กลุ่มเกษตรกร ยื่นข้อเสนอนโยบายรัฐบาลชุดใหม่

alivesonline.com : ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย ร่วมกับ กลุ่มผู้รวบรวมข้าวโพดหวานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสหกรณ์การเกษตร จันทบุรี แนะนโยบายรัฐชุดใหม่ ยึดเกษตรกรเป็นหลัก ลดเอื้อกลุ่มทุน พยุงราคาสินค้าเกษตร ลดต้นทุนการผลิต พร้อมเร่งแก้ปัญหาการใช้สารเคมี

นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เกษตรกรในประเทศไทยไม่สามารถตั้งราคาผลผลิตเองได้ แต่พ่อค้าคนกลางเป็นผู้กำหนด ดังจะเห็นได้จากราคาน้ำมันปาล์ม ปัจจุบัน โรงงานรับซื้ออยู่ที่กิโลกรัมละ 2.20 บาท แต่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 3.38 บาท เห็นได้ชัดว่าเกษตรกรอยู่ในภาวะขาดทุน จึงอยากให้ กระทรวงพาณิชย์ สร้างความเป็นธรรมให้สินค้าราคาเกษตร ไม่ใช่เปลี่ยนกลไกตลาดเพื่อกลุ่มทุน

ขณะเดียวกัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องการช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิต การหาเทคโนโลยี วิธีการต่าง ๆ มาช่วยเกษตรกร ตัวอย่างที่ผ่านมาความไม่แน่นอนจากนโยบายการใช้สารเคมีเกษตร เช่น พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ทำให้เกิดการลดปริมาณนำเข้าโดยไม่มองความเป็นจริง ส่งผลให้ราคาสารเคมี 3 ตัวแพงขึ้นทันที ทั้ง ๆ ที่กระทรวงฯ ควรดูแลเกษตรกร ต้องมองเห็นความจำเป็นสำหรับเกษตรกร ไม่เชื่อข้อมูลที่บิดเบือน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีผลต่อสุขภาพในเกษตรกรกลุ่มปาล์ม เพราะใช้มานานกว่า 40 ปี ควรเน้นการให้ความรู้ เพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง เพราะยังไม่มีสารทดแทน รวมทั้งสารเคมีกลูโฟซิเนตที่แนะนำให้ใช้แทนนั้นจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีผลกระทบในระยะยา และราคาแพงกว่า 5 เท่า นับเป็นการทำร้ายเกษตรกรและผู้บริโภคยิ่งกว่าเดิม

ด้าน นายอนุวัฒน์ อิ่มสมบูรณ์ เลขานุการสหกรณ์การเกษตรจังหวัดจันทบุรี ในฐานะผู้ปลูกทุเรียนส่งออก กล่าวเสริมว่า อยากให้นโยบายเกษตรของรัฐบาลชุดใหม่เน้นเรื่องมาตรการส่งออก ภาษี และแรงงาน เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลสามารถดำเนินการเรื่องราคาสินค้าเกษตรในส่วนของผู้ผลิตทุเรียนได้ดีแล้ว แต่ความไม่ชัดเจนเรื่องนโยบายการใช้สารเคมีเกษตรกรกลับส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคการผลิตที่ขาดแคลนแรงงานอยู่แล้ว เนื่องจากกระแสข่าวการใช้สารเคมีเกษตร ทำให้เกิดการกักตุนผลผลิตจนมีราคาสูงขึ้น สารเคมีผิดกฎหมายถูกนำเข้ามามากขึ้น แนวทางแก้ไขที่เหมาะสมจึงควรเป็นการให้คำแนะนำเรื่องการใช้ มากกว่าการยกเลิก หรือลดการนำเข้าอย่างถูกกฎหมาย จึงอยากให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับกระบวนการผลิตของเกษตรในแต่ละพืชปลูกให้ดีก่อนออกมาตรการดังเช่นที่ผ่านมา

นายทนงศักดิ์ ไทยจงรักษ์ กลุ่มผู้รวบรวมข้าวโพดหวานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาของกลุ่มคือ การกีดกันทางภาษีและการค้าในกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากปัญหาศัตรูพืชและภัยแล้งธรรมชาติ ดังนั้น การจัดการเรื่องมาตรการส่งออกสินค้าเกษตร ควบคู่ไปกับการวางแผนระบบชลประทานเพื่อภาคการเกษตร จะช่วยเกษตรกรได้มากขึ้น เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถปลูกในพื้นที่ระบบชลประทานเข้าถึงได้ เพราะที่ดินมีราคาสูง จึงต้องเพาะปลูกในพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งศัตรูพืชที่มีอยู่ตลอดช่วงการเพาะปลูกทำให้จำเป็นต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยเกษตรกรข้าวโพดหวานส่วนใหญ่เข้าสู่ระบบมาตรฐานเกษตร GAP แล้ว ผลผลิตจึงอยู่ในมาตรฐานความปลอดภัย ผู้ผลิตและผู้บริโภคไม่ต้องกังวล ดังนั้น นโยบายที่ออกมาจำกัดการใช้สารกำจัดวัชพืช จึงเป็นต้นเหตุและมีปัญหาต่อต้นทุนการผลิต

“เกษตรกรเห็นด้วยกับภาครัฐที่ส่งเสริมให้ความรู้ด้านการใช้อย่างถูกต้อง แต่ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกร ต้องให้เวลาจัดการแบบค่อยค่อยไป ทำให้เกษตรกรยอมรับที่จะปรับตัว จะเป็นทางออกที่ยั่งยืนที่สุด” นายทนงศักดิ์ กล่าวในที่สุด

“นอสตร้า ลอจิสติกส์” แนะธุรกิจลอจิสติกส์ยุคดิจิทัลปรับตัวใช้ Big Data

alivesonline.com : “นอสตร้า ลอจิสติกส์” เผยข้อมูลสถิติเดือนมิถุนายน 2562 มีรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุกขนส่งที่จดทะเบียนติดตั้งจีพีเอสแล้ว 374,476 คัน เพิ่มมากขึ้นเฉลี่ย 168 รายต่อวัน ส่งผลให้มีจำนวน Big Data ด้านการขนส่งและลอจิสติกส์ที่สำคัญเป็นจำนวนมหาศาล แต่กลับไม่มีการนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้างประโยชน์ แนะธุรกิจขนส่งยุคดิจิทัลให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ Data Analytics Platform ช่วยตั้งโจทย์ทางธุรกิจและลำดับความสำคัญของการจัดเก็บข้อมูล

นางสาวปิยวดี หงษ์ภักดี ผู้อำนวยการส่วนผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ภายใต้ชื่อโซลูชัน “นอสตร้า ลอจิสติกส์” (NOSTRA Logistics) บริษัท จีไอเอส จำกัด ในกลุ่มบริษัทซีดีจี เปิดเผยว่า จากข้อมูลสถิติเดือนมิถุนายนปี 2562 ของกรมการขนส่งทางบก มีรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุกขนส่งที่จดทะเบียนติดตั้งจีพีเอสแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้น 374,476 คัน นับตั้งแต่กรมการขนส่งทางบกมีมาตรการบังคับใช้เมื่อปี 2559 และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเฉลี่ย 168 รายต่อวัน ส่งผลให้มีข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data ด้านการขนส่งและลอจิสติกส์ที่สำคัญจำนวนมหาศาล แต่กลับไม่มีการนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้างประโยชน์ ธุรกิจขนส่งยุคดิจิทัลจึงควรให้ความสำคัญกับ Data Analytics Platform ที่ใช้จัดการข้อมูลการขนส่งให้พร้อมสำหรับการทำ Big Data Analytics เพื่อค้นหาความเชื่อมโยงและตอบโจทย์ทางธุรกิจด้วย Data Insight ข้อมูลสำคัญที่องค์กรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

“จากการให้บริการลูกค้า เราเห็นแนวโน้มปัญหาของการจัดการฐานข้อมูลระบบ GPS ในหน่วยงานต่าง ๆ ด้วยสาเหตุที่มีผู้ให้บริการระบบ GPS ที่หลากหลายในตลาด ส่งผลให้ลูกค้าบางองค์กรมีรถที่ใช้ระบบ GPS จากผู้ให้บริการหลายราย ทำให้ประเภทของข้อมูลและระบบที่ใช้ภายในองค์กรแตกต่างกัน การนำมารวมเพื่อใช้งานไม่สามารถทำได้ หรือมีความยุ่งยากมาก ไม่มีการจัดระบบและรวบรวมให้เป็นฐานข้อมูลที่นำมาใช้งานร่วมกันได้ หรือแม้แต่ลูกค้าบางองค์กรมีระบบงานขนส่งอื่น ๆ ที่ต้องการใช้ข้อมูลร่วมกัน แต่ไม่มีการเชื่อมต่อระบบก็ไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบ GPS ได้”

