“ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์” ออกสติกเกอร์ไลน์ “Marucha ชานมไข่มุก”

การสื่อสารยุคใหม่ไม่จำกัดแค่การพูดคุย ทุกวันนี้เราได้รู้จักกับ “สติกเกอร์ไลน์” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสีสันที่ทำให้การสนทนาสนุกสนานและมีชีวิตชีวามากขึ้น

ในภาคธุรกิจเองก็มีการแข่งขันและพัฒนาสติกเกอร์ไลน์ของตัวเองเพื่อให้ลูกค้ารู้จักและโหลดนำมาใช้เพื่อให้สินค้าได้รับความนิยมมากขึ้น เช่นเดียวกับ ThaiFranchiseCenter.com ในฐานะที่เป็นเว็บไซต์รวบรวมธุรกิจแฟรนไชส์ที่ใหญ่ที่สุดในไทยก็พร้อมเป็นส่วนหนึ่งที่จะพัฒนาสติกเกอร์ไลน์ให้ทุกแบรนด์ธุรกิจที่สนใจ โดยล่าสุดได้ออกสติกเกอร์ไลน์ใหม่ของแบรนด์ “Marucha ชานมไข่มุก” ที่มีสัญลักษณ์คือ “แมวเหมียวสุดน่ารัก” ที่งานนี้ใครเป็นทาสแมวทั้งหลายเห็นแล้วต้องอดใจอยากโหลดเอามาใช้งานกัน

สติกเกอร์ไลน์ Marucha ชานมไข่มุกมีถึง 40 คาแรคเตอร์ของน้องแมวสีขาวสุดน่ารักในอิริยาบถต่าง ๆ เช่น มารุชาสวัสดีจ้า, เริ่ดที่สุด, รับอะไรเพิ่มคะ, เป็นกำลังใจให้น๊า, ขอบคุณที่มาอุดหนุน เป็นต้น และยังมีอีกหลายแคปชั่นน่ารักผ่านสติกเกอร์ไลน์ของ Marucha ที่จะช่วยเติมเต็มให้ทุกการสนทนาเป็นเรื่องสนุกสนานและยังแสดงออกถึงความเป็นครอบครัวเดียวกันของลูกค้ากับ Marucha อีกด้วย

“ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์” มีบริการรับทำสติกเกอร์ไลน์ให้ทุกแบรนด์ที่สนใจด้วยทีมงานที่มีคุณภาพ โดยสามารถออกแบบสติกเกอร์ไลน์ได้อย่างสวยงาม เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าทุกท่านเพื่อโอกาสในการเติบโตทางการค้าและการสร้างยอดขายที่มากขึ้นให้สมกับเป็นยุคแห่งการสื่อสารออนไลน์อย่างแท้จริง

ผู้สนใจและต้องการดาวน์โหลดสติกเกอร์ไลน์ใหม่ “Marucha ชานม” ไข่มุกคลิกที่ https://lin.ee/ebsDzXG โทร.0 2101 9187 หรือต้องการลงทุนกับแฟรนไชส์ “Marucha ชานม” คลิกที่ https://bit.ly/2UoZpML

 

“มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์” นำจิตอาสา ร่วมกิจกรรม “วิ่งปลูกปะการัง”

โลกก้าวสู่ “ยุคดิจิทัล” เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของผู้คนมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “ธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนโลก” มีปริมาณลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ “ธรรมชาติ” คืออีกปัจจัยสำคัญต่อการดำรงอยู่ร่วมกันของสรรพชีวิต

บริษัท มิตซูบิชิ เอเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านบริการ ผลิตภัณฑ์ลิฟต์และบันไดเลื่อนครบวงจร ได้ตระหนักและให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ จึงได้จัดให้มี โครงการ “One Lift You Need, One Seed We Plant” โดยนำรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แต่ละตัว บริจาคสมบทเป็นต้นไม้ 1 ต้น คืนให้กับสังคม ซึ่งดำเนินโครงการฯ ต่อเนื่องมานานนับสิบปี

โครงการ “One Lift You Need, One Seed We Plant” ในปี 2562 บริษัท มิตซูบิชิ เอเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดเป็นกิจกรรม “วิ่งปลูกปะการัง” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Run to Plant” วิ่งระยะทาง 2.5 และระยะทาง 5 กิโลเมตร เพื่อไปร่วมปลูกปะการัง จำนวน 100 แปลง ปล่อยปู จำนวน 300 ตัว และปล่อยปลาฉลาม จำนวน 15 ตัว โดยมีจิตอาสา ได้แก่ คณะผู้บริหารและพนักงาน รวมไปถึงพันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จํากัด (มหาชน), บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน), บริษัท ที.ที.เอส.เอ็นจิเนียริ่ง (2004) จำกัด, บริษัท เตียวฮงสีลม จำกัด, บริษัท นารายณ์พร็อพเพอตี้ จำกัด, บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน), บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด, บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด(มหาชน), SCG และ อาร์ดีจี แพลนนิ่ง แอนด์ ดีไซน์ เป็นต้น เข้าร่วมโครงการฯ ครั้งนี้ ณ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำนวนกว่า 300 คน

นายมุเนอิสะ โอกาโมโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สภาวะโลกร้อนส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์มากมาย อาทิ แห้งแล้งจัด น้ำท่วมหนัก เป็นต้น สาเหตุเกิดจากธรรมชาติที่เป็นป่าลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ จึงอยากให้องค์กรต่าง ๆ และคนในสังคมให้ความสำคัญและร่วมกันรักษาธรรมชาติคนละไม้ละมือเพื่อป้องกันและแก้ไขสภาวะโลกร้อน ในส่วนของ “มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์” เล็งเห็นความสำคัญและได้จัดโครงการปลูกต้นไม้ One Lift You Need, One Seed We Plant เพื่อเป็นกำลังอีกส่วนหนึ่งในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติไม่มากก็น้อย และได้ดำเนินโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2552 อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยได้ปลูกต้นไม้คืนสู่ธรรมชาติไปแล้ว จำนวนกว่า 30,000 ต้น

“วิ่งปลูกปะการัง” เป็นอีกกิจกรรมในโครงการ “One Lift You Need, One Seed We Plant” โดยการจัดครั้งนี้ตั้งใจ “ปลูกปะการังคืนสู่ท้องทะเล พร้อมกับปล่อยสัตว์น้ำ” เพื่ออนุรักษ์ให้คงอยู่คู่ธรรมชาติที่จะเอื้อประโยชน์ต่อโลก สำหรับ “มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์” จะยังคงเดินหน้าทำหน้าที่จิตอาสา ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจคู่ค้า ภายใต้แนวคิด “ลิฟต์หนึ่งตัว คืน ต้นไม้หนึ่งต้น” ที่จะคืนกลับสู่สังคม อีกทั้งยังคงหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมในจุดเล็ก ๆ เหล่านี้ โดยคาดหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งประกายที่จะเชิญชวนให้คนในสังคมและองค์กรธุรกิจอื่น ๆ ได้หันมาสนใจและร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติกันอย่างจริงจังมากขึ้นต่อไป

