นาฬิกา “สวารอฟสกี้” มนตร์เสน่ห์แห่งกาลเวลา

นาฬิกา “สวารอฟสกี้” ไม่เพียงทำหน้าที่บอกเวลาเท่านั้น แต่ยังบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะคอลเลกชัน “Spark Delightซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากความสวยงามของท้องฟ้าขั้วโลกเหนือยามค่ำคืนที่ประดับไปด้วยแสงของดวงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับ

มนตร์วิเศษของ “สวารอฟสกี้” ที่สะกดให้ผู้คนทั่วโลกหลงใหลคือ มนตร์เสน่ห์ของอัญมณีคริสตัลที่ส่องประกายแวววาวงดงามเมื่อตกกระทบกับแสงไฟ โดยนาฬิกาของ “สวารอฟสกี้” ไม่เพียงแค่เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ผู้สวมใส่ได้เฉิดฉายอย่างเป็นประกายเท่านั้น แต่ยังสามารถแสดงอัตลักษณ์ของผู้สวมใส่ที่มีเสน่ห์แตกต่างกันไปตามสไตล์ของละคนได้เช่นกัน

ความพิเศษของนาฬิกาคอลเลกชันนี้คือ ดีไซน์ที่ทันสมัย ทว่าสวมใส่ง่าย โดดเด่นไม่เหมือนใคร ให้สาว ๆ เดินทางไปทุกที่ได้อย่างตรงเวลาและมีสไตล์ โดยดีไซน์ของนาฬิกาแต่ละเรือนมีกลิ่นอายความงดงามของภูมิทัศน์ในประเทศไอซ์แลนด์ที่ผสมผสานอย่างลงตัวกับมนต์เสน่ห์เอกลักษณ์ของคริสตัล “สวารอฟสกี้” รวมถึงโทนสีทันสมัยและการประดับตกแต่งด้วยคริสตัลที่เป็นประกายแวววาวเจิดจรัส

Crystal Rose

นาฬิกาเรือนนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากดวงดาวที่ส่องแสงพร่างพราวนับล้านบนท้องฟ้ายามค่ำคืน โดยบนขอบหน้าปัดตกแต่งด้วยคริสตัล “สวารอฟสกี้” จำนวน 215 เม็ด ชวนสะดุดตาด้วยสีสันที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ “สวารอฟสกี้” ที่นำเทคโนโลยีไมโครพาเว่ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์มาผสานเข้ากับดีไซน์ของนาฬิกา

Crystal Frost

ดีไซน์งดงามสุดแสนตรึงใจของกลุ่มนาฬิกา Crystal Frost โดดเด่นด้วยการประดับคริสตัลไมโครพาเว่จำนวน 178 เม็ดบนขอบหน้าปัด อีกทั้งยังส่องประกายเมื่อสะท้อนกับแสงไฟ ชวนให้นึกถึงความสวยงามของดาวเหนือที่ส่องแสงแวววาวระยิบระยับยามค่ำคืน

Duo

นาฬิกา Duo จะมาเล่าเรื่องราวสุดแสนโรแมนติกผ่านสีสันของท้องฟ้ายามค่ำคืนของขั้วโลกเหนือที่พร่างพราวไปด้วยแสงดาว ดีไซน์สวยงามลงตัวและโดดเด่นด้วยคริสตัล “สวารอฟสกี้” จำนวน 133 เม็ด และวงแหวนสองวงเกี่ยวคล้องกันกลายเป็นตัวเรือนนาฬิกา แสดงถึงสัญลักษณ์ของความเป็นหนึ่งเดียวและความเป็นนิรันดร์

Crystalline Glam และ Stella

“สวารอฟสกี้” นำนาฬิการุ่นยอดนิยมสองรุ่นนี้มาปรับโฉมให้ทันสมัยมากขึ้นด้วยโทนสีโรสโกลด์และน้ำเงินเข้ม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับหยิบมาสวมใส่ได้ทุกวัน

