ดันเอสเอ็มอีอัญมณีและเครื่องประดับไทยตีตลาดโลก

alivesonline.com : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พร้อมจัดงาน “Bangkok Gems & Jewelry Fair” ครั้งที่ 63 วันที่ 20-24 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ชูแนวคิด “Thailand’s Magic Hands” มหัศจรรย์แห่งหัตถาช่างศิลป์ไทย ดึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีฝีมือดีทั่วประเทศ 120 รายร่วมแสดงศักยภาพโชว์ผู้ซื้อกลุ่มเป้าหมายจากทั่วโลก คาดคำสั่งซื้อในงานไม่ต่ำกว่า 2.4 พันล้านบาท

นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยเป็นอีกหนึ่งส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ช่างฝีมือและแรงงานในภาคอุตสาหกรรมถึง 1.2 ล้านคน โดยในปี 2561 การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับรวมทองคำ มีมูลค่าถึง 383,713 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.74 ของการส่งออกทั้งหมดจากประเทศไทย ทั้งยังมีการขยายตัวถึงร้อยละ 7 จึงนับเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศไทยอย่างมาก

อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังถือว่ามีศักยภาพสูงตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ภาครัฐจึงมีนโยบายผลักดันให้เป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลก หรือ Jewelry Hub โดยเน้นจุดแข็งคือช่างไทยมีทักษะและฝีมือประณีตในการออกแบบและขึ้นรูปเครื่องประดับ โดยเฉพาะการเผาพลอย ทำสี และตั้งน้ำพลอย ขณะที่ประเทศไทยยังถือเป็นตลาดการค้าพลอยสีที่ใหญ่แห่งหนึ่งของโลก โดยในส่วนของผู้ส่งออกยังมีความเข้าใจตลาด และผู้ค้าในตลาดก็รู้จักประเทศไทยมากกว่าคู่แข่ง

หนึ่งในช่องทางการตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ตามที่ภาครัฐ โดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน ร่วมกันจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีคือ “งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ” หรือ “Bangkok Gems & Jewelry Fair” ซึ่งจัดขึ้นปีละสองครั้งและจัดต่อต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 63 ถือเป็นเวทีการค้าที่สำคัญที่นักธุรกิจ ผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับทั่วโลกเข้าร่วมงานเพื่อต่อยอดธุรกิจในหลากหลายมิติ ทั้งการสรรหาวัตถุดิบ การค้าขาย และสร้างเครือข่ายพันธมิตร

สำหรับงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 63 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-24 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “Thailand’s Magic Hands” มหัศจรรย์แห่งหัตถาช่างศิลป์ไทยที่เชิดชูความงดงามประณีตของช่างฝีมือไทยที่สร้างสรรค์ชิ้นงานตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคระดับสากลได้อย่างลงตัว พร้อมมุ่งส่งเสริมความโดดเด่นของฝีมือการผลิตสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลก (Jewelry Hub) ต่อยอดการผลิต สู่การออกแบบ การสร้างนวัตกรรมและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศอย่างครบวงจร

การจัดงาน Bangkok Gems and Jewelry ครั้งที่ 63 จะมีผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ส่งออกชั้นนำของไทยและต่างประเทศกว่า 130 ประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 800 ราย มาจัดแสดงสินค้ารวมกว่า 1.8 พันคูหาครอบคลุมทุกประเภทสินค้า โดยคาดว่า การจัดงานครั้งนี้จะมีนักธุรกิจและผู้ซื้อต่างชาติเข้าร่วมงานประมาณ 2 หมื่นคน ก่อให้เกิดการสั่งซื้อภายในงานไม่ต่ำกว่า 2.4 พันล้านบาท

“การจัดงานครั้งนี้ยังถือเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมศีกยภาพและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งขนาดใหญ่และเอสเอ็มอีที่ต้องการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ โดยจะมีโอกาสได้พบปะกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเจรจาการค้า รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักออกแบบหน้าใหม่ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพด้านการออกแบบผ่านทางผลงานเครื่องประดับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสู่สายตาของผู้ซื้อกลุ่มเป้าหมายจากทั่วโลก”

