Teibto พร้อมบุกตลาด Solution Provider เวียดนาม

alivesonline.com : Teibto โชว์เจ๋งคว้ารางวัล Top Value Partner Award (ASEAN) FY20 จาก Oracle NetSuite รายเดียวในอาเซียน เผยสถานการณ์ COVID-19 ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน เตรียมเดินแผนบุกตลาดเวียดนามเต็มตัวหลังชิมลางเปิดตลาดมาแล้ว 2 ปี เพิ่มการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์และโฆษณาประชาสัมพันธ์ หวังการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 40%

นางสาวอภิษฎา เดมีย์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เติบโต จำกัด (Teibto Co., Ltd.) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการ Solution Provider สัญชาติไทย จำหน่ายซอฟต์แวร์ ออราเคิล เนทสวีท (Oracle NetSuite, Best First World Class Cloud ERP) ซึ่งเป็นระบบคลาวด์เป็นรายแรกที่มีประสบการณ์มากว่า 12 ปีให้แก่องค์กรธุรกิจทั่วไป รองรับงานด้านการบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้า หรือ CRM (Customer Relationship Management), งานด้านการบริหารทรัพยากรขององค์กร หรือ ERP (Enterprise Resource Planning) และระบบอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งเป็นระบบคลาวด์ (Cloud) ที่ได้มาตรฐานระดับโลก เหมาะกับธุรกิจของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการการขยายงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ในปี 2563 บริษัทฯ ได้รับรางวัล Top Value Partner Award (ASEAN) FY20 จาก Oracle NetSuite ในฐานะที่เป็น Solution Provider ที่ให้บริการและจัดจำหน่าย Software Oracle NetSuite โดยสร้างรายได้สูงที่สุดในอาเซียน ทั้งยังถือเป็นบริษัทเดียวในอาเซียนที่ได้รับรางวัลนี้ ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ที่จะคว้ารางวัลนี้มาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกณฑ์การตัดสิน รวมถึงการบริหารยอดขายให้ได้ตามเป้าอีกด้วย โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ เพิ่งได้รับรางวัล Five Star Award 2020 จาก Oracle NetSuite ซึ่งรางวัลนี้บริษัทฯ ได้รับถึง 2 ปีซ้อน และเป็นบริษัทเดียวใน South East Asia ที่ได้รับรางวัลนี้ เพราะฉะนั้นทั้ง 2 รางวัลนี้จึงช่วยการันตีได้ว่า บริษัทฯ มีการบริหารงานและให้บริการที่ดีเยี่ยม อีกทั้งการ Implementation และการให้บริการหลังการขายที่ประสบผลสำเร็จ จึงช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการกับบริษัทฯ ในอนาคต

สำหรับครึ่งปีที่ผ่านมาในภาวะที่เรากำลังประสบปัญหาจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ถือว่า บริษัทฯ ได้รับผลกระทบน้อยมากเพราะเนื่องด้วยตัวธุรกิจซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางด้านซอฟต์แวร์นั้นเป็นงานที่เน้นระบบออนไลน์เป็นหลักอยู่แล้ว สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพราะเป็นระบบคลาวด์ จึงได้รับผลกระทบน้อยมาก โดยหลังจากนี้บริษัทฯ จะเริ่มเดินหน้าบุกตลาดเวียดนามอีกครั้งหลังจากปลดล็อกสถานการณ์ COVID-19 เฟส 5 โดยบริษัทฯ ได้เปิดสาขาที่เวียดนามมาแล้วเป็นเวลา 2 ปีกว่า ถือว่าได้รับผลตอบรับดีมาก และมีอัตราการเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปัจจุบันตลาดเวียดนามถือว่าไปได้ดี และยังมีผู้ประกอบการไทยที่อยากไปลงทุนในเวียดนามถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายของเราอีกด้วย ซึ่งในปีนี้เราได้เพิ่มการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์และการโฆษณาประชาสัมพันธ์ คาดว่าเราจะโตจากปีที่แล้วมากกว่า 40%

ข่าวปลอม! งดใช้ตู้ ATM กรุงไทยทุกตู้ที่ไม่มีไฟกะพริบตรงที่เสียบบัตร

alivesonline.com : ตามที่ได้มีการส่งต่อข้อความในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ถึงประเด็นเรื่อง งดใช้ตู้ ATM กรุงไทยทุกตู้ที่ไม่มีไฟกะพริบตรงที่เสียบบัตร เนื่องจากจะโดนแฮ็กข้อมูล นั้น

ธนาคารกรุงไทย ชี้แจงว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นจริง และเคยเผยแพร่ไปแล้วตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งปัจจุบันธนาคารต่าง ๆ ได้ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการคัดลอกข้อมูลที่เครื่องเอทีเอ็ม เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ จึงขอให้ผู้ใช้บริการสบายใจในการใช้บริการ และในขณะเดียวกันทุกธนาคารยังมีการออกบัตรเอทีเอ็ม และบัตรเดบิตที่ออกใหม่ที่เป็นแบบชิปการ์ดจะสามารถป้องกันการคัดลอกข้อมูลได้

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากธนาคารกรุงไทย สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.krungthai.com หรือ โทร.0 2111 1111

ททท. เดินหน้าโครงการ SHA ยกระดับมาตรฐานท่องเที่ยวไทย

alivesonline.com : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินงานกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศหลังวิกฤติ COVID-19 ด้วยโครงการ Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA โดยความร่วมมือของ กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงภาคเอกชน เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวควบคู่มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย ใน 10 ประเภทกิจการ โดยปัจจุบันมีผู้ได้รับมาตรฐาน SHA จากทั่วประเทศแล้วกว่า 4,021 ราย ซึ่งกรุงเทพฯ ครองแชมป์ได้รับมาตรฐาน SHA มากที่สุด