Swarovski Crystalline Glam

Swarovski Stella

Octea Lux Moonphase

“สวารอฟสกี้” เฉลิมฉลองช่วงเวลาแสนวิเศษครบรอบ 50 ปีของการลงจอดบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ด้วยนาฬิกา Octea Lux Moonphase โดยมีหน้าปัดเป็นลายทางช้างเผือกทอประกายอย่างงดงามตระการตา ประดับประดาด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้สุดระยิบระยับ ที่สำคัญ Octea Lux Moonphase ยังเป็นนาฬิกาเรือนแรกของ “สวารอฟสกี้” ที่ตกแต่งหน้าปัดเป็นรูปพระจันทร์อีกด้วย

Swarovski Octea Lux Moonphase

คอลเลกชันนาฬิกาของ “สวารอฟสกี้” มีวางจำหน่ายแล้วที่ www.swarovski.com และที่ร้าน “สวารอฟสกี้” ที่ร่วมรายการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

 

 

“ทีเส็บ” เดินสาย “อินเดีย ยุโรป จีน” เสนอขาย 115 จุดหมายไมซ์ไทย

alivesonline.com : “ทีเส็บ” บุกตลาดต่างประเทศเจาะตลาดประชุม-อินเซนทีฟ “อินเดีย ยุโรป จีน” เสนอขาย 115 จุดหมายไมซ์ภายใต้แนวคิด “7 มุมใหม่สไตล์ไมซ์ไทย” และ “แคมเปญ 4Ms” มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ เผยแนวโน้มดี มีกระแสตอบรับจะนำงานเข้ามาจัดในไทยรวม 76 งาน ด้วยจำนวนนักเดินทางไมซ์ 45,365 คน คาดสร้างรายได้ให้ประเทศ 2,952 ล้านบาท

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 “ทีเส็บ” เริ่มต้นด้วยการมุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เศรษฐกิจผ่านการดึงนักเดินทางไมซ์จากทั่วทุกภูมิภาคของโลก โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีนักเดินทางกลุ่มไมซ์จากต่างประเทศ 1,386,000 คน สร้างรายได้ให้ประเทศ 105,600 ล้านบาท

“ทีเส็บ” เร่งส่งเสริมตลาดการประชุมและกลุ่มเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Meetings& Incentives : MI)เนื่องจากเป็นตลาดที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประเทศได้เร็วที่สุดในกลุ่มธุรกิจไมซ์เพราะลูกค้าองค์กรสามารถตัดสินใจจัดงานประชุมสัมมนา หรือให้รางวัลพนักงานด้วยการเดินทางพักผ่อนรวมทั้งกำหนดรูปแบบงานและจัดการเดินทางได้ในเวลาไม่นานนัก โดย “ทีเส็บ” จะมุ่งเน้นตลาดหลักจากจีนและอินเดีย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เดินทางมาไทยมากที่สุดรวมทั้งกลุ่มตลาดเป้าหมายที่มีศักยภาพจากยุโรป

จากสถิติในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 พบว่า 10 อันดับแรกของตลาดไมซ์ที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด อันดับที่หนึ่งยังคงเป็นจีน (254,327 คน) รองลงมาคืออินเดีย (166,817 คน) ขณะที่ตลาดยุโรปมีจำนวนทั้งสิ้น 77,077 คน ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา “ทีเส็บ” จึงส่งเสริมตลาดต่างประเทศด้วยการจัดงานสานสัมพันธ์ผ่านกิจกรรม โชว์เคส และพบปะแลกเปลี่ยนความเห็นเชิงธุรกิจเจาะตลาดหลักอินเดียและจีน พร้อมร่วมงานเทรดโชว์ด้านไมซ์ในยุโรป เพื่อโชว์ศักยภาพประเทศไทยด้วยการนำเสนอจุดขาย 115 จุดหมายไมซ์ภายใต้แนวคิด “7 มุมใหม่ สไตล์ไมซ์ไทย” (7 Magnificent MICE Themes) พร้อมด้วยแคมเปญสนับสนุนการตลาด “4Ms” ได้แก่ แคมเปญสำหรับกลุ่มประชุมที่เดินทางไปยังเมืองที่มีศักยภาพในจังหวัดต่าง ๆ (Meet Now) กลุ่มการประชุมขนาดใหญ่ (Meet Mega) กลุ่มประชุมตามธุรกิจภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 (Meet Smart) และกลุ่มประชุมที่จัดงาน หรือทำกิจกรรมเพื่อการจัดงานอย่างยั่งยืน (Meet Sustainable 2020)