ภายในงานยังมีกิจกรรมและโอกาสทางการค้าเจาะตลาดหลากหลายกลุ่ม อาทิ นิทรรศการ “The New Faces” แสดงสินค้าเครื่องประดับจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยจากภูมิภาคต่าง ๆ มากกว่า 120 รายอันถือเป็นการเชื่อมโยงผู้ประกอบการจากภูมิภาคสู่สากล นิทรรศการ “The Niche Showcase” นำเสนอเครื่องประดับเฉพาะกลุ่ม นิทรรศการ “The Jewellers” แสดงสินค้าจากกลุ่มดีไซเนอร์ที่มีผลงานออกแบบสร้างสรรค์และนวัตกรรมสินค้าจากโครงการพัฒนานักออกแบบไทยสู่ตลาดโลก และ “Innovation and Design Zone” ที่นำเสนอสินค้าที่มีการออกแบบที่ดี มีนวัตกรรมการผลิต ตลอดจนวัตถุดิบที่โดดเด่นและน่าสนใจ รวมทั้งยังมีกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การสัมมนาและการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ การสาธิตกระบวนการทำอัญมณีและเครื่องประดับ ตลอดจนการบริการตรวจสอบอัญมณี เป็นต้น

ผู้สนใจสามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์ www.bkkgems.com หรือโทร.สายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169

 

 

“ดีป้า” ผนึก “ม.เกษตรฯ” เปิดสถาบันพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลเพื่อ EEC

alivesonline.com : สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ร่วมกับม.เกษตรฯ วิทยาเขตศรีราชา เปิด Digital Academy Thailand มุ่งสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน AI และ Data Sciences เข้าสู่อุตสาหกรรมดิจิทัล และเกิดการพัฒนาแรงงานขั้นสูงด้านดิจิทัลในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก พร้อมจับมือ “หัวเว่ย” เปิดตัวโครงการทดสอบ 5G Testbed ที่ อ.ศรีราชา คาดทำให้เกิดการใช้ loT, AI, เครือข่ายคลาวด์ และนวัตกรรมอื่น ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ได้ร่วมมือกันจัดตั้งสถาบันพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลเพื่อ EEC หรือ Digital Academy Thailand (DAT) สร้างบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน AI และ Data Sciences เข้าสู่อุตสาหกรรมดิจิทัล อีกทั้งพัฒนาความรู้ขั้นพื้นฐานและขั้นสูง เพื่อให้สามารถทำงานกับเครื่องมือประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งยังต้องมีการสร้างผู้เชี่ยวชาญที่สามารถดึงความสามารถของ AI และ Data Sciences มาใช้ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC

โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากความร่วมมือของทั้ง 2 ฝ่าย โดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ depa ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ ส่วนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ให้การสนับสนุนพื้นที่และกำลังคนในการผลักดันเพื่อให้เกิดสถาบันแห่งนี้ โดยคาดหวังว่าสถาบันแห่งนี้จะผลิตบุคลากรด้านดิจิทัลที่มีคุณภาพ สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความมั่นคงในพื้นที่ EEC ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต

ด้าน ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ในฐานะผู้ดำเนินโครงการสถาบันไอโอที และคณะทำงานเตรียมการและทดสอบเทคโนโลยี 5G กล่าวว่า การจัดตั้งสถาบัน DAT ซึ่งเป็นโครงการเพื่อการพัฒนาแรงงานขั้นสูงด้านดิจิทัล สำหรับเขตพื้นที่ EEC โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรม AI เพื่อสร้างความสามารถของอุตสาหกรรมที่เป็น new S-curve ในการใช้เทคโนโลยีด้าน AI และ Data Sciences อันจะสามารถต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงอื่นๆ เช่น IoT, Robotics และเพื่อพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดิจิทัล อันจะนำไปสู่การยกระดับแรงงานในพื้นที่ EEC โดยการฝึกอบรมระยะสั้นเพื่อปรับทักษะ (Reskill) ในหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยโครงการนี้จัดอยู่ในหมวดอุตสาหกรรมดิจิทัล มีมูลค่าโครงการ 63 ล้านบาท โดย depa สนับสนุนผ่านมาตรการ Infra Fund 50 ล้านบาท มีระยะเวลาในการดำเนินการ 3 ปี ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา

depa ยังได้ร่วมมือกับ “หัวเว่ย” (Huawei) ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เตรียมความพร้อมองค์กรภาครัฐและเอกชนไทย สร้างโอกาสทางธุรกิจจากเทคโนโลยี 5G พร้อมเตรียมดึงหน่วยงานผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ร่วมเปิดตัวการทดสอบการใช้งาน 5G อย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นแห่งแรกในภูมิภาค โดยการทดสอบการใช้งาน (Testbed) มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นพันธมิตรด้วย เช่น CAT TOT กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และ EEC