Data Analytics Platform จึงเป็นตัวช่วยอุดช่องว่าง ด้วยการรวบรวมฐานข้อมูลที่กระจัดกระจายให้อยู่บนฐานข้อมูลเดียวกัน ช่วยลำดับความสำคัญในการจัดเก็บข้อมูลตามต้องการ เพื่อสามารถนำมาใช้วิเคราะห์ หาข้อมูลเชิงลึก หรือ Data Insight นำไปใช้ในการแก้ไขปัญหา หรือใช้ประกอบการตัดสินใจให้สามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจในด้านต่าง ๆ

นางสาวปิยวดี กล่าวอีกว่า บริษัทฯ จึงได้พัฒนาบริการ NOSTRA Logistics Data Analytics Platform ให้เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้จัดการข้อมูลสำหรับธุรกิจขนส่ง ตั้งแต่การนำเข้าข้อมูลจากอุปกรณ์และเซ็นเซอร์หลากหลายแหล่งที่มา จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและตัวแปรต่าง ๆ ออกมาเป็นข้อมูล Data Insight ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกจากงานขนส่งภายในธุรกิจ ที่สำคัญคือสามารถพิจารณาผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลายได้ภายในแพลตฟอร์มเดียวกัน ผ่าน Dashboard ช่วยแก้ปัญหาการจัดการฐานข้อมูลภายในองค์กร และพร้อมสำหรับการทำ Big Data Analytics ที่ช่วยค้นหาข้อมูลเชิงลึกจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาและแนวโน้มที่เป็นไปได้จากการเรียนรู้ข้อมูลในอดีต จึงนำไปใช้ในการบริหารและจัดการให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจได้มากกว่าข้อมูลการติดตามรถโดยทั่วไป

การทำ Data Insight องค์กรต้องเริ่มจากโจทย์ หรือปัญหาทางธุรกิจเป็นพื้นฐานในการเก็บข้อมูล เพราะ Big Data ได้จากข้อมูลเก่า หรือ Historical Data สามารถสรุปข้อมูลในอดีตเพื่อใช้คาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่ง Data Analytics Platform จะช่วยจัดเก็บข้อมูลตามลำดับความสำคัญและตอบโจทย์ปัญหาทางธุรกิจขนส่ง เช่น ข้อมูลจากการติดตามรถ พิกัด ระยะทาง ระยะเวลา พฤติกรรมการขับขี่และข้อมูลที่มาจากเซ็นเซอร์และอุปกรณ์เทเลเมติกส์ นำมาประกอบเพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ เพื่อคาดการณ์แนวโน้ม การแจ้งเตือน รวมถึงให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ธุรกิจ เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหา ตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ตลอดจนวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจและพัฒนาปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานขนส่งและลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้

“จากตัวอย่างข้อมูลที่เกิดจากการทำ Data Analytics และ Data Insight ของระบบ NOSTRA Logistics เช่น Shipment Report & Dashboard ที่สรุปจำนวนรายการ Shipment และวิเคราะห์ประสิทธิภาพการจัดส่งในแต่ละรอบการวิ่งงานผ่านกราฟ พร้อมระบุสาเหตุหากการจัดส่งล่าช้า เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารจัดการและวางแผนปรับปรุงการจัดส่งให้ดีขึ้น หรือ Driver Performance Analytics Report ที่วิเคราะห์ข้อมูลการขับรถของพนักงานหลังจบทริปขนส่ง เพื่อให้ผู้จัดการงานขนส่งมีข้อมูลในการวางแผนและปรับปรุงการทำงานของพนักงานขับรถ และสามารถพูดคุยแก้ไขปัญหาได้ตรงประเด็นขึ้น ตลอดจนรายงานอื่น ๆ ที่ช่วยประเมินการทำงานและการแจ้งเตือน เช่น Alert & Safety Report ทำให้รู้ตำแหน่งรถขนส่งและพฤติกรรมการขับรถ อีกทั้งการวิเคราะห์และแจ้งเตือนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น” นางสาวปิยวดี กล่าว

อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีการขนส่งและลอจิสติกส์กำลังอยู่ในระหว่างการก้าวผ่านยุค Big Data และ Internet of Thing (IoT) ผู้ประกอบการในธุรกิจขนส่งและลอจิสติกส์ต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อการทำดิจิทัลทรานฟอร์มเมชั่นซึ่งไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเท่านั้น แต่คือการปรับเปลี่ยนธุรกิจโดยนำกลยุทธ์ดิจิทัลซึ่งตอบโจทย์ทางธุรกิจมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อสร้างคุณค่า หรือการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล

“การใช้ประโยชน์จาก Big Data ได้จริงไม่ใช่เพียงเรื่องของการจัดทำฐานข้อมูล แต่เป็นการสร้างโอกาสให้เข้าใจธุรกิจตนเองได้ดีขึ้นกว่าเดิมเพื่อช่วยปรับปรุงกระบวนการได้ดีขึ้นด้วย การทำ Data Analytics ที่สามารถวิเคราะห์ผลได้แม่นยำและถูกต้อง โดยการจัดเก็บข้อมูลเป็นระบบบน Data Analytics Platform ช่วยให้เกิด Data Insight ที่เป็นข้อมูลเชิงลึกสามารถนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ หรือแก้ปัญหาการทำงานในธุรกิจขนส่งได้จริง” นางสาวปิยวดี กล่าวในตอนท้าย

DITP เร่งปั๊มยอดส่งออกสินค้าแฟชั่นเพิ่มขึ้น 1%

alivesonline.com : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผยยอดส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับครึ่งปีแรก 62 ทะลุ 7.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เตรียมแผนพาผู้ประกอบการคว้าโอกาสกลางวิกฤติสงครามการค้าสหรัฐอเมริกาและจีน พร้อมกระตุ้นการปั้นแบรนด์ลุยตลาดอินเตอร์ เดินหน้าดันยอดส่งออกสินค้าแฟชั่นรวมอัญมณีและเครื่องประดับเติบโต 1%

นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ DITP กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ ได้ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนอย่างต่อเนื่อง หลังจากส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ในซัปพลายเชนของการผลิต ล่าสุดพบว่าเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นเนื่องจากทั้งสองฝ่ายกำลังเดินหน้าเจรจาเพื่อหาจุดยืนร่วมกันเพื่อบรรเทาผลกระทบที่มีต่อภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศ

ในส่วนของประเทศไทยนั้นจะได้รับทั้งผลดีและผลเสียจากความขัดแย้งครั้งนี้ โดยในระยะสั้นถึงกลาง การที่สหรัฐอเมริกาเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน รวมถึงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ จะทำให้สินค้านำเข้าจากจีนมีราคาสูงขึ้น ดังนั้นผู้นำเข้าจากสหรัฐอเมริกาอาจหันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น รวมถึงไทย แต่หากจีนส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไปสหรัฐอเมริกาได้น้อยลง ก็อาจนำเข้าสินค้าจากไทย โดยเฉพาะสินค้ากึ่งวัตถุดิบ เช่น พลอยสี น้อยลงเช่นกัน ขณะที่ในระยะยาวสงครามการค้าจะส่งผลให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกชะลอตัวลงและกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ เรามั่นใจว่าผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาสินค้าเพื่อหาโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะการหันมาเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือ Niche Market และผู้บริโภคที่ยังมีกำลังซื้อ ผู้ประกอบการไทยจึงต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันยังต้องเร่งปรับตัวสร้างแบรนด์สินค้าให้แข็งแกร่ง ผลิตและออกแบบสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อเสริมกับตลาดเดิมที่มีอยู่ด้วย”

นางสาวบรรจงจิตต์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันลูกค้ามีความต้องการสินค้าที่มีความเป็น Unique มากขึ้น สวมใส่แล้วต้องสะท้อนความเป็นตัวตนและแตกต่างจากคนอื่น และต้องการเครื่องประดับที่มีฟังก์ชั่นอื่นเพิ่มเติม เช่น วัดชีพจร นับก้าว หรือเป็นเครื่องประดับชิ้นเดียว แต่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบใส่ได้ในหลายโอกาส ผู้ประกอบการจึงควรสร้างสรรค์สินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับกลางและบนมากขึ้น เพราะลูกค้ากลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อ ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม

ในปี 2562 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตั้งเป้าการส่งออกสินค้าแฟชั่น รวมอัญมณีและเครื่องประดับ เติบโตประมาณ 1% จากปีที่ผ่านมา โดยพร้อมจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อหาตลาดและคู่ค้าใหม่ ๆ ให้ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดคณะผู้แทนการค้าไปเยือนตลาดเป้าหมายเพื่อหาลู่ทางการค้าการลงทุน การเชิญผู้นำเข้าจากต่างประเทศมาเยือนประเทศไทยในช่วงงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ในเดือนกันยายน 2562 การจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ การพัฒนาการซื้อขายสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยผ่านแคมเปญ “Thailand Magic Hands : the Spirit of Jewelry Making” ในตลาดสำคัญทั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินเดีย และอิตาลี

นางสาวบรรจงจิตต์ กล่าวอีกว่า ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.62) ประเทศไทยส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับมูลค่ารวม 7,245.63 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าพลอย ไข่มุก และเครื่องประดับเทียมขยายตัว 19.72%, 46.22% และ 6.40% ตามลำดับ ขณะที่ตลาดอินเดียได้แรงหนุนจากการส่งออกพลอย ไข่มุกและอัญมณีสังเคราะห์ ทำให้มูลค่าส่งออกสูงถึง 95.14% ตลาดสวิตเซอร์แลนด์ เพิ่มขึ้น 27.12% จากพลอยและเครื่องประดับอัญมณีเทียม ตามด้วยตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ภาพรวมเพิ่มขึ้น 4.37% ขณะที่การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำไม่ขึ้นรูป) มีมูลค่า 3,848.72 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 0.45% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยการส่งออกไปตลาดหลัก เช่น ฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา หดตัวลงถึง 7.67% และ 3.48% ตามลำดับ อันเยื่องมาจากผลกระทบสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เตรียมจัดงานใหญ่ระดับสากล งานแสดงสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับ “Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 64” ระหว่างวันที่ 10-14 กันยายน 2562 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยและสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการได้พบคู่ค้าใหม่ ๆ โดยผู้สนใจติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าชมงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ล่วงหน้าได้ที่ เว็บไซต์ www.bkkgems.com

 

 

“ออริจิ้น” จับมือ DWG เจาะตลาดอสังหาฯ 10 ประเทศ

alivesonline.com : “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ยกระดับแบรนด์สู่สากล จับมือ “DWG Thailand” ตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรชั้นนำจากสิงคโปร์ นำคอนโดหลากแบรนด์เจาะตลาด 10 ชาติทั่วโลก มั่นใจหนุนยอดขายทั้งปีทะลุ 2.8 หมื่นล้านบาทตามเป้า ด้าน “พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น” เตรียมพบเครือข่ายตัวแทนขาย DWG ทั่วโลก ส่งมอบบริการหลังการขายลูกค้าต่างชาติ ขณะที่ DWG เผยอสังหาฯ ไทยยังเป็นที่สนใจในตลาดโลก มุ่งปั้นคอนโดออริจิ้นสู่ “อินเตอร์แบรนด์”

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ บริษัท ดีดับเบิลยูจี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DWG Thailand ผู้บริหารงานขายอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรชั้นนำจากสิงคโปร์ ให้เป็นตัวแทนขายโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัทฯ ในตลาดต่างประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายในการเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล

“DWG ถือเป็นผู้บริหารงานขายที่มีเครือข่ายอยู่ในหลากหลายประเทศชั้นนำทั่วโลก มีประสบการณ์บริหารงานขายโครงการจนประสบความสำเร็จในหลากหลายเซ็กเมนต์ทั้งโครงการของไทยและโครงการของต่างชาติ เราจึงไว้วางใจให้ DWG เป็นตัวแทนขายโครงการของเรา และช่วยสร้างชื่อเสียงให้แก่ออริจิ้นในเวทีโลกในฐานะผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำสัญชาติไทย”

นายพีระพงศ์ กล่าวว่า สำหรับประเทศที่ DWG Thailand จะนำโครงการของออริจิ้นไปบริหารการขายมีอย่างน้อย 10 ชาติทั่วโลก ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย พม่า อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น และดูไบ โดยการนำโครงการไปขายในต่างประเทศจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้ยอดขายของออริจิ้นในปี 2562 สามารถเป็นไปได้ตามเป้าหมาย 2.8 หมื่นล้านบาท

ด้าน นายธนา ต่อสหะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ในเครือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า หลังจากบริษัทฯ ได้ตกลงความร่วมมือกับ DWG Thailand ในการดูแลงานบริการหลังการขาย 3 ด้าน ให้แก่ลูกค้าชาวต่างชาติทั้งหมดของ DWG Thailand ได้แก่ 1.บริการรับฝากขายต่อและปล่อยเช่า (Resale & Leasing Services) 2.บริการตกแต่งห้องพัก (Decoration Services) 3.บริการดูแลด้านความสะอาดภายในห้องพัก (Cleaning Services) ล่าสุด บริษัทฯ เตรียมเข้าพบปะกับเครือข่ายตัวแทนขายของ DWG Thailand ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ เพื่อนำเสนอบริการหลังการขายที่ได้คุณภาพและมาตรฐานของบริษัทฯ ให้แก่ลูกค้าชาวต่างชาติทั้งหมดในเครือข่ายของ DWG ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย

นายเดนก้า วี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดีดับเบิลยูจี (DWG) กล่าวว่า DWG หรือ Dennis Wee Group เป็นผู้ประกอบธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2536 ณ ประเทศสิงคโปร์ ภายใต้ชื่อ Dennis Wee Realty ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น DWG อย่างเป็นทางการในปี 2551 ปัจจุบันมีเครือข่ายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ในกว่า 10 ประเทศทั่วโลก มีโครงการที่เป็นตัวแทนขายรวมกันทั่วโลก ณ ขณะนี้กว่า 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 9 พันล้านบาท

DWG Thailand จะนำโครงการของ “ออริจิ้น” ภายใต้ 2 แบรนด์หลัก ได้แก่ “พาร์ค ออริจิ้น” (PARK ORIGIN) และ “ดิ ออริจิ้น” (The Origin) ไปขายในตลาดต่างประเทศทั้ง 10 ชาติ โดยจะมุ่งเน้นการนำเสนอจุดขายของแบรนด์ให้เป็นที่จดจำและไว้วางใจ มากกว่าการนำเสนอจุดขายเป็นรายโครงการ เพื่อสร้างโอกาสของแบรนด์ในฐานะอินเตอร์แบรนด์ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน”

“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศทั่วโลกมีราคาสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงได้ ทำให้หลายประเทศยังคงมองหาโอกาสการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ทั้งเพื่อการอยู่อาศัยในช่วงหลังเกษียณและการลงทุนปล่อยเช่า โดยไทยยังถือเป็นประเทศเป้าหมายสำคัญที่ชาวต่างชาติยังคงให้ความสนใจการซื้อที่อยู่อาศัยในหลากหลายเซ็กเมนต์ โดยในปี 2561 มูลค่าตลาดผู้ซื้อชาวต่างชาติในอสังหาริมทรัพย์ไทยมีประมาณ 9.2 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นอีกมูลค่ารวมประมาณ 1 แสนล้านบาท ในปี 2562 ขณะที่คอนโดมิเนียมของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทั้ง 2 แบรนด์ ล้วนตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ มีคุณภาพ ฟังก์ชั่น การออกแบบ สิ่งอำนวยความสะดวก ที่ได้มาตรฐานพร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคระดับสากล” นายเดนก้า กล่าว

 

 

 

เผยข้อมูลเชิงลึกคนรุ่นใหม่ ต้องการ “ความยืดหยุ่น” ในการทำงาน

alivesonline.com : ผลสำรวจล่าสุดจาก IWG ผู้ดำเนินการบริหารแบรนด์ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับโลก พบว่า งานที่มีความยืดหยุ่น (Flexible Working) เช่น เวลา สถานที่ ฯลฯ กลายเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกตำแหน่งงาน หรือเปลี่ยนงาน ซึ่งการสำรวจนี้ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญกว่า 1.5 หมื่นคนจากหลากหลายอุตสาหกรรมในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก

เมื่อให้พนักงานจัดลำดับความสำคัญของผลประโยชน์ที่ได้จากที่ทำงาน พบว่า ร้อยละ 80 ของพนักงานปฏิเสธงานที่ไม่ให้ความยืดหยุ่นในการทำงาน นอกจากนี้ อีกร้อยละ 54 กล่าวว่างานที่มีตัวเลือกในเรื่องของสถานที่ทำงานมีความสำคัญมากกว่าการได้วันหยุดเพิ่ม ซึ่งแปลว่า “งานหนักไม่ใช่ปัญหา หากสามารถเลือกสถานที่ทำงานได้”

การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีนั้นทำให้เราสามารถที่จะทำงานได้ทุกเมื่อ ทุกที่และทุกเวลา ทั้งยังสร้างความท้าทายให้กับธุรกิจต่าง ๆ ด้วยว่า “พวกเขาจะเลือกสร้างผลประโยชน์จากโอกาสนี้ให้มากที่สุดได้อย่างไร ?”