นายจิรุตถ์ กล่าวด้วยว่า ตามแคมเปญ “4Ms” นักเดินทางกลุ่มไมซ์จะได้รับสิทธิพิเศษและงบประมาณสนับสนุนตามเงื่อนไข โดยเลือกนำเสนอจุดหมายไมซ์และแคมเปญสนับสนุนให้เหมาะสมกับแต่ละตลาด สำหรับจีนและอินเดียจะเน้นเรื่องอาหารและวัฒนธรรม ส่วนตลาดยุโรปได้นำเสนอเส้นทางไมซ์ที่มีความหลากหลายทั้งด้านอาหาร ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม กิจกรรมซีเอสอาร์ และกิจกรรมแนวผจญภัย โดยมุ่งหวังเปิดมุมมองใหม่โน้มน้าวให้กลุ่มเป้าหมายสนใจสัมผัสประสบการณ์จัดประชุมและเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในเมืองไทย

ในส่วนของตลาดอินเดีย “ทีเส็บ” ได้จัดงาน “Thailand MICE Showcase” เมื่อวันที่ 12-14 พฤศจิกายน 2562 ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เพื่อเปิดเวทีเจรจาธุรกิจ โดยมีผู้ซื้อ 119 ราย จาก 14 เมือง มาพบปะกับผู้ประกอบการไมซ์ไทย 31 ราย พร้อมทั้งสายการบินแห่งชาติจากประเทศไทยอีก 3 ราย ได้แก่ การบินไทย ไทยสไมล์ และบางกอกแอร์เวย์ ซึ่งได้บรรลุข้อตกลงที่จะนำงานเข้ามาจัดในประเทศไทย 50 งาน โดยประมาณการณ์ว่าจะมีนักเดินทางไมซ์กลุ่ม MI เข้าร่วมงาน 9,000 คน สร้างรายได้ให้ประเทศ 270 ล้านบาท

จากนั้น “ทีเส็บ” พร้อมทั้งผู้ประกอบการไมซ์ไทย 26 ราย ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแล “ทีเส็บ” ได้เข้าร่วมงานเทรดโชว์ “IBTM World 2019” ระหว่างวันที่ 17-22 พฤศจิกายน 2562 ณ เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ซึ่งเป็นงานเทรดโชว์ด้านการประชุมและอีเวนต์ชั้นนำระดับนานาชาติในทวีปยุโรป โดยมีโอกาสได้พบปะกับผู้บริหารระดับสูงด้านไมซ์ระดับโลกจากสมาคมการประชุมนานาชาติ (ICCA) สมาคมส่งเสริมธุรกิจการจัดอินเซนทีฟระดับโลกจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา (SITE)และ บริษัท Reed Exhibitions ร่วมหารือยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันและยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้เป็นหนึ่งในเอเชียมีการพบปะพูดคุยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทย และเปิดมุมมองการทำตลาดใหม่อย่างสร้างสรรค์กับกลุ่มผู้ซื้อเป้าหมาย

“ผลจากการเข้าร่วมงานเทรดโชว์ IBTM World 2019 ครั้งนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีจำนวนงานไมซ์ที่คาดว่าจะเข้ามาจัดในประเทศไทย จากเวทีการพบปะเจรจาธุรกิจภายในไทยแลนด์ พาวิลเลียนจำนวน 23 งาน ประมาณการผู้เข้าร่วมงานจากต่างประเทศทั้งสิ้น 25,165 คน คาดว่าจะสร้างรายได้ให้ประเทศ 1,856 ล้านบาท”