“การพัฒนาในช่วงแรกอาจจะจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มก่อน เช่น การใช้เทคโนโลยี 5G ในการรักษาคนไข้ หรือ Connected Car ในอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังจากนั้นจะค่อย ๆ กระจายออกไป ทั้งนี้ คาดว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็นแกนหลักสำคัญในการเชื่อมต่ออุปกรณ์นับพันล้านชิ้นเข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดการใช้ loT, AI, เครือข่ายคลาวด์ และนวัตกรรมอื่น ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อันจะช่วยขับเคลื่อนความมุ่งหวังของรัฐบาลไทยให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัลได้เร็วขึ้นและกลายเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคในอนาคตได้อย่างแน่นอน” ดร.ณัฐพล กล่าวในตอนท้าย

ถอดบทเรียน “ออลล์ อินสไปร์” ทำอย่างไรจึงเป็น “Employer of Choice”

alivesonline.com : การก้าวข้ามจากการเป็นเพียง “สถานที่ทำงาน” มาสู่ “บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย” ทำให้ “ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ก้าวขึ้นสู่บริษัทผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง ด้วยความตั้งใจที่จะส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการดำรงชีวิตทุกความต้องการของลูกค้าและเป็น “Class of Living ชีวิตที่มีระดับ คือชีวิตที่คุณเลือกเอง” ในแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ได้อย่างครบถ้วน

การก้าวสู่ปีที่ 6 ในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ “ออลล์ อินสไปร์ฯ” จึงเป็นการก้าวกระโดดอย่างมั่นคงและเติบโต ด้วยเหตุผลทางธุรกิจที่โดดเด่นในข้อที่ว่า “ออลล์ อินสไปร์ฯ” มีเป้าหมายอย่างเด่นชัดในการเลือกที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ในรัศมีสถานีขนส่งมวลชนระบบรางและทำเลที่มีศักยภาพสูง รวมไปถึงการพัฒนาและออกแบบโครงการที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตได้จริง

บทพิสูจน์อันแข็งแกร่งของกลยุทธ์นี้พิสูจน์ได้จากการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ “ดิ เอ็กเซล”, “ไรส์” และ “อิมเพรสชั่น” ที่เปิดขายเมื่อใดก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเสมอ

‘ธนากร ธนวริทธิ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ให้เหตุผลว่า นอกจากกลยุทธ์หลักในการเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องแล้ว กลยุทธ์ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคลก็สำคัญเช่นกัน เพราะหนึ่งในการแข่งขันที่ยั่งยืนคือการให้ความสำคัญกับบุคลากร การรักษาและพัฒนาความสามารถ พร้อมทั้งดึงศักยภาพในตัวของบุคลากรออกมาให้เหมาะสมกับคนกับงานที่เขาได้รับมอบหมาย พนักงานจะรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าในองค์กร ดังที่บริษัทฯ มีการจัดเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มทักษะในด้านต่าง ๆ ของพนักงานอย่างสม่ำเสมอ

การสร้างความภูมิใจและความผูกพันกับองค์กรจึงเป็น “ตัวเชื่อม” ระหว่างองค์กรกับพนักงานให้มีความภักดีต่อองค์กร โดย “ออลล์ อินสไปร์ฯ” มีวัฒนธรรมองค์กรในรูปแบบของการทำงานที่ช่วยเหลือกัน ทำให้พนักงานมุ่งมั่นและทุ่มเทสติปัญญา อีกทั้งบรรยากาศในที่ทำงานที่ตั้งใจให้เป็นเสมือนบ้านที่ 2 ของพวกเขา

“สภาพแวดล้อมที่ดีจะส่งผลให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์และมีความสุข พร้อมที่จะถ่ายทอดสิ่งดี ๆ ลงไปในผลงานที่ทำ ดังนั้นจะเห็นว่า สถานที่แห่งนี้มีพื้นที่ที่เป็น Co – Working Space ที่สามารถนั่งทำงานตรงไหนก็ได้ โดยได้จัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกและสันทนาการ อาทิ ไอศกรีม โต๊ะพูล ห้องโทรศัพท์ในลักษณะแบบส่วนตัว ห้องประชุมหลากหลายขนาด ซึ่งเราให้พนักงานมีส่วนร่วมตั้งชื่อห้องประชุมด้วย แม้แต่การมี Napping Room ให้หลับพักผ่อนสายตาในยามอ่อนล้า พนักงานทุกคนมีสิทธิ์ใช้อย่างเท่าเทียมกัน”

