“ซีพีแรม” ยึด “ห่วงโซ่อุปทาน” ปั้นยอดขาย 2.25 หมื่นล้าน

alivesonline.com : ในขณะที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 กำลังลามทุ่งอย่างหนัก จนมีผลทำให้นักท่องเที่ยวหดตัวและผู้คนออกจากบ้านน้อยลง รวมถึงธุรกิจหลายด้านต้องเผชิญมรสุมอยางหนักทั้งการท่องเที่ยว ค้าปลีก และค้าส่งนั้น

ในอีกมิติหนึ่ง “อาหารพร้อมรับประทาน” หรือ Ready To Eat (RTE) กลับอาจได้รับผลกระทบเพียงน้อยนิด จากข้อจำกัดบางประการของคนรุ่นใหม่ที่ใช้ไลฟ์สไตล์ด้วยความเร่งรีบ สะดวก รวดเร็ว ประกอบกับใช้ชีวิตแบบครอบครัวเดี่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและไม่มีพื้นที่ประกอบอาหารเหมือนสังคมไทยยุคเก่า จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทย ประเมินว่าจะมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 3.0-5.0 หรือมีมูลค่าตลาดประมาณ 2.02-2.05 หมื่นล้านบาท ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะยังมีส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่าร้อยละ 1 ของมูลค่าตลาดรวมในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่มีมูลค่าประมาณ 2.46-2.51 ล้านล้านบาท แต่ยังมีโอกาสสูงที่จะเพิ่มสัดส่วนได้มากขึ้นในระยะข้างหน้า

จึงไม่แปลกที่ บริษัท ซีพีแรม จำกัด ผู้ผลิตอาหารพร้อมรับประทานแช่แข็ง-แช่เย็น และเบเกอรีอบสดภายใต้แบรนด์ อีซี่โก, เดลี่ไทย, เดลิกาเซีย, เจด ดราก้อน, และ เลอแปง รวมถึงธุรกิจบริการจัดเลี้ยง ภายใต้แบรนด์ “ซีพีแรม แคเทอริ่ง” จะสามารถทำรายได้ในปี 2562 ได้ถึง 19,922 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11% ซึ่งถือเป็นการรักษาอัตราการเติบโตต่อปีเฉลี่ย 10% ต่อเนื่องติดต่อกันหลายปี โดย ‘วิเศษ วิศิษฏ์วิญญู’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด ให้เหตุผลว่า นอกจากเป็นเพราะวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือ“ซีพีแรม” มีการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตอาหารอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งใช้งบประมาณในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) เป็นจำนวน 1% ของยอดขาย หรือประมาณ 200 ล้านบาท ทำให้อาหารของ “ซีพีแรม” มีครบทั้งความหลากหลาย รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมซื้อซ้ำมากขึ้น อันนำมาซึ่งเป้าหมายรายได้ 22,570 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 12% ในปี 2563

เผย 5 อันดับเมนูฮิต “อาหาร-เบเกอรี่”

ปัจจุบัน “ซีพีแรม” มีสินค้าประมาณ 900 – 1 พันเอสเคยู แบ่งเป็นอาหารพร้อมรับประทาน 600-700 เอสเคยู เบเกอรี่ 200-300 เอสเคยู โดยเฉลี่ยแต่ละปีจะมีสินค้าใหม่ประมาณ 300 เอสเคยู รวมทั้งมีการปรับสินค้าเก่าบางประเภทที่ไม่เป็นที่นิยมออกจากตลาดด้วย โดยในส่วนของเมนูยอดฮิตของ “อาหารพร้อมรับประทาน” 5 อันดับแรกพบว่า อันดับ 1.ข้าวสวยหอมมะลิ ยอดขายเฉลี่ย 8.7 กล่องต่อสาขาต่อวัน อันดับ 2.ข้าวกะเพราะหมู ยอดขายเฉลี่ย 2.9 กล่องต่อสาขาต่อวัน อันดับ 3.ข้าวกะเพราะไก่+ไข่ดาว ยอดขายเฉลี่ย 2.5 กล่องต่อสาขาต่อวัน อันดับ 4.ข้าวผัดปู ยอดขายเฉลี่ย 2.4 กล่องต่อสาขาต่อวัน อันดับ 5.ผัดซีอิ๊วหมู ยอดขายเฉลี่ย 2.4 กล่องต่อสาขาต่อวัน

ส่วนสินค้ากลุ่มเบเกอรี่ที่ ‘วิเศษ วิศิษฏ์วิญญู’ กล่าวถึงเคล็ดลับว่าต้องเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มี “กลิ่นรสชาติ และรูปลักษณ์” ที่ดึงดูดผู้บริโภคให้มากที่สุดนั้น พบว่า อันดับ 1.พายสับปะรด 7-Fresh ยอดขาย 6.2 ชิ้นต่อสาขาต่อวัน อันดับ 2.ดับเบิลปูอัดและแฮมมายองเนส ยอดขาย 3.8 ชิ้นต่อสาขาต่อวัน อันดับ 3. ดับเบิลปูอัดมายองเนสและทูน่ามายองเนส ยอดขาย 3.3 ชิ้นต่อสาขาต่อวัน อันดับ 4.มินิบันไส้กรอก 7-Fresh ยอดขาย 2.8 ชิ้นต่อสาขาต่อวัน อันดับ 5.ดับเบิลไส้หมูหยองมายองเนสและไส้ปูอัด ยอดขาย 2.3 ชิ้นต่อสาขาต่อวัน

“แกะกล่องคิด” แนววิจัยและพัฒนา “อาหาร” ตอบตลาด

แม่ทัพใหญ่ “ซีพีแรม” กล่าวด้วยว่า ในปี 2563 “ซีพีแรม” จะให้ความสำคัญในเรื่อง “อาหารท้องถิ่น” (Local Product) ในรูปแบบอาหารแช่เย็น โดย อาหารภาคเหนือ เช่น ข้าวผัดผักเชียงคา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ลาบหมู และก๋วยจั๊บญวน ภาคใต้ เช่น ข้าวใบเหลียงผัดไข่ ข่าวไก่ผัดพริกแกงใต้ เป็นต้น โดยมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 20-25% ของสินค้ากลุ่มอาหารทั้งหมด

“การทำตลาดอาหารเฉพาะถิ่น เราไม่ได้ต้องการแข่งขันกับร้านอาหารพื้นเมืองซึ่งมีความหลากหลายและมีรสชาติอร่อยอยู่แล้ว แต่เราทำเพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคในท้องถิ่นในช่วงเวลากลางคืนที่ร้านอาหารปิดแล้ว ทั้งยังเป็นการเติมเต็มตลาดของ ซีพีแรม ในต่างจังหวัดด้วย”

อีกตลาดหนึ่งที่ “ซีพีแรม” ให้ความสำคัญคือ “อาหารสุขภาพ” (Functional Food) ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 จนทำให้เห็นแนวโน้มการตอบรับของตลาดที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีความต้องการสูง