ล่าสุดเมื่อวันที่ 28-29 พฤศจิกายน 2562 “ทีเส็บ” ได้จัดกิจกรรม “Executive Networking Event in China 2019” ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณประชาชนจีน เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มองค์กรในจีน 21 บริษัทจาก 9 เมือง โดยเน้นคลาสสอนทำอาหารไทยเป็นจุดขาย มีเป้าหมายเพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่พร้อมทั้งรักษาตลาดเดิมไว้โดยได้รับการยืนยันว่าจะมีงานเชิงธุรกิจเข้ามาจัดในไทย 3 งาน นำกลุ่มนักเดินทางไมซ์เข้าสู่ประเทศ 11,200 คน ประมาณการณ์รายได้ 826 ล้านบาท

นายจิรุตถ์ กล่าวเสริมว่า กลุ่มประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลเป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ประเทศไทยมีนักเดินทางไมซ์กลุ่มประชุมจากต่างประเทศจำนวน 331,084 คน สร้างรายได้ 29,556 ล้านบาท และนักเดินทางไมซ์กลุ่มเดินทางเพื่อเป็นรางวัลจากต่างประเทศ จำนวน 370,882 คน สร้างรายได้ 20,169 ล้านบาท

“ทีเส็บ มั่นใจว่าการเดินสายจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาดต่างประเทศ กลุ่มประชุมและกลุ่มเดินทางเพื่อเป็นรางวัลจากอินเดีย ยุโรป และจีนในครั้งนี้ ซึ่งได้รับการตอบรับที่จะนำงานไมซ์เข้ามาจัดในไทยรวม 76 งาน มีนักเดินทางไมซ์รวมทั้งสิ้น 45,365 คน ประมาณการณ์ว่าจะทำรายได้ 2,952 ล้านบาท จะช่วยผลักดันให้ตลาดกลุ่มประชุมและกลุ่มเดินทางเพื่อเป็นรางวัลมีการเติบโตได้ตามเป้าหมายในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 คือมีจำนวนรวม 762,000 คน ทำรายได้ 57,000 ล้านบาทและส่งผลต่อตลาดไมซ์โดยรวมให้บรรลุตามเป้าหมายช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตไปด้วยกัน” นายจิรุตถ์ กล่าวในที่สุด

 

“KATA Premium BBQ” ชูไฮไลท์ปิ้งย่างบนกระทะพิงค์โกลด์

ได้ฤกษ์เปิดประสบการณ์ปิ้งย่างระดับพรีเมียมแห่งใหม่ล่าสุด ในงานเปิดร้าน “KATA Premium BBQ” (กระทะ พรีเมียม บาร์บีคิว) ร้านหมูกระทะระดับพรีเมียมแห่งใหม่ ณ เค วิลเลจ เพื่อให้ทุกคนได้เต็มอิ่มไปกับขีดสุดแห่งความอร่อยระดับพรีเมียม และฟินไปกับช่วงเวลาสุดพิเศษแห่งการรับประทานอาหาร

สำหรับบรรยากาศในวันเปิดร้าน ได้รับเกียรติจากแขกผู้มีเกียรติ เซเลบริตี้ เพื่อนฝูงคนสนิทร่วมแสดงความยินดีคับคั่ง อาทิ อ้อย-อารยา จิตตโรภาส, ป๊อบ-วราวุธ เลาหพงศ์ชนะ, หนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัยกุล, โย่ง อาร์มแชร์ และซูเปอร์สตาร์ตัวแม่ “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ”

งานนี้ “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ” ถึงกับยกนิ้วให้ความอร่อยแบบพรีเมียมและออกปากถึงความพิเศษของทางร้านว่า