ธุรกิจโฮเรก้าโตต่อเนื่องปีละ 10% “แม็คโคร” ผุดศูนย์ให้ความรู้ผู้ประกอบการ

alivesonline.com : “แม็คโคร” สบช่องธุรกิจโฮเรก้า 1 ล้านล้านบาทโตต่อเนื่อง 10% ผุด“แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี” มุ่งเสริมความรู้ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารผ่านช่องทางออฟไลน์-ออนไลน์ รองรับการแข่งขันทางเศรษฐกิจยุคดิจิทัล

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แม็คโคร” เป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งระบบสมาชิกที่มีกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยและผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม ธุรกิจจัดเลี้ยง หรือ “กลุ่มโฮเรก้า” ซึ่งล้วนมีส่วนสำคัญกับในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ โดย “แม็คโคร” ได้ร่วมเดินเคียงข้างผู้ประกอบการไทยและฟันผ่าวิกฤติการณ์เศรษฐกิจด้วยกันมายาวนานตลอด 30 ปี ทำให้เรียนรู้ถึงความต้องการของผู้ประกอบการ จึงเปิดตัว “แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี” หรือ MHA ศูนย์รวมความรู้เพื่อผู้ประกอบธุรกิจอาหารครบวงจรที่มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายเข้มแข็งผ่านระบบออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาเป็นเพื่อนคู่คิดให้ผ่านพ้นวิกฤติต่าง ๆ ไปด้วยกัน

“กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร ร้านอาหาร โรงแรม ธุรกิจจัดเลี้ยง หรือโฮเรก้า เป็นธุรกิจที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1 ล้านล้านบาท มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละกว่า 10% ขณะที่ แม็คโคร มีลูกค้ากลุ่มนี้จำนวนมากกว่า 7แสนราย จึงใกล้ชิดกับลูกค้ามานาน จนรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการบริหารต้นทุน การบริหารจัดการต่าง ๆ การจัดเก็บสต็อก ไม่รู้จะสร้างสรรค์เมนูอย่างไร ฯลฯ แม็คโคร จึงพัฒนาองค์ความรู้ และสร้างทางเลือกใหม่ ๆ ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งนำมาสู่การเปิดตัว แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี หรือ MHA ครั้งนี้”

ด้าน นางซันนี่ ซีดิค ผู้อำนวยการอาวุโส-ฝ่ายบริหารสินค้าธุรกิจประกอบอาหาร และประธานโครงการ “แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี” บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พันธกิจหลักของ “แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี” หรือ MHA  มุ่งเน้นการเป็นแหล่งรวมความรู้แบบครบวงจรให้กับผู้ประกอบธุรกิจอาหารมืออาชีพผ่านระบบออฟไลน์และออนไลน์ใน 5 องค์ประกอบคือ การเป็นสื่อกลางในการให้ความรู้ (Knowledge Media) แหล่งการจัดสัมนาและเวิร์คชอป (Seminar & Workshop), ออนไลน์เลิร์นนิ่ง (Online Learning) ที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Business Advisor) และเป็นเครือข่ายสังคมของผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร (Business Networking)

“แม็คโครรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากกลุ่มลูกค้าโฮเรก้าสมาชิกของ แม็คโคร มาพัฒนาเพื่อแก้ข้อจำกัด เพิ่มจุดแข็งและสร้างจุดขาย เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการผ่านพ้นปัญหาไปได้ เนื่องจากเราเข้าใจในทุกความท้าทายที่ผู้ประกอบธุรกิจอาหารต้องเผชิญในแต่ละวัน โดยคาดหวังว่า แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี หรือ MHA จะเป็นเครือข่ายในการให้ความรู้สำหรับมืออาชีพในทุกมิติ เป็นมิตรแท้ที่พร้อมให้คำปรึกษา ตลอดจนจะเป็นผู้ช่วยในการจุดประกายไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในธุรกิจ รองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทุกยุคสมัย”

สำหรับ “แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี” หรือ MHA เปิดรับสมาชิกที่สนใจประกอบธุรกิจอาหารแบบมืออาชีพ มาร่วมอัปเดทแนวโน้มของวงการธุรกิจ ตลอดจนนำเสนอคอร์สเรียนออนไลน์ (ฟรี) หรือคอร์สเวิร์คชอปสร้างสรรค์เมนูจากวัตถุดิบชั้นเลิศที่เปิดตัวใหม่ พร้อมเปิด “แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี คลินิก” ให้ผู้สนใจรับความรู้แบบใกล้ชิดในสาขาต่าง ๆ ของแม็คโครตลอดทั้งปี โดยผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวดี ๆ ผ่านเว็บไซต์ www.makrohorecaacademy.com หรือร่วมสมัครเป็นสมาชิก เพียงมีบัตรสมาชิกแม็คโคร ได้ที่ https://makrohorecaacademy.com/membership-account/membership-checkout/

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (Economic Intelligence Center : EIC) ได้คาดการณ์แนวโน้มการเติบโตในธุรกิจบริการอาหารยังคงมีต่อเนื่องในช่วงปี 2562-2563 โดยปัจจัยสำคัญของการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่ครัวเรือนมีขนาดเล็กลงและต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น รวมถึงการขยายตัวของเมือง (Urbanization) การเติบโตของเทคโนโลยีและธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่เกิดขึ้นพร้อมกับการขยายตัวของศูนย์การค้าใหม่ ๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาทานอาหารนอกบ้าน หรือซื้ออาหารสำเร็จรูปมารับประทานที่บ้านมากขึ้น

อนึ่ง กลุ่มธุรกิจโฮเรก้า (HORECA) หมายถึงกลุ่มของผู้ประกอบธุรกิจ โรงแรม, ร้านอาหาร (Restaurant) แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือ ร้านอาหารที่เป็นแบรนด์ชั้นนำที่มีสาขาและร้านอาหารทั่วไป, ธุรกิจกาแฟ เบเกอรี่ และไอศกรีม และธุรกิจจัดเลี้ยง (Cafe’ and Catering)

 

 

[ชมคลิป] “ไทเป” จัดแคมเปญ “Undiscovered Taipei” ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย

กรมการท่องเที่ยวและการสื่อสารเมืองไทเป เจาะตลาดเมืองไทย เปิดตัวแคมเปญ “Undiscovered Taipei” (ไทเปที่คุณไม่เคยเห็น) กลางกรุงเทพฯ นำทีม 3 คนดัง “หยาง จื่ออี้” ดาราหนุ่มชาวไต้หวัน “หยาง เซิ่งเหยา” สุดยอดเชฟผู้โด่งดัง และ “มิ้นท์” บล็อกเกอร์นักเดินทางชาวไทยเจ้าของเพจ I ROAM ALONE ร่วมเติมเต็มประสบการณ์การท่องเที่ยวไทเปแนวใหม่ ชวนคนไทยลัดฟ้าไป “กิน-เที่ยว-ผ่อนคลาย” ในแบบอันซีน

นายหลิว อี้ถิง ผู้อำนวยการกรมการท่องเที่ยวและการสื่อสารเมืองไทเป ไต้หวัน เปิดเผยว่า นครไทเป (Taipei) เป็นเมืองหลวงของไต้หวันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์ ทั้งศิลปวัฒธรรม วิถีชีวิตของคนดั้งเดิม ตำนานของอาหาร ผสานกับความร่วมสมัยของถนนหนทางและศูนย์กลางการค้า จึงทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้มาเยี่ยมเยือนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องท่องเที่ยวชาวไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จากจำนวน 3.2 แสนคนในปี 2561 โดยพบว่าในปี 2562 ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน มีนักท่องเที่ยวไทยไปเยือนไทเปแล้วกว่า 232,909 คน เพิ่มขึ้นถึง 29.23%