“อาหารสุขภาพเป็นเทรนด์ที่มาแรงมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะถือเป็นสินค้าที่ในอดีตไม่มีทางเลือก จึงทำให้มีความต้องการสูงและมีการเติบโตในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ทั้งยังไม่มีความชัดเจนว่าตลาดต้องการสินค้าประเภทใดมากเป็นพิเศษ เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มใส่ใจอาหารสุขภาพและนิยมบริโภคผักมากขึ้น ทำให้เราต้องผลิตอาหารที่มีการเพิ่มปริมาณผักและเนื้อให้มีความสมดุลเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคกลุ่มนี้ โดยบริษัทฯ ยังพร้อมที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคให้มากที่สุดจากปัจจุบันซึ่งถือเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตเฉลี่ย 20-30% จากสินค้าทั้งหมดของบริษัทฯ”

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังจะเน้นตลาด “อาหารเฉพาะกลุ่ม” เช่น ผู้สูงวัย ซึ่งเริ่มทำตลาดและได้รับการตอบรับดีมาตั้งแต่ปี 2562 เช่นกัน นอกจากนี้ยังมี “อาหารสำหรับผู้ต้องการดูแลสุขภาพโดยเฉพาะ” เช่น อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการปริมาณน้ำตาลต่ำแต่ยังคงรสชาติความอร่อย รวมถึง “อาหารสุขภาพสำหรับผู้บริโภคทั่วไป เช่น อาหารที่ลดความหวาน ความเค็ม และความมัน โดยบริษัทฯ จะเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการปรับแต่งให้มีความสมดุลมากที่สุด

สำหรับ “อาหารเด็ก” (Baby Food) ถือเป็นหนึ่งในแผนการตลาดที่ “ซีพีแรม” มีความพร้อมจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทันทีที่ตลาดในประเทศมีความต้องการ หลังจากที่ใช้เวลาศึกษาตลาดมาเป็นระยะเวลานานทำให้เห็นทิศทางและโอกาสการเติบโตสูงเช่นเดียวกันกับหลาย ๆ ประเทศ เพียงแต่ช่วงเวลานี้ยังอยู่ในระหว่างการให้ความรู้กับผู้บริโภคและทำความเข้าใจกับตลาดให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“อาหารเด็กเป็นสินค้าที่ภาษาพูดเรียกว่า คนซื้อไม่ได้กิน คนกินไม่ได้ซื้อ หากผู้บริโภคมีความเข้าใจถึงความคุ้มค่าทางโภชนาการและความคุ้มค่าต่อการเจริญเติบโตที่บุตรหลานจะได้รับในแต่ละช่วงอายุ เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีการซื้อมากขึ้นและทำให้ตลาดเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยที่พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่มีบุตรช้าลง หรือแม้แต่อัตราการเกิดของเด็กใหม่น้อยลง แทบไม่ได้มีผลแต่อย่างใด”

ขณะที่ การทำตลาด “อาหารที่ผลิตจากพืช” (Plant-based Food) ดูเหมือนจะเป็นตลาดที่ “ซีพีแรม” ไม่ได้เน้นมากนัก หลังจากที่เคยทดลองผลิตอาหารประเภทเนื้อไก่ที่ผลิตจากพืชมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก ประกอบกับยังไม่มีความพร้อมด้านซัปพลายเชนเพราะต้องนำเข้าวัตถุดิบผลิตจากต่างประเทศ จึงทำให้ต้องชะลอการทำตลาดจนกว่าจะมีความต้องการอย่างแท้จริง

“ห่วงโซ่อุปทานอาหาร” สมบูรณ์ได้ด้วย “ปริมาณ-คุณภาพ-ราคา”

นับตั้งแต่ปี 2561 อันเป็นวาระครบรอบ 30 ปีของ “ซีพีแรม” ซึ่งได้ประกาศยุทธศาสตร์องค์กรยุคที่ 7 ระหว่างปี 2561-2565 ให้เป็น “ยุคศรีอัจฉริยะ” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจ Food Provider มาตรฐานโลกในการมอบคุณค่าสู่สังคมและมุ่งสู่องค์กรที่ยังยืนนั้น แม่ทัพใหญ่ “ซีพีแรม” บอกว่า การใช้คำว่า “ศรี” คือความดีงาม และคำว่า “อัจฉริยะ” คือความเก่งเฉลียวฉลาด คำว่า “ศรีอัจฉริยะ” จึงมีพร้อมด้วย “ความดีคู่ความเก่ง” ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (Supply Chain Management) โดยเน้นแนวทาง 3S คือ Food Safety (ความปลอดภัยทางอาหาร) Food Security (ความมั่นคงทางอาหาร) และ Food Sustainability (ความยั่งยืนทางอาหาร) ทั้งยังส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน และความมั่นคงในอาชีพของเกษตรกร ด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน ผ่านโครงการ “เกษตรกรคู่ชีวิต” อย่างต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี ดังที่ ย้ำว่า

“ทั้ง 3S ไม่ได้เป็นเรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เราจะต้องร่วมกันทำตลอดห่วงโซ่อุปทานส่งมอบความดีคู่ความเก่งใน 3S นี้ให้ผู้บริโภคและสังคมเป็นเนื้อเดียวกัน ซีพีแรม จึงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเพื่อประโยชน์ต่อสังคมไทยด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อส่งมอบอาหารที่ดี มีคุณภาพสู่ผู้บริโภค โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทานอาหาร”

‘วิเศษ วิศิษฏ์วิญญู’ กล่าวย้ำด้วยว่า ในฐานะผู้ผลิตอาหารจึงต้องการให้ซัปพลายเชนมีความสมบูรณ์ด้วยเหตุผล 3 ประการคือ “ปริมาณ” โดยต้องมีวัตถุดิบพร้อมที่จะผลิตได้อย่างสม่ำเสมอเพื่อสนองความต้องการผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องในทุกช่วงเวลา เช่น ช่วงเวลาใดต้องการอะไรมากเป็นพิเศษเราต้องมีวัตถุดิบพร้อม เช่น เทศกาลกินเจ ต้องใช้ผักมาก หรือเทศกาลสงกรานต์ หรือปีใหม่ อาจต้องการอาหารบางประเภทที่ใช้วัตถุดิบบางชนิดมากเป็นพิเศษ เช่น ไก่ หรือหมู เป็นต้น ประการต่อมาคือ “คุณภาพ” หากขาดการควบคุมซัปพลายเชนก็จะไม่สามารถควบคุมคุณภาพให้มีความคงที่ได้ และประการสุดท้ายคือ “ราคา” ซึ่งถือเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรมากที่สุด เพราะจะทำให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิต ควบคุมต้นทุน และทราบรายได้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องมีความเสี่ยงว่าผลิตแล้วจะมีตลาดรองรับหรือไม่