บริษัทหลายแห่งเล็งเห็นและปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อผลประโยชน์ที่อาจได้จากการทำงานที่คล่องตัวนี้ พนักงานไม่เพียงแต่ได้ทำงานในสถานที่ที่หลากหลาย แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ความพึงพอใจ ความสามารถ และประสิทธิภาพของธุรกิจอีกด้วย ทั้งนี้ พนักงานต่างเริ่มมองสิ่งนี้เป็นเสมือนบรรทัดฐานใหม่เมื่อต้องการก้าวสู่ขั้นต่อไปในการทำงานเพราะความต้องการของความคล่องตัวในการทำงานนั้นเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างไม่หยุดยั้ง

ในอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้เป็นพื้นฐาน อย่างเช่น ธุรกิจการให้คำปรึกษา และ ธุรกิจ ICT โดยทั่วไป ได้เริ่มปรับใช้โครงสร้างการทำงานแบบยืดดหยุ่นแล้วเป็นจำนวนมาก เพื่ออำนวยต่อการทำงานนอกสถานที่ เช่นเดียวกันกับผู้นำทางธุรกิจทั้งหลายที่เริ่มตระหนักได้ถึงความสำคัญและจุดเด่นของการทำงานแบบยืดหยุ่นซึ่งส่งผลดีต่อการดึงดูดพนักงานที่มีศักยภาพสูง รวมถึงเพิ่มความสุขในการทำงานให้พนักงานอีกด้วย

ผลวิจัยฉบับนี้ยังชี้ให้เห็นอีกว่า การที่พนักงานสามารถเลือกที่ทำงานได้เองนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่พนักงานคาดหวังที่จะได้รับและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงาน โดยมากถึงร้อยละ 70 ของผู้ตอบแบบสอบถามแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเล็งเห็นว่าการมีตัวเลือกของสถานที่ทำงานเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่นำมาประเมินในการหาโอกาสใหม่ ๆ ทางสายอาชีพ

ในอดีตการทำงานที่ยืดหยุ่นมักนิยมใช้แค่ในกลุ่มพ่อแม่มือใหม่ที่ต้องการอยู่ใกล้ลูกน้อย แต่ปัจจุบันการทำงานแบบยืดหยุ่นที่ไม่ยึดติดกับสถานที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างล้นหลามจากทุกระดับในอาชีพ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กรุ่นใหม่อย่างยุค “มิลเลนเนียล” ซึ่งคุ้นชินกับการสื่อสารตลอด 24 ชั่วโมง และชื่นชอบในความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการทำงานเป็นอย่างยิ่ง

ข้อดีของการทำงานแบบยืดหยุ่นที่สำคัญอย่างยิ่ง ได้แก่ เวลาในการเดินทางไปทำงานที่ลดลงซึ่งเอื้อต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ โดยพนักงานสามารถนำเวลาและความกดดันในการเดินทางที่ต้องประเชิญกับรถติด หรือผ่านระบบขนส่งมวลชนที่เบียดเสียดไปโฟกัสในการทำงานได้มากขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ ยังช่วยส่งเสริมความหลากหลายในระดับอายุของหลายๆ องค์กร เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มคนเกษียณมากยิ่งขึ้นและยังเป็นการช่วยลดปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับการที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอีกด้วย

นายลาส์ วิททิก รองประธานฝ่ายขายประจำภูมิภาคอาเซียนของ IWG กล่าวว่า ในฐานะหนึ่งในผู้ริเริ่มด้านความคล่องตัวในการทำงานระดับโลก เราสนับสนุนเทรนด์การทำงานเคลื่อนที่ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องจากผู้ว่าจ้างและพนักงานปรับตัวเพื่ออำนวยให้กับธรรมเนียมใหม่นี้

“ในไม่กี่ปีข้างหน้าความการปรับตัวที่รวดเร็วจะมีความสำคัญมากขึ้นในความสำเร็จของธุรกิจ ขณะเดียวกันสถานที่ทำงานที่ยืดหยุ่นจะมีบทบาทที่สำคัญในความสำเร็จนี้ ดังนั้นเรายังคงมุ่งมั่นที่จะมอบพื้นที่การทำงานที่สมบูรณ์แบบ พร้อมความยืดหยุ่น สะดวกสบาย และเฉพาะเจาะจงให้กับลูกค้าบุคคล และบริษัทต่าง ๆ เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสทางการขยายธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการย่อหรือขยายส่วนของออฟฟิศอย่างรวดเร็ว เพื่อจำกัดความเสี่ยงและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น”

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่นการทำงานแบบยืดหยุ่นสำหรับคุณและธุรกิจของคุณได้ที่ https://www.regus.co.th/ หรือ https://www.spacesworks.com/thailand/

 

ALL เปิดบทวิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยย่านลาดพร้าว – สุทธิสาร

alivesonline.com : “ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เผยผลสำรวจผู้อยู่อาศัยย่านลาดพร้าว–สุทธิสาร ทำเลยอดฮิตของหนุ่มสาวสายครีเอทีฟ กลุ่มงานอาร์ต สตาร์อัป ตอบโจทย์เวิร์ค-ไลฟ์บาลานซ์ ต้องการที่อยู่อาศัยใจกลางเมือง สะดวกต่อการเดินทาง แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอกย้ำ “ทำเล” ยังเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกซื้ออสังหาฯ พร้อมเปิดตัวคอนโดใหม่ “โครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว – สุทธิสาร” ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เปิดเผยว่า พื้นที่ย่านลาดพร้าว–สุทธิสาร เป็นไพร์มโลเคชั่นในอันดับต้น ๆ สำหรับที่อยู่อาศัย เพราะการเดินทางที่สะดวก เชื่อมต่อถนนสายสำคัญหลายสาย และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ แหล่งจับจ่ายใช้สอย ร้านอาหาร สถานที่พบปะสังสรรค์ ฯลฯ ย่านนี้จึงเป็นย่านอยู่อาศัยแหล่งสำคัญของกรุงเทพฯ และศูนย์กลางคมนาคม ส่งผลให้ราคาที่ดินโซนลาดพร้าว โดยเฉพาะบริเวณถนนสายหลักและพื้นที่ใกล้เคียงทำเลโชคชัย 4 – เดอะมอลล์ บางกะปิ มีอัตราการเติบโตจาก 1 แสนบาทต่อตารางวา เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3-4 แสนบาทต่อตารางวา ขณะเดียวกัน กำไรจากการขายต่อ (Capital Gain) ของคอนโด Low Rise ในย่านลาดพร้าวอยู่ที่ 3.6% ต่อปี โดยกลุ่มที่มีผลตอบแทนสูงคือ โซนลาดพร้าว – โชคชัย 4 อยู่ที่ 4.2% ต่อปี ซึ่งเป็นทำเลที่ผู้คนนิยมอยู่อาศัยหนาแน่นในอัตรา 90–95% เป็นผู้อยู่อาศัยเอง 65% เป็นผู้เช่า 25% ขณะที่กำไรต่อการปล่อยเช่า (Gross Rental Yield) ในย่านนี้ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจด้วยผลตอบแทนอยู่ที่ 6% ต่อปี

เนื่องจากที่อยู่อาศัยในย่านลาดพร้าว–สุทธิสาร แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จึงเป็นทำเลที่ตอบโจทย์วิถีการดำรงชีวิตในทุก ๆ ด้าน จากการสำรวจพบว่า โซนนี้มีที่อยู่อาศัยให้เลือกมากมาย ทั้งโฮมออฟฟิศและคอนโดโลว์ไรส์ เหมาะสำหรับกลุ่มคนวัยทำงานรุ่นใหม่ ธุรกิจสตาร์ทอัป นักลงทุน กลุ่มอาชีพอิสระ กลุ่มอาชีพสร้างสรรค์ เช่น โปรดักชันเฮ้าส์ สตูดิโอต่าง ๆ สายงานครีเอทีฟ งานอาร์ต งานด้านสื่อดิจิทัล ด้วยไลฟ์สไตล์ของกลุ่มนี้ที่ต้องการความยืดหยุ่นด้านเวลา ต้องการมีอิสระทางการเงิน วางแผนการใช้ชีวิตอย่างสมดุล (Work-Life Balance) คนกลุ่มนี้จึงมักเลือกที่อยู่อาศัยไม่ไกลจากถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้า มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ Co – Working Space ฯลฯ