“ขอแสดงความยินดีกับงานเปิดร้านในวันนี้ ส่วนตัวรู้จักกับ น้องเอ เจ้าของร้านก็รู้ว่า เป็นคนชอบรับประทานอาหาร โดยเฉพาะ ปิ้งย่าง หมูกระทะเหมือนกัน โดยความพิเศษที่ไม่เหมือนที่อื่นคือ เป็นร้านหมูกระทะที่มีความพรีเมียม เพราะทางร้านได้คัดสรรวัตถุดิบอย่างดีมีคุณภาพ สด สะอาด ไม่ว่าจะเป็น เนื้อนำเข้าจาก ออสเตรเลีย (Australian Beef) และเนื้อฮากาตะวากิวนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เนื้อหมูคุณภาพ กุ้งมังกร (Lobster) และเมนูอื่น ๆ ให้เลือกอีกมากมาย เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านได้ลิ้มรสชาติ และประสบการณ์เหนือระดับ ในการทานอาหารปิ้งย่างในบรรยากาศสบาย ๆ เป็นกันเอง

สำหรับไฮไลท์สำคัญของร้าน “KATA Premium BBQ” ที่ลูกค้าต่างพากันประทับใจคือกระทะที่ทางร้านนำมาใช้ปิ้งย่างคือ กระทะทองแดง (Pink Gold) นำเข้าจากเกาหลี ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและไม่ก่อให้เกิดควันที่แสบตา หรืออันตรายต่อทางเดินหายใจ เหมาะสำหรับสมาชิกทุกคนในครอบครัวและทุกคนที่มารับประทาน นอกจากนี้ยังมีน้ำจิ้มสูตรเด็ดรสชาติถูกปากอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของทางร้านให้เลือกถึง 3 สูตร ทั้งรสกลมกล่อม น้ำจิ้มซีฟู้ด และน้ำจิ้มเนื้อรสเด็ดเพื่อประสบการณ์ใหม่ในการรับประทานอาหารปิ้งย่าง ตามคำสัญญาของทางร้านคือ “กระทะพรีเมียมบาร์บีคิว ของไม่ดีเราไม่เสิร์ฟ’’ มอบรสชาติความอร่อยแบบมีคุณภาพ ท่ามกลางบรรยากาศการตกแต่งสไตล์อาร์ตเดคโคเหมือนอยู่ยุโรป แต่เป็นร้านหมูกระทะ ราคาปานกลางสมเหตุสมผล

สาวกคอปิ้งย่างหมูกระทะต้องลอง “KATA Premium BBQ” (กระทะ พรีเมียม บาร์บีคิว) ณ เค วิลเลจ สั่งจองโต๊ะล่วงหน้า IG : Katapremiumbbq หรือ FB Page : Katapremiumbbq

[ชมคลิป] GET เผยกลยุทธ์ธุรกิจปี 2563

alivesonline.com : GET พร้อมรุกธุรกิจแอปฯ เรียกวินมอเตอร์ไซต์สั่งอาหารและส่งของเต็มรูปแบบในปี 63 เตรียมพัฒนาแอปฯ ใหม่สำหรับคนขับรถและร้านอาหารรองรับการสเกลอัปของธุรกิจ ตั้งเป้าเข้าถึงผู้ใช้บริการในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 1 ล้านคน ในครึ่งปีแรกของปี 2563 จัดแคมเปญ “GET’s GIFTING” มอบส่วนลดและรางวัลมากมายกว่า 100 รางวัล

นายภิญญา นิตยาเกษรวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GET แอปพลิเคชันไลฟสไตล์ออนดีมานด์ ผู้ให้บริการเรียกรถจักรยานยนต์วินสั่งอาหาร ส่งของ และอี-วอลเลต เปิดเผยว่า GET ถือเป็นแอปพลิเคชันที่เติบโตเร็วที่สุด เราก้าวขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ ในตลาดได้ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี มีจำนวนดาวน์โหลดเกินกว่า 2 ล้านครั้ง เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าต้องการจะเข้าถึงคนกรุงเทพฯ กว่า 1 ล้านคนในปีแรก โดยในปี 2563 จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีและคุณภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรองรับการสเกลอัปของธุรกิจต่อไปในอนาคต

GET เน้นการเติบโตแบบยั่งยืน (Sustainable Growth) มาโดยตลอด และจะยังคงเป็นเป้าหมายหลักต่อไปในปี 2563 โดยมั่นใจว่าจะเป็นเทรนด์ของทุกองค์กรในปีหน้าด้วยเช่นกัน เพราะเราเชื่อว่าการเติบโตของธุรกิจต้องควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นคนขับ ร้านค้า และผู้ใช้บริการ โดยที่ผ่านมา GET ได้รับคะแนนความพึงพอใจของผู้ใช้บริการอยู่ที่ 97%