กรมการท่องเที่ยวและการสื่อสารเมืองไทเป จึงได้เปิดตัวแคมเปญ “Undiscovered Taipei” (ไทเปที่คุณไม่เคยเห็น) ในกรุงเทพฯ เพื่อแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีนและกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจให้ชาวไทยได้ไปสัมผัสกับเสน่ห์ที่ไม่สิ้นสุดของเมืองไทเป พร้อมนำเสนอสิทธิพิเศษสุดคุ้มที่ร่วมกับแบรนด์ชั้นนำมามอบให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยอีกมากมาย

แคมเปญ “Undiscovered Taipei” (ไทเปที่คุณไม่เคยเห็น) เป็นความร่วมมือระหว่าง กรมการท่องเที่ยวและการสื่อสารเมืองไทเป กับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำ อาทิ สายการบินไชน่าแอร์ไลน์ โรงแรมบูติคในไทเป แบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม และผู้ผลิตของฝากชื่อดัง เพื่อร่วมกันสร้างทริปครั้งใหม่ในไทเปให้สนุก เพลิดเพลิด และตื่นตาตื่นใจมากกว่าที่เคย โดยได้จับมือกับ 3 คนดัง “มิ้นท์ มณฑล กสานติกุล” แบ็กแพ็คเกอร์สาวชาวไทย เจ้าของเพจ I Roam Alone ในฐานะทูตการท่องเที่ยวไทเป “หยาง จื่ออี้” ดาราหนุ่มและนักเดินทางสุดฮอตชาวไต้หวัน และ “หยาง เซิ่งเหยา” สุดยอดเชฟจากรายการอาหารอินเทรนด์ มาร่วมแชร์สถานที่ท่องเที่ยวสนุก ๆ และประสบการณ์สุดมันในไทเป

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวภายใต้แคมเปญ “Undiscovered Taipei” มุ่งเน้นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการผ่อนคลาย ตัวอย่างเช่น การเริ่มต้นวันที่สดใสและตกตะกอนความคิดของตัวเอง ด้วยการแช่น้ำพุร้อนเป่ยโถว บ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดในไต้หวันอายุกว่า 100 ปี ต่อด้วยการออกผจญภัยด้วยการเดินทางลัดเลาะไปในไทเปสตรีท โดยใช้ YouBike กินลมชมวิวในสวนสาธารณะเหอปิง โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีจะดอกไม้บานสะพรั่งทั่วทุกพื้นที่ แถมเห็นวิวแม่น้ำภูเขาอย่างใกล้ชิด จากนั้นก็สโลว์ไลฟ์ไปตามตรอกซอกซอยของเมืองไทเปเก็บความทรงจำที่สวยงามของคนท้องถิ่น โดยเฉพาะถนนชื่อเฟิง แหล่งรวมศิลปะอันมีสไตล์อย่าง อาคารสไตล์ตะวันตกสีขาวสะอาดตาของ ไทเปสปอต อนุสาวรีย์เก่าแก่หลายแห่งซุกซ่อนอยู่อย่าง อนุสาวรีย์ระดับสาม และ วัดคิชู วัดอายุกว่าร้อยปีที่สร้างขึ้นด้วยไม้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นโบราณแท้ ๆ และยังมี สวนสาธารณะเจวี๋ยซื่อสแควร์ ที่มีทิวทัศน์แบบพาโนรามาของน้ำตกทาสีสามมิติ และภูมิทัศน์สามมิติของสะพานลอยฟ้า จากนั้นตกเย็น ต้องไปที่ ท่าเรือต้าเต้าเฉิง ที่มีตลาดตู้คอนเทนเนอร์ริมน้ำ ที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกอันงดงามได้อย่างชัดเจน ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของไทเป ที่เต็มไปด้วยอาหารแสนอร้อยและพลาดไม่ได้ที่จะต้องมาเช็คอิน

ส่วนตัวเลือกโรงแรมที่พักเพื่อให้สอดคล้องกับความรู้สึกที่เน้นการออกแบบและประสบการณ์พิเศษที่ชาวไทยชื่นชอบ ขอแนะนำ “เพลย์ ดีไซน์ โฮเทล” ที่สามารถให้นักท่องเที่ยวจัดเฟอร์นิเจอร์ได้ตามใจชอบ และ “โช โฮเทล” ที่มีกลิ่นอายแห่งความคิดถึง มอบความรู้สึกที่แตกต่างในค่ำคืนแห่งการพักผ่อนในไทเปให้กับเหล่านักท่องเที่ยว

ในฐานะที่ไทเปเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของไต้หวัน จึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมที่สะดวกสบาย รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวดัง ๆ เช่น อุทยานแห่งชาติภูเขาหยางหมิงซานและน้ำพุร้อน รวมถึงอาหารอันอุดมสมบูรณ์ ย่านชอปปิง นิทรรศการศิลปะต่าง ๆ นอกจากนั้น พลเมืองที่มีความกระตือรือร้นและเป็นมิตร ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้สึกสบายใจและปลอดภัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวไทเป

แคมเปญ “Undiscovered Taipei” ยังมอบโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยอีกมากมาย อาทิ ส่วนลดตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพไทเป 10% ของสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ ซิมการ์ดฟรีสำหรับใช้งานในไต้หวัน และเป็นครั้งแรกที่ร่วมมือกับ KLOOK แพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ เพื่อมอบส่วนลดสุดคุ้มให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยัง มีโปรโมชั่นจากร้านอาหารอร่อย ๆ ชื่อดังทั่วไทเป อาทิ “ติ่น ไท่ ฟง” (Din Tai Fung) เนื้อย่างแบร์วัน ไก่ทอดจี หม้อไฟหลานถิง ขนมหวานฮั่วซื่อ เป็นต้น

นอกจากนี้ กรมการท่องเที่ยวและการสื่อสารเมืองไทเป ยังมีของขวัญสุดพิเศษจำนวนจำกัดมอบให้นักท่องเที่ยวชาวไทย (จำกัด 2000 ชิ้น) รวมถึงแบรนด์ท้องถิ่นชื่อดัง “ต้าชุน” ที่ได้ร่วมกับรัฐบาลเมืองไทเป มอบชุดกล่องของขวัญสบู่ทำมือสุดพิเศษจากต้าชุน 1 ชุด หรือแพ็คเกจตั๋วเดินทางในไทเปสุดสบาย (บัตรอีซี่การ์ดและตั๋วรถบัสสองชั้นทัวร์เมืองไทเป) เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์สุดคุ้มค่าตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินจนจบทริป

ติดตามชมสารคดีสุดมันที่ทั้ง 3 คนดังได้ร่วมเดินทางไปด้วยกันในไทเปแล้ววันนี้ผ่านช่องทาง https://www.youtube.com/watch?v=9bVKUcCrJTE พร้อมค้นค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวไทเปเพิ่มเติมได้ที่ https://www.travel.taipei/en หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Now@Taipei ได้ทั้ง iOS และ Android เพื่อการท่องเที่ยวที่ไม่สะดุดในไทเป