“คอนโด Low Rise ในย่านนี้มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 7.5 หมื่นบาทต่อตารางเมตร นับเป็นราคาที่กลุ่มคนวัยทำงานสามารถเป็นเจ้าของได้ โดยกลุ่มคนในวัยทำงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Double Income, No Kids หรือ DINKs ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ที่มีชีวิตคู่แต่ยังไม่มีลูกนั่นเอง เนื่องจากมีความพึงพอใจในการใช้ชีวิตแบบที่เป็น ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีอัตราการขยายตัวมากขึ้นในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องการใช้ชีวิตอยู่แบบครอบครัวเดี่ยวที่ยังไม่อยากขยาย ต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีในราคาที่เอื้อมถึง มีรายได้ประจำเฉลี่ยประมาณ 2.5–5 หมื่นบาทขึ้นไปต่อเดือน ซึ่งข้อดีของกลุ่มนี้คือ สามารถกู้ร่วมได้ ทำให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ได้ง่าย ยอดการปฏิเสธสินเชื่อจึงอยู่ในระดับต่ำ

นายธนากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนการดำเนินงานของ ALL หลังจากนำธุรกิจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai และประกาศเป้าหมายสู่การเป็น Top 10 อสังหาฯ แถวหน้าของไทยภายใน 5 ปี บริษัทฯ มีความพร้อมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพในพื้นที่ศักยภาพ โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณใกล้แนวระบบขนส่งมวลชนหลักของกรุงเทพฯ อย่าง BTS และ MRT เพื่อการเดินทางที่สะดวกสบาย ใกล้แหล่งชุมชน และสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของกลุ่มคนในสังคมเมือง โดยกำหนดให้คอนโดมิเนียมแบรนด์ “ดิ เอ็กเซล” (The Excel) เป็นคอนโดฯ Low Rise ใกล้แนวรถไฟฟ้า มีราคาประมาณ 1.5-3 ล้านบาท เน้นกลุ่มคนวัยทำงาน อาศัยใจกลางเมืองและต้องการความสะดวกในการเดินทาง

ภายในเดือนกรกฎาคม 2562 บริษัทฯ จะเปิดตัวโครงการ “ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว–สุทธิสาร” โดดเด่นด้วยทำเลฮอตใจกลางกรุงเทพฯ เพราะ “ทำเล” ยังเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกซื้ออสังหาฯ โครงการตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 62 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 เพียง 550 เมตร ซึ่งในอนาคตอันใกล้ ที่ดินและที่อยู่อาศัยย่านลาดพร้าวจะยิ่งเพิ่มมูลค่าจากเส้นทางการเดินรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว–สำโรง) โดยแนวเส้นทางเริ่มต้นที่จุดเชื่อมต่อกับระบบรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงินระยะแรก) ที่แยกรัชดา–ลาดพร้าว เชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีส้มที่สถานีลำสาลีและเชื่อมต่อกับสถานีหัวหมากของรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงอ่อน ตามแนวถนนศรีนครินทร์ถึงถนนเทพารักษ์ สิ้นสุดจุดเชื่อมต่อกับสถานีสำโรงของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน รวมระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร

 

 

 

 

นายธนากร กล่าวว่า โครงการ “ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว–สุทธิสาร” มีมูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาท บนพื้นที่ดินขนาด 3 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร เน้นการตกแต่งและออกแบบให้เข้ากับวิถีคนเมืองที่ชื่นชอบสังคม ด้วยสไตล์ “โมเดิร์น ชิค” (Modern Chic) สีสัน สดใส นอกกรอบ ตื่นเต้น แหวกแนวและสดใหม่อยู่เสมอ แฝงไปด้วยความเท่ สวย และมีความนำสมัย ภายใต้คอนเซปต์ “แรงบันดาลใจเกิดได้ทุกตารางเมตร : Inspiration is All Around”

โครงการฯ มีห้องชุด จำนวน 420 ยูนิต โดยมีขนาดห้องชุดเริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน 24.50–30.10 ตร.ม. จนถึง 1 ห้องนอน พลัส ขนาด 34.70 ตร.ม. ทุกห้องมีเครื่องปรับอากาศและเฟอร์นิเจอร์ครบครัน (Fully Furnished) สิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการ ได้แก่ คลับเฮ้าส์แยกส่วนกับอาคารที่พักอาศัย ทำให้พื้นที่กว้างขวางขึ้น มีสระว่ายน้ำ Co-Working Space ฟิตเนสและบ็อกซิ่งโซน ตอบโจทย์เทรนด์คนรุ่นใหม่รักสุขภาพและการออกกำลังกาย ล็อบบี้แยกอาคาร A และ B มั่นใจด้วยระบบความปลอดภัยทางเข้าโครงการเป็นประตู 2 ชั้น (Double Gate) คีย์การ์ด และกล้อง CCTV โครงการได้รับการอนุมัติ EIA Approved เป็นที่เรียบร้อย

 

 

“บริษัทฯ ยังได้จัดทำ VDO สั้น เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ในแคมเปญ #แรงบันดาลใจเกิดได้ทุกตารางเมตร นำเสนอผ่าน 4 เรื่องราว 4 แรงบันดาลใจ เพื่อสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายเห็นว่า การอยู่นอกกรอบเหนือข้อจำกัด จะช่วยให้เราสร้างสรรค์แนวทางการใช้ชีวิตในแบบที่เราเลือกเอง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคน”

โครงการ “ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว–สุทธิสาร” กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2563 สนใจชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ที่ Sales Gallery ปากซอยลาดพร้าว 42/1 (แยกภาวนา) โดยในวันที่ 3–4 ส.ค.62 0จะจัดโปรโมชั่น Pre – Sale ทุกชั้นราคาเดียว เริ่มต้นที่ 1.39 ลบ. ผ่อนสบาย 3.9 พันบาทต่อเดือน (ตามเงื่อนไขของโครงการ) คลิกลงทะเบียนรับสิทธิส่วนลดพิเศษ 1 แสนบาท ที่ www.allinspire.co.th สอบถามโทร.0 2029 9999

“โปรทรัค” แจงสูตรธุรกิจ “ศูนย์ซ่อมบำรุงรถบรรทุก”

alivesonline.com : “สามมิตร” เผยความสำเร็จโมเดล “โปรทรัค” ศูนย์บริการซ่อมบำรุงรักษารถบรรทุกในรูปแบบเน็ตเวิร์คครบวงจรเจ้าเดียวในประเทศ เปิดสาขา 10 บางบ่อ เจาะลูกค้าฝั่งตะวันออก ชูแนวคิด Data Management จัดการข้อมูลรถบรรทุกในระบบเชื่อมโยงลูกค้าทั้งผู้ใช้บริการและเจ้าของรถ ต่อยอดสู่การยกระดับบริการหลังการขาย ช่วยลดขั้นตอน และลดต้นทุนลจิสติกส์ ย้ำแผนลงทุน 1 พันล้านบาท ขยายสาขาครบ 100 แห่งทั่วประเทศในปี 2564

นายตฤณ ศิริจารุวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามมิตร พีทีจี โปรทรัค โซลูชัน เซนเตอร์ จำกัด ภายใต้ “สามมิตร กรุ๊ป โฮลดิ้ง” เปิดเผยว่า ศูนย์บริการโปรทรัค (PRO TRUCK) เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท สามมิตรแมนูแฟคเจอริง จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เพื่อให้บริการซ่อมบำรุงรักษารถบรรทุกและรถเทรเลอร์ในรูปแบบศูนย์บริการครบวงจร (One Stop Service) ด้วยช่างที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน บริการด้วยอะไหล่คุณภาพ พร้อมจุดจอดรถและที่พักผ่อนสำหรับคนขับที่มีความสะดวกสบายและปลอดภัย โดยคำนึงถึงการเสริมสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน (Road Safety) ซึ่งสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ส่วนใหญ่เกิดมาจากสภาพของรถที่ไม่พร้อมใช้งาน และสภาพร่างกายของคนขับรถที่เหนื่อยล้า ดังนั้นการตรวจเช็คสภาพรถและซ่อมบำรุงรักษาให้พร้อมใช้งานเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญและมีส่วนช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้

