที่การสัมมนานี้ได้เป็นเวทีให้กลุ่มผู้นำทางความคิด ผู้กำหนดนโยบาย ผู้บริหารภาครัฐและเอกชน ตลอดจนนักวิชาการ ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อเสนอแนะแนวทางในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศภาย ในช่วงเวลาวิกฤติจาก COVID-19 ซึ่งแนวคิดและวิธีการที่ใช้ในการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศก่อนเกิดวิกฤติการณ์ครั้งนี้ อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไปในสภาพแวดล้อมของโลกที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปแทบจะสิ้นเชิงหลังจากนี้

การจัดสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อมุ่งหวังให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ธุรกิจ รวมถึงภาคประชาชนมาร่วมกันแสวงหาแนวทางในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืนภายใต้วิถี New Normal โดยกำหนดจัดขึ้นภายใต้แนวคิด (Themes) 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ Reality Check, Understanding the Future และ Shifting the Strategy

สำหรับประเด็นการสัมมนาภายในงานครั้งนี้มีหลากหลายหัวข้อที่น่าสนใจโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ อาทิ การสัมมนาในวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563 ประกอบด้วยหัวข้อ “การระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างไรต่อการดำเนินธุรกิจและท่านสามารถปรับตัวให้อยู่รอดและพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ในอนาคตอย่างไร?” โดย นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) โดยมีผู้ดำเนินการอภิปรายคือ     ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)

หัวข้อ “ภูมิทัศน์ใหม่ของโลกหลังเกิดวิกฤติการณ์ที่สามารถส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ การดำเนินธุรกิจ และวิถีชีวิตของมนุษยชาติ” โดย Professor Stephane Garelli Founder, IMD Word Competitiveness Center Professor Emeritus of world Competitiveness, IMD business school และการบรรยายพิเศษพิเศษเรื่อง “โลกจะเปลี่ยนแปลงไปหลังวิกฤติใหญ่ในครั้งนี้ หลายประเทศควรปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างไรให้สามารถฟื้นตัวและสามารถอยู่รอดได้?” โดย Professor Arturo Bris Director, IMD World Competitiveness Center โดยมีผู้ร่วมอภิปราย ได้แก่ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานที่ปรึกษา บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด และนายธีรนันท์ ศรีหงส์ ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และประธาน TMA Center for Competitiveness

จากนั้นในวันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 จะมีการอภิปรายเรื่อง “ภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดความปรกติรูปแบบใหม่ (New Normal) สามารถส่งผลอย่างไรต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต” โดย นายบรรณ เกษมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และนางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่-ด้านการเงินและบัญชี บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)  นอกจากนั้นยังได้รับเกียรติจาก Dr.Jake Dunagan Director of the Governance Futures Lab, Institute for the Future บรรยายในหัวข้อ “ความสามารถของภาครัฐและภาคธุรกิจในการจับสัญญาณก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเป็นจำเป็นในโลกยุค VUCA ท่านมีแนวคิดอย่างไรในการสร้างความสามารถในการมองการณ์ไกลในระดับนโยบายและธุรกิจของประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต?”

การสัมมนาครั้งนี้ยังมีหัวข้ออื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมาก เช่น “แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจดิจิทัลและผลกระทบต่อองค์กรและถาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถช่วยยกระดับความสามารถทางการแข่งขันในบริบทใหม่ของโลกยุคปัจจุบันได้อย่างไร?” รวมถึง “แนวทางการพัฒนา Startup Ecosystem ในประเทศไทยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและเป็นกลไกในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” เป็นต้น

ผู้สนใจรับชมการสัมมนาออนไลน์ “Thailand Competitiveness Conference 2020” โดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ในวันที่ 7–8 กันยายน 2563 สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่  https://bit.ly/tmaregistration  หรือติดต่อที่โทร.0 2319 7677 ต่อ 271

“Singapore Food Festival 2020” ครั้งแรกในเอเชียกับเทศกาลอาหารออนไลน์

alivesonline.com : กลับมาอีกครั้งเป็นปีที่ 27 กับงานเทศกาลอาหารสิงคโปร์ หรือ “Singapore Food Festival” (SFF) งานมหกรรมเฉลิมฉลองมรดกวัฒนธรรมอาหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นงานที่ทุกคนต่างตั้งตารอคอย เพราะเต็มไปด้วยสารพัดกิจกรรมด้านอาหารที่ไม่เพียงอิ่มอร่อย แต่ยังน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กชอปสนุก ๆ มาสเตอร์คลาสสาธิตการทำอาหารโดยเชฟชื่อดัง และทัวร์ชิมของอร่อยในย่านพื้นที่ต่าง ๆ รอบเกาะสิงคโปร์

สำหรับการจัดงานในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่จัดในรูปแบบออนไลน์เสมือนจริงเพื่อตอบรับกับสถานการณ์และวิถี New Normal ในปัจจุบัน ภายใต้ธีม “Rediscover the Foodie in You” ชวนทุกคนที่มี Passion ด้านอาหารและรักการกินเป็นชีวิตจิตใจ มาปลุกความเป็นสายกินในตัวคุณอีกครั้ง ระหว่างวันที่ 21-30 สิงหาคม 2563

งานเทศกาลอาหารสิงคโปร์ เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.1994 โดย การท่องเที่ยวสิงคโปร์ (Singapore Tourism Board : STB) เพื่อยกระดับสิงคโปร์ในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวด้านอาหาร งานนี้จึงถือเป็นการโชว์ศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ในวงการอาหารสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นประเพณีการปรุงอาหาร รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ตลอดจนนวัตกรรมการประกอบอาหารต่าง ๆ ที่หล่อหลอมมรดกและวัฒนธรรมอาหารของสิงคโปร์ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และในอนาคต

นางสาวรานิตา สุนทรา ผู้อำนวยการฝ่าย Retail and Dining ประจำการท่องเที่ยวสิงคโปร์ กล่าวว่า งานเทศกาลอาหาร SFF 2020 เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ “SingapoRediscovers” ซึ่งมีเป้าหมายในการสนับสนุนธุรกิจภายในประเทศผ่านการเชิญชวนให้ทุกคนมาลองเปิดใจ ค้นพบมุมมองใหม่ ๆ ของสิงคโปร์โดยงานเทศกาล SFF ถือเป็นเวทีใหญ่สำหรับวงการ F&B ของสิงคโปร์โดยเฉพาะ แม้ว่าในปีนี้เราจะไม่สามารถจัดงานได้ตามปกติอย่างทุกปี แต่เราก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งกับการจัดงานแบบเสมือนจริงเป็นครั้งแรก กิจกรรมในปีนี้จึงเป็นการเน้นย้ำถึงความสนุกสนานของการชิมอาหารผ่านประสบการณ์แบบอินเตอร์แอคทีฟที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ เราอยากเชิญชวนให้ทุกคนร่วมกันส่งกำลังใจให้เชฟ บาร์เทนเดอร์ รวมถึงผู้ที่ทำงานในวงการอาหารทุกคน และเตรียมตัวไปค้นพบจิตวิญญาณความเป็นนักชิมในตัวคุณอีกครั้งกับงาน SFF 2020

สำหรับไฮไลต์สำคัญของงาน SFF 2020 ประกอบด้วย 4 กิจกรรมหลัก ได้แก่ คลาสไลฟ์สดสอนทำอาหาร (Live Masterclasses) ดีลอาหารสุดพิเศษ (Food Bundles) ทัวร์ชิมอาหารเสมือนจริง (Virtual Food Tours) และสินค้าพิเศษเฉพาะเทศกาลนี้เท่านั้น (SFF food merchandise) โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.Live Masterclasses

คลาสไลฟ์สดสอนทำอาหารโดยเชฟชื่อดังและเหล่ากูรูในวงการอาหารของสิงคโปร์ โดยปีนี้มีทั้งหมด 18 คลาส อาทิ คลาสสอนทำขนมเอแคลร์ คลาสปูพื้นฐานการชงค็อกเทล และคลาสสอนเทคนิคการปรุงเมนูเปอรานากันแบบดั้งเดิมซึ่งสามารถรับชมได้ฟรีบนแพลตฟอร์ม Webex นอกจากนี้ บางคลาสยังสามารถสั่งซื้อกล่องชุดวัตถุดิบพร้อมเครื่องปรุงมาส่งให้ถึงบ้าน เพื่อให้ผู้ชมสามารถทำอาหารไปพร้อมกันกับเชฟได้ทันที