โครงการ Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA ดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และภาคเอกชน เป็นโครงการที่กระตุ้นให้สถานประกอบการในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปรับปรุง พัฒนาสถานประกอบการให้สอดคล้องกับรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal) ด้านการท่องเที่ยว ควบคู่กับมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเข้มข้น เพื่อให้ปลอดภัยสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว ทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจออกเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ตลอดจนใช้สินค้าและบริการท่องเที่ยวได้อย่างมั่นใจ โดยตรวจสอบการบริการของผู้ประกอบการใน 10 ประเภทธุรกิจ ได้แก่ ภัตตาคาร/ร้านอาหาร โรงแรม/ที่พัก นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว ยานพาหนะ บริษัทนำเที่ยว สุขภาพและความงาม ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว การจัดกิจกรรม การจัดประชุม โรงละคร โรงมหรสพ และร้านค้าของที่ระลึก โดยการพิจารณาจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานจากกรมควบคุมโรค 3 องค์ประกอบ คือ สุขลักษณะอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ การทำความสะอาด และการป้องกันสำหรับผู้ปฏิบัติงาน

ทั้งนี้ ททท. จะเป็นผู้ควบคุมการออกตราสัญลักษณ์โดยการระบุหมายเลขของตราสัญลักษณ์ SHA ให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อบันทึกเป็นฐานข้อมูล ซึ่งจะมีอายุ 2 ปี โดยขณะนี้มีจำนวนผู้ประกอบการที่สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 5,832 ราย จากทั่วประเทศ และผ่านมาตรฐาน SHA จำนวน 4,021 ราย โดยมีสัดส่วนผู้ประกอบการ พื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 1,010 ราย ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่ได้รับมาตรฐาน SHA มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต จำนวน 498 ราย และจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 340 ราย ตามลำดับ ส่วนประเภทกิจการโรงแรมที่พัก ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการมากที่สุด (ข้อมูล ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2563)

สำหรับสถานประกอบการที่สนใจ สามารถศึกษาแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐาน SHA ดาวน์โหลด e-Book ได้ที่ https://thailandsha.tourismthailand.org/ebook และสมัครเข้าร่วมโครงการ ขอรับการตรวจและรับตราสัญลักษณ์ SHA ได้ที่ www.tourismthailand.org/thailandsha หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ thailandsha@gmail.com หรือ Line Official : @thailandsha  และ โทร. 1672 เพื่อนร่วมทาง

 

“ทีเส็บ” นำเอกชนร่วมเจรจาธุรกิจออนไลน์ IT&CM China

alivesonline.com : ทีเส็บ” นำเอกชน 20 รายร่วมชิงตลาดไมซ์นานาชาติแบบออนไลน์เป็นครั้งแรกหลังโดนกระทบหนักจาก COVID-19 ในงานเทรดโชว์ IT&CM China ระหว่าง 3-5 ส.ค.63 ร่วมประชันกับผู้ขายนานาชาติ 119 ราย เจรจากับผู้ซื้อกว่า 300 ราย โดยมี โรงแรม แบ็งคอก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค เป็นจุดเชื่อมโยงกับศูนย์ของงานในเซี่ยงไฮ้

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า “ทีเส็บ” สนับสนุนผู้ประกอบการไมซ์ 20 บริษัท เข้าร่วมงานเทรดโชว์ไมซ์ออนไลน์ครั้งแรกในงาน IT&CM China (Incentive Travel and Convention, Meeting China) ระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2563 ซึ่งเปลี่ยนรูปแบบเดิมจากการจัดงานจริง ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน มาเป็นการจัดงานในรูปแบบเทรดโชว์ออนไลน์ (Virtual Tradeshow) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโรค COVID-19 ที่ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่องทั่วโลก

วัตถุประสงค์การจัดงาน IT&CM China ยังคงต้องการให้เป็นเวทีเจรจาธุรกิจไมซ์ของกลุ่มผู้ซื้อและกลุ่มผู้ขายในตลาดต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไมซ์ไทยมีเวทีเจรจาธุรกิจกับลูกค้าผู้จัดงานจากประเทศจีนแล้ว ยังได้รับประสบการณ์ความรู้จากการเข้าร่วมงาน และเรียนรู้การใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีในการจัดงานไมซ์อันเป็นหนึ่งในเป้าหมายการดำเนินงานของ “ทีเส็บ” อีกด้วย โดยคาดว่าการจัดงานครั้งนี้จะมีผู้ขายนานาชาติเข้าร่วมกว่า 119 ราย และผู้ซื้อกว่า 300 ราย

นายจิรุตถ์ กล่าวด้วยว่า การร่วมงานครั้งนี้ “ทีเส็บ” ยังผสมผสานการจัดงานจริงให้ผู้ประกอบการไมซ์ 20 บริษัท มารวมตัวกันที่โรงแรม แบ็งคอก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค เพื่อร่วมงานเจรจาธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของงานเทรดโชว์ IT&CM China ในปีนี้พร้อมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการไมซ์ทั้งหมดที่เข้าร่วมงาน โดยให้ความรู้และข้อเสนอแนะในการเจรจาธุรกิจผ่านการใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์มออนไลน์ของงานไปพร้อมกัน ขณะเดียวกันยังสามารถสนับสนุนผู้ประกอบการโรงแรมในการจัดงานรูปแบบปกติควบคู่กันไป เพื่อส่งเสริมการจัดงานภายในประเทศตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย

การเข้าร่วมงานเทรดโชว์ไมซ์ออนไลน์ IT&CM China ครั้งนี้ ผู้ประกอบการไมซ์ทั้ง 20 บริษัท จะได้รับสิทธิเข้าร่วมเจรจาธุรกิจ (Business Matching) โดยสามารถทำการนัดหมายล่วงหน้าผ่านระบบ Pre-Schedule Appointment (PSA) ได้รับการแสดงชื่อบริษัทที่เข้าร่วมเจรจาธุรกิจลงในแผนผังการจัดงาน มีสิทธิล็อกอินเข้าสู่ระบบเพื่อร่วมเจรจาธุรกิจ และค้นหาผู้ซื้อในระบบได้จำนวนไม่น้อยกว่า 40 สิทธิ รวมถึงแสดงชื่อบริษัทที่เข้าร่วมเจรจาธุรกิจลงใน Buyers Profile e-book โดย “ทีเส็บ” ตั้งเป้าจำนวนการนัดหมายเจรจาธุรกิจของผู้ประกอบการไมซ์ไทยรวมกันภายในงานไม่ต่ำกว่า 500 นัดหมาย

“ทีเส็บ” ยังมีการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมภายในงานเพื่อสร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์กิจกรรมให้กลุ่มผู้ซื้อต่างประเทศได้รับทราบกิจกรรมที่ทางประเทศไทยได้จัดทำขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย เช่น การออกแบบแบนเนอร์เพื่อประชาสัมพันธ์ประเทศไทย และสร้างการจดจำต่อสายตานานาชาติผ่านทางสื่อประชาสัมพันธ์บริเวณ Home Page, Networking Lounge Page, และ Social Media เป็นต้น

นายจิรุตถ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ก่อนวันจัดงานจริง ณ โรงแรม แบ็งคอก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค “ทีเส็บ” มีการนัดหมายบรีฟผู้ประกอบการ (Exhibitor Brief) และจัดเตรียมคู่มือการเข้าร่วมงาน (Exhibitor Manual) ให้ผู้ประกอบการทั้ง 20 บริษัท เพื่อทำการซักซ้อมระบบ และเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการก่อนเข้าร่วมงานจริง โดยดำเนินการจัดงานเป็นแบบอย่างตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการ โดย “ทีเส็บ” ยังอำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำทางด้านเทคนิคแก่ผู้ประกอบการทั้ง 20 บริษัท เพื่อให้การจัดกิจกรรมดังกล่าวสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่วางไว้ในการสร้างการรับรู้ความพร้อมของประเทศไทย และกระชับความสัมพันธ์กับคู่ค้าในตลาดจีน ทั้งยังสามารถส่งเสริมการจัดงานรูปแบบปกติในประเทศไปพร้อมกัน เพื่อสร้างรายได้ให้โรงแรมที่จัดงานอีกทางหนึ่งด้วย

“สายธารพระเมตตา จากภูมิปัญญาสู่สากล” เทิดไท้สมเด็จฯ พระพันปีหลวง

alivesonline.com : สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ต้อนรับเทศกาลวันแม่ จัดงาน “สายธารพระเมตตา จากภูมิปัญญา สู่สากล” นิทรรศการและการแสดงผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไหมไทย ยกขบวนมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์โชว์ชุดไหมไทยอันล้ำค่า เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาผ้าไหมไทย ระหว่างวันที่ 3-23 สิงหาคม 2563 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน

นับเป็นเวลาหลายศตวรรษที่สมเด็จฯ พระพันปีหลวง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจและมีพระราชปณิธานในการส่งเสริมงานศิลปาชีพด้านผ้าไหมไทย เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 88 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2563 สำนักงานศิลปะกระทรวงวัฒนธรรม จึงได้จัดงาน “สายธารพระเมตตา จากภูมิปัญญา สู่สากล” เพื่อเทิดพระเกียรติและฉลองปีมงคลนี้

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะประธานการจัดงาน เปิดเผยว่า งานนี้จะเป็นการรวบรวมผลงานผ้าไหมที่มีความงดงามหลากหลายรูปแบบ เพื่อแสดงถึงพระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่มีต่อผ้าไทย ทั้งยังทรงส่งเสริมอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแก่พสกนิกร และอาชีพทางด้านหัตถกรรมการถักทอผืนผ้าไหมที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์และมรดกของประเทศไทยสืบต่อไป

นิทรรศการอันวิจิตรตระการตาครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ล้ำค่าผ้าไหมไทยสู่สากล” ผ่านเทคนิคการแสดงที่ล้ำสมัย แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่

ส่วนที่ 1 การผลิตผ้าไหมไทย นำเสนอเรื่องราวการผลิตผ้าไหมไทย แสดงถึงชีพจักรไหม, แสดงการย้อมสี, การทอผ้าไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าไหมมัดหมี่ ลวดลายมัดหมี่ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เป็นลวดลายที่มาจากธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ขนบธรรมเนียมประเพณี และความเชื่อ อาทิ ลายดอกแก้ว ลายต้นสน ลายนาค ลายใบไผ่ ลายโคมห้า ลายขันหมากเบ็ง (ลายบายศรี) เป็นต้น ซึ่งเป็นศิลปะการทอผ้าที่ยากจะลอกเลียนให้เหมือนเดิมได้ในปัจจุบัน

ส่วนที่ 2 การแสดงหุ่นโชว์ชุดราตรีผ้าไหมไทยที่เคยแสดงในงาน “Thai Night” งานเลี้ยงต้อนรับสาวงามผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2018 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยชุดทั้งหมดตัดเย็บจากผ้าไหมมัดหมี่ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จฯ พระพันปีหลวง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “มงคล” ไล่เรียงตามสีมงคลประจำวันของไทย จากวันจันทร์ไปจนถึงวันอาทิตย์ ได้แก่ สีเหลือง, สีชมพู, สีเขียว, สีส้ม, สีฟ้า, สีม่วง และสีแดง

นอกจากนี้ ยังมีหุ่นโชว์ชุดฝีพระหัตถ์ทรงออกแบบโดย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เค้าโครงมาจากชุดในคอลเลกชัน SIRIVANNAVARI Couture ที่มีการออกแบบตัดเย็บชั้นสูง ได้แรงบันดาลใจมาจากฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ใช้เทคนิคการร้อยและปักลูกปัดแบบ Haute Couture มีการใช้ผ้าไหมมัดหมี่ และผ้าไหมแพรวามาผสมกัน ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในการตัดเย็บผ้าไหมไทยโดยไม่ให้ความงดงามดั้งเดิมสูญเสียไป