 

อนึ่ง ภายใต้แคมเปญ “Undiscovered Taipei” สายการบินไชน่าแอร์ไลน์ (China Airlines) ได้จัดโปรโมชันราคาพิเศษสำหรับผู้ที่จองตั๋วเครื่องบินเที่ยวบิน กรุงเทพฯ – ไทเป ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม –  8 กันยายน 2562

  • ลดทันที 19% สำหรับการจองผ่านเว็บไซต์หลักของสายการบินไชน่าแอร์ไลน์
  • รับฟรีซิมการ์ด 5 วัน สำหรับใช้เที่ยวในไต้หวัน

พร้อมกันนั้น เว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น KLOOK ยังจัดโปรโมชัน

  • Taipei Travel E-Voucher: KLOOK X China Airlines (จำกัดสิทธิ์เพียง 3,000 สิทธิ์เท่านั้น โดยร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2562) จองตั๋วเครื่องบินไปไต้หวันเมืองไทเปกับสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ ได้รับสิทธิ์ส่วนลดสูงสุด 8% (ราคาลดมากกว่า 400 บาท) เมื่อจองกิจกรรมต่าง ๆ บนเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน KLOOK ขั้นต่ำ 2,000 บาทต่อยอดจอง
  • Undiscovered Taipei Campaign Page (ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2562)

–           สมาชิกใหม่รับทันทีส่วนลด 5% มูลค่า 150 บาทขึ้นไป สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ในเมืองไทเป ต่อยอดการจองขั้นต่ำ 1,500 บาท (ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2562)

 

สดชื่นซ่า ท้าให้ลอง Qizz Sparkling Juice รสลิ้นจี่ น้ำผลไม้ผสมโซดา

บริษัท ชบาบางกอก จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำผลไม้ CHABAA เปิดตัวน้ำผลไม้รูปแบบใหม่ Qizz (คิซ) Sparkling Juice รสลิ้นจี่ น้ำผลไม้ผสมโซดา ทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคน้ำผลไม้ที่ต้องการความสดชื่น โดยไม่ต้องดื่มน้ำอัดลม เพราะ Qizz (คิซ) Sparkling Juice คือน้ำผลไม้แท้ผสมผสานกับโซดา เพิ่มความซ่า สดชื่น ทุกครั้งที่ได้ดื่ม ขนาด 230 มล. ราคา 15 บาท วางจำหน่ายแล้วที่ 7-Eleven ทุกสาขา

“ยามาฮ่า” เนรมิตงาน “XSR155 Sport Heritage District” เอาใจสาวกไบค์เกอร์รุ่นใหม่หัวใจเฮอริเทจ

ทุ่มทุนสร้างอีกครั้ง! เมื่อ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด นำโดย ‘วราธร เจนจรัสสกุล’ ผู้จัดการทั่วไปการตลาด กลุ่มสินค้ารถสปอร์ต จัดใหญ่รวมพลเหล่าไบค์เกอร์รุ่นใหม่นับพันที่หลงรักความทันสมัยและหลงใหลความเฮอริเทจร่วมงาน “XSR155 Sport Heritage District” โดยจำลองกลิ่นอายย่านเมืองเก่าพร้อมกิจกรรมสุดชิคมากมายให้สาวกสองล้อสายสปอร์ตได้ลองสัมผัสประสบการณ์สุดเฮอริเทจ ณ ล้ง 1919

‘วราธร เจนจรัสสกุล’ ผู้จัดการทั่วไปการตลาด กลุ่มสินค้ารถสปอร์ต

ภายในงาน “XSR155 Sport Heritage District” ได้เปิดโอกาสให้ชาวสองล้อได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมในโซนต่าง ๆ ของงาน ไม่ว่าจะเป็นโซนแกลอรี่โชว์รถจักรยานยนต์ในโซน Custom Bike Display นำรถ “All New Yamaha XSR155 Sport Heritage” ที่ถูกโมดิฟายด์เป็นรถแต่งสุดเท่ในแบบเฉพาะตัวมาโชว์ งานนี้เหล่าไบค์เกอร์ต่างก็แห่เข้าไปร่วมชมมากมาย แถมไม่พลาดงัดเอากล้องถ่ายรูปและมือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นแถว

นอกจากนี้แฟน ๆ ยังได้อิ่มอร่อยไปกับอาหารและเครื่องดื่มรสชาติเยี่ยมในโซนบาร์ยุค 70-80  และได้ชอปปิงอย่างจุใจกับร้านแฟชั่นเสื้อผ้าสไตล์เฮอริเทจ ก่อนจะถึงเวลาอันน่าตื่นเต้นกับ “XSR155 Fashion Runway” ยกทัพนางแบบนายแบบมาอวดโฉมความปังหลากหลายสไตล์แฟชั่น พร้อมด้วยสาวสวย “ฟ้าใส-ปวีณสุดา ดรูอิ้น” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2562 ที่มาสร้างสีสันบนรันเวย์ พร้อมกับการเปิดตัว “ALL NEW YAMAHA XSR155” ตกแต่งพิเศษจัดเต็ม สไตล์ Custom ตัวจริง เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราว

ต่อด้วยช่วงสัมภาษณ์พิเศษร้านแต่งรถชั้นนำอย่าง ZEUS Custom และ K-Speed ถึงแรงบันดาลใจ และที่มาของการแต่งรถ “All New Yamaha XSR155” ในแบบสุดเท่จัดเต็ม รวมถึงพูดคุยกับผู้นำสายแฟชั่นถึงเทรนด์ใหม่มาแรงที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความเฮอริเทจและแนวคิดด้านความเป็นสปอร์ตเฮอริเทจที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากความสำเร็จของรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าในตำนาน สู่รถจักรยานยนต์สปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุด “All New XSR155” จากยามาฮ่า

จากนั้นยังสนุกกันต่อกับมินิคอนเสิร์ตปิดท้ายงานจากศิลปินชื่อดัง “แมว-จีระศักดิ์ ปานพุ่ม” พร้อมกับ “น้องพิม-ฐิติยากร The Voice” นักร้องสาวเสียงใสคัฟเวอร์เพลง “ช้ำคือเรา” ที่มียอดวิวทะลุ 200 ล้านวิว และดีเจแบทเทิลระหว่าง “ดีเจหมึก” และ “ดีเจแม็พ” ที่ขนเพลงฮิตในอดีตมาผสมผสานกับดนตรียุคใหม่ทำเอาทุกคนที่มาร่วมงานในวันนี้ฟินกันถ้วนหน้า

เรียกว่า “ยามาฮ่า” ได้จัดอีเวนต์สร้างความสุขและความสนุกให้กับเหล่าไบค์เกอร์รุ่นใหม่หัวใจเฮอริเทจ แบบจัดเต็ม รับรองว่าครั้งต่อไปมีงานดี ๆ มาเซอร์ไพร์สกันอีกแน่นอน  สามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ www.yamaha-motor.co.th และ Facebook Fan Page : Yamaha society Thailand โดยผู้สนใจสามารถพบกับ “All New Yamaha XSR155 Sport Heritage” พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษได้ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ “ยามาฮ่า” ทั่วประเทศ.