การให้รางวัล (Reward) ยังถือเป็นแรงจูงใจให้พนักงานทำงานให้กับองค์กรอย่างเต็มกำลังความสามารถ พนักงานเกิดแรงกระตุ้นทางบวกในการทำงาน อย่างทุก ๆ ปีบริษัทฯ จะจัดงานเลี้ยงประจำปี เพื่อเป็นการขอบคุณพนักงานสำหรับการทุ่มเททำงานเพื่อบริษัทมาตลอดปี โดยภายในงานนอกจากมีของรางวัลมากมาย แต่ปีนี้พิเศษกว่าทุก ๆ ปี เพราะมีการจัดคอนเสิร์ตแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะพนักงานของบริษัทฯ ให้ได้สนุกกับศิลปินที่ได้ชื่อว่าเป็นตำนานนักร้องตัวพ่อ อย่าง “เจ เจตริน”

การที่จะก้าวสู่ “บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย” ยังต้องคำนึงถึง “ความสำเร็จหรือเป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้” องค์กรและพนักงานมีส่วนร่วมในการตั้งวัตถุประสงค์ที่อยากทำให้สำเร็จ หรือเป้าหมายที่อยากเดินทางไปให้ถึง โดยตัวชี้วัดที่จะบอกเราว่าเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้นอย่างไรคือการตั้งเป้าหมายให้แต่ละคน โดยเป้าหมายของทุก ๆ คนสอดคล้องกันทั้งองค์กร เพื่อผลักดันองค์กรให้บรรลุเป้าหมายในภาพรวมได้

“การลงทุนตั้งแต่การสรรหา การเสนอโอกาสที่ดีในการทำงานและการรักษาบุคลากร การทำให้พนักงานอยู่กับองค์กรไปนาน ๆ โดยมีการวัดความพึงพอใจและรับฟังความคิดเห็นของพนักงานเพื่อนำมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

นี่จึงเป็นอีกบทเรียนทางการตลาดของการดำเนินธุรกิจของ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยว่า การวางโรดแมปตลอดระยะเวลา 3 ปี สู่การเป็น “Employer of Choice” หรือองค์กรในฝันที่คนอยากทำงานด้วย การตั้งเป้าที่จะเป็นองค์กรที่นิสิตนักศึกษา หรือผู้กำลังหางานนึกถึงเป็นอันดับแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์…ใกล้จะเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้นี้

BEAUTY เปิดฉากรุกตลาดเครื่องสำอางจีนเต็มรูปแบบ

 alivesonline.com : เผยตลาดเครื่องสำอางจีนใหญ่กว่าไทย 18 เท่า มูลค่าทะลุ 1.2 ล้านล้านบาท BEAUTY จับมือพันธมิตรแดนมังกร “Carrot Mall” ดันสินค้า 5 รายการเจาะตลาดค้าปลีกและออนไลน์ พร้อมเพิ่มช่องทางจำหน่ายรูปแบบ Cross Border e-Commerce ในพื้นที่เขตการค้าเสรี 13 เมืองใหญ่ เน้นนำสินค้ามาพักไว้แบบไม่ต้องเสียภาษี หวังใช้กลยุทธ์การตลาด O2O ขยายตลาดต่อเนื่อง

ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้นำธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวภายใต้แนวคิด “Live A Beautiful Life” เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาแต่งตั้ง Carrot Mall ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในช่องทางค้าปลีกและออนไลน์รายใหญ่ เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า Scentio Milk Plus Whitening Q10 Facial Foam ผ่านช่องทางตลาดหลัก (General Trade) แต่เพียงผู้เดียวในประเทศจีน (Mainland China) เนื่องจากเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าไทย 18 เท่าตัว ขณะที่สินค้าของบริษัทฯ ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคจีนมากและมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงต่อจากนี้ไปบริษัทฯ จึงจะทำงานร่วมกันกับตัวแทนจำหน่ายทั้งด้านกลยุทธ์การตลาด โปรโมชัน และอื่น ๆ เชื่อมโยงทุกเครื่องมือการตลาดเข้าหากัน โดยชูจุดเด่นด้านคุณภาพและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดขายและสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง โดยปัจจุบันสินค้าของบริษัทฯ มีจำนวน 5 เอสเคยู ได้รับการรับรองจาก China Food and Drug Administration (CFDA) หรือองค์การอาหารและยา (อย.) ของประเทศจีนเรียบร้อยแล้วและจะทยอยได้รับการอนุมัติเพิ่มเติมในปีนี้