ทุกพื้นที่บนผืนผ้าของชุดยังได้ถ่ายทอดความเป็น “นกยูง” เป็นสัตว์ที่สะท้อนถึงความสง่างามและความอ่อนโยนในแบบผู้หญิงที่มีความสวยงาม และโดดเด่นในรูปแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ชายกระโปรงลากยาวได้ออกแบบเสมือนปีกนกยูงที่กำลังรอรำแพน มีดอกดวงหรือแววมยุราที่เล่นดีเทลด้วยการตัดเย็บผ้าสีฟ้า สีน้ำเงินอยู่ในพื้นที่วงกลม ล้อมรอบด้วยเส้นไหมให้ดูราวขนปีกนกยูง ซึ่งนับเป็นผลงานที่รังสรรค์ทุกรายละเอียดด้วยความประณีตอย่างสูง

นอกจากนี้ ยังมีผลงานของ 19 ดีไซเนอร์ไทยชื่อดังผู้รังสรรค์ผ้าไหมไทยสู่ 95 สาวงาม มิสยูนิเวิร์ส 2018 ได้แก่ Asava โดย พลพัฒน์ อัศวะประภา, Ek Thongprasert โดย เอก ทองประเสริฐ, Emotions Atelier โดย ธัญพิยสิษฐ์ หว่างพรม, La Boutique โดย พัชรวัฒน์ ตระกาลสันติกูล, Hook’s โดย ประภากาศ อังศุสิงห์, Kanapot Aunsorn โดย คณาพจน์ อุ่นศร, Kloset โดย ณัฏฐ์ มั่งคั่ง, Milin โดย มิลิน ยุวจรัสกุล, Narong โดย ณรงค์ เกตุแก้ว, Pattarat โดย พัทธรัตน์ อาจวงษ์, Patinya โดย ปฏิญญา เกี่ยวข้อง,Present โดย อนุรักษ์ ร่วมสุข, Surface โดย อธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์, Tipayaphong โดย ทิพยพงษ์ ภูษณะพงษ์, Tohns โดย ธรธรรม พงษ์พานิช, Tube Gallery โดย พิสิฐ จงนรังสิน, Valentier โดย ดนวัต พฤกษ์ชินวร, Vickteerut โดย อรประพันธ์ สุทธินรเศรษฐ์, และ Wisharawish โดย วิชระวิชญ์ อัครสันติสุข

ภายในงานแถลงข่าวได้มีไฮไลต์แฟชั่นโชว์ชุดผ้าไหมไทยกว่า 12 ชุด แสดงแบบโดย มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 อาทิ ฟ้าใส – ปวีณสุดา ดรูอิ้น ฟ้าใส, มิเรียม – ศรพรหมมาศ, เบลล่า – ธนัชพร บุญแสง, คิม – โดเชคาโลวา และ เฟริส – ภัทราพร หวัง ปิดท้ายด้วยพิธีมอบ “ชุดผีตาโขน” (Phi Ta Khon of Thailand) ให้แก่จังหวัดเลย ซึ่งเป็นชุดประจำชาติที่รังสรรค์ขึ้นมาให้แก่ “ฟ้าใส-ปวีณสุดา ดรูอิ้น” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 โชว์ความเป็นไทยในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2019 ณ เมืองแอตแลนต้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ออกแบบโดย “อลงกรณ์ กองอิน” ผู้ชนะเลิศการออกแบบชุดประจำชาติในโครงการ “ความเป็นไทยร่วมสมัยที่ฟ้าใสจะใส่ไปคว้ามง” เพื่อใช้เป็นชุดประจำชาติในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากชุดพื้นบ้านไทยของ อ.ด่านซ้าย จ.เลย

ร่วมสืบสานอัตลักษณ์ไทยและเทิดไท้สมเด็จฯ พระพันปีหลวง ได้ที่งาน  “สายธารพระเมตตา จากภูมิปัญญา สู่สากล” ระหว่างวันที่ 3-23 สิงหาคม 2563 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.m-culture.go.th

“คิด…แล้วไปให้ถึง” แคมเปญฟื้นท่องเที่ยวไทยไตรมาส 3

 

alivesonline.com : ททท. ชวนเที่ยวไทย ไปกับ “เวียร์–เบลล่า” พรีเซ็นเตอร์แคมเปญ “คิด…แล้วไปให้ถึง” ปลุกกระแสเที่ยวไทย เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในประเทศให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง นำเสนอผ่านโฆษณาและ Mini Story “คิดแล้วไปให้ถึง” ดันเป้าไทยเที่ยวไทย 68 ล้านคน/ครั้ง พร้อมรายได้ท่องเที่ยวในประเทศ 4 แสนล้านบาท

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จากกระแสในปัจจุบันที่คนไทยเริ่มปรับตัววสู่ยุค New Normal หรือที่เรียกว่าชีวิตวิถีใหม่ ทั้งเรื่องวิถีการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงรูปแบบการเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศที่หยุดชะงักทั่วโลก ส่งผลให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมีการชะลอตัวลง การส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศจึงกลายเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญในการพลิกฟื้นกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย ททท. จึงอยากเชิญชวนคนไทยร่วมสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวให้กลับมาคึกคักอีกครั้งและฟื้นฟูการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศกับแคมเปญ “คิด…แล้วไปให้ถึง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอมุมมองการท่องเที่ยวแนวใหม่ พร้อมผลักดันให้การท่องเที่ยวในประเทศเป็นวาระแห่งชาติ ด้วยความร่วมมือจากคนไทยทั้งประเทศ ซึ่ง ททท. คาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวในประเทศจะสามารถช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ภายในไตรมาสที่ 3 ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2563 โดยคาดว่าปี 2563 จะมีนักเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ 68 ล้านคน/ครั้ง พร้อมรายได้ท่องเที่ยวในประเทศ 4 แสนล้านบาท