“โปรทรัค” เริ่มเปิดให้บริการในพื้นที่สถานีบริการน้ำมันพีที (PT) มาตั้งแต่ต้นปี 2561 ใน 9 สาขาทั่วภูมิภาคของประเทศ ถือเป็นโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากผู้ใช้บริการทั่วไป ผู้ประกอบการ และตัวแทนจำหน่ายรถบรรทุกที่ยังไม่มั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานของอู่ซ่อมทั่วไป ทั้งยังอาจไม่สะดวกในการเข้ารับบริการจากศูนย์ซ่อมบำรุงของตัวแทนจำหน่ายรถบรรทุกเนื่องจากมีราคาสูง

“โปรทรัค” วางตำแหน่งทางการตลาดเป็นทางเลือกให้ลูกค้า ด้วยจุดแข็งสำคัญหลายด้าน อาทิ มาตรฐานของช่างที่ได้รับการอบรมร่วมกับ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน อะไหล่คุณภาพที่ได้มาตรฐานผู้ผลิต (OEM) รวมถึงความสะดวกในการเข้ารับบริการ จากการเชื่อมโยงข้อมูลของรถและประวัติการซ่อมผ่านเน็ตเวิร์ค ทำให้สามารถนำรถเข้าซ่อมที่ “โปรทรัค” ได้ทุกศูนย์ทั่วประเทศ โดยมีแผนเปิดสาขาที่ 10 บางบ่อ บริเวณถนนบางนา-ตราด ขาออก กม.ที่ 30 เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าฝั่งในพื้นที่ฝั่งตะวันออก

นายตฤณ กล่าวด้วยว่า “โปรทรัค” มีจุดเด่นด้านเทคโนโลยีการจัดเก็บฐานข้อมูลของลูกค้าด้วยแอปพลิเคชัน “PRO TRUCK” ที่มีฟังก์ชั่นระบบติดตามข้อมูลที่เชื่อมต่อกับ GPS ของรถ สามารถตรวจสอบตำแหน่งของรถได้แบบเรียลไทม์  เช็คตำแหน่งของศูนย์บริการที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งจะสามารถเช็คประวัติการซ่อมย้อนหลังได้ เช็คสถานะการซ่อมผ่านแอปฯ ได้ทันทีจากกล้อง CCTV ที่ติดตั้งไว้ในทุกศูนย์ฯ โดยปัจจุบันมีลูกค้าดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นแล้วกว่า 2 พันราย มีจำนวนรถเข้าใช้บริการเฉลี่ยเดือนละ 200-300 คัน โดยในช่วง 1 ปีที่เปิดดำเนินการ มีลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำมากกว่า 1.1 พันราย

จากความสำเร็จของการดำเนินงาน และแอปพลิเคชั่น PRO TRUCK จึงมีแนวคิดในการจัดการกับข้อมูลในระบบ (Data Management) เพื่อยกระดับการบริการหลังการขาย ให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าได้มากขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการต้นทุนให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยจะมีการเสริมฟังก์ชั่นใหม่ อาทิ ระบบการแจ้งเตือนการซ่อมล่วงหน้า เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นการนำรถเข้าซ่อมบำรุงตามรอบระยะเวลา ระบบการจองคิวเข้ารับบริการจึงทำให้ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาในการนำรถเข้าซ่อมหลายวัน โดยศูนย์ฯ สามารถเตรียมอุปกรณ์และอะไหล่ล่วงหน้า เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการให้บริการ นอกจากนี้ ภายในแอปฯ ยังสามารถช่วยประเมินค่าใช้จ่ายได้ล่วงหน้า ประเมินการซ่อม และค่าซ่อม ออนไลน์ ระบบการวางบิลออนไลน์ ลูกค้าสามารถอนุมัติการซ่อมได้ออนไลน์ รวมถึงการทำโปรโมชั่นต่างๆ ส่งตรงถึงลูกค้า เป็นต้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาคาดว่าจะสามารถใช้ได้ภายในต้นปี 2563

บริษัทฯ ยังมีแผนงานในการจับมือกับสถาบันการเงินชั้นนำ ต่อยอดแอปพลิเคชัน PRO TRUCK ให้สามารถรองรับระบบสินเชื่อรถบรรทุก (Truck Leasing) โดยใช้ประวัติการตรวจซ่อมบำรุงรักษาของรถเป็นฐานข้อมูลในการการันตีคุณภาพของรถ สร้างมาตรฐานราคาของรถบรรทุกมือสอง และการให้สินเชื่อเพื่อเช่าซื้อรถ รวมไปถึงการเพิ่มบริการทางการเงินหลังการปล่อยกู้ อาทิ เพิ่มการกู้เพื่อมาบำรุงรักษา หรือผ่อนจ่ายค่าบำรุงรักษารถ เป็นต้น

“บริษัทฯ คาดว่าจะเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้ให้กับ สามมิตร กรุ๊ป โฮลดิ้ง ในสัดส่วน 5-10 % ของรายได้ทั้งหมด โดยมีแผนขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จำนวน 100 สาขา ภายในปี 2567 โดยใช้งบประมาณสำหรับการลงทุนกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดรถเชิงพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันรถที่มีขนาด 2 ตันขึ้นไป มีจำนวนรถใหม่สู่ตลาดประมาณ 3 หมื่นคันต่อปี และมีจำนวนรถใหญ่ในตลาดประมาณ 1 แสนคัน โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากการก่อสร้างตามโครงการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น เช่น การสร้างถนน ทางด่วน สะพาน รถไฟ สนามบิน และระบบชลประทาน ความต้องการใช้รถบรรทุกและรถเทรเลอร์ได้ขยายตัว  รวมถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของธุรกิจ  E-Commerce ทั้งภายในประเทศและกลุ่มประเทศอาเซียน ส่งผลให้ธุรกิจโลติกส์เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน”

ผุดมาตรฐาน GAP ดันคุณภาพเกลือทะเลไทยสู้อินเดีย

alivesonline.com : มกอช.เร่งกู้วิกฤติเกลือทะเลไทย หลังราคาตกเหลือเพียงกิโลกรัมละ 1 บาท เร่งหนุนเกษตรกรทำนาเกลือระบบ GAP มุ่งยกระดับการผลิตได้มาตรฐาน คุณภาพระดับสากล หวังแก้ปัญหาราคาตกต่ำ-ลดนำเข้า เพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในอุตสาหกรรมอาหารทั้งในและต่างประเทศในอนาคต 

ตามที่ยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย พ.ศ.2560-2564 ได้กำหนดให้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานเกลือทะเลเพื่อเพิ่มมูลค่าและเพื่อให้เกลือทะเลมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล ตรงตามความต้องการของตลาด รวมทั้งกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนาเกษตรกรเกลือทะเล เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันเกลือทะเลไทยเพื่อให้เกลือทะเลมีช่องทางการตลาดที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อยกระดับราคาเกลือทะเลให้มีเสถียรภาพรวมทั้งให้มีการบริหารจัดการระบบนิเวศเพื่อการทำนาเกลือมีพื้นที่อย่างเหมาะสมและมีการบริหารจัดการระบบนิเวศอย่างยั่งยืนนั้น

นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)  เปิดเผยว่า จากยุทธศาสตร์ดังกล่าว มกอช. ได้จัดทำมาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับเกลือทะเลขึ้นมา จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ เกลือทะเลธรรมชาติ (มกษ.8402-2562) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการทำนาเกลือ (มกษ. 9055-2562) รวมทั้งได้จัดทำโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ แนวทางการตรวจประเมินตามมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) สำหรับการทำนาเกลือทะเล (มกษ. 9055-2562) ขึ้น เพื่ออบรมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้แก่ผู้ตรวจประเมินให้มีทักษะและศักยภาพด้านการตรวจสอบและรับรองตามมาตรฐานสามารถนำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะช่วยผลักดันให้สินค้าเกลือทะเลของไทยได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการยกระดับศักยภาพการผลิตสินค้าเกษตรของประเทศไทยให้เทียบเท่ากับต่างประเทศ

นางสาวจูอะดี กล่าวถึงสถานการณ์ผลิตและการตลาดเกลือทะเลไทยในปัจจุบันด้วยว่า ปัจจุบันการทำนาเกลือทะเลเป็นสินค้าเกษตรที่สำคัญ ประเทศไทยการทำนาเกลือเป็นอาชีพดั้งเดิม โดยมีเกษตรกร 1.2 พันครัวเรือน มีพื้นที่ทำนาเกลือทั้งหมดประมาณ 84,485 ไร่ แบ่งแหล่งผลิตที่สำคัญออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีการผลิตมาก ประมาณร้อยละ 90.0 ของผลผลิตทั้งประเทศ อยู่ที่ 3 จังหวัดภาคกลางคือ จังหวัดเพชรบุรี สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม และกลุ่มที่มีการผลิตเล็กน้อย ประมาณร้อยละ 10.0 ของผลผลิตทั้งประเทศ อยู่ที่ 4 จังหวัดในภาคกลางและภาคใต้คือ จังหวัดชลบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา และปัตตานี โดยในแต่ละปีจะมีผลผลิตเกลือทะเลประมาณเกือบ 1 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท

ด้าน นางสาวนลินทิพย์ เพณี ผู้อำนวยการกองส่งเสริมมาตรฐาน  มกอช. กล่าวเพิ่มเติมว่า เกลือทะเลเป็นอาหารธรรมชาติที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตมนุษย์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มนุษย์จำเป็นต้องใช้เกลือเพื่อการบริโภคและอุปโภค ปรุงอาหาร ถนอมอาหาร และใช้เป็นยารักษาโรค การทำนาเกลือถือเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยภูมิปัญญาและประสบการณ์ ร่วมกับการพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ ปัจจุบันเกลือสมุทร หรือเกลือทะเล ถูกกำหนดให้เป็นสินค้าเกษตรกรรมขั้นต้นและคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 ให้การทำนาเกลือนับเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพเกษตรกรรม แต่ที่ผ่านมาเกษตรกรนาเกลือทะเลประสบปัญหาในหลายด้าน โดยเฉพาะคุณภาพการผลิตส่งผลให้ราคามีความผันผวนเป็นประจำทุกปี

ดังนั้น มกอช.จึงต้องเร่งส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าสู่ระบบGAP เพื่อยกระดับคุณภาพมาตรฐานเกลือไทยสู่ระบบสากลให้เป็นที่ยอมรับของอุตสาหกรรมอาหารและผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศในอนาคตซึ่งปัจจุบันเกษตรกรไทยมีคู่แข่งคือประเทศอินเดีย ดังนั้น มกอช.จึงต้องเร่งผลักดันให้เกษตรกรเข้าสู่มาตรฐาน GAP เพื่อการันตีให้ผู้บริโภคและอุตสาหกรรมอาหารในประเทศมั่นใจในคุณภาพและมาตรฐาน ทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้เกษตรกรไทยและลดการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศไปในตัว

“จากนี้ไป มกอช. จะเร่งเดินหน้าในการเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรนาเกลือเข้าสู่ระบบมาตรฐาน GAP ในทุกจังหวัด ดังนั้นเมื่อเริ่มมีมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารของเกลือก็จะต้องมีการตรวจสอบรับรองซึ่งเหลือทะเลแตกต่างจากสินค้าเกษตรอื่น ๆ เพราะมี 3หน่วยงานดูแลคือ กรมวิชาการเกษตร กรมประมง และกรมปศุสัตว์ รวมทั้งผู้ตรวจรับรองเอกชน ดังนั้นจึงต้องมีมาตรฐานกลางให้ 4หน่วยงานปฏิบัติ” นางสาวนลินทิพย์ กล่าว

ด้าน นางสาวเกตุแก้ว สำเภาทอง เกษตรกรนาเกลือทะเลบ้านแหลม อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี  กล่าวว่า ปัจจุบันมีการนำเข้าเกลือจากประเทศอินเดียจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาเกลือทะเลที่เกษตรกรชาวนาเกลือผลิภายในประเทศมีราคาตกต่ำอย่างหนัก จากต้นปีราคาเกลือทะเลราคากิโลกรัมละ 2-3 บาท เหลือราคากิโลกรัมละไม่ถึง 1 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาต้นทุนการผลิต จนสร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรชาวนาเกลืออย่างหนัก เนื่องจากขาดทุนสะสมจนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว โดยข้อมูลการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ พบว่าปี 2560 มีการนำเข้าเกลือ 151,480 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 216 ล้านบาท ปี 2561 มีการนำเข้าเกลือ 328,883ตัน คิดเป็นมูลค่า 437 ล้านบาท ปี 2562 (เดือนมีนาคม) มีการนำเข้าเกลือ 100,819 ตัน คิดเป็นมูลค่า 120 ล้านบาท

“ปัญหาของชาวนาเกลือมาตรฐานมี 3 อย่างคือ เรื่องฟ้าฝน สภาพอากาศ และคุณภาพ แต่ที่ผ่านมาการทำนาเกลือทะเลยังขาดมาตรฐานควบคุมคุณภาพการผลิตถ้ามีการจัดการที่ดีทำให้แก้ปัญหาได้ โดยที่ผ่านมาเกลือไม่มีมาตรฐาน ส่งผลให้กระทบต่อการทำตลาดในอุตสาหกรรมอาหารเป็นอย่างมาก การที่ มกอช. เข้ามาส่งเสริมให้เกษตรกรทำนาเหลือระบบ GAP จึงถือเป็นเรื่องดีที่จะช่วยยกระดับคุณภาพและมาตรฐานเกลือไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดอย่างกว้างขวางมากขึ้น” นางสาวเกตุแก้ว กล่าวในตอนท้าย

“โฮมโปร” ผสานพลังชุมชนบุรีรัมย์ เปิดตัวคอลเลกชัน “BU Crafts”

alivesonline.com : จากความสำเร็จที่อยู่เคียงคู่คนไทยมากว่า 23 ปี “โฮมโปร” ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนคัดสรรผลิตภัณฑ์และมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า โดยใส่ใจกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมายและทุกช่วงวัย ทั้งยังพัฒนาสินค้าให้เกิดกลุ่มสินค้าใหม่ พร้อมสร้างความแตกต่างของสินค้า เพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

‘อิษฏพร ศรีสุขวัฒนา’ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดซื้อ Bedding & Home Living บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า จากที่ “โฮมโปร” มีแบรนด์ HLS” หรือ Home Living Style เป็นสินค้า Private Brand ในเซคชั่น Home Textile อยู่แล้ว ประกอบกับความต้องการที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า ECO Choice ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน ด้วยการคัดสรรคุณภาพที่เหนือมาตรฐาน โดยมีความพิเศษในด้านต่าง ๆ อาทิ คุณสมบัติพิเศษ ด้านการใช้งานวัสดุและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่โดดเด่น คุณภาพเหนือมาตรฐาน จึงได้ร่วมกับ หอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ และ กลุ่มสตรีทอผ้าฝ้ายบ้านเจริญสุข จังหวัดบุรีรัมย์ พัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน ภายใต้โครงการ HLS Collection BU Craft”

คำว่า “BU” มาจาก “บุรีรัมย์” เป็นงานศิลปะหัตถกรรมงานทอผ้าของชาวบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นโปรเจกต์แรกที่ “โฮมโปร” เริ่มทำงานกับชุมชนตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ ทั้งการย้อมสีที่ปราศจากสารเคมี การปั่นด้าย การทอผ้า การล้างผ้าฝ้ายที่ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ สามารถคืนสู่สิ่งแวดล้อมได้อย่างปลอดภัย เพราะเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ 100% ย่อมสามารถกลับคืนสู่ธรรมชาติได้ 100% เช่นกัน

สีสันและลวดลายของคอลเลกชันของ HLS-BU Crafts เริ่มด้วยการคัดสรรฝ้ายคุณภาพดีมาสู่กระบวนการย้อมสีซึ่งแต่ละสีล้วนมาจากธรรมชาติ 100% และมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน รวมถึงการคิดคำนวณความห่างฝ้ายไม่ให้มากเกินไป เพื่อให้เนื้อผ้าแน่น สีสันสวยงามทุกอณูของเส้นใย มีความทนทานในการใช้งาน โดยได้สีเหลืองจากขมิ้น สีส้มจากดินภูเขาไฟ หรือภูอัคนี สีเทาจากหินบะซอลต์ ซึ่งเป็นสีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หาได้จากชุมชนนี้เท่านั้น การร่อนหินบะซอลล์ให้สะอาด ผสมกับการต้มใบยูคาลิปตัส และเสริมด้วยสีของสนิม สร้างเอกลักษณ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ทำให้สะท้อนถึงธรรมชาติอันสวยงามของจังหวัดบุรีรัมย์แบบไม่ลืมเลือน

สีเหลืองจากขมิ้น

 