การได้รับเครื่องหมาย อย. ประเทศจีน นอกจากจะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ยังทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและสร้างยอดขายได้ดีในกลุ่มลูกค้าจีน สามารถขยายไปยังช่องทางการขายอื่น ๆ เช่น ช่องทางตลาดหลักที่ประกอบด้วยช่องทางออฟไลน์ เช่น เทรดดิชั่นนัลเทรด, คอนวีเนียนสโตร์, โมเดิร์นเทรด ฯลฯ และช่องทางออนไลน์ที่เป็นเว็บไซต์อี-คอมเมิรซ์ต่าง ๆ ที่จัดจำหน่ายสินค้าในประเทศจีน โดยตลาดเครื่องสำอางของประเทศจีนถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มากและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมีมูลค่าตลาดรวมสูงกว่า 1.2 ล้านล้านบาท

บริษัทฯ ยังได้มีการขยายช่องทางการจำหน่ายในรูปแบบ Cross Border e-Commerce (CBEC) ซึ่งถือเป็นโอกาสใหม่สำหรับการค้าออนไลน์ในจีนที่รัฐบาลจีนมีมาตรการสนับสนุนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง โดยรัฐบาลจีนมีการเปิดคลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse) ในพื้นที่เขตการค้าเสรี 13 เมืองใหญ่ (ข้อมูล ณ ปี 2560 ) เช่น เมืองต้าเหลียน, เหอเฟย, เฉิงตู, ชิงเต่า และซูโจว เพื่อให้ผู้ค้าออนไลน์นำสินค้ามาพักไว้แบบไม่ต้องเสียภาษี เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อสินค้าแล้วต้องนำสินค้าออกจากคลังจึงเสียภาษีในอัตราพิเศษ โดยในปี 2561 บริษัทฯ มีสินค้าวางจำหน่ายแล้วจำนวน 7 แพลตฟอร์ม ส่วนในปี 2562 มีแผนเพิ่มอีก 2 แพลตฟอร์มและยังจะขยายจำนวนสินค้าเข้าจำหน่ายอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

ดร.พีระพงษ์ กล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ในประเทศจีนผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การจำหน่ายผ่านช่องทาง Cross Border e-Commerce หรือการซื้อขายออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม การจำหน่ายผ่านช่องทางตลาดหลัก (General Trade) ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการจำหน่ายทั้งแบบค้าปลีกและค้าส่งผ่านลูกค้ารายย่อย หรือนักท่องเที่ยวจีน โดยใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ O2O (Online to Offline Synchronization) ในการช่วยกระตุ้นยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อว่าช่องทางจำหน่ายใหม่จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้นจากการหาซื้อผลิตภัณฑ์ได้สะดวกและแพร่หลาย

 

 

รพ.พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ พร้อมบริการเต็มรูปแบบ มี.ค.62

alivesonline.com : “พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์” เผยความคืบหน้าการพัฒนา “โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ” เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรีโนเวตอาคาร 5 ชั้น โดยยังคงเปิดให้บริการรักษาผู้ป่วยตามปกติ พร้อมบริการเต็มรูปแบบเดือนมีนาคม 62 ชูศักยภาพในการตรวจรักษาผู้ป่วยทั่วไปและอุบัติเหตุฉุกเฉินทุกรูปแบบ พร้อมบริการศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน “หัวใจ-ทางเดินอาหาร-ซีเนียร์แคร์-ศัลยกรรมความงาม” ตั้งเป้าเป็นโรงพยาบาลระดับอินเตอร์เนชั่นแนล รองรับทั้งลูกค้าคนไทยและกลุ่มลูกค้าต่างชาติในอนาคต