“GET มียอดการสั่งซื้อครบ 10 ล้านทริปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าว่าในปี 2563 จะสามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการในกรุงเทพฯ เพิ่มอีกประมาณ 1 ล้านคน ในครึ่งปีแรกของปี 2563 ด้วยกลยุทธ์การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการพัฒนาบริการให้กับทั้งคนขับ ร้านอาหาร และผู้ใช้บริการ โดยเรามองว่ายังมีโอกาสในการพัฒนาอีกหลายด้าน ทั้งจำนวนคนขับปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 4 หมื่นคนจาก 1 หมื่นคนเมื่อเริ่มเปิดตัวประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ขณะที่ร้านอาหารบนแพลตฟอร์มจะเน้นการช่วยส่งเสริมให้ร้านค้าแต่ละร้านสามารถมีรายได้มากขึ้น โดยในปี 2563 จะเปิดตัวแอปฯ ใหม่ของคนขับ ร้านค้า และบริการ GET PAY อย่างเต็มรูปแบบ”

ทั้งนี้ ในช่วงสิ้นปี 2562 ยังได้มีการจัดแคมเปญ “GET’s GIFTING” เพื่อแจกจ่ายความสุข 3 เท่า ทั้งมอบส่วนลดอาหารปาร์ตี้เซ็ตสูงสุดถึง 50% คูปองส่วนลดทั้งค่าอาหารและค่าส่ง รวมทั้งให้ลูกค้าลุ้นรับรางวัลมากมายกว่า 100 รางวัล ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 12 มกราคม 2563

 

 

ชวนผู้สูงวัยป้องกัน “ภัยเงียบ” จากโรคกระดูกพรุน

ศ.ดร.นพ.ทวี ทรงพัฒนาศิลป์ (ซ้าย) ประธานมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทยฯ และ ศ.นพ.เกื้อเกียรติ ประดิษฐ์พรศิลป์ (ขวา) หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการดูแลผู้สูงอายุ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

alivesonline.com : มูลนิธิโรคกระดูกพรุนฯ จัดกิจกรรม “สูงวัยใส่ใจ ไม่ล้มไม่พรุน” มุ่งให้ความรู้ผู้สูงวัยระวังตัว “ไม่ให้หกล้ม” เพราะเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักและกระดูกพรุน จนอาจเสียชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง “สตรีวัยทอง”

ศ.ดร.นพ.ทวี ทรงพัฒนาศิลป์ ประธานมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เปิดเผยว่า มูลนิธิฯ ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านการดูแลผู้สูงอายุ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และบริษัท แอมเจน (ประเทศไทย) จำกัด จัดเสวนา “สูงวัยใส่ใจ ไม่ล้ม ไม่พรุน” และ “กิจกรรมประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้ม และโรคกระดูกพรุน” ณ อาคาร ส.ธ. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา

การจัดกิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้และความเข้าใจกับเกี่ยวกับการป้องกันการหกล้มและโรคกระดูกพรุนซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก เพื่อส่งเสริมความรู้เรื่องโรคกระดูกพรุนให้ผู้สูงอายุหันมาใส่ใจการป้องกันระมัดระวังและดูแลตนเองไม่ให้หกล้ม เนื่องจากการหกล้มในผู้สูงอายุ มีความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักและมักเกิดการล้มซ้ำ นำมาซึ่งความทุพพลภาพ การสูญเสียคุณภาพชีวิตและค่าใช้จ่ายอันมหาศาล หรืออาจทำให้เสียชีวิต โดยเฉพาะการหกล้มในผู้สูงอายุที่มีโรคกระดูกพรุนร่วมด้วยเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะการหกล้มเพียงเบา ๆ สามารถทำให้กระดูกหักได้