“แม็งโกทรี” แตกไลน์บริการอาหารจานด่วน ตั้งเป้า 100 สาขาทั่วโลกในปี 2568

alivesonline.com : “แม็งโกทรี เวิลด์ไวด์” (Mango Tree Worldwide) ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยชั้นนำของไทย เผยแผนการขยายธุรกิจ เตรียมเปิดร้านอาหารไทยใหม่กว่า 50 แห่งในหลากหลายทำเลทั่วโลก ภายในสิ้นปี 2562 ก่อนเพิ่มเป็น 100 สาขาภายในปี 2568 พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมบริการอาหารจานด่วน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “แกร็บ แอนด์ โก” (Grab & Go) ในสนามบินและสถานีรถไฟทั่วโลก

นายเทรเวอร์ แม็กเคนซี กรรมการผู้จัดการ “แม็งโกทรี เวิลด์ไวด์” เปิดเผยว่า เครือแม็งโกทรี ประกอบด้วยแบรนด์ร้านอาหารที่หลากหลาย ตั้งแต่ “ภัตตาคารแม็งโกทรี” (Mango Tree restaurants) ที่ให้บริการอาหารเต็มรูปแบบ ไปจนถึง “แม็งโกทรี คาเฟ่” (Mango Tree Cafe) และ “แม็งโกทรี บิสโทร” (Mango Tree Bistro) ซึ่งเป็นบาร์และร้านอาหารไทยร่วมสมัยที่ให้บริการอาหารและเป็นแหล่งสังสรรค์ที่มีชีวิตชีวา โดยการขยายตัวของเครือแม็งโกทรี ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ “แม็งโกทรี คิทเช่น” (Mango Tree Kitchen) และ “แม็งโกทรี แกร็บ แอนด์ โก” (Mango Tree Grab & Go) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การให้บริการอาหารนอกสถานที่ในพื้นที่ที่มีการเดินเท้าสูง รวมถึงศูนย์กลางการขนส่ง

จากความความหลากหลายทางแผนธุรกิจสามารถทำให้บริษัทฯ สามารถขยายตลาดทุกกลุ่มตั้งแต่เมืองขนาดใหญ่ไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่เกิดขึ้นใหม่ทั่วโลก โดยล่าสุด เมื่อไม่นามานี้ได้เปิดตัว “แม็งโกทรี บิสโทร ฮากาตะ” (Mango Tree Bistro Hakata) ในเมืองฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นร้าน “แมงโก้ทรี” คอนเซ็บต์บิสโทรสาขาแรกในญี่ปุ่นและเป็นร้านอาหารไทยลำดับที่ 45 ของเครือฯ โดยมีแผนเตรียมขยายเพิ่มอีกเป็น 50 สาขาภายในสิ้นปี 2562 และตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็นสองเท่าเป็น 100 สาขา ภายในปี 2568

“แม็งโกทรี บิสโทร ฮากาตะ”

“แม็งโกทรี บิสโทร ฮากาตะ”

“แม็งโกทรี บิสโทร ฮากาตะ”

นายเทรเวอร์ กล่าวด้วยว่า แนวคิดร้านอาหารจานด่วนเพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบาย มุ่งเน้นไปที่เมนูอาหารจานเดียว อาทิ ผัดกระเพราเนื้อสับราดข้าวและไข่ดาว, ข้าวมันไก่, ผัดไทย ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเมนูที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย เหมาะสำหรับจำหน่ายในสนามบินและสถานีรถไฟ ร้านอาหารแบบนำกลับบ้านเหล่านี้ ให้บริการอาหารไทยที่ปรุงสดใหม่พร้อมกล่องสำหรับนักเดินทางที่สะดวกสบาย โดยสาขาที่เปิดให้บริการแล้ว ได้แก่ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ สถานีโตเกียว และอีก 5 แห่งในประเทศญี่ปุ่น

“แม็งโกทรี เป็นตัวแทนของอาหารไทยทั่วโลก ดังนั้น เราจึงมีวิสัยทัศน์ที่ดีเกี่ยวกับโอกาสในการเติบโต โดยคาดว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 40 ล้านคนที่จะหลั่งไหลเข้ามาประเทศไทยในปี 2562 ส่วนใหญ่จะกลับไปพร้อมความคิดถึงอาหารที่ขึ้นชื่อของประเทศไทย ซึ่งสิ่งนี้สร้างโอกาสที่ยอดเยี่ยมให้กับเรา ด้วยการนำเสนออาหารไทยต้นตำรับที่มีรสชาติเหมือนกับที่ทำในประเทศไทยให้กับพวกเขาเหล่านั้นนั่นเอง”

นายเทรเวอร์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันอาหารไทยไม่จำเป็นต้องเป็นมื้อพิเศษอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นอาหารสำหรับทุกวันที่สามารถเข้ากับชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็นความสดใหม่ ไม่หนักท้องจนเกินไป มีกลิ่นที่หอมกรุ่น และยังเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าอาหารจานด่วนแบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับพนักงานออฟฟิศและผู้ที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ เราหวังว่า แบรนด์ร้านอาหารไทยชั้นนำของเราจะได้เสิร์ฟอาหารที่ดีให้กับทุกคนและทุกที่

 

ทั้งนี้ จากผลสำรวจของ สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association หรือ IATA) ระบุว่า ในปี 2578 จะมีผู้โดยสารเดินทางโดยเครื่องบิน จำนวน 8.2 พันล้านคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 86% เมื่อเทียบกับปี 2561 โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตเร็วที่สุด ขณะที่ การขนส่งทางรถไฟในภูมิภาคก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะการเปิดตัวรถไฟความเร็วสูงสายใหม่ ๆ หลายประเทศในเอเชีย ดังนั้น แนวคิดของ “แม็งโกทรี คิทเช่น” และ “แม็งโกทรี แกร็บ แอนด์ โก” จึงจะส่งมอบอาหารไทยที่แสนอร่อยและสะดวกสบายให้กับนักเดินทางทุกคนทั่วโลก โดยที่ผ่านมา “แม็งโกทรี” ได้รับความสนใจจากผู้เชี่ยวชาญศูนย์กลางการท่องเที่ยวระหว่างประเทศอย่าง HMSHost, Lagadere และ SSP ซึ่งดำเนินกิจการหลายสาขาในสนามบินหลัก รวมถึงศูนย์กลางการท่องเที่ยวทั่วเอเชียแปซิฟิก

“แม็งโกทรี” ยังมีแผนยกระดับบาร์และร้านอาหารไทยสุดหรูเพื่อรองรับกลุ่มไฮเอนด์ในเมืองใหญ่ ๆ ได้แก่ “แม็งโกทรี กวางโจว” (Mango Tree Guangzhou) ตั้งอยู่ในศูนย์การเงิน CTF เมืองกวางโจว ประเทศจีน (Guangzhou CTF Finance Centre) บนอาคารสูง 530 เมตร ซึ่งได้รับรางวัลมิชลินเพลท (Michelin Plate) ในปีนี้ และ “แม็งโกทรี มุมไบ” (Mango Tree Mumbai) ประเทศอินเดีย ซึ่งได้รับเลือกให้เป็น “ร้านอาหารไทยที่ดีที่สุด” ของเมืองในงาน “Times Food and Nightlife 2019” โดยจีนและอินเดียยังคงเป็นตลาดเป้าหมายหลักของบริษัทฯ เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น รวมถึงได้ตั้งเป้าหมายขยายสาขาในทำเลศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญในภูมิภาคยุโรป และอยู่ในระหว่างเจรจาเพื่อขยายตลาดในตะวันออกกลาง ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดิอาระเบีย

นายเทรเวอร์ กล่าวในตอนท้ายว่า “แม็งโกทรี” ได้รับการยอมรับจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (Department of International Trade & Promotion หรือ DIPT) ของรัฐบาลไทย ซึ่งนับเป็นการตอกย้ำมาตรฐานอาหารไทยระดับโลกของ โดยเป็นผลจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลงาน พร้อมกันนั้นยังจัดให้มีทริปพ่อครัวทั่วโลกของเครือร้านอาหาร “แม็งโกทรี” ได้เดินทางมายังประเทศไทยเป็นประจำทุกปี เพื่อให้พวกเขาได้พบปะกับผู้ผลิตในท้องถิ่นและเรียนรู้แก่นแท้ของอาหารไทย โดยล่าสุดได้เดินทางไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ก่อนจะเปิดตัวเมนูใหม่ในทั่วโลกด้วยอาหารใต้ของไทย

อนึ่ง ปัจจุบัน “แม็งโกทรี” ดำเนินงานใน 14 ประเทศ ซึ่งนับเป็นผู้ส่งออกอาหารไทยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและด้วยแผนการขยายตัวอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้จะช่วยเปิดประสบการณ์ให้แก่นักชิมทั่วโลกได้รู้จักกับความเลิศรสของอาหารไทยทั้งรสชาติและกลิ่นอันหอมกรุ่นอย่างแท้จริง

“แม็งโกทรี” สาขาสุรงศ์

 

 

“อมตะ” จับมือ “ดีป้า” พัฒนาบุคลากรยุคดิจิทัลรับสมาร์ทซิตี้ 1.8 แสนคนใน 5 ปี

alivesonline.com : นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ร่วมมือ กับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เปิดตัว  “ห้องเรียนรู้อัจฉริยะ” แห่งแรกในนิคมฯ อมตะซิตี้ หวังเป็นศูนย์กลางพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลรองรับเมืองอัจฉริยะแห่งแรกของไทยในพื้นที่อีอีซี พร้อมโชว์โมเดลเมืองแห่งอนาคตใน “อมตะ สมาร์ท ซิตี้ โชว์เคส” มุ่งเพิ่มทักษะด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลให้บึคลากร 1 หมื่นคนต่อปี พร้อมพัฒนาบุคคลมีความรู้ทั้งในระดับทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลระดับมืออาชีพ 4 หมื่นคนต่อปี ก่อนก้าวสู่เป้าหมายพัฒนาบุคคลไทยมีความเป็นเลิศด้านดิจิทัล 1 แสนคนใน 2 ปี และเพิ่มเป็น 1.8 แสนคนภายใน 5 ปี

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวในงานพิธีเปิดห้องเรียนรู้อัจฉริยะ (DEPA AMATA Smart Classroom) และAMATA SMART City Showcase นิคมอมตะซิตี ชลบุรี ว่า การพัฒนาเทคโนโลยีที่กลุ่มอมตะ ได้ดำเนินการถือเป็นส่วนสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ตามนโยบายยุทธศาสตร์ 20 ปี ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรที่จะต้องให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่จะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิต ส่งผลให้ไทยมีขีดความสามารถการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

“การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย เป็นหนึ่งใน 12 นโยบายหลักของรัฐบาลซึ่งโครงการนี้ตอบโจทย์ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการเรียนการสอนออนไลน์แบบเปิดที่หลากหลาย เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้ตอบสนองกับความต้องการตลาดแรงงานในอนาคต สอดคล้องกับแนวทางในการพัฒนาประเทศยุคเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งอนาคต หรือยุค 4.0”

ด้าน นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ อมตะ ได้ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ “ดีป้า” (DEPA) ในการเปิดห้องเรียนรู้อัจฉริยะ (DEPA AMATA Smart Classroom) และ AMATA SMART City Showcase ซึ่งตั้งอยู่ที่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เพื่อเตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัลโดยต้องเร่งพัฒนาบุคคลากรที่สามารถรองรับกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี ) ที่ต้องก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม ในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิต ส่งผลให้ไทยมีขีดความสามารถการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

“โครงการห้องเรียนรู้อัจฉริยะนับเป็นความร่วมมือภาครัฐและเอกชน ถือเป็นครั้งแรกของอมตะ ในความความร่วมมือกับภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมในเป้าหมายการพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีให้ได้ 1 แสนคนในระยะ 2 ปีข้างหน้า โดยเริ่มต้นจากปี 2562 ที่คาดว่าจะสามารถให้การฝึกอบรมบุคลากรได้ทันทีจำนวน 1.2 หมื่นคน”

ในส่วนของความคืบหน้า การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (สมาร์ทซิตี้) คาดว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการต่าง ๆ ภายใต้สมาร์ทซิตี้ ในปลายปี 2562 หลังจากที่ได้ร่วมมือกับหน่วยงาน สถาบันการศึกษา และองค์กรจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น สวีเดน และ จีน ซึ่งประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่มีความเชี่ยวชาญ และให้ความสำคัญในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีใช้งบประมาณสูงถึง 3.8-4.6 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP ) ขณะที่ไทยเริ่มให้ความสำคัญในการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยี และปัจจุบันได้เตรียมพร้อมการลงทุนในระบบสาธารณูปโภค เพื่อการวิจัยและพัฒนาโดยเฉพาะการเพิ่มพูนทักษะของบุคลากรให้สามารถรองรับกับภาคการผลิตที่มีการใช้เทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น ซึ่งแรงงานไทยเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ สามารถยกระดับความรู้ความสามารถให้ทัดเทียมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และเป็นเทคโนโลยีที่เป็นเฉพาะทางมากยิ่งขึ้น

ในการเปิดตัวห้องเรียนอัจฉริยะครั้งนี้ยังได้มีการจัดแสด แผนการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ ในรูปแบบ “อมตะ สมาร์ท ซิตี้ โชว์เคส” ซึ่งเป็นพื้นที่จัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเมืองอมตะสมาร์ทซิตี้ โดยมีบริษัทชั้นนำเข้าร่วมจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม อาทิ Yokohama Urban Solution Alliance (YUSA), Jiangsu Smart City Construction Management, SAAB, Nissan, Delta, Hitach iLumada Center เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ได้มีการจัดทำเป็นโมเดลเพื่อชี้ให้เห็นรูปแบ และการวางระบบสาธารณูปโภค ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ

ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า DEPA ให้การสนับสนุนโครงการห้องเรียนรู้อัจฉริยะ ในพื้นที่นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาทรัพยากรบุคคลในภาคอุตสาหกรรมให้มีทักษะด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มขึ้น 1 หมื่นคนต่อปี และมีเป้าหมายระดับประเทศในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลทั้งในระดับทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Literacy Skill และระดับมืออาชีพ หรือ Professional Skill ประมาณ 4 หมื่นคนต่อปี โดยภายใน 5 ปีจากนี้ประเทศไทยจะมีทรัพยากรบุคคลด้านดิจิทัลทั้งสิ้น 1.8 แสนคน