ด้านนายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า สำหรับแนวทางในการสื่อสาร ททท. มีเป้าหมายนำเสนอการสื่อสารในลักษณะการสื่อสารแบบบูรณาการ (Integrated Marketing Communication) ผ่านการนำเสนอผลงานโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมใช้ช่องทางการสื่อสารการตลาดแบบ 360 องศา ครอบคลุมทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ ประกอบด้วยภาพยนตร์โฆษณาชุด “คิดแล้วไปให้ถึง” ความยาว 60 วินาที Cutdown 30 วินาที และภาพยนตร์ Mini Story “คิดแล้วไปให้ถึง” ความยาว 6 นาที นำแสดงโดยพรีเซ็นเตอร์คู่ขวัญที่รักการเดินทางท่องเที่ยวแห่งปี “เวียร์ ศุกลวัฒน์-เบลล่า ราณี” พร้อมร้องเพลงประกอบโฆษณา เพลง “คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ” โดย “เวียร์ ศุกลวัฒน์” ซึ่งทั้งสองคนจะมาชวนคนไทยทุกคนออกเดินทางท่องเที่ยวเมืองไทยให้หายคิดถึง นำเสนอผ่าน FaceBook Fanpage : amazing ไทยเท่ กำกับภาพยนตร์โดย นายชยนพ บุญประกอบ (หมู) ผู้กำกับชื่อดังจากเมย์ไหนไฟแรงเฟร่อ, พรจากฟ้า, Friend Zone ระวัง…สิ้นสุด ทางเพื่อน เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรม One day Trip with Weir รับสมัครผู้โชคดีที่เข้าร่วมกิจกรรมผ่าน FaceBook Fanpage : amazing ไทยเท่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 1672 เพื่อนร่วมทาง

[ชมคลิป] ททท. ชวนไกด์ส่งคลิปแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยว

alivesonline.com : ททท.เปิดตัวโครงการ “Amazing Thailand Guide Sharing” ช่วยเหลือกลุ่มมัคคุเทศก์ที่เป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัส COVID–19 ชวนมัคคุเทศก์ไทยส่งผลงานคลิปวิดีโอความยาว 2 นาที แบ่งปันเรื่องราวการท่องเที่ยว พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทาง ให้รางวัล 6 พันผลงานแรก คลิปละ 800 บาท พร้อมเปิดโอกาสให้ร่วมทีมผลิตสื่อสร้างการรับรู้การท่องเที่ยวไทย

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จากกระแสการท่องเที่ยวโลก (Tourism Trend) ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสภาวะการระบาดของโรคต่าง ๆ  โดยเฉพาะ COVID–19 ที่ทำให้พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย โดยมีแนวโน้มระมัดระวังเรื่องสุขสุขอนามัย ความปลอดภัย และการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ททท. จึงได้จัดทำโครงการ Amazing Thailand Guide Sharing “ทุกเรื่องราวจากไกด์ ถ่ายทอดเมืองไทยสวยงาม” เพื่อเตรียมความพร้อมบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเฉพาะมัคคุเทศก์ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ ให้สามารถปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยววิถีใหม่ พร้อมทั้งกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวผ่านการแบ่งปันเรื่องราวการท่องเที่ยวจากมัคคุเทศก์ที่มีแง่มุมที่น่าสนใจและสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยว ภายใต้แนวคิด BEST อันได้แก่ B – Booking E – Environment S-Safety และ T -Technology รวมถึง 7GREENs และ Responsible Tourism ให้นักท่องเที่ยวทั่วไปได้ถือเป็นแนวปฏิบัติ โดยสอดคล้องกับนโยบายและแผนงานในการผลักดันให้ประเทศไทย มุ่งสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม (Preferred Destination) อย่างยั่งยืน ในการเป็นจุดหมายปลายทางที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม อันจะช่วยเพิ่มคุณค่าแบรนด์ประเทศไทยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวได้อีกด้วย

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว (ททท.) กล่าวว่า ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมา ททท. ได้ดำเนินโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลายโครงการ อาทิ โครงการ Amazing Thailand Safety & Administration (SHA) ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยให้กับสถานประกอบการ 10 ประเภทกิจการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ในส่วนของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มมัคคุเทศก์เป็นกลุ่มที่ ททท. ให้ความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ดูแลนักท่องเที่ยวทั้งด้านการอำนวยความสะดวก การสังเกตอาการป่วยในเบื้องต้น การให้ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ซึ่งช่วงการระบาดของ COVID–19 ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ททท. จึงได้จัดทำโครงการ Amazing Thailand Guide Sharing “ทุกเรื่องราวจากไกด์ ถ่ายทอดเมืองไทยสวยงาม” โดยขอเชิญชวนมัคคุเทศก์ที่มีใบอนุญาตประกอบอาชีพถูกต้องตามกฎหมาย มาร่วมแบ่งปันเรื่องราวการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Normal) ในรูปแบบคลิปวิดิโอที่ถ่ายทำจากแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยซึ่งเป็นสถานที่จริง ความยาวไม่เกิน 2 นาที เป็นบรรยายเป็นภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศที่ตนเองถนัด โดยสามารถจัดส่งผลงานผ่านเว็บไซต์ www.tatguidesharing.com ได้ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม – 15 กันยายน 2563 โดย 6 พันวิดีโอคลิปแรกจะได้รับเงินรางวัลคลิปละ 800 บาท โดย 1 คน สามารถส่งผลงานได้สูงสุด 3 วิดีโอคลิป พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตสื่อสร้างการรับรู้การท่องเที่ยวไทยโดยสื่อสารผ่านตัวมัคคุเทศก์ จำนวน 30 เรื่องราว ซึ่ง ททท. จะทำการเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์สู่สายตานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่อไป