ด้วยเหตุนี้ “ซีพีแรม” จึงจัดโครงการ “ปูม้า ยั่งยืน คู่ทะเลไทย” โดยร่วมกับ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งเขต 3 (สุราษฎร์ธานี) และ บริษัท วิยะเครปโปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและแปรรูปอาหารจากเนื้อปูม้าในฐานะผู้ส่งมอบวัตถุดิบให้ “ซีพีแรม” ปล่อยลูกพันธุ์ปูม้า ระยะ Young Crab กลับคืนสู่ทะเลกว่า 2 แสนตัว เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ บริเวณเกาะเสร็จ บ้านพุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

“ปูม้าเป็นสัตว์น้ำธรรมชาติที่เราจับจากทะเลเพื่อนำมาบริโภค ถ้าเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์และพื้นฟูทรัพยากรปูม้า อนาคตก็จะไม่ความอุดมสมบูรณ์ เพราะปูม้าเป็นสัตว์ที่ต้องเติบโตตามธรรมชาติและไม่สามารถเพาะเลี้ยงได้ การปล่อยพันธุ์ลูกปูจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้ห่วงโซ่อุปทานอาหารมีความยั่งยืนมากขึ้น เพราะปูม้าถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สร้างรายได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่ชาวประมง ห้องเย็น การจัดซื้อจัดส่งและลอจิสติกส์ ผู้ผลิตอาหาร ตลอดจนถึงผู้บริโภค ความมั่นคงของห่วงโซ่ทั้งหมดนี้จึงสร้างคุณค่าและความมั่นคงให้เศรษฐกิจโดยรวมอย่างมาก”

สมกับเจตนารมย์ของ “ซีพีแรม” ที่ให้ความสำคัญในเรื่องการจัดการห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาหารว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงอาหารอย่างยั่งยืน เนื่องด้วยตลอดห่วงโซ่อุปทานประกอบด้วยผู้ประกอบการรายย่อยและรายใหญ่มากมายตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ การพัฒนาและนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไปใช้อย่างเหมาะสม จึงย่อมสร้างความมั่นใจให้คู่ค้าในแต่ละห่วงโซ่ถัดไปได้ทั้งปริมาณที่ส่งมอบและคุณภาพที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับด้านความปลอดภัยอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทานได้.

สมาคมโรงแรม สนับสนุนงาน “ฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2020”

นางสาวศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ (ที่ 3 จากซ้าย) นายกสมาคมโรงแรมไทย นางมาริสา สุโกศล หนุนภัคดี (ที่ 2 จากซ้าย) อุปนายกและประธานฝ่ายสิ่งแวดล้อม และ นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร (ซ้ายสุด) ที่ปรึกษาสมาคมโรงแรมไทย พร้อมด้วย นายสรรชาย นุ่มบุญนำ รองกรรมการผู้จัดการ (ที่ 3 จากขวา) และ นางสาวสุภาพร อังศรีสุรพร ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขาย (ที่ 2 จากขวา) บริษัท อินฟอร์มาร์ มาร์เก็ตส์ จำกัด ร่วมลงนามความร่วมมือในการจัดงาน “ฟู้ด แอนด์ โฮเทล ไทยแลนด์ 2020” (Food & Hotel Thailand 2020) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเพียงงานเดียวที่ทางสมาคมฯ ให้การสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-12 กันยายน 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ

ชลบุรี ลุย “ไทยเที่ยวไทย” เสนอแคมเปญท่องเที่ยวตลอดปี 63

alivesonline.com : อบจ.ชลบุรี จับมือกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว 30 หน่วยงาน ผุดแคมเปญ “เที่ยวสบาย สไตล์ชลบุรี” จัดหนักแพ็คเกจท่องเที่ยวราคาพิเศษ ลดแลกแจกแถมมากกว่า 50% ในงาน “ไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 54” ระหว่างวันที่ 5–8 มี.ค.63 ณ ไบเทค บางนา

นายวิทยา คุณปลื้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ชลบุรี เปิดเผยว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี ร่วมกับเมืองพัทยา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพัทยา และองค์กรภาคีเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรี ในการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยให้ท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศโดยรวม หลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวหลักของประเทศไทยลดจำนวนลงกว่า 90% เนื่องมาจากการระบาดของไวรัส COVID-19

ในส่วนของจังหวัดชลบุรีได้รับผลกระทบในเรื่องนี้อย่างมากเพราะเป็นจังหวัดที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีน ดังนั้น อบจ.ชลบุรี จึงได้ปรับแผนการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยการจัดแคมเปญ “เที่ยวสบาย สไตล์ชลบุรี” โดยร่วมมือกับผู้ประกอบการนำเสนอแพ็คเกจจากโรงแรมที่พัก แหล่งท่องเที่ยว สนามกอล์ฟ และสปา ในราคาพิเศษมาให้ลูกค้าภายในงานนี้เท่านั้น

“อยากจะเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวไทยให้เลือกมาท่องเที่ยวที่จังหวัดชลบุรี เพราะเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ศูนย์การประชุม แหล่งท่องเที่ยว ศูนย์การค้าที่ทันสมัย สปา และสนามกอล์ฟที่ได้มาตรฐานระดับโลก มีหาดทรายชายทะเลที่เหมาะกับการทำกิจกรรม พักผ่อนและความบันเทิงที่หลากหลาย การเดินทางก็สะดวกทั้งทางรถ ทางเรือ และทางเครื่องบิน ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ และมีสนามบินอู่ตะเภา อยู่ในพื้นที่ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทุกวันตลอดทั้งปี ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวก็ไม่สูง คุ้มค่ากับการเดินทาง”

ทั้งนี้ ภาคีเครือข่ายภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรี ได้ร่วมมือกันออกมาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวให้สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ตามปกติ อาทิ การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์มาตรการรักษาความสะอาดของแต่ละโรงแรม แหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ภาพถ่ายประชาสัมพันธ์ชายหาดพัทยาที่น้ำทะเลใสสะอาดสวยงาม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย

ด้าน นางปิ่นนาถ เจริญผล ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพัทยา เปิดเผยว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรีในปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 18,576,145 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 1.96 รายได้จากการท่องเที่ยว 274,995.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 3.80 โดยมีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเป็นนักท่องเที่ยวหลัก มีจำนวนถึง 2,710,992 คน รองลงมาคือนักท่องเที่ยวจากรัสเซีย และเกาหลีใต้ ตามลำดับ

จังหวัดชลบุรี จึงได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย อาทิ กิจกรรมตะลุยเก็บเกี่ยว พาลูกเที่ยวชลบุรี สำหรับกลุ่มโรงเรียน ผู้ปกครอง และครู ให้เดินทางท่องเที่ยวในช่วงปิดเทอม ระหว่างวันที่ 5 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2563 กิจกรรม Amazing Weekday Golf สำหรับกลุ่มของนักกอล์ฟในช่วงวันธรรมดา และกิจกรรม 60 จุดเช็คอินสุดฟินที่ชลบุรี การเสนอโปรโมชันแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรีในราคาพิเศษ ระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน 2563 รวมทั้งจัดกิจกรรมอีเวนต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น งานดนตรี กวี ศิลป์ ในวันที่ 14 มีนาคม 2563 ณ แหลมแท่นบางแสน งาน Pattaya Music Festival วันที่ 20-21 มีนาคม 2563 ณ บริเวณชายหาดพัทยา งาน Amazing Pattaya Seafood Festival 2020 วันที่ 8-10 พฤษภาคม 2563 และกิจกรรม อื่น ๆ อีกมากมายตลอดทั้งปีสามารถติดตามได้จากปฏิทินท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรี

“ทีเส็บ” โหมโปรโมตแคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” ในงานไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 54

alivesonline.com : “ทีเส็บ” เร่งกระตุ้นบริษัทองค์กรเอกชนทั่วประเทศจัดประชุมสัมมนาในประเทศไทย ส่งเสริมการตลาดสร้างการรับรู้แคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” จัดบูธนิทรรศการในงาน “ไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 54” วันที่ 5-8 มีนาคม 63 ณ ไบเทค บางนา

สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” ให้การสนับสนุนและเข้าร่วมกิจกรรมในงาน “ไทยเที่ยวไทย” ครั้งที่ 54 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-8 มีนาคม 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยตั้งเป้าดึงกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการที่มาจำหน่ายสินค้าและบริการภายในงาน อาทิ โรงแรม รีสอร์ท บริษัทนำเที่ยวภายในประเทศ สปา สายการบิน จำนวนกว่า 1.1 พันราย ตลอดจนผู้แทนจากองค์กรธุรกิจที่สนใจร่วมเดินทางจัดประชุมและจัดกิจกรรมไมซ์ในประเทศ และรับการสนับสนุนแคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ”

แคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” สนับสนุนองค์กรบริษัทเอกชน หรือตัวแทนบริษัทจัดกิจกรรมและการเดินทาง (Destination Management Company – DMC) ที่สนใจจัดกิจกรรมภายในประเทศ โดยมีผู้เข้าร่วมงานอย่างน้อย 40 คนขึ้นไป มีวันพักค้างอย่างน้อย 1 คืน และมีการจัดกิจกรรมประเภทใดประเภทหนึ่งจาก 6 ประเภทนี้ ได้แก่ การจัดประชุม (Meetings) การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentive Travel) การอบรมสัมมนา (Trainings / Seminars) กิจกรรมนอกสถานที่ทำการของบริษัท (Outings) กิจกรรมพนักงานสัมพันธ์ (Team buildings) และ กิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) โดยจัดกิจกรรมข้ามจังหวัดกับที่ตั้งของบริษัท สามารถสมัครลงทะเบียนได้ที่ www.thaimiceconnect.com ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และกำหนดจัดงานภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สำนักภูมิภาค) โทร.0 2694 6000

สอบถามรายละเอียดข้อมูลได้ที่บูธ “ทีเส็บ” ภายในงาน “ไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 54” ตั้งอยู่บริเวณโถงด้านหน้าทางเข้างาน ฮอลล์ EH 103

 

“ไทยพาณิชย์” สนับสนุนสินเชื่อแฟรนไชส์ “ลอนดรี้บาร์”

นายชานนท โตวิกกัย กรรมการบริหาร และ นางสาวพิมลวรรณ ชีวเกรียงไกร ผู้บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ลอนดรี้บาร์ ไทย จำกัด ร้านสะดวกซัก-อบผ้าสมัยใหม่ 24 ชั่วโมง ผู้นำตลาดอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับ นายคณินทร์ แรงกล้า ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน SME Bangkok นายภาสิต เขียววิชัย VP, SME Business Director ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัวสินเชื่อเพื่อธุรกิจแฟรนไชส์ สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยที่สนใจลงทุนเป็นเจ้าของธุรกิจร้านสะดวกซัก “ลอนดรี้บาร์” ทุกแพ็คเกจ ด้วยวงเงินกู้สูงถึง 2 ล้านบาท ผ่อนได้นานถึง 3 ปี พร้อมรับส่วนลดทันที 30,000 บาท โดยปัจจุบัน “ลอนดรี้บาร์ไทย” เปิดให้บริการในประเทศไทยแล้ว 20 สาขา ตั้งเป้าขยายสาขาในไทยให้ได้ 300 สาขาภายใน 3 ปี

“โซน่าร์” เข็น 7 กลุ่มสินค้าอัดหนักแคมเปญฤดูร้อน

alivesonline.com : แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านสัญชาติไทย “โซน่าร์” ชูกลยุทธ์มัลติแพลตฟอร์ม พัฒนาช่องทางจัดจำหน่าย “ไร้รอยต่อ” ผสานตัวแทนจำหน่าย 3 พันแห่งทั่วประเทศเชื่อมโยงช่องทางออนไลน์และออนแอร์ มุ่งสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง ฉวยโอกาสช่วงหน้าร้อนจัดแคมเปญ “SONAR Easy Cool 2020” เข็นสินค้า 7 กลุ่ม กว่า 40 รุ่น บุกตลาดเริ่มต้นที่ 399 บาท หวังสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 15%

นางสาวพิจิตรา เรืองวัฒนไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซน่าร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ “โซน่าร์” (SONAR) ผ่านช่องทางมัลติแพลตฟอร์ม เปิดเผยว่า “โซน่าร์” เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านแบบครบวงจร สัญชาติไทยที่อยู่ในตลาดมานานกว่า 48 ปี ซึ่งก่อตั้งโดย นายวิโรจน์ เรืองวัฒนไพศาล ผู้เป็นบิดา ในนาม บริษัท แสงรุ่งเรือง เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด โดยปัจจุบันได้มีการปรับขยายธุรกิจตามตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองไทย โดยมีบริษัทฯในเครืออีกมากมาย รวมทั้ง บริษัท โซน่าร์ คอร์ปอเรชั่น  จำกัด เพื่อให้มีการผลิตและการบริการที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคและสร้างความเชื่อมั่นต่อแบรนด์โซน่าร์ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้า “โซน่าร์” มีช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ผสมผสานความเป็นมัลติแพลตฟอร์มอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสผลิตภัณฑ์ได้ทุกที่และทุกเวลา ครอบคลุมพันธมิตรทางการค้าเป็นจำนวนมาก อาทิ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายกว่า 3 พันแห่งทั่วประเทศ ห้างสรรพสินค้าและห้างโมเดิร์นเทรด เช่น พาวเวอร์บาย, โรบินสัน, ท็อปส์, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซี, แม็คโคร และไทวัสดุ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายทางทีวีโฮมชอปปิง เช่น ทีวีไดเร็ก, โอชอปปิง, ทรูซีเล็คท์, ไฮชอปปิง และ ทีวีดี 1618 เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีสื่อแคตตาล็อก เช่น 24 แคตตาล็อก, ทีวีไดเร็กแคตตาล็อก, ฮีสแอนด์เฮอร์แคตตาล็อก และช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์ผ่านเว็ปไซต์ชั้นนำ เช่น Lazada, Shopee, JD Central เป็นต้น อีกทั้งยังมีบริการส่งผลิตภัณฑ์ถึงบ้านพร้อมบริการเก็บเงินปลายทาง และมีระบบคอลล์เซ็นเตอร์ไว้คอยบริการอีกด้วย