ดร.สาธิต วิทยากร ประธานคณะกรรมการ บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจหลักด้านธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและการบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชน เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการพัฒนาอาคารโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ถ.บางนา-ตราด จ.สมุทรปราการ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรีโนเวตส่วนต่าง ๆ ของอาคาร 5 ชั้น โดยยังคงเปิดให้บริการรักษาผู้ป่วยตามปกติ โดยการรีโนเวตอาคาร 5 ชั้น กำหนดให้เป็นแผนก OPD และศูนย์การแพทย์ต่าง ๆ คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนมีนาคม 2562 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ให้บริการตรวจและรักษาผู้ป่วย รวมถึงการให้บริการทางการแพทย์อย่างครบวงจร

โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6.5 ไร่ ประกอบด้วยอาคารสูง 5 ชั้น ห้องพักผู้ป่วยขนาด 200 เตียง ให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไปแก่ผู้ป่วยนอกและศูนย์การรักษาเฉพาะทางต่าง ๆ อาทิ ศูนย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจ ศูนย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร ศูนย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมและความงาม โดยอาคารดังกล่าวเชื่อมต่อกับอาคารโรงพยาบาลสูง 16 ชั้นที่จะให้บริการกับผู้ประสบอุบัติเหตุฉุกเฉินและการบาดเจ็บทุกรูปแบบ รวมถึงบริการซีเนียร์แคร์สำหรับผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ

 

“ในส่วนของการบริหารงานในโรงพยาบาลจะเน้นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ผู้ป่วยและการบริหารจัดการองค์กรอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าหมายให้เป็นโรงพยาบาลระดับอินเตอร์เนชั่นแนล รองรับทั้งลูกค้าคนไทยและกลุ่มลูกค้าต่างชาติในอนาคต”

ปัจจุบัน “พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์” มีโรงพยาบาลเครือข่ายที่เปิดให้บริการแล้ว 5 แห่ง ใน 4 จังหวัด ได้แก่ โรงพยาบาลปากน้ำโพ 1 และโรงพยาบาลปากน้ำโพ 2 จ.นครสวรรค์ โรงพยาบาลพิษณุเวช จ.พิษณุโลก โรงพยาบาลสหเวช จ.พิจิตร และโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ถนนบางนา-ตราด จ.สมุทรปราการ โดยในปี 2562 จะเปิดดำเนินการเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี จ.อุทัยธานี และโรงพยาบาลพิษณุเวช อุตรดิตถ์ จ.อุตรดิตถ์

โรงแรมแคนทารี เสนอ 3 ทางเลือกฉลองคืนโรแมนติก 14 กุมภาพันธ์

ห้องอาหารนิมมาน บาร์ & กริล โรงแรมแคนทารี ฮิลส์ เชียงใหม่ เชิญคุณและคนพิเศษมาสัมผัสบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักกับมื้อค่ำใต้แสงเทียนสุดประทับใจในเทศกาลอาหารบุฟเฟ่ต์ฉลองวันวาเลนไทน์ในวันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 18.00-22.00 น. ราคาเพียงท่านละ 690++ บาท (รวมสปาร์คกลิ้งไวน์ 1 แก้ว) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่งได้ที่ โรงแรมแคนทารี ฮิลส์ เชียงใหม่ โทร.0 5322 2111 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.kantarycollection.com

 

ห้องอาหารดิ ออร์ชาร์ด โรงแรมแคนทารี 304 ปราจีนบุรี ขอเชิญคุณฉลองเทศกาลวาเลนไทน์กับครอบครัวและคนที่คุณรักกับ “เทศกาลบุฟเฟ่ต์อาหารอิตาเลี่ยน” ที่คัดสรรเมนูรสเลิศและวัตถุดิบชั้นดีโดยเชฟชาวอิตาเลี่ยนมาเติมเต็มความสุขให้คุณอิ่มอร่อยจุใจ ทั้งพิซซ่าแป้งบางกรอบอบใหม่ ๆ พาสต้าเส้นสดหลากหลายเมนู รวมทั้งเมนูอร่อยอีกมากมายพร้อมของหวานนานาชนิด ในราคาเพียง 650 บาท (สุทธิ) ต่อท่าน เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ลดครึ่งราคา ตั้งแต่วันที่ 12-14 กุมภาพันธ์ 2562 สำหรับมื้อค่ำเท่านั้น (18.00–22.00 น.) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงแรมแคนทารี 304, ปราจีนบุรี โทร.0 3723 9777 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.kantarycollection.com