“โรคกระดูกพรุนคือภาวะที่ความแข็งแกร่งของกระดูกลดลง ทำให้กระดูกมีความเปราะบาง และเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักได้ง่ายขึ้น โรคกระดูกพรุนจึงจัดเป็นภัยเงียบเนื่องจากไม่มีอาการ ผู้ป่วยหลายรายทราบเมื่อเกิดกระดูกหักขึ้นแล้วดังนั้นผู้ที่มีความเสี่ยง หรือผู้หญิงเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน หรือตรวจพบว่าเป็นโรคกระดูกพรุนควรปรึกษาแพทย์เพื่อการดูแลรักษาที่เหมาะสม” ศ.ดร.นพ.ทวี กล่าว

ด้าน รศ.นพ.อรรณพ ใจสำราญ รองประธานมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทยฯ กล่าวเสริมว่า โรคกระดูกพรุนพบได้บ่อยและเป็นภัยเงียบในสตรีวัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการขาดเอสโตรเจนของวัยหมดประจำเดือนทำให้มีการสลายมวลกระดูกมากขึ้น จนมีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนตามมา โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสันหลัง กระดูกข้อมือ และกระดูกสะโพก ดังนั้นแม้สตรีวัยหมดประจำเดือนจะไม่มีอาการของวัยทองใด ๆ ก็ควรพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน เพราะโรคกระดูกพรุนสามารถป้องกันได้ นอกจากนี้ ถ้าตรวจพบโรคกระดูกพรุนตั้งแต่แรก ๆ และได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะป้องกันกระดูกหักจากกระดูกพรุนได้”

ศ.นพ.เกื้อเกียรติ ประดิษฐ์พรศิลป์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการดูแลผู้สูงอายุ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า การหกล้มในผู้สูงอายุเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่ กระดูกหรือกล้ามเนื้อไม่แข็งแรง มีปัญหาการทรงตัว ปัญหาสายตา การกินยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้ง่วงซึม รวมทั้งสภาพแวดล้อมภายในบ้านที่ไม่เหมาะสมดังนั้นการประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มจะช่วยทำให้สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการหกล้มที่จะเกิดขึ้นได้

การดูแลสุขภาพและประเมินปัญหาด้านสุขภาพของผู้สูงอายุตั้งแต่เริ่มต้น จะทำให้ผู้สูงอายุสามารถดูแลตนเองให้ได้นานที่สุด  และสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี ชะลอความเสื่อม และลดภาวะพึ่งพิงของผู้สูงอายุต่อผู้อื่น ให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณค่าและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

 

“แม็คโคร” จัดมหกรรมสินค้า “พาณิชย์ ลดปังข้ามปี New Year Grand Sale”

นายประโยชน์ เพ็ญสุต (กลาง) รองอธิบดีกรมการค้าภายใน พร้อมคณะ ตรวจเยี่ยม “แม็คโคร” สาขาแจ้งวัฒนะ โดยมี นางศิริพร เดชสิงห์ (ที่ 3 จากขวา) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) และ นายเอกรัตน์ พิพัฒน์วรรรรม (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการทั่วไป “แม็คโคร” สาขาแจ้งวัฒนะ ให้การต้อนรับ ในโอกาสตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมกับโครงการมหกรรมลดราคาสินค้า “พาณิชย์ ลดปังข้ามปี New Year Grand Sale” กับกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงการจำหน่ายกระเช้าของขวัญ ตามพ.ร.บ.สินค้าและบริการ และ พ.ร.บ.มาตราช่างตวงวัด ซึ่ง “แม็คโคร” นำสินค้ากว่า 5 พันรายการ ร่วมแคมเปญเพื่อขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่มกลางการเลือกซื้อสินค้าอย่างคึกคักของผู้ประกอบการ ลูกค้าสมาชิก เพื่อนำไปต่อยอดสร้างรายได้รับเทศกาล

[ชมคลิป] ททท.ใส่เกียร์โค้งสุดท้ายทำรายได้ปีใหม่ 2.38 หมื่นล้านบาท

alivesonline.com : ททท. ปูพรมจัดงาน Amazing Thailand Countdown 