ในปี 2563 “โซน่าร์” ได้มีการปรับกลยุทธ์การตลาดผ่านช่องทางมัลติแพลตฟอร์มภายใต้ชื่อ“Sonarshopping” (โซน่าร์ชอปปิง) ในแง่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนพัฒนากลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่ายในลักษณะไร้รอยต่อ(Seamless) ระหว่างช่องทางออฟไลน์ ได้แก่ ตัวแทนจำหน่าย ห้างสรรพสินค้า โมเดิร์นเทรด และร้านค้าทั่วไป ผสานช่องทางออนแอร์ (โฮมชอปปิง) และออนไลน์ (มาร์เก็ตเพลส) รวมถึงเว็บไซต์ www.sonarshopping.com

นางสาวพิจิตรา กล่าวอีกว่า ในช่วงฤดูร้อนปี 2563 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 31 พ.ค.63 บริษัทฯ ได้จัดแคมเปญ “SONAR Easy Cool 2020” (โซน่าร์ อีซี่คูล 2020) ภายใต้แนวคิด “เย็นสะใจ…ได้ ง่ายๆ” สำหรับผลิตภัณฑ์ 7 กลุ่มสินค้า รวมทั้งหมด 40 รุ่น คือ 1.เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ Easy Air (อีซี่ แอร์) จำนวน 3 รุ่น 2.พัดลมซูเปอร์ไอเย็น Easy Super Air Cooler (อีซี่ ซูเปอร์ แอร์ คูลเลอร์) จำนวน 3 รุ่น 3.พัดลมไอหมอก Easy Mist Fan (อีซี่ มิสท์ แฟน) จำนวน 1 รุ่น 4.พัดลม Easy Fan (อีซี่ แฟน) จำนวน 16 รุ่น 5.ตู้เย็น Easy Fridge (อีซี่ ฟริดจ์) จำนวน 8 รุ่น 6.ตู้แช่ Easy Freezer (อีซี่ ฟรีซเซอร์) จำนวน 3 รุ่น และ 7.เครื่องทำน้ำเย็น Easy Water Dispenser (อีซี่ วอเทอร์ ดิสเพนเซอร์) จำนวน 6 รุ่น ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 399 บาท สูงสุด1.5 หมื่นบาท พร้อมโปรโมชัน ผ่อนชำระดอกเบี้ย 0% ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ อาทิ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ผ่านช่องทางพันธมิตรชั้นนำและ www.sonarshopping.com โดยสามารถติดตามและสอบถามข้อมูลรายละเอียดของ “โซน่าร์” ได้ที่ Call Center โทร.0 2880 3676 Facebook : sonarthailand, www.sonar.co.th

“บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะตอกย้ำความเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์โซน่าร์อย่างแท้จริงตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่มีการติดตามข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงพฤติกรรมการซื้อสินค้าที่เปลี่ยนไป โดยเน้นสร้างประสบการณ์การชอปปิงให้มีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน รวดเร็ว และน่าเชื่อถือ สามารถชอปปิงได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อให้แบรนด์โซน่าร์ก้าวสู่แบรนด์อันดับ 1 ของวงการเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติไทยในประเทศไทยได้อย่างมั่นคงและยาวนานในการเข้าสู่ทศวรรษที่ 5 และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าคนไทยได้อย่างทั่วถึง โดยตั้งเป้าการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 15% จากแคมเปญ “SONAR Easy Cool 2020” จากปัจจุบันซึ่งมียอดขายมาจากช่องทางออฟไลน์ 50% ออนไลน์ 30%และโฮมชอปปิง และแคตตาล็อก 20%”

อนึ่ง ปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ “โซน่าร์” มีมากกว่า 2 หมื่นรายการซึ่งล้วนได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) จึงทำให้ผู้บริโภคสามารถมั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ “โซน่าร์” แบ่งออกเป็น 5 หมวด ได้แก่ 1.หมวดความบันเทิงภายในบ้าน (ภาพ-เสียงและอุปกรณ์เสริม) 2.หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนขนาดเล็ก 3.หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านขนาดใหญ่ 4.หมวดไอที, แก็ตเจ็ต และไลฟ์สไตล์ และ 5.หมวดเครื่องเสียงโปรเฟสชั่นแนล (PA)

เปิดตัว SKECHERS X SAILOR MOON เอาใจแฟนคลับอนิเมะเมืองไทย

alivesonline.com : SKECHERS แบรนด์รองเท้ากีฬาและไลฟ์สไตล์ชั้นนำสัญชาติอเมริกัน เปิดตัวคอลเลกชันล่าสุด SKECHERS X Sailor Moon ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เอาใจแฟนคลับอนิเมะ “เซเลอร์มูน” หลังเปิดตัวที่สิงคโปร์ไปเมื่อไม่นานมานี้

คอลเลกชันรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นนี้ ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากสาว “เซเลอร์มูน” ทั้ง 5 คาแรคเตอร์ที่มีองค์ประกอบของการออกแบบอันโดดเด่นและลงตัว โดยมีรองเท้าให้เลือกทั้งแบบ Chunky และ Classic Street รวมถึงเสื้อผ้าที่น่าจะเป็นที่ถูกใจของเหล่าสาวกซีรีส์เซเลอร์มูน และผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นสตรีทแวร์ พร้อมวางจำหน่ายแล้วที่ร้าน SKECHERS shop

นางสาวไข่มุก นิลเศรษฐี ผู้อำนวยการ “สเก็ตเชอร์ส” ประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากความสำเร็จในการร่วมสร้างสรรค์คอลเลกชันของ “สเก็ตเชอร์ส” กับแบรนด์และคาแรกเตอร์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย จนได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ในปีนี้ “สเก็ตเชอร์ส” ยังคงต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการร่วมมือทำคอลเลกชัน SKECHERS X Sailor Moon อนิเมะซีรีส์ญี่ปุ่นสุดคลาสสิกที่มีแฟนคลับไปทั่วโลก “สเก็ตเชอร์ส ประเทศไทย” จึงเปิดตัวคอลเลกชันนี้ โดยมีให้เลือกทั้งแบบ Chunky ในรุ่น D’Lites Airy 2.0 และรุ่น SKECHERS Street รวมถึงเสื้อผ้าในแบบ Hoodies Pullovers และเสื้อยืด ด้วยดีไซน์ที่น่ารักจากคาแรคเตอร์ของสาว ๆ เซเลอร์มูน ผสานกับคุณภาพและดีไซน์ของ “สเก็ตเชอร์ส” จึงมั่นใจว่าคอลเลกชันนี้จะเป็นที่ถูกใจของเหล่าแฟนคลับเซเลอร์มูนทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็ก ผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นสตรีทแวร์ ตลอดจนเหล่าสนีกเกอร์เฮดในประเทศไทยอย่างแน่นอน