2.Food Bundles

แน่นอนว่าหนึ่งในประสบการณ์ที่ทุกคนตั้งตารอสำหรับงานเทศกาล SFF ก็คือ ความสนุกสนานจากการชิมอาหารหลากหลายประเภทภายในงาน แม้ว่าปีนี้จะไม่สามารถไล่ชิมอาหารอร่อย ๆ ได้ในสถานที่จริง แต่ก็ยังสามารถสั่งซื้อ Food Bundles ทั้งเมนูเด็ดจากร้านดัง และอาหารจานพิเศษชวนน้ำลายสอจากมาสเตอร์คลาสต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Shopee แพลตฟอร์มตลาดสินค้าออนไลน์ได้

3.Virtual Food Tours

สำหรับใครที่ชอบลัดเลาะไปค้นหาร้านใหม่ ๆ ก็สามารถตามพิธีกรไปชมย่านต่าง ๆ ของสิงคโปร์ในรูปแบบเสมือนจริง ซึ่งคุณจะได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์เมนูอาหารจานเด็ดในแต่ละย่าน อาทิ ทันจงปาการ์, ไชน่าทาวน์, จูเชียต และกาตง รวมถึงสูตรลับความอร่อยจากเชฟดังที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้รู้

4.SFF Food Merchandise

เพื่อฉลองความยิ่งใหญ่ของวงการอาหารประเทศสิงคโปร์ หลายแบรนด์ดังได้ผลิตสินค้าพิเศษรุ่น Limited-Edition เพื่อวางขายช่วงงาน SFF 2020 เท่านั้น โดยปีนี้มีทั้งเสื้อยืด Uniqlo UTme! 8 ดีไซน์, เบียร์ผลไม้จาก Brewerkz, ขนมกูลิโกะเพรทซ์ รสข้าวมันไก่ (Glico x Wee Nam Kee), คุกกี้รสห่อหมกกุ้งสไตล์มลายู (Cedele’s Prawn Otah Cookies) และ น้ำพริกซัมบัลขึ้นชื่อจากร้าน Violet Oon (Violet Oon’s signature Sambal Bajak and Goreng Chilli)

ส่วน Foodie ชาวไทยก็ไม่ต้องน้อยใจ เพราะแม้เราจะยังบินไปซื้อสินค้า หรือชิมอาหารบางเมนูไม่ได้ แต่ร้านอาหารสัญชาติสิงคโปร์ในประเทศไทยก็ได้พร้อมใจกันออกโปรโมชัน เพื่อให้สายกินได้ลิ้มลองรสชาติแบบสิงคโปร์แท้ ๆ ในราคาสุดพิเศษตลอดช่วงเทศกาลอาหารสิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 21-30 สิงหาคม 2563

– ร้าน JUMBO Seafood สาขาไอคอนสยาม ลดราคาเมนู Phuket Lobster ถึง 50% ซึ่งเราสามารถเลือกให้เชฟนำไปปรุงได้ตามต้องการ อร่อยแบบพรีเมียมในราคาเริ่มต้นเพียง 1,644 บาท

– ร้าน Song Fa Bak Kut Teh ลดราคาชุดอิ่มคุ้มเหลือเพียง 229 บาท ทั้งที่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ และเมกา บางนา อีกทั้งยังมีโปรโมชันพิเศษเมื่อสั่งอาหารบนแอปพลิเคชัน LINE MAN เมื่อสั่งซุปชนิดใดก็ได้ 3 ถ้วย ลด 50% ทันที สำหรับถ้วยที่ 4 ซุปสันในหมู อีกด้วย

– ร้าน Old Street Bak Kut Teh เสิร์ฟความอร่อยจัดเต็มด้วยเซ็ตเมนูบักกุ๊ดเต๋น้ำใสในราคาลดพิเศษ Set Menu A เพียง 220 บาท เฉพาะที่ สาขา MBK Center เท่านั้น

สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลอาหารสิงคโปร์ ที่จัดขึ้นในระหว่างช่วงสุดสัปดาห์ในวันที่ 21-23 และ 28-30 สิงหาคม 2020 ในรูปแบบออนไลน์เสมือนจริง ผู้สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.singaporefoodfestival.sg