นายวิโรจน์ สิตประเสริฐนันท์ นายกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ในช่วงวิกฤติ COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องยกเลิกการเดินทาง รวมถึงการหยุดชะงักการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวไทยจากมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งแน่นอนว่าการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและบุคลากรด้านท่องเที่ยว โดยเฉพาะมัคคุเทศก์ไทยที่มีอยู่หลายหมื่นคนทั่วประเทศ ประสบปัญหาการขาดรายได้และปัญหาการว่างงาน ดังนั้น การที่ ททท. ได้ริเริ่มดำเนินโครงการ Amazing Thailand Guide Sharing จึงถือได้ว่ามีส่วนช่วยสนับสนุนมัคคุเทศก์ไทยได้เป็นอย่างมาก นอกจากช่วยเหลือด้านรายได้ส่วนหนึ่งแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ให้มัคคุเทศก์สามารถแสดงศักยภาพของตนเอง ผ่านการแบ่งปันประสบการณ์นำเที่ยวและการเดินทางอันน่าประทับใจ ซึ่งหลากหลายเรื่องราวอาจเป็นเรื่องลับเฉพาะหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่นักท่องเที่ยวจะได้ทราบ เมื่อใช้บริการนำเที่ยวจากมัคคุเทศก์เท่านั้น

นางสาวศศิวิไล โสภณวิมลสวัสดิ์ เจ้าของแฟนเพจ “ฉันกลัวที่แคบ” กล่าวเพิ่มเติมว่า จากประสบการณ์ ท่องเที่ยวไทยที่ได้เก็บเกี่ยวมาตลอดหลายปีนั้น พบว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลายรูปแบบ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม หรือแม้แต่ชุมชน ซึ่งความหลากหลายเหล่านี้ถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ และอีกจุดแข็งหนึ่งคือการบริการและศักยภาพของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะมัคคุเทศก์ที่ให้บริการนำเที่ยวอย่างคุณภาพ ซึ่งการไปเที่ยวแบบใช้บริการมัคคุเทศก์ย่อมแตกต่างกับการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง โดยมัคคุเทศก์มีส่วนช่วยให้นักท่องเที่ยวได้ทราบข้อมูลของแหล่งท่องเที่ยวนั้นอย่างถูกต้อง รวมไปถึงให้ข้อมูลเชิงลึกและเรื่องราวที่นักท่องเที่ยวไม่สามารถค้นหาข้อมูลเองได้จากโลกอินเทอร์เน็ต ทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบลึกซึ้งจากมัคคุเทศก์ในพื้นที่มากยิ่งขึ้นด้วย

ทั้งนี้ มัคคุเทศก์ที่สนใจ สามารถแบ่งปันเรื่องราวการท่องเที่ยวในรูปแบบ New Normal ภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมตามแนวคิด 7GREENs และการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism) ผ่านเว็บไซต์ www.tatguidesharing.com ได้ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม – 15 กันยายน 2563 ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Line @guidesharing และ TAT Call Center 1672 เพื่อนร่วมทาง ในเวลาราชการ

 

“พิพัฒน์” หนุนกลุ่ม Expats เที่ยววิถีไทย นำร่อง “คุ้งบางกะเจ้า”

alivesonline.com : กระทรวงการท่องเที่ยวฯ หนุนเที่ยวเมืองไทยต่อเนื่อง เตรียมโหมตลาด Expats ผุดแคมเปญ Explore the unseen Thailand (เรารู้จักกันดีพอหรือยัง) ชวนชาวต่างชาติที่ทำงานและพำนักในเมืองไทย สัมผัส “ปอดกรุงเทพฯ” เคล้าวิถีท่องเที่ยวชุมชนในคุ้งบางกะเจ้า ชูจุดขายท่องเที่ยววิถีไทย วิถีธรรมชาติ 

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า มีแนวคิดส่งเสริมตลาดชาวต่างชาติที่ทำงานและพำนักในประเทศไทย หรือ “เอ็กซ์แพท” (Expats) ให้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย ทดแทนการเดินทางออกไปเที่ยวยังประเทศเพื่อนบ้านในช่วงเวลาวันหยุด หลังจากการศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติกลุ่มนี้พบว่า ชื่นชอบการท่องเที่ยวเรียนรู้วิถีชีวิตของคนไทยและท่องเที่ยวธรรมชาติ จึงเตรียมนำเสนอพื้นที่ “คุ้งบางกะเจ้า” ซึ่งเป็นปอดของกรุงเทพฯ ตามที่ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ได้เข้าไปพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวไว้ 6 เส้นทางใน 6 ตำบล ได้แก่ เส้นทางท่องเที่ยววิถีมอญ ตำบลทรงคนอง เส้นทางท่องเที่ยววิถีคลองแพ ตำบลบางกอบัว เส้นทางท่องเที่ยววิถีตลาดน้ำ ตำบลบางน้ำผึ้ง เส้นทางท่องเที่ยววิถีจาก ตำบลบางกระสอบ เส้นทางท่องเที่ยว Inside ตำบลบางกะเจ้า และเส้นทางท่องเที่ยววิถีเกษตร ตำบลบางยอ โดยมีแนวคิดส่งเสริมการเดินทางนักท่องเที่ยวกลุ่ม Expats ในแคมเปญ Explore the unseen Thailand (เรารู้จักกันดีพอหรือยัง) เชิญชวนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศไทยเพิ่มขึ้นและถี่ขึ้น จึงจำเป็นต้องนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้เขาสนใจ ซึ่งบางกะเจ้าถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ ประกอบกับมีโลเกชั่นที่เดินทางสะดวกจากภาคตะวันออกของประเทศไทย ซึ่งมีโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่มีชาวต่างชาติและนักธุรกิจพำนักอยู่จำนวนมาก