SKECHERS D’Lites Airy 2.0

รองเท้าสนีกเกอร์ SKECHERS  X Sailor Moon ออกแบบมาในรุ่น SKECHERS D’Lites Airy 2.0 มีให้เลือกมากถึง 5 สี จากพลังแห่งดวงดาวของเหล่า 5 สาวเซเลอร์มูน ได้แก่ เซเลอร์มูน (สีชมพู-น้ำเงิน), เซเลอร์วีนัส (สีน้ำเงิน-เหลือง), เซเลอร์เมอร์คิวรี่ (สีม่วง-เหลือง), เซเลอร์มาร์ส (สีม่วง-แดง) และเซเลอร์จูปิเตอร์ (สีชมพู-เขียว) โดยเพิ่มรายละเอียดเล็ก ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยโบผ้าซาติน และสัญลักษณ์ดาวเคราะห์ของตัวละครบนลิ้นรองเท้า ส่วนตัวรองเท้าเพิ่มความนุ่มสบายด้วย Air Cooled Memory Foam ที่สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดี โดยมีไซส์สำหรับผู้หญิง 5-9 US จำหน่ายในราคา 3,495 บาท

SKECHERS Street

รองเท้ารุ่น SKECHERS Street มาในสีพาสเทลหวาน ๆ มีให้เลือกถึง 3 สี ได้แก่ สีฟ้า สีชมพู และสีขาว มีริบบิ้นโบติดอยู่ด้านหลังรองเท้าเสมือนที่ติดผมสัญลักษณ์ของ “เซเลอร์มูน” และยังมีสัญลักษณ์ดาวเคราะห์สีทองที่ขอบพื้นรองเท้าให้เป็นจุดสังเกตเล็ก ๆ อีกด้วย โดยมีไซส์สำหรับผู้หญิง 5-9 US จำหน่ายในราคา 2,490 บาท

เครื่องแต่งกาย

ในส่วนของเสื้อผ้า SKECHERS X Sailor Moon มาในแบบ Hoodies Pullovers และเสื้อยืดเก๋ ๆ ที่มีภาพเงาของตัวละคร และตัวหนังสือประกอบ เช่น ลูน่าแมวดำผู้พิทักษ์ และยูซากิ (เซเลอร์มูน) เป็นต้น มีให้เลือกถึง 7 แบบ

พิเศษ! สำหรับแฟนคลับ “เซเลอร์มูน” เมื่อซื้อรองเท้า SKECHERS X Sailor Moon แบบใดก็ได้ร่วมกับสินค้า “สเก็ตเชอร์ส” อื่น ๆ รวมมูลค่าไม่น้อยกว่า 4,500 บาท จะได้รับร่มเซเลอร์มูนเปลี่ยนสีได้เมื่อถูกน้ำเป็นของสมนาคุณรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นฟรี

(เงื่อนไข : ต้องซื้อรองเท้า SKECHERS X Sailor Moon 1 คู่ ของสมนาคุณ 1 ชิ้นต่อใบเสร็จ เฉพาะที่ร้าน SKECHERS Shop 10 สาขา สามารถตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ ณ จุดขาย ** สินค้ามีจำนวนจำกัด หรือจนกว่าสินค้าจะหมด)

 

 

[ชมคลิป] “ทีเส็บ” มั่นใจแคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” สร้างรายได้ระยะสั้น 70 ล้านบาท

alivesonline.com : “ทีเส็บ” ขานรับมติคณะรัฐมนตรี กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวระยะสั้น คลอดแคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” แจกบัตรกำนัล 2 หมื่นบาทให้กลุ่มบริษัทจัดงานประชุมสัมมนานำทริป 40 คนขึ้นไปเดินทางทั่วประเทศ ตั้งเป้ากระจายเพิ่มนักเดินทาง 2-4 หมื่นคน พร้อมกระจายรายได้ไปชุมชนและท้องถิ่น 70 ล้านบาท ระหว่าง ก.พ.-ก.ค.63 มุ่งสู่เป้าหมายนักเดินทางไมซ์ในประเทศกว่า 36,395,000 คน สร้างรายได้ 127,100 ล้านบาท ในปี 63

ตามที่ คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในระยะสั้น เพื่อกระตุ้นตลาดและเพิ่มค่าใช้จ่าย ส่งเสริมกลุ่มองค์กรเอกชนและหน่วยงานภาครัฐร่วมกันกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศผ่านการจัดงานประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อกระจายรายได้สู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ นั้น

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวยังเห็นชอบถึงมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ โดยให้บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมสัมมนาให้กับพนักงานภายในประเทศไปหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของรายจ่ายตามจริงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2563 “ทีเส็บ” จึงเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้แคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” โดยเปิดตัวโครงการแรกในการกระตุ้นการเดินทางประชุมสัมมนาสำหรับกลุ่มองค์กรบริษัทเอกชนระยะสั้น ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2563

จากการสำรวจของ “ทีเส็บ” เกี่ยวกับสถิติของอุตสาหกรรมไมซ์ พบว่า ในปี 2562 ประเทศไทยมีการจัดประชุมสัมมนาและเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศ (Incentives) 20,251 งาน มีจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม จำนวน 1,935,030 คน คิดเป็นการประชุมขององค์กรบริษัทเอกชนจำนวน 17,499 งาน เป็นนักเดินทางจากบริษัทเอกชนที่มาประชุมสัมมนา 1,732,410 คน สร้างรายได้กว่า 4,097 ล้านบาท โดยปัจจุบันองค์กรบริษัทเอกชนยังคงมีการจัดกิจกรรมให้กับพนักงานและคู่ค้าเป็นประจำตลอดปี

“การกระตุ้นตลาดการประชุมของกลุ่มองค์กรบริษัทเอกชนให้หันมาประชุมสัมมนาและเดินทางในประเทศจึงสามารถดำเนินการได้ทันที ประกอบกับมาตรการลดหย่อนภาษีเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงจูงใจให้องค์กรบริษัทเอกชนมีการจัดประชุมสัมมนาในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการใช้จ่ายและกระจายรายได้ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในภูมิภาค โดยกำหนดเป้าหมายระยะแรกของแคมเปญว่าจะสามารถกระตุ้นการจัดประชุมขององค์กรบริษัทเอกชนได้ไม่น้อยกว่า 500 กลุ่ม หรือเฉลี่ย 2-4 หมื่นคน พร้อมสร้างรายได้กว่า 70 ล้านบาท”