ห้องอาหาร แคลิฟอร์เนีย สเต็ก โรงแรมแคนทารี อยุธยา เชิญคุณมาดื่มด่ำกับอาหารค่ำสไตล์บุฟเฟ่ต์ ในบรรยากาศโรแมนติกคืนแห่งความรัก วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 โดยเชฟได้บรรจงคัดสรรเมนูพิเศษพร้อมของหวานสุดประทับใจ เพื่อให้เป็นค่ำคืนสุดพิเศษสำหรับคุณและคู่รัก ในราคาเพียง 750 บาท (สุทธิ)/ท่าน รวมสปาร์กลิ้งโรสไวน์ 1 แก้ว) เวลา 18.00-22.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงแรมแคนทารี อยุธยา โทร.0 3533 7177 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.kantarycollection.com

ฉลองดินเนอร์วันวาเลนไทน์กับอาหารอิตาเลียนมื้อพิเศษใจกลางกรุง

สลัดล็อบสเตอร์กับซอสส้ม

ร่วมฉลองค่ำคืนโรแมนติกกับคนที่คุณรัก ณ ห้องอาหารนัมเบอร์ 43 อิตาเลียน บิสโทร โรงแรมเคปเฮ้าส์ กรุงเทพฯ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 ตั้งแต่เวลา 18.00–24.00 น. ดื่มด่ำกับคืนวันวาเลนไทน์ด้วยดินเนอร์สุดหรูเมนูอร่อยสไตล์อิตาเลียน โดยเชฟชาวอิตาเลียนที่รังสรรค์เมนูพิเศษพร้อมเสิร์ฟถึง 5 คอร์ส อาทิ ซุปใสเนื้อรสกลมกล่อมนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย ตามด้วยสลัดล็อบสเตอร์กับซอสส้ม แล้วเติมความหวานอมเปรี้ยวกับไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ซอร์เบท ก่อนลิ้มรสเมนูเด็ดปลานิลทะเลย่างเสิร์ฟพร้อมซอสเลมอน ตบท้ายค่ำคืนแห่งความสุขด้วยช็อกโกแลตมูส ในราคาเพียงท่านละ 980++ บาท

สำรองที่นั่งล่วงหน้า ติดต่อ โรงแรมเคป เฮ้าส์ กรุงเทพฯ โทร.0 2658-7444 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.capecollection.com

ปลานิลทะเลย่างเสิร์ฟพร้อมซอสเลมอน

 ช็อกโกแลตมูส

 

ครบรอบ 24 ปี ร้านอาหารญี่ปุ่น “อะคิโยชิ”

(จากซ้ายไปขวา) ‘สุรศักดิ์ รุ่งเรืองสัมฤทธิ์’ ผู้จัดการแผนกควบคุมคุณภาพ, ‘ธนธรณ์ โชคคณาพิทักษ์’ ผู้จัดการโครงการ, ‘เชฟฮิโรคาซุ อูเอฮาร่า’, ‘ศรีหทัย ไพรสานฑ์กุล’ รองประธานกรรมการบริษัท อะคิโยชิ จำกัด, ‘สุรไกร ไพรสานฑ์กุล’ กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัทในเครือไทยซิน, ‘จารุเพชร จรรยา’ ผู้จัดการแผนกพัฒนาองค์กร และ ‘ดุษฎี เอกานุกุล’ หัวหน้าแผนกการตลาด ร่วมฉลองครบรอบ 24 ปี ร้านอาหาร “อะคิโยชิ” พร้อมเปิดบ้านต้อนรับสื่อมวลชน ตอกย้ำรสชาติความอร่อยต้นตำรับญี่ปุ่นของชาบู ชาบู – สุกี้ยากี้ พร้อมแนะนำเมนูใหม่ปิ้งย่างอะคิยากิ ในบรรยากาศหรูหราร่วมสมัยที่ถูกปรับปรุงใหม่ที่สาขาพระโขนง และเปิดบริการลูกค้าแล้วทั้ง 6 สาขา ที่ พระโขนง, เอเชียทีค, สยามสแควร์วัน, เซ็นทรัลเวสต์เกต, เซ็นทรัลอีสต์วิลล์, สเปลล์ แอท ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต โดยในช่วงกลางปี 2562 เตรียมเปิดให้บริการเพิ่มอีกที่จามจุรีสแควร์