สีส้มจากดินภูเขาไฟ หรือภูอัคนี

สีเทาจากหินบะซอลต์

ผลงานของคอลเลกชัน BU Crafts จะใช้การผสมสีสันธรรมชาติเหล่านี้ให้ออกมาเป็นลวดลายที่ทันสมัย มีความเป็นสากล แต่ให้กลิ่นอายความเป็นไทยได้ดี เช่น “ลวดลายลูกแก้ว” อัตลักษณ์จากความงดงามของวัฒนธรรมเขมร หรือ “ลายตาหม่อง” หรือตาราง รูปลักษณ์ที่สื่อถึงวิถีชีวิตภาคอีสาน นอกจากนี้ยังมีการผสานอารมณ์ของสี จากการออกแบบลดทอนลายตารางขาวม้าผสมผสาน Japanese Look และการเล่นสีโทน Volcano Pastel ที่บอกถึงธรรมชาติของจังหวัดบุรีรัมย์ได้เป็นอย่างดี ส่งผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีความทันสมัย เช่น ผ้าพันคอ, กระเป๋าเอนกประสงค์, สลิปเปอร์, เก้าอี้สตู รวมถึงนำมาสร้างความแปลกใหม่ในผลิตภัณฑ์เดิมอย่างหมอนอิงและผ้าม่าน ซึ่งการแต่งแต้มสีสันธรรมชาติจะช่วยสร้างกลิ่นอายใหม่ ๆ ทำให้ผ้าเหล่านี้แตกต่างไม่เหมือนใคร

‘อิษฏพร’ กล่าวตอนท้ายว่า คอลเลกชัน BU Crafts จาก HLS คือผลงานที่สะท้อนตัวตนของจังหวัดบุรีรัมย์ได้ชัดเจนที่สุด ทั้งยังถือเป็นคอลเลกชันแรกที่ “โฮมโปร” ได้เข้ามาทำงานร่วมกับชุมชน ซึ่งแม้จะเป็นเพียงก้าวแรก แต่เราจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ โดยจะสร้างช่องทางการขายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดให้ท้องถิ่นและจะเสาะหาความแตกต่างของชุมชนอื่น ๆ พร้อมพัฒนางานฝีมือของชุมชน สู่สินค้าโมเดิร์นเทรดที่สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน ต่อยอดโอกาสเพื่อพัฒนาชุมชน และก้าวสู่คุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป.

 

คอนโดฯ หรู “คาราเพซ หัวหิน-เขาเต่า” จับมือ “Best Western Plus” โชว์โมเดลการบริหารงานรูปเเบบโรงเเรม

alivesonline.com : “คาราเพซ หัวหิน-เขาเต่า” ปลื้มยอดขายกว่า 50% หลังร่วมกับ “Best Western Plus” โชว์โมเดลการบริหารงานรูปเเบบโรงเเรมระดับ 4 ดาว ให้ผู้ซื้อรับผลตอบแทนนาน 15 ปี ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัยและเพื่อการลงทุน จัดโปรโมชั่นพิเศษ จองวันนี้รับโชค 2 ชั้น ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 7 ธ.ค.62

นายปองพิพัฒน์ กาญจนสุพัฒน์ กรรมการ บริษัท วัน เพลส เอสเตท จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในโซนหัวหิน-เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ผู้พัฒนาโครงการ “คาราเพช หัวหิน-เขาเต่า” (CARAPACE Huahin-Khaotao) เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในโซนหัวหิน-เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ มากว่า 20 ปี การพัฒนาโครงการจึงให้ความสำคัญในการเลือกทำเลที่มีศักยภาพที่ติดทะเล ผสมผสานกับการออกแบบของสถาปนิกมืออาชีพที่ออกแบบทันสมัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า หรือผู้เข้าพักอย่างครบครัน โดยได้สัมผัสธรรมชาติอย่างเต็มที่ รวมถึงกลยุทธ์ในการตั้งราคาให้ลูกค้าสามารถจับต้องได้ จึงจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเรียลดีมานด์ที่เป็นลูกค้ากลุ่มคนไทยได้อย่างดี ล่าสุดจึงได้พัฒนาโครงการ “คาราเพซ หัวหิน-เขาเต่า” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์สไตล์รีสอร์ทสูง 8 ชั้นบนพื้นที่กว่า 10 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 1.6 พันล้านบาท

โครงการ คอนโดมิเนียม “คาราเพซ หัวหิน-เขาเต่า” เป็นคอนโดฯ ติดทะเลบนหาดเขาเต่า ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัยและเพื่อการลงทุน จำนวน 6 อาคาร รวม 532 ยูนิต พื้นที่แบ่งเป็น โซน A สำหรับพักอาศัย จำนวน 126 ยูนิต ประกอบด้วยอาคารสูง 4 ชั้น 3 อาคาร กำหนดการสร้างเสร็จ ธันวาคม 2563 และโซน B เพื่อการลงทุน จำนวน 406 ยูนิต ประกอบด้วยอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร และ 8 ชั้น 1 อาคาร มีกำหนดการสร้างเสร็จ เดือนธันวาคม 2564

“ในโซนเพื่อการลงทุนนั้น คอนโดฯ คาราเพซ หัวหิน ร่วมกับ Best Western Plus นำห้องชุดมาให้เช่า ในมาตรฐานการบริการโรงแรมระดับ 4 ดาว โดยรับผลตอบแทนนาน 15 ปี การันตีผลกำไร 5% นาน 5 ปี โดยรับผลตอบแทนจากราคาซื้อขายสุทธิและเฟอร์นิเจอร์ ในปีที่ 6 ถึงปีที่ 15 รับผลตอบแทนประโยชน์สูงสุด 60% ตามผลประกอบการจริง โดยเจ้าของห้องชุดสามารถเข้าพักได้ฟรี 15 คืนต่อปี”

โครงการ “คาราเพช หัวหิน-เขาเต่า” คอนโดมิเนียมหรูริมชายหาดหัวหิน-เขาเต่า บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ห่างจากถนนใหญ่เพชรเกษม เพียง 200 เมตร ใกล้กับวิถีชุมชนดั้งเดิมในย่านเขาเต่า ให้ความเป็นส่วนตัวและการพักผ่อนที่เงียบสงบ หลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองหัวหินที่ทำให้รู้สึกเสมือนเป็นหาดส่วนตัวที่ให้คุณสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการลงทุนที่เป็นดั่งรางวัลชีวิต พร้อมสัมผัสสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อนที่หาที่เปรียบมิได้  เงียบ สงบ เป็นส่วนตัว ใกล้ชิดธรรมชาติ ติดหาดเขาเต่า

‘ปองพิพัฒน์ กาญจนสุพัฒน์’ (ซ้าย) กรรมการ บริษัท วัน เพลส เอสเตท จำกัด และ ‘สุวิชัย เจนธนอรรถกิจ’ (ขวา) กรรมการบริหาร บริษัท วัน เพลส เอสเตท จำกัด

ด้าน นายสุวิชัย เจนธนอรรถกิจ กรรมการบริหาร กล่าวเสริมว่า ด้านการออกแบบโครงการฯ มีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ให้ผังอาคารบิดโค้งสามารถรับวิวทะเลทุกห้อง โดดเด่นด้วยสวนน้ำ WATERPARK – สวนน้ำขนาดใหญ่ หลากหลาย FUNCTION ให้คุณเต็มที่ทั้งครอบครัว และมีพื้นที่สระน้ำขนาดใหญ่ถึง 1,3 พันตร.ม. สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ฟิตเนสตบแต่งอย่างหรูหรา พร้อมอุปกรณ์ชั้นนำ สวนสวย ๆ ด้วยพันธุ์ไม้ที่เลือกสรรมาอย่างดี Services และ Facilities ระดับ World Class

“จุดเด่นของโครงการคือการบริหารโดยเชนโรงแรมระดับโลก BEST WESTERN PLUS มืออาชีพมากประสบการณ์ที่พร้อมมอบความคุ้มค่าด้านการลงทุนและสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน นอกจากนี้ ยังมีคาเฟ่เก๋ ๆ คือ CaraSpace ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และของหวานพร้อมเสิร์ฟให้ลูกค้าที่เยี่ยมชมโครงการ จากความโดดเด่นในด้านต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ จึงส่งผลให้ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้วกว่า 50% หลังจากเปิดขายเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา”

ผู้สนใจโครงการจองวันนี้ในราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท รับโชค 2 ชั้น ชั้นแรก สุดฟินกับปรากฏการณ์ออโรร่า ด้วยโปรแกรมล่าแสงเหนือ โชคชั้นที่ 2 ร่วมลุ้นเป็นเจ้ารถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ C220D Avantgarde, รถยนต์ เอ็มจี แซดเอส EV (MG ZS EV) รถยนต์ SUV ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% หรือทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 10 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท โดยจะมีการจับฉลากในงาน Grand Opening ในช่วงเดือนธันวาคม 2562

โครงการ “คาราเพช หัวหิน-เขาเต่า” บริหารงานโดย บริษัท วันเพลส เอสเตท จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากว่า 20 ปี สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดชมโครงการได้ที่ โทร. 08 6996 6662, 08 6996 6663 หรือ www.carapacehuahin.com