ป.ป.ส. ปลื้มเยาวชนแห่ประกวดคลิป “Save Zone, No New Face”

alivesonline.com : เยาวชนกว่า 800 คน รวม 234 ทีม ร่วมอบรมโครงการ “Save Zone, No New Face” แสดงพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ตามความถนัดและเรียนรู้การเป็นยูทูบเบอร์ผ่าน Booth Camp Online ก่อนคณะกรรมการฯ คัดเหลือ 40 ทีมเข้าสู่การเรียนรู้ถาม-ตอบแบบตัวต่อตัวในคอร์สเรียนออนไลน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟกับเหล่าวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เตรียมตัดสินผู้ชนะเลิศรับรางวัลรวมกว่า 1.5 แสนบาท วันที่ 1 ก.ย.63 พร้อมรวบรวมเครือข่ายเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการในช่องทางเพจออนไลน์ มุ่งพัฒนาเป็นแหล่งสื่อสารสร้างการรับรู้ข้อมูลต่อการป้องกันยาเสพติด

นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการประกวดคลิปวิดีโอสั้น Youth Tubers ว่า โครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยคนรุ่นใหม่ได้แสดงพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ตามความถนัดและเรียนรู้การเป็นยูทูบเบอร์ผ่าน Booth Camp Online โดยมีกลุ่มเยาวชนผู้สนใจเข้าฝึกอบรมกว่า 800 คน และส่งคลิปสั้นเข้าประกวดจำนวน 234 ทีม ทั้งในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า

โครงการดังกล่าว มีกิจกรรม Booth Camp Online เพิ่มทักษะให้คนรุ่นใหม่โดยเหล่า Influencer ชื่อดัง ได้แก่ 1) “น้าเน็ก” (เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) หัวข้อ เทคนิคการพูดและการสื่อสารผ่านทางโซเชียลมีเดียและเล่นโซเชียลมีเดียอย่างไรให้ผู้ปกครองเข้าใจ 2) “บี้ เดอะสกา” (กฤษณ์ บุญญะรัง) หัวข้อ เทคนิคการพูดคอนเทนต์และระเบียบวินัยการเป็น Youtuber 3) “เบ๊นซ์ อาปาเช่” (อัครเดช โยธาจันทร์) หัวข้อ เทคนิคการคิดคอนเทนต์และเทคนิคเตรียมตัวรับมือกับนักเลงคีย์บอร์ด 4) “This Is Game” หัวข้อ เทคนิคการเขียนคอนเทนต์ในเพจ และเทคนิคการทำรูปภาพ Cover Video ให้น่าสนใจ และ 5) “NEX Studio” หัวข้อ การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องมือถือ DSLR และเทคนิคการตัดต่อวิดีโอ การใส่ภาพและเสียง ซึ่งหลังจากได้มีการเรียนรู้ผ่าน Booth Camp Online ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการได้ส่งผลงานเข้าประกวด และคณะกรรมการได้พิจารณาคัดเลือกรอบแรกจำนวน 40 ทีม เป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา

สำหรับทีมที่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกจะเข้าสู่การเรียนรู้ถาม-ตอบแบบตัวต่อตัวในคอร์สเรียนออนไลน์สุด เอ็กซ์คลูซีฟกับเหล่าวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ อาทิ “น้าเน็ก” (เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) “บี้ เดอะสกา” (กฤษณ์ บุญญะรัง) และ “เบ๊นซ์ อาปาเช่” (อัครเดช โยธาจันทร์) โดยทีมที่ผ่านการคัดเลือกสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาต่อยอดแนวคิดเพื่อส่งผลงานเข้าประกวดรอบสุดท้ายเพื่อชิงเงินรางวัลกว่า 1.5 แสนบาท ซึ่งทางคณะกรรมการจะประกาศผลการตัดสินรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 1 กันยายน 2563 ผ่านทางเว็บไซต์ www.savezonenonewface.com  และจัดพิธีมอบรางวัลในวันที่ 9 กันยายน 2563 ณ สำนักงาน ป.ป.ส.

หลังจากนั้น สำนักงาน ป.ป.ส. จะรวบรวมเครือข่ายเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการนี้ไว้ในช่องทางเพจออนไลน์ และพัฒนาให้เป็นแหล่งสื่อสารสร้างการรับรู้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องกันยาเสพติดไปยังกลุ่มเป้าหมายเยาวชนโดยตรง โดยในปี 2564 ได้วางแนวทางดำเนินกิจกรรมนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้มีการสร้างพื้นที่ปลอดภัยบนโลกอินเทอร์เน็ตได้อย่างเป็นรูปธรรม