“คูลิเนอร์” ชวนลิ้มรสหลากหลายเมนูสุดพิเศษ ต้อนรับเดือนกุมภาพันธ์

โรงเรียนศิลปะการอาหารและผู้ประกอบการ “คูลิเนอร์” ณ ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม ต้อนรับเดือนกุมภาพันธ์ กับเมนูของหวานสุดมงคลเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน พร้อมชวนมาเรียนทำขนม ให้เทศกาลแห่งความรักนี้อบอวลไปด้วยความรักและกลิ่นขนมกับเมนูสุด (สูตร) พิเศษที่คัดสรรเป็นอย่างดีจากร้านอาหาร “การ์นิช” ร้านอาหาร “เฟลเวอร์” และร้านเบเกอรี่ “เกลซ”

เริ่มกันที “การ์นิช” ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ มุ่งเน้นในการรักษาคุณภาพและมาตรฐานของรสชาติอาหารและบริการภายในร้านระดับสากลกับเมนูประจำเดือนกุมภาพันธ์ “ดั๊กกงฟี” (Duck Confit) เมนูสุดคลาสสิกจากชาวฝรั่งเศสกับชิ้นน่องเป็ดที่ตุ๋นในน้ำมันที่ควบคุมอุณหภูมิต่ำเป็นเวลานาน จนได้หนังกรอบเนื้อเป็ดนุ่มใน สัมผัสนุ่มฉ่ำละลายลิ้น เสิร์ฟร้อนพร้อมผักกวางตุ้ง แครอท และสมุนไพรนานาชนิด ในราคาเพียง 290 บาท

Duck Confit

ฟาก “เฟลเวอร์” ร้านอาหารบรรยากาศผ่อนคลายกับเมนูสไตล์ Grab & Go ในราคาสุดคุ้มเริ่มต้นเพียง 60 บาท อีกหนึ่งตัวเลือกเพื่อความสะดวกสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เหมาะสำหรับไลฟสไตล์เร่งรีบกลางใจเมือง

อิ่มท้องอย่างเดียวไม่พอ ต้องอิ่มใจด้วย ร้านเบเกอรี่ “เกลซ” ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนต้อนรับปีหมูทอง “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้” กับ 2 เมนูของหวานสุดมงคล “ส้มทองนำโชค” (Orange Fortune) รสชาติพิเศษจากยูสุครีมที่ทำมาจากส้มญี่ปุ่นที่มีรสเปรี้ยว หวาน และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว พร้อมกับผิวเลม่อนและทองคำบริสุทธิ์ และขนมเสริมมงคลสุดพิเศษ (Celebration Pastry) ที่นำเอารสชาติเข้มข้นของดาร์กช็อกโกแลตมาผสมผสานเข้ากับราสเบอร์รี วางบนมาการองเนื้อนุ่มอัดแน่น อร่อยเต็มคำด้วยรสชาติของผลไม้แท้ ๆ มอบความอร่อยแทนอั่งเป่าและความโชคดีให้ลูกค้าแล้ววันนี้จนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้เท่านั้น กับขนมหวาน 2 ชิ้น ในราคาเพียง 288 บาท และคุ้มกว่ากับเซ็ตขนม 4 ชิ้น ในราคา 488 บาท

Orange Fortune

Celebration Pastry

“คูลิเนอร์” เป็นสถาบันการศึกษาด้านอาหารชั้นนำในประเทศไทยที่มีหลักสูตรครอบคลุมทางด้านศิลปะการอาหาร การคิดวิเคราะห์ การบริหารจัดการธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารของคนรุ่นใหม่ พร้อมสร้างนักนวัตกรรมเพื่อธุรกิจอาหารในอนาคต โดยมีหัวใจสำคัญ 4 ประการคือ ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ นวัตกรรมที่ทันสมัย การเป็นผู้ประกอบการที่ดี และการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้ง

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2090 2807 และ 0 2090 2808

เดอะ “นาคา” รับรางวัลโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เดอะ นาคา ไอแลนด์ อะลักชัวรี่ คอลเลคชั่น รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต ได้รับรางวัลโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) ระดับดีเยี่ยม (ระดับทอง) ประจำปี 2562 โดยได้เข้ารับตราสัญลักษณ์ G-Green ระดับดีเยี่ยม (ระดับทอง) โดยได้รับเกียรติจาก พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานในพิธี เป็นผู้มอบรางวัล ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพ เมื่อเร็ว ๆ นี้