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีกลุ่ม Expats ทั้งที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ และในประเทศไทยประมาณ 2 ล้านคนในตัวเลขดังกล่าวมีราว 1 ล้านคนนิยมที่จะใช้วันหยุดในการเดินทางออกไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านใกล้ ๆ กับไทย  ดังนั้นเมื่อรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ คนกลุ่มนี้จึงเป็นนักท่องเที่ยวเป้าหมายที่มีศักยภาพ จึงมีแนวคิดที่จะนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่เดินทางสะดวกให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้เกิดการรับรู้ ดังนั้นเพื่อสร้างการรับรู้ในเบื้องต้น กระทรวงฯ จึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อพท. กรมการท่องเที่ยว และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดกิจกรรมท่องเที่ยวคุ้งบางกะเจ้า เป็นกิจกรรมนำร่อง โดยเชิญคณะทูต กลุ่ม Expats และสื่อมวลชน รวมประมาณ 60 คน เดินทางเยี่ยมชมกิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่คุ้งบางกะเจ้าในช่วงเดือนสิงหาคม ศกนี้  เพื่อให้คนกลุ่มนี้ได้มาสัมผัสกิจกรรมและความพร้อมของแหล่งท่องเที่ยว ได้รับรู้ถึงเสน่ห์และความน่าสนใจของกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งอยู่ติดกับกรุงเทพฯ สามารถเดินทางได้สะดวก และยังคาดหวังว่าจากความประทับใจที่เกิดขึ้นภายหลังการร่วมเดินทางลงพื้นที่ จะเกิดการบอกต่อและเป็นกระแสเชิญชวนกันมาเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้มากขึ้น

ทั้งนี้ ความน่าสนใจของคุ้งบางกะเจ้าคือเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิต ซึ่ง อพท. ใช้เกณฑ์มาตรฐานในการพัฒนาให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวโดยชุมชน และเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยว คือด้านการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย (Safe) ด้านความสะอาดสวยงาม (Clean) ด้านความเสมอภาค เป็นธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว บริการด้วยน้ำใจ (Fair) และด้านความยั่งยืน สร้างชุมชนท่องเที่ยว เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน และเพิ่มขีดความสามารถให้ท้องถิ่นบริหารจัดการการท่องเที่ยวได้ด้วยตัวเอง (Sustainable)

“มลฑาทิพย์ ฮอลล์ อุดรธานี” เดินหน้ารับงานทุกรูปแบบ

alivesonline.com : แม้การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ต้องทำให้ “มลฑาทิพย์ ฮอลล์” ศูนย์ประชุมและจัดแสดงนิทรรศการ จ.อุดรธานี ต้องปิดให้บริการไปนาน 3 เดือน แต่ “มลฑาทิพย์ ฮอลล์” ก็ไม่ได้นิ่งเฉยแต่อย่างใด เพราะในระหว่างนั้นทีมงานได้ตระเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ เพื่อรอวันให้สถานการณ์คลี่คลายก่อนที่จะสามารถรับงานได้ทุกรูปแบบอย่างเต็มประสิทธิภาพ

“มลฑาทิพย์ ฮอลล์” เป็นศูนย์ประชุมและจัดแสดงนิทรรศการ อุดรธานี มีนวัตกรรมเทคโนโลยี และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยเอื้อต่อการจัดงานทุกประเภท ตั้งอยู่ศูนย์กลางของย่านเศรษฐกิจใหม่ (New CBD) ของจังหวัดอุดรธานี มีขนาดพื้นที่ใช้สอย 2.5 หมื่นตารางเมตร ที่จอดรถกว่า 1 พันคัน  พื้นที่จัดงานกว่า 4 พันตารางเมตร มีห้องจัดแสดงงาน TANAKORN 1, TANAKORN 2, PASSAKORN 1, PASSAKORN 2, APICHA โดยได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อยกระดับมาตรฐานด้านสุขอนามัย และสร้างแนวปฏิบัติมาตรฐานใหม่ (New Normal) ตลอดจนได้รับตราสัญลักษณ์ SHA และใบรับรองความสะอาดปลอดภัย ป้องกัน COVID-19 ประเภทศูนย์ประชุม ผ่านมาตรฐาน ของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงสาธารณสุข

“ภาสกร วีรชาติยานุกูล” กรรมการผู้จัดการ “มลฑาทิพย์ ฮอลล์” เปิดเผยว่า หลังคลายล็อกมาตรการป้องกัน COVID-19 ระยะที่ 4 ของรัฐบาล จนถึงระยะที่ 5 สถานการณ์ฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ระหว่างที่ “มลฑาทิพย์ ฮอลล์” ปิดให้บริการ ทีมงานมีความพร้อมในการวางแผนและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถรับมือได้ทันทีที่เกิดวิกฤติ

“เราได้มีการพัฒนาช่องทางการขาย เปลี่ยนรูปแบบของการติดต่อกับลูกค้า จากต้องไปพบตัวต่อตัว เป็นการโทรศัพท์หา พัฒนารูปแบบการขายมาสู่ออนไลน์ ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทั้งทางเฟซบุ๊ก montatip hall และ ไลน์ OA @montatiphallผสมผสานช่องทางการขายต่าง ๆ โดยได้รับการตอบรับที่ดีมาก เพราะหลาย ๆ หน่วยงาน ก็ใช้เวลานี้ในการเตรียมโครงการต่าง ๆ เช่นกัน”