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนในทุกมิติ เพราะถือเป็นกำลังสำคัญของประเทศ ประการสำคัญพบว่าเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุมาจากขาดความอบอุ่นในครอบครัว ไม่มีการใส่ใจดูแล ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง ไม่เข้าใจสภาวะจิตใจ อารมณ์ ความต้องการตามวัย จนกลายเป็นความขัดแย้ง ไม่ได้รับการยอมรับจากคนใกล้ชิดรอบข้าง มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ไม่มีโอกาสแสดงออกในทางที่ถูกที่ควร ซึ่งหากมีความเข้าใจความคิด จิตใจ และความต้องการตามวัยของเด็กและเยาวชน ปัญหายาเสพติดจะลดลง ดังนั้น จึงขอให้สถาบันครอบครัว ชุมชน และภาคเอกชน ได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนอย่างแท้จริง ด้วยการช่วยกันดูและเอาใจใส่และสนับสนุนกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันยาเสพติด เพราะในท้ายสุดเขาเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว ชุมชน และสังคมต่อไป

BIDC 2020 เปิดฉากงานออนไลน์อวดศักยภาพดิจิทัลคอนเทนต์ไทย

(จากซ้ายไปขวา) นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ นางหริสุดา บุญยวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการจัดงานเมกะอีเวนท์และเทศกาลนานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และ นายกฤษณ์ ณ ลำเลียง นายกสมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย

alivesonline.com : ภาคอุตสาหกรรม ผนึกภาครัฐ เปิดมหกรรมดิจิทัล คอนเทนต์ “Bangkok International Digital Content Festival 2020” หรือ BIDC 2020 ครั้งที่ 7 ภายใต้แนวคิด VR BIDC ด้วยรูปแบบออนไลน์ อวดโฉมศักยภาพอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ร่วมด้วยการจัดสัมมนาออนไลน์อัดแน่นด้วยวิทยากรระดับโลกและไทย พร้อมการจับคู่เจรจาการค้าระหว่างผู้ประกอบการไทย-เทศกว่า 96 บริษัท 

นายกฤษณ์ ณ ลำเลียง  นายกสมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย และผู้แทนภาคอุตสาหกรรม กล่าวว่า  สำหรับการจัดงาน Bangkok International Digital Content Festival หรือ BIDC เป็นงานมหกรรมของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือของภาคเอกชน ประกอบด้วย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ DEPA และภาคเอกชนทั้ง 5 สมาคมของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ประกอบด้วย สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT) สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) สมาคมอีเลิร์นนิงแห่งประเทศไทย (e-LAT) สมาคมธุรกิจบางกอกเอซีเอ็มซิกกราฟ (BASA) และสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA)

งาน BIDC 2020 มีการจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-23 สิงหาคม 2563 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายที่รัฐบาลต้องการผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ เพื่อกระตุ้นและสร้างเศรษฐกิจประเทศให้แข็งแกร่ง ตลอดจนเพื่อส่งเสริมและสนับสนุน รวมถึงการสร้างเครือข่ายให้อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยสู่เวทีระดับสากล นับเป็นการผนึกความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐที่ได้ร่วมกันผลักดัน ส่งเสริม และบูรณาการ จนโครงการนี้สำเร็จอย่างต่อเนื่อง

นายกฤษณ์ กล่าวอีกว่า อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์เป็นส่วนหนึ่งและมีความสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศอย่างมาก ดังที่ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ได้ใช้ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์ในการขับเคลื่อนและส่งออกเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยกตัวอย่าง คาแรกเตอร์ “คุมามง” ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับจังหวัดคุมาโมโต้ของประเทศญี่ปุ่นมากกว่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนเกม Pokemon ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1996 สามารถสร้างรายได้รวมมากกว่า 9.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เป็นต้น

“การรวมตัวของกลุ่มคาแรกเตอร์,เกม, แอนิเมชัน, เวอร์ชวล เอฟเฟกต์, อีเลิร์นนิง และเทคโนโลยีใหม่ หรือ Emerging Technology ของไทยนับเป็นการนำความสร้างสรรค์ด้านเอกลักษณ์ไทยและความเป็นสากล ผนวกกับความสามารถของคนไทยในอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ และเสริมแกร่งด้านการแข่งขันกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ มีความเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถพัฒนาและต่อยอดอุตสาหกรรมซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 2.5 หมื่นล้านบาทให้เติบโตยิ่งขึ้น ด้วยความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมและการส่งเสริมจากภาครัฐ”