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า ภายใต้แคมเปญมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” แบ่งออกเป็น 3 มาตรการ ได้แก่ 1.มาตรการกระตุ้นบริษัท (Corporate) สนับสนุนกลุ่มองค์กรบริษัทภาคเอกชนในการจัดประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลภายในประเทศ ในรูปแบบบัตรกำนัล (Voucher) มูลค่า 2 หมื่นบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เป็นการดำเนินงานร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสมาชิกผู้ประกอบการไมซ์กว่า 200 หน่วยงาน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชนผ่านกลไกของกิจกรรมไมซ์ในประเทศ โดยบริษัท หรือองค์กรภาคเอกชนที่ขอการรับการสนับสนุนจะต้องเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย (Destination Management Company / DMC) หรือผู้ประกอบการที่ได้รับมอบอำนาจ ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคม หรือสมาพันธ์ที่เป็นสมาชิกของ สทท. ที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่มีแผนจัดกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งใน 6 กิจกรรม ได้แก่ การจัดประชุม (Meetings) การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentive Travel) การอบรมสัมมนา (Trainings / Seminars) กิจกรรมนอกสถานที่ทำการของบริษัท (Outings) กิจกรรมพนักงานสัมพันธ์ (Team buildings) หรือกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR)

สำหรับเงื่อนไขการขอรับการสนับสนุนคือ กิจกรรมจัดขึ้นคนละจังหวัดกับที่ตั้งของบริษัทนั้น ๆ มีวันพักค้างอย่างน้อย 1 คืน มีผู้เข้าร่วมงานอย่างน้อย 40 คนขึ้นไปต่อกลุ่ม โดยต้องสมัครเข้าร่วมโครงการล่วงหน้าอย่างน้อย 10 วันก่อนวันดำเนินกิจกรรม และจัดกิจกรรมภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 โดยจะได้รับเงินสนับสนุนในรูปแบบบัตรกำนัล (Voucher) มูลค่า 2 หมื่นบาทต่อกลุ่ม และให้ดำเนินการจัดงานผ่าน DMC ที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งผ่านการรับรองจาก สทท. โดยเป็นสมาชิกผู้ประกอบการไมซ์ ได้แก่ DMC โรงแรมที่พัก ศูนย์ประชุม บริการขนส่ง และแหล่งนันทนาการต่าง ๆ อยู่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ที่พร้อมต้อนรับและให้บริการนักเดินทางด้วยมิตรไมตรี โดยสามารถลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ www.thaimiceconnect.com ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 หรือเมื่อปิดรับครบจำนวน

2.มาตรการสนับสนุนทางด้านภาษี โดยให้บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมสัมมนาภายในประเทศ หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง เพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายของภาคเอกชน ผ่านการจัดประชุมสัมมนาและฝึกอบรม และกระจายสู่พื้นที่สู่ภูมิภาค โดยปัจจุบันบริษัทเอกชนมีการจัดกิจกรรมให้กับพนักงานและคู่ค้าเป็นประจำทั้งในและต่างประเทศ แต่เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้นเช่นกัน มาตรการลดหย่อนภาษีจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงจูงใจให้บริษัทเอกชนจัดประชุมสัมมนาในประเทศเพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดการใช้จ่ายและกระจายรายได้สู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

3.การส่งเสริมการจัดประชุมภาครัฐ กระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศของหน่วยงานภาครัฐ โดยการจัดประชุมภาครัฐกระจายไปสู่ทุกภูมิภาค เนื่องจากการจัดประชุมของภาครัฐมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หากมีการปรับเปลี่ยนให้สามารถใช้สถานที่ประชุมของภาคเอกชน จะช่วยสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อ และการจ้างงานเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมไมซ์

นายจิรุตถ์ กล่าวด้วยว่า “ทีเส็บ” วางแผนส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ  “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” สำหรับกลุ่มองค์กรบริษัทเอกชน โดยเตรียมการสร้างการรับรู้แคมเปญผ่านช่องทางการสื่อสาร ทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งการจัดกิจกรรมให้กับบริษัทเอกชน สัมผัสประสบการณ์จัดประชุมสัมมนาในประเทศในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมองค์กรบริษัทเอกชนจัดประชุมสัมมนาในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยกิจกรรมแรกคือ การจัดกิจกรรมแฟมทริปนำร่อง นำคณะผู้บริหารระดับสูงองค์กรและสื่อมวลชนกว่า 50 ราย สัมผัสประสบการณ์ร่วมกิจกรรมประชุมสัมมนา ณ ชุมชนตะเคียนเตี้ย จังหวัดชลบุรี พร้อมหารือความร่วมมือพร้อมแสดงเจตนารมณ์ในการจัดประชุมสัมมนาในประเทศ ณ โรงแรมอมารี พัทยา เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้องค์กรบริษัทเอกชนร่วมใจกันจัดประชุมสัมมนาในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการใช้จ่ายและกระจายรายได้สู่ชุมชน

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมประชาสัมพันธ์ให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นสื่อมวลชน อาทิ แถลงข่าว การจัดทำสกู๊ปประชาสัมพันธ์ เป็นต้น โดยรายงานความคืบหน้ากิจกรรมอย่างต่อเนื่องตลอดโครงการ ตลอดจน กิจกรรมผลิตและเผยแพร่สื่อ เพื่อแนะนำและประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้โครงการทั้งทางสื่อออนไลน์และออฟไลน์ โดยให้กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้แทนสมาคม บริษัทเอกชน และหน่วยงานภาครัฐ มีส่วนร่วมเป็นกระบอกเสียงสะท้อนความคิดเห็นและประสบการณ์จากการเข้าร่วมกิจกรรมอบรมสัมมนาในประเทศ รวมถึงร่วมกันสร้างแรงบันดาลใจให้องค์กรหน่วยงานจัดประชุมในประเทศ ตลอดจนส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยเข้าร่วมการประชุมสัมมนาในประเทศผ่านสื่อครบวงจร โดยคาดว่าในปี 2563 จะมีนักเดินทางไมซ์ในประเทศกว่า 36,395,000 คน สร้างรายได้ 127,100 ล้านบาท

สำหรับองค์กรบริษัทเอกชน ที่สนใจขอรับการสนับสนุนแคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” สามารถสมัครและศึกษารายละเอียดได้ที่ www.thaimiceconnect.com หรือ สอบถามได้ที่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (ส่วนภูมิภาค) โทร.0 2694 6000 ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มิถุนายน 2563 โดยจะต้องเดินทางประชุมสัมมนาภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2563

 

“ซีพีแรม” ยกระดับความมั่นคงทางอาหาร สานต่อโครงการ “ปูม้า ยั่งยืน คู่ทะเลไทย”

alivesonline.com : “ซีพีแรม” เดินหน้าโครงการ “ปูม้า ยั่งยืน คู่ทะเลไทย” ต่อเนื่องปีที่ 5 ร่วมกับ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งเขต 3 จังหวัดสุราษฎร์ธานี กรมประมง พัฒนา “ศูนย์การเรียนรู้โรงเพาะฟักลูกปู” พร้อมนำพนักงานร่วมกลุ่มชุมชนปล่อยพันธุ์ลูกปูม้าระยะ Young Crab จำนวน 2 แสนตัว สู่ท้องทะเลในพื้นที่เกาะเสร็จ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี มุ่งยกระดับการสร้างความมั่นคงทางอาหารเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของการอนุรักษ์ปูม้าและระบบนิเวศของท้องทะเลไทย

นายวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด ผู้ผลิตอาหารพร้อมรับประทาน (Ready To Eat : RTE) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ร่วมกับ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งเขต 3 จังหวัดสุราษฎร์ธานี กรมประมง ในการปรับปรุงและพัฒนา “ศูนย์การเรียนรู้โรงเพาะฟักลูกปู” ภายใต้โครงการ “ปูม้า ยั่งยืน คู่ทะเลไทย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ด้านการเพาะพันธ์ลูกปูม้าและเป็นการเพิ่มปริมาณปูม้าในพื้นที่บริเวณชายฝั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมุ่งหวังเป็นการยกระดับการสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของการอนุรักษ์ปูม้าและระบบนิเวศของท้องทะเลไทย

การดำเนินการตามโครงการดังกล่าวเป็นการหวังผลในระยะยาว เพื่อต้องการอนุรักษ์พันธุ์ปูม้าในพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้ไม่ให้สูญหายและยังเป็นการส่งเสริมผู้ผลิตรายย่อย ซึ่งเป็นชาวประมงพื้นบ้านให้สามารถดำเนินการประมงได้อย่างยั่งยืน ด้วยการเพาะพันธุ์ปูม้าในพื้นที่โดยการฟักไข่จากตับปิ้งของแม่ปูม้าที่มีไข่นอกกระดองและอนุบาลตัวอ่อนภายในกระชังที่อยู่ในทะเลเพื่อรอการปล่อยสู่ชายฝั่งทะเลจนเติบโตเป็นปูม้าขนาดใหญ่

นายวิเศษ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินงานโครงการ “ปูม้า ยั่งยืน คู่ทะเลไทย” ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การทำประมงปูม้าในพื้นที่เป็นไปอย่างรับผิดชอบ ไม่มีผลเสียต่อระบบนิเวศวิทยาทรัพยากรและคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งหวังเพิ่มมูลค่าปูม้าจากการแปรสภาพที่สอดคล้องกับมาตรฐานทางสุขอนามัยให้ได้ผลิตภัณฑ์ปูม้าที่มีคุณภาพสำหรับการบริโภค ประกันการรักษามาตรฐานและด้านสาธารณสุข ตลอดจนคุณภาพอาหาร

“ซีพีแรม” ได้ขับเคลื่อนภารกิจงานด้านความรับผิดชอบทางสังคม โดยบุคลากรในองค์กรทุกคนได้มีส่วนร่วมและนำไปปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันอย่างต่อเนื่องครอบคลุมหลายด้าน เพื่อสร้างคุณค่าให้สังคมรอบข้าง ตลอดจนร่วมส่งมอบความดีคู่ความเก่งให้ผู้บริโภคและสังคม ภายใต้นโยบาย FOOD 3S ได้แก่ Food Safety, Food Security, และ Food Sustainability ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมกันทำตลอดห่วงโซ่อุปทาน พร้อมกันนั้น “ซีพีแรม” ยังคงมุ่งส่งเสริมความรู้อาหารปลอดภัย คุณค่าทางโภชนาการ และสุนทรียภาพในการบริโภค ด้านการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ด้านการพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยคำนึงถึงการมอบสิ่งที่เป็นคุณค่าบนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายในและภายนอกองค์กรตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยยึดหลักการดำเนินธุรกิจตามหลัก 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่มุ่งสร้างสรรค์ประโยชน์แก่ ประเทศชาติ สังคม และบริษัท

ภายใต้โครงการ “ปูม้า ยั่งยืน คู่ทะเลไทย” บริษัท ซีพีแรม จำกัด ยังได้รับเกียรติจากนายเจริญศักดิ์ วงศ์สุวรรณ นายอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดร.สุทธินี ลิ้มธรรมมหิศร ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง ผู้บริหารศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งเขต 3 (สุราษฎร์ธานี) และผู้บริหารบริษัท วิยะเครปโปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและแปรรูปอาหารจากเนื้อปูม้าในฐานะผู้ส่งมอบวัตถุดิบให้ซีพีแรม ร่วมปล่อยลูกพันธุ์ปูม้า ระยะ Young Crab คืนสู่ทะเลกว่า 2 แสนตัว ณ บริเวณเกาะเสร็จ บ้านพุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

การดำเนินงานตามโครงการ “ปูม้า ยั่งยืน คู่ทะเลไทย” ครั้งนี้ยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยการเก็บขยะ ณ บริเวณพื้นที่ชายหาดเกาะเสร็จ โดยมีตัวแทนจากหลายภาคส่วนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพียง อาทิ ผู้แทนจากสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสุราษฎร์ธานี, องค์กรประสานความร่วมมือและพัฒนาเครือข่ายกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม, ส่วนราชการอำเภอไชยา, ส่วนราชการตำบลพุมเรียง, ชาวบ้านตำบลพุมเรียง, กลุ่มอนุรักษ์อ่าวพุมเรียง, กลุ่มธนาคารปูอ่าวพุมเรียง, นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี รวมทั้งสิ้นกว่า 150 คน

ด้าน ดร.สุทธินี ลิ้มธรรมมหิศร ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง เปิดเผยว่า ปูม้าตามธรรมชาติในทะเลมีปริมาณลดลงเนื่องจากมีการบริโภคเพิ่มมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันการอนุรักษ์และพื้นฟูทรัพยากรปูม้าในประเทศไทยก็ถือว่าประสบความสำเร็จโดยสามารถเพิ่มปริมาณปูม้าได้เพิ่มมากขึ้น โดยจากการสอบถามพบว่าพี่น้องชาวประมงสามารถจับปูม้าได้มากขึ้น ดังนั้นการปล่อยปูม้าในพื้นที่บริเวณเกาะเสร็จ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี จึงถือเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมมาก เนื่องจากลูกปูม้าสามารถฝั่งตัวและเจริญเติบโตได้ดี ในบริเวณดังกล่าว และเป็นพื้นที่ที่รวมแหล่งอาหารของการอนุบาลสัตว์น้ำทะเลขนาดเล็ก ทั้ง หญ้าทะเล อาหารส่วนอื่น ๆ ที่เหมาะสมอีกด้วย

 

 

 

“ลัคกี้เฟลม” สนับสนุนกิจกรรมการกุศล รพ.เบตง

นางอมรรัตน์ ลีลาศวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลัคกี้เฟลม จำกัด (ที่ 3 จากซ้าย) ร่วมบริจาคเงินจำนวน 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาทถ้วน) สนับสนุนการจัดกิจกรรมการกุศลคีตจินตทัศน์ละครเพลง “ด้วยแรงแห่งรัก” เพื่อระดมหาทุนจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจเด็กแรกเกิดและอุปกรณ์ช่วยชีวิตในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU Ward) โรงพยาบาลเบตง โดยทางโรงพยาบาลฯ มีความต้องการเตียงผู้ป่วยหนัก (ICU) รวมถึงเครื่องมือแพทย์โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยเด็ก เพื่อที่จะสามารถให้บริการทางการแพทย์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสามารถดูแลผู้ป่วยเด็กได้ทุกราย