“ภาสกร วีรชาติยานุกูล” บอกด้วยว่า ในช่วงเวลาที่ล็อกดาวน์ “มลฑาทิพย์ ฮอลล์” ยังมีการพัฒนาปรับปรุงทัศนียภาพทั้งภายในภายนอก พร้อมทั้งตรวจสอบเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งานได้ทันที ขณะเดียวกันยังได้มีการอัปสกิลทักษะพนักงานเพื่อให้ก้าวนำหน้าอยู่เรื่อย ๆ ทั้งยังมีการพัฒนาคุณภาพในการบริการรอบด้าน เพราะ “มลฑาทิพย์ ฮอลล์” ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ให้เช่าจัดแสดงสินค้า งานเลี้ยงฉลอง งานเกษียณอำลาตำแหน่ง คอนเสิร์ต ทอล์คโชว์ ปฐมนิเทศน์ ปัจฉิมนิเทศ และอื่น ๆ เท่านั้น แต่ยังทำอินเฮ้าส์ ดูแลเบ็ดเสร็จให้งานหนึ่งงานออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด นับตั้งแต่นาทีแรกที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาจนงานลุล่วง

เมื่อมีมาตรการคลายล็อกดาวน์อนุญาตให้ศูนย์ประชุมเปิดได้  “มลฑาทิพย์ ฮอลล์” จึงสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างทันท่วงทีและเต็มประสิทธิภาพ มีสถานที่พร้อมสมบูรณ์ มีเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกครบครัน มีบุคลากรที่พร้อม สามารถจัดงานทันที เพราะมีการรับงานไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน ทั้งยังเริ่มมีการยืนยันการจัดงานเข้ามาแล้วอีกหลายงานจนถึงต้นปี 2564

ปัจจุบัน “มลฑาทิพย์ ฮอลล์” พร้อมรับงานทุกรูปแบบทั้งแสดงสินค้า ประชุม คอนเสิร์ต และอื่น ๆ โดยเฉพาะงานแต่งงาน ถือเป็นสถานที่ใหม่ สวยงาม ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล จัดงานแต่งงานให้ออกมาสวยทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไทย จีน ฝรั่ง ทั้งงานเช้า กลางวัน ปาร์ตี้กลางคืน ทางเจ้าภาพสามารถออกแบบงานตามความชอบ

ในตอนท้าย “ภาสกร วีรชาติยานุกูล” กล่าวให้ความมั่นใจว่า ทุกครั้งที่มีการจัดงาน “มลฑาทิพย์ ฮอลล์” ได้มีการเตรียมมาตรฐานการคัดกรองผู้เข้าศูนย์ประชุมฯ เพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพ พร้อมจุดสแกนแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ตลอดจนสเปรย์แอลกอฮอล์พ่นมือทำความสะอาดหลายจุด โดยผู้ร่วมงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในฮอลล์ มีการจัดพื้นที่นั่งโดยเว้นระยะห่าง ควบคุมจำนวนผู้ร่วมกิจกรรมไม่ให้แออัด ตามแนวทางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยให้ความสำคัญด้านความสะอาดของสถานที่ ทั้งก่อนและหลังการให้บริการ ด้วยความตระหนักว่าแม้สถานการณ์โรค COVID-19 ในประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้น แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังป้องกัน และปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดต่อไป

[ชมคลิป] “แทคทีมเที่ยวไทย” การเดินทางครั้งใหม่ของ “สาครหุ่นละครเล็ก”


alivesonline.com
: ต้องนับเป็น “ก้าวสำคัญ” ครั้งใหญ่ของคณะหุ่นละครเล็กที่นำศิลปวัฒนธรรมไทยที่มีมาช้านานออกนำเสนอสู่สาธารณชนในทุกพื้นที่ให้ผู้พบเห็นได้มีรอยยิ้มและประทับใจในช่วงสถานการณ์โรคระบาด COVID-19

“ก้าวสำคัญ” ครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางครั้งใหม่ของหุ่นละครเล็กที่จะมาเป็น Youtuber โดยใช้ “หนุมาน” ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวในพื้นที่ต่าง ๆ ตามวิถีแบบ New Normal พร้อมนำเสนอผ่านรายการ “แทคทีมเที่ยวไทย” ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการถ่ายทำและพร้อมนำเสนอผ่านช่องทางออนไลน์ในเร็ว ๆ นี้

“ก้าวสำคัญ” ครั้งนี้อยู่ภายใต้แนวคิด “เพราะทุกพื้นที่ คือ เวทีของหุ่นละครเล็ก” โดย “คณะสาครหุ่นละครเล็ก” ภายใต้การนำของ “ฐิตะวัน ยังเขียวสด” บุตรีคนโตของศิลปินแห่งชาติ “โจ หลุยส์ – สาคร ยังเขียวสด” แห่ง “นาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก”

“ก้าวสำคัญ” ครั้งนี้ยังคงเอกลักษณ์ผู้เชิดหุ่น 3 คนที่หล่อหลอมดวงใจรวมเป็นหนึ่งเดียวเพื่อนำพาหุ่นละครเล็กออกเดินทางสู่หัวใจของคนไทยทุกคน

“ก้าวสำคัญ” ครั้งนี้จะยังคงเป็นไปแม้ศิลปวัฒนธรรมที่พวกเขาดูแลอยู่อาจเข้าไม่ถึงการช่วยเหลือ หรือได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ แต่ด้วยดวงใจที่ศรัทธาว่าจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาศิลปวัฒนธรรม “หุ่นละครเล็ก” ออกไปเยียวยา สร้างความสุข สร้างรอยยิ้มให้แก่ผู้คนได้ตลอดไป

“ก้าวสำคัญ” ครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา “คณะสาครหุ่นละครเล็ก”

ติดตามเพจ รายการ “แทคทีมเที่ยวไทย” ได้ที่ https://www.facebook.com/TagTeamTrip/  และเพจ “คณะสาครหุ่นละครเล็ก” https://www.facebook.com/profile.php?id=100008700873478

ติดต่องานแสดง-ออกงานอีเวนต์ได้ที่ คุณเมย์ โทร.08 1830 0799