นายกฤษณ์ กล่าวอีกว่า แม้ว่าในปี 2563 จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เกิดขึ้น จนส่งผลให้รูปแบบการจัดการในปีนี้ต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์จึงเป็นที่มาในแนวคิด “VR BIDC 2020” ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางและการเปลี่ยนแปลงในยุควิถีความปกติใหม่ หรือ New Normal โดยกิจกรรมสำคัญที่เคยจัดขึ้นในรูปแบบออฟไลน์เปลี่ยนมาจัดในรูปแบบออนไลน์ทั้งหมด ประกอบด้วย

– การจัดนิทรรศการแบบ Virtual Exhibition ผ่านแพลตฟอร์ม “Mozilla Hub” ที่ทุกท่านสามารถสแกน QR Code เรียบร้อยแล้วเข้าไปร่วมชมผลงานของบริษัท คนไทยทั้งหมดที่มาจัดแสดงได้เสมือนไปชมของจริง

– การจัด Business Matching ซึ่งเดิมเรา ต้องเชิญแขกจากประเทศต่าง ๆ มาร่วมจับคู่เจรจาที่จัดขึ้นในประเทศไทย แต่ในปีนี้รูปแบบการจับคู่เจรจาออนไลน์ (Match Online) ด้วยแพลตฟอร์ม Deal Room

– การจัดสัมมนาด้วยระบบ Webinar สนับสนุนโดย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” โดยได้เชิญวิทยากรระดับโลกในสายงานดิจิทัลคอนเทนต์ มาร่วมแชร์ประสบการณ์ เทคนิค และ การปรับเปลี่ยนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยจัดขึ้นระหว่างในวันที่ 18-20 สิงหาคม 2563 รายละเอียดตารางสัมมนาเข้าไปที่ เฟซบุ๊ก Bangkok International Digital Content Festival

ด้าน นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวเสริมว่า การปรับรูปแบบการจัดกิจกรรมเจรจาการค้าในปีนี้เป็นรูปแบบออนไลน์ได้รับความสนใจจากทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการดิจิทัลคอนเทนต์ทั่วโลกเข้าร่วมเจรจาการค้าจำนวน 45 บริษัทจาก 15 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปแลนด์ อาร์เจนตินา ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินเดีย และเวียดนาม และมีผู้ประกอบการไทยจำนวน 51 บริษัทร่วมเจรจาการค้าออนไลน์ครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้ประกอบการแอนิเมชัน 20 ราย คาแรกเตอร์ 12 ราย อีเลิร์นนิง 7 ราย และเกม 12 ราย ซึ่งเน้นย้ำให้เห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนและผลักดันการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยให้เกิดความแข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับบนเวทีการค้าโลก โดยมั่นใจว่างาน BIDC 2020 จะเป็นส่วนสำคัญที่จะประกาศศักยภาพและความเชื่อมั่นในประเทศไทยให้ผู้ประกอบการด้านดิจิทัลคอนเทนต์ทั่วโลก

นางหริสุดา บุญยวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการจัดงานเมกะอีเวนท์และเทศกาลนานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” กล่าวว่า “ทีเส็บ” ในฐานะองค์กรที่มีบทบาทในการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการระดับประเทศ รวมถึงการพัฒนาอีเวนต์นานาชาติขนาดใหญ่ของประเทศ เล็งเห็นว่าการผนึกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมมีความเข้มแข็งและเติบโตได้มากขึ้น โดยนำเสนอเครื่องมือสำคัญ “Virtual Meeting Space” สนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการจัดงาน รวมถึงการเพิ่มทักษะความรู้ในการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ให้ผู้ประกอบการ โดยที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดวิกฤติ COVID-19 “ทีเส็บ” ได้พัฒนาและจัดรูปแบบการจัดงานสัมมนาออกเป็น 3 กิจกรรม ได้แก่ 1.Webinar หรือการประชุมสัมมนาเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ 2.O2O (Offline to Online) หรือการจัดงานแสดงสินค้าผ่านระบบออนไลน์ และ 3.E-Learning Platform หรือศูนย์การเรียนรู้คอร์สฝึกอบรมออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการไมซ์ เพื่อเพิ่มทักษะและทบทวนความรู้ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ในช่วงที่งานได้รับผลกระทบ โดย “ทีเส็บ” มีความเชื่อมั่นว่าจะช่วยสนับสนุนและเอื้ออำนวยคณะผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมสัมมนาออนไลน์สามารถเข้าฟังและรับความรู้ในแขนงต่าง ๆ ของดิจิทัลคอนเทนต์ได้มากขึ้นด้วยระบบที่มีประสิทธิภาพของ “ทีเส็บ”

นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือDEPA กล่าวว่า อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ ประกอบด้วย ธุรกิจด้านเกม แอนิเมชัน คาร์แรกเตอร์ไทย อีเลิร์นนิง VR&CG และ VFX กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วตามพัฒนาการของเทคโนโลยีโลกและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา และในสภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ปัจจุบัน  รัฐบาลในหลายประเทศต้องการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ส่งผลให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ ประชาชนใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น ในส่วนของอุตสาหกรรมอีเลิร์นนิงได้รับอานิสงส์ที่ขับเคลื่อนให้กลุ่มนี้มีการขยายตัว เนื่องจากทุกภาคส่วนรวมไปถึงประชาชนมีการปรับตัวและใช้การเรียนการสอนรวมไปถึงการทำงานผ่านรูปแบบ Online Live Streaming มากยิ่งขึ้น จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้แก่อุตสาหกรรม ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าในหลายปีที่ผ่านมาโครงการ Bangkok International Digital Content Festival  มีผู้ประกอบการดิจิทัลคอนเทนต์จากต่างประเทศเข้าร่วมมากกว่า 200 บริษัท และผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1 แสนคน โดยสร้างมูลค่าการเจรจาธุรกิจให้แก่อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยมากกว่า 2 พันล้านบาท

ทั้งนี้ ผู้สนใจรับชมกิจกรรมต่าง ๆ ของงาน BIDC 2020 สามารถติดตามรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่ เฟซบุ๊ก Bangkok International Digital Content Festival ลิงก์ https://www.facebook.com/bidc.fest/

ไลฟ์สไตล์ของชาวปารีเซียงหลังพบวิกฤติ COVID-19

alivesonline.com : ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศที่โดนผลกระทบจาก COVID-19 เป็นอย่างมาก ตั้งแต่การระบาดของโรคโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้การใช้ชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์ของชาวปารีเซียงที่อยู่ในปารีส เมืองแห่งแฟชั่นและสถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมนติกที่หนึ่งของโลกเปลี่ยนไป ส่งผลให้เกิดวิถีชีวิตใหม่ ๆ ขึ้นมากมายหลายด้าน

เครื่องสำอางถูกเมิน

จากเดิมที่คนส่วนใหญ่ต้องตื่นเช้าไปทำงานทุกวัน กลับกลายเป็นการนั่งทำงานจากที่พักอาศัย รวมทั้งถุงมือยางและหน้ากากอนามัยก็ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเมื่อต้องออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน นับตั้งแต่ช่วงวิกฤติสูงสุดของการระบาดที่รัฐบาลฝรั่งเศสมีมาตรการกักตัวประชาชนเป็นระยะเวลานานกว่า 2 เดือน จนถึงปัจจุบันที่มีข้อบังคับให้ทุกคนต้องสวมหน้ากาก สาวชาวปารีสที่ธรรมดาขึ้นชื่อว่ารักสวยรักงามเป็นอันดับต้น ๆ ลดระดับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงและเสริมความงามลง ขั้นตอนการบำรุงผิวและเสริมความงามของหญิงสาวบางคนได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากการสำรวจของบริษัท NPD Group พบว่าสินค้าลิปสติกมียอดจำหน่ายลดลงมาก แต่สินค้ากลุ่มสกินแคร์ หรือครีมบำรุงผิวกลับตกลงไม่มากนัก เพราะไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ผิวพรรณยังต้องได้รับการดูแลเหมือนเดิม ส่วนกลุ่มเครื่องสำอางแบบติดทนนาน กันน้ำ กันเหงื่อ หรือกันเลอะเลือน กลับมาได้รับความนิยมสูงขึ้นมากเช่นกัน ในช่วงเวลาที่สาว ๆ จำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยในชีวิตประจำวัน

จักรยานกลับมาเป็นพาหนะยอดนิยมอีกครั้ง

นโยบายการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1 เมตร เป็นไปค่อนข้างลำบากสำหรับระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ต่าง ๆ ที่มักมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน จึงได้เกิดแนวคิดการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนหันมาเดิน หรือใช้จักรยานเป็นพาหนะทางเลือก เช่น ในกรุงปารีส มีการปิดถนนรวมประมาณ 50 กิโลเมตร โดยเฉพาะในเส้นทางที่ซ้อนทับทางรถไฟใต้ดินสายสำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้จักรยาน หรือเดินได้อย่างปลอดภัย พร้อมทั้งช่วยลดมลภาวะ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้โรคกลับมาระบาดได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้เปิดให้บริการจุดจอดรถสำคัญ ณ บริเวณชานเมืองเพื่อให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ไกลจากตัวเมือง ขับรถยนต์ส่วนบุคคลเพื่อนำมาจอดโดยไม่เสียค่าบริการ และสามารถใช้บริการจักรยานสาธารณะ หรือเดินต่อไปยังจุดหมาย ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้ประชาชนหันมาใช้จักรยานเป็นพาหนะทางเลือกมากขึ้น

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงปารีส ได้ให้ข้อมูลต่อผู้ประกอบการไทยว่า จากปัจจัยทั้งหมดรวมกันนี้อาจส่งผลให้ประชาชนหันมาใช้จักรยานมากยิ่งขึ้นทั้งในกรุงปารีสตลอดจนถึงเมืองใหญ่อื่น ๆ โดยฝรั่งเศสนำเข้ายางนอกจักรยานจากทั่วโลกในปี 2562 เป็นมูลค่า 41.68 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการนำเข้าจากไทยถึง 13.31 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือนับเป็นร้อยละ 31 ของการนำเข้ารวม ผู้ประกอบการไทยจึงควรใช้โอกาสนี้ในการเตรียมความพร้อมทางด้านสินค้าที่เกี่ยวข้องกับจักรยาน โดยปัจจุบันสินค้าเกี่ยวกับจักรยานที่ไทยส่งออกมายังฝรั่งเศสเป็นอันดับต้น ๆ ได้แก่ ยางนอก และยางในของจักรยาน

ช่องทางชอปปิงที่เปลี่ยนไป

มาตรการยับยั้งการระบาดของโรค COVID-19 ที่รัฐประกาศใช้บังคับให้ผู้บริโภคต้องลดการเดินทางลงไปโดยปริยาย ทั้งยังต้องเพิ่มความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่กระจาย หรือการสัมผัสต่อเชื้อโรคได้ส่งผลให้ลักษณะพฤติกรรมการบริโภคของผู้ซื้อเปลี่ยนไป โดยหันมาจับจ่ายสินค้าจากช่องทางอื่น เช่น ห้างค้าปลีกที่อยู่ใกล้ที่พักอาศัยมากที่สุด ซึ่งโดยมากจะเป็นซูเปอร์มาเก็ต หรือห้างค้าปลีกขนาดกลางและเล็ก แม้กระทั่งในพื้นที่ชนบทที่มีจำนวนร้านค้าปลีกไม่มากนัก แต่ผู้บริโภคเลือกที่จะจับจ่ายสินค้าจากร้านค้าปลีกสะดวกซื้อขนาดเล็กมากกว่าร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ส่วนการสั่งซื้อออนไลน์จากเว็บไซต์ของห้างค้าปลีกและไปรับสินค้าด้วยตนเองนั้น จากเดิมที่มีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 13 ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ กลับมียอดขายที่เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 74 ในช่วงกักตัว

การบริโภคสินค้าสบู่เพิ่มสูงขึ้น

ประชาชนเพิ่มการรักษาสุขอนามัยเป็นพิเศษโดยทำความสะอาดมือและร่างกายบ่อยกว่าปกติ หลังจากกลับบ้าน หรือสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ที่เสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรคในที่สาธารณะ จึงจำเป็นต้องหันมาใช้สบู่ในการทำความสะอาดมือ และทำให้ความต้องการของสบู่ในตลาดฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 ขณะเดียวกันกระแสการบริโภคสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มสูงขึ้นมาตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19 ทำให้การบริโภคสบู่ทั่วไปที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งด้วยเช่นกัน

สคต. ณ กรุงปารีส ยังแนะนำว่าเป็นโอกาสในการค้าสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเสนอสบู่ชนิดใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาด ที่อาจใช้ส่วนผสมตามธรรมชาติที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิต เช่น น้ำมันมะพร้าว และพืชสมุนไพรอื่น ๆ ที่มีเอกลักษณ์ หรือเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทย อย่างไรก็ดี สบู่เป็นสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอาง ซึ่งการส่งออกมายังประเทศในสหภาพยุโรปจะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบว่าด้วยการนำเข้าเครื่องสำอางอย่างเคร่งครัด