[ชมคลิป] ม.มหิดล จัดงาน “MAHIDOL R-I-SE NOW” โชว์นวัตกรรมตอบยุทธศาสตร์ Thailand 4.0

alivesonline.com : มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงาน “Mahidol R-I-SE NOW” ครั้งแรก นำแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่โดดเด่น ตอบสนองยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 ต่อยอดองค์ความรู้สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ย้ำแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ศึกษาสถานการณ์และบริบททั้งจากภายในประเทศและของโลกในทุกมิติ พร้อมหนุนการผลิตงานวิจัยและงานนวัตกรรมคุณภาพสูง มีผลกระทบในระดับสากล โดยการสร้างกลุ่มวิจัยหลายรุ่นแบบสหสาขา สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อสังคมและเชิงพาณิชย์

https://www.facebook.com/alivesonline/videos/440222743237886/UzpfSTEwMDAwMTEyMDkzODgxOToyNDE5MDg0NTU4MTM4ODg1/

เมื่อวันที่ 23-24 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนโยธี กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม ร่วมกับ กองบริหารงานวิจัยและกองกิจการนักศึกษา ได้จัดงาน “MAHIDOL R-I-SE NOW” Research & Innovation Special Exhibition งานแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมหาวิทยาลัยมหิดล เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม “มหิดล” เป็นชื่อมหาวิทยาลัย โดยภายในงานมีการแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่โดดเด่นตอบสนองยุทธศาสตร์ของประเทศในการขับเคลื่อน Thailand 4.0 อย่างเป็นรูปธรรมกว่า 90 บูธ พร้อมกับเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ในหลากหลายหัวข้อ โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อุดม คชินทร สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานในพิธีพร้อมปาฐกถาพิเศษเรื่อง “พลิกฟื้นประเทศไทย ด้วยวิจัยและนวัตกรรม” เพื่อให้ผู้ร่วมงานเข้าใจถึงนโยบายภาครัฐ ตลอดจนกระบวนการทำงานโดยใช้การวิจัยและนวัตกรรมต่าง ๆ เป็นตัวผลักดันเพื่อพัฒนาประเทศชาติให้เติบโตทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ รวมทั้งเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันให้สูงขึ้นทัดเทียมกับนานาชาติ

ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อุดม คชินทร สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ประธานในพิธี

ศาสตราจารย์ นพ.บรรจง มไหสวริยะ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นสถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตและผลงานวิจัยที่มีคุณภาพในหลากหลายสาขาวิชา มุ่งผลิตผลงานต่าง ๆ ที่มีศักยภาพสูงตามนโยบายการพัฒนาประเทศ จึงมีแผนยุทธศาสตร์ระยะ 20 ปีคือ ตั้งแต่ปี 2561-2580 เพื่อให้ทิศทางและนโยบายการพัฒนามหาวิทยาลัยมีความชัดเจน สอดคล้องและตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาประเทศ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเร่งปรับตัวหาทางรับมือกับสิ่งที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น โดยมีการศึกษาถึงสถานการณ์และบริบททั้งจากภายในประเทศและของโลกในทุกมิติ โดยเฉพาะในมิติที่จะส่งผลต่อการพัฒนามหาวิทยาลัยในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงสถานการณ์ความท้าทายต่าง ๆ เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด, การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ, การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ, การเปลี่ยนแปลงและความเหลื่อมล้ำทางสังคม เป็นต้น

มหาวิทยาลัยมหิดล ยังต้องเข้าสู่การแข่งขันในเวทีโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ในหลายปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศไทย จากสถาบันจัดอันดับมหาวิทยาลัยของโลกหลายสถาบัน แต่ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์สำคัญคือ Global Research & Innovation ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สนับสนุนให้มีการผลิตงานวิจัยและงานนวัตกรรมคุณภาพสูง มีผลกระทบในระดับสากล โดยการสร้างกลุ่มวิจัยหลายรุ่นและแบบสหสาขา (Multi-generation Researcher & Multidisciplinary) โดยใช้วิธีการปรับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลและจัดตั้งกองทุนสนับสนุน

“มหาวิทยาลัยมหิดล ยังมีการสร้างความร่วมมือกับโครงการวิจัยนานาชาติแบบสหสถาบัน หรือ Global Connectivity และสร้างระบบสนับสนุนการวิจัยที่ครบวงจรจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ หรือ Research Value Chain ด้วยการวิจัยแบบ Demand – Driven ที่ได้ข้อมูล หรือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ภาคเอกชน รวมถึงผู้ใช้ผลงานวิจัยจากชุมชนที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทั้งในระดับ Global & Social Impact สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อสังคมและเชิงพาณิชย์ โดยตัวอย่างผลงานด้านนวัตกรรมต่าง ๆ ได้นำมาแสดงในงาน MAHIDOL R-I-SE NOW ครั้งนี้” ศาสตราจารย์ นพ.บรรจง กล่าวในตอนท้าย

ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ ภัทรชัย กีรติสิน ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล (iNT) กล่าวว่า ในปี 2562 เป็นโอกาสอันดีที่มหาวิทยาลัยมหิดลครบรอบ 50 ปีแห่งวันพระราชทานนามและ 131 ปีมหาวิทยาลัยมหิดล นับตั้งแต่ครั้งเริ่มก่อตั้ง “ศิริราชพยาบาล” และมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ จึงเห็นสมควรให้มีการจัดงานนิทรรศการแสดงความก้าวหน้าของมหาวิทยาลัยทั้งด้านศาสตร์และศิลป์ เพื่อแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในความมุ่งมั่นของ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่จะสร้างงานวิจัยและนวัตกรรมที่ช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย รวมถึงการเปิดรับฟังความคิด ข้อเสนอแนะจากภาคประชาชน ภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจ เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงอย่างมีบูรณาการกับมหาวิทยาลัยในการสร้างความร่วมมือในงานวิจัยพัฒนาที่จะนำไปสู่การส่งเสริมเศรษฐกิจที่มั่นคงอย่างยั่งยืนของประเทศ

ภายในงาน “MAHIDOL R-I-SE NOW” จึงมีการจัดแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นไฮไลต์จากทุกคณะและสถาบันของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยแบ่งเป็นโซนที่จะสร้างความสนใจแก่ผู้เข้าชมได้หลากหลาย อาทิ โซนด้านการแพทย์และสุขภาพ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ รวมถึงการแสดงนวัตกรรมที่ทันสมัยและพร้อมสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีมากกว่า 90 บูธ เพื่อให้ภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรมนำไปใช้ประโยชน์แก่สังคมต่อไป อีกทั้งยังมีการจัดแสดงของบริษัทสตาร์ทอัปต่าง ๆ ที่พร้อมสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน

นอกจากนั้นยังมีการนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมของอาจารย์ นักวิจัย และนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยมหิดลอีกหลากหลายประเภท อาทิ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ชุดตรวจทางห้องปฏิบัติการ หุ่นยนต์ เทคโนโลยี และสมองกลเพื่อช่วยพัฒนาด้านการแพทย์และความเป็นอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อสังคมและชุมชน รวมถึงผลงานด้านวัฒนธรรมและดนตรีที่ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี รวมไปถึงอาหารเสริมสุขภาพและอาหารเพื่อผู้ป่วย อาทิ อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่พัฒนาจากถั่วและธัญพืชในธรรมชาติ, พุดดิ้งผัก อาหารเพื่อผู้สูงอายุที่สูญเสียฟัน รวมถึงเด็กที่รับประทานทานผักได้ยาก, ถั่งเช่าสีทองซึ่งเพาะเลี้ยงด้วยวิธีการพิเศษให้สารอกฤทธิ์สูงกว่าถั่งเช่าปกติ ซึ่งผลงานต่าง ๆ นี้ นอกจากจะช่วยให้เกิดความก้าวหน้าในสังคมไทยที่จะทัดเทียมนานาชาติแล้ว ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศและสนับสนุนนโยบาย Thailand 4.0 ได้อย่างตรงเป้าหมาย

ภายในงาน “MAHIDOL R-I-SE NOW” ยังจัดให้มีเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ในหลากหลายหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ ปาฐกถาเรื่อง “อว. กระทรวงใหม่กับโฉมใหม่ของงานวิจัย – นวัตกรรม” โดย รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อแสดงให้เห็นถึงบทบาทหน้าที่การทำงานของกระทรวงฯ พร้อมพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมของไทยด้วยภาพลักษณ์ใหม่ด้วยแนวคิดที่เท่าทันโลก, ปาฐกถาเรื่อง “ทุนวิจัยเพื่อนวัตกรรม สร้างคนและองค์ความรู้แห่งอนาคต” โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ พูดคุยเรื่องเงินทุนเพื่องานวิจัย เพื่อสร้างความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม มุ่งหวังเพื่อการพัฒนาเสริมศักยภาพผู้ทำงานวิจัยให้เข้มแข็ง พร้อมต่อยอดองค์ความรู้เพื่อการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน และการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศต่อไป

(จากซ้ายไปขวา) ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ ภัทรชัย กีรติสิน ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล (iNT) รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และ ศาสตราจารย์ นพ.บรรจง มไหสวริยะ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนาในหัวข้อทางวิชาการที่จะสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน อาทิ “กัญชาไทยกับทิศทางที่ท้าทาย” โดย ดร.เปรมวิทย์ จรีเวฬุโรจน์ ที่ปรึกษาอธิการบดีฝ่ายวิจัยและวิชาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อให้สังคมได้เข้าใจกฎข้อบังคับการใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างถูกต้อง รวมถึงทิศทางการปลูกกัญชาในเชิงพาณิชย์ที่เป็นข้อถกเถียงในปัจจุบัน, เสวนาวิชาการหัวข้อ “วิจัยนอกกรอบ : กรณีศึกษาวัคซีนมาลาเรีย” โดย ดร.เจตสุมน สัตตบงกช ประจำศรี รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดอย่างมากในวงการโรคมาลาเรีย เพื่อพูดคุยถึงความก้าวหน้าของการวิจัยไทยในการคิดค้นวัคซีนสำหรับโรคมาลาเรีย โรคติดต่อจากยุงก้นป่องสู่มนุษย์ ที่มีเฉพาะในเขตร้อนชื้นเท่านั้นและไม่สามารถอาศัยสัตว์ทดลองในการวิจัยได้ นอกจากนี้ยังมีการเสวนาแนวคิดจากภาคเอกชนเพื่อสร้างความร่วมมือกันอย่างเป็นบูรณาการอีกด้วย

ขณะเดียวกันยังมีเวทีเสวนาจากภาคเอกชนเพื่อสร้างคุณภาพต่อยอดผลงานวิจัยสู่เส้นทางการบูรณาการองค์ความรู้ที่หลากหลาย อาทิ เสวนาเรื่อง “Digital Disruption กับนวัตกรรมแห่งโลกการเงิน (ใกล้ตัวคุณ)” โดย นายกิตติภัทร์ ดำรงปราชญ์ ทีมดิจิทัล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) พูดคุยถึงการพัฒนาของนวัตกรรมดิจิทัลที่จะมาแทนที่การทำงานในระบบเดิม ๆ พร้อมการปรับตัวเพื่อเข้าสู่ยุคการเงินดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ, เสวนาเรื่อง “สานฝันด้วยศาสตร์และศิลป์กับหมอตั้ม” โดย “หมอตั้ม นายแพทย์ดิษกุล ประสิทธิ์เรืองสุข” ผู้มากความสามารถ จากเวที MasterChef Thailand SS2 และ Cleo Bachelors 2018 พูดคุยหมอหนุ่มผู้มีใจรักในการทำอาหาร ถึงแนวความคิด ในการใช้ความรู้ทางการแพทย์ผสานเข้ากับการสร้างสรรค์อาหารได้อย่างลงตัว

ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ ภัทรชัย กล่าวในตอนท้ายว่า ในงาน “MAHIDOL R-I-SE NOW” ยังได้เปิดโอกาสทางความคิดให้แก่นักเรียน นักศึกษา ทั่วประเทศ บนเวทีการประกวดไอเดียสร้างสรรค์ ในหัวข้อ “Smart Health” นำเสนอการใช้เทคโนโลยี หรือแนวคิดที่หลากหลายในการสร้างนวัตกรรมส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของคนไทย โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างนวัตกรรมมาช่วยกันให้ข้อเสนอแนะ พร้อมจัดให้มีการประกวด รวมถึงประกาศผลและมอบรางวัล เมื่อวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2562 โดยไอเดียที่สร้างสรรค์ในเวทีนี้จะมีโอกาสได้รับการต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ หรือระบบทางการแพทย์ที่สามารถสร้างชีวิตที่ดีให้กับคนไทยหรือระดับโลกได้อีกด้วย

 

 

 

ชอปสินค้าดีจาก SMEs ไทย

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จับมือสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงาน “มหกรรมงานแสดงและจำหน่ายสินค้าเกษตรแปรรูปสู่โลกอุตสาหกรรม” จากผู้ประกอบการ SMEs ไทย ทั้งกลุ่มอาหารเครื่องดื่มและกลุ่มผลผลิตทางการเกษตร สับปะรด กระเทียม จากทั่วประเทศ ซึ่งผ่านการคัดสรรและได้เป็น Product Champion ที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยี มาพัฒนาเป็นสินค้าเกษตรแปรรูปสู่เชิงพาณิชย์

ขอเชิญประชาชนและผู้สนใจได้ร่วม ช็อป ชิม อย่างจุใจ กับผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการท้องถิ่นตัวจริง อาทิ เนื้อทุบรสแซ่บ ไส้อั่วสมุนไพรผสมบุกรสหม่าล่า ปลาอินทรีย์ทรงเครื่อง ขิงแผ่นอบกรอบ ไอศกรีมไวน์สับปะรด สับปะรดแช่แข็ง สับปะรดอบน้ำผึ้ง กระเทียมผง ระหว่างวันที่ 20-26 สิงหาคม 2562 เวลา ‪10.00-21.00‬ น. ณ ลานกิจกรรมหน้าลิฟท์แก้วชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ปิ่นเกล้า ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมทาง https://www.facebook.com/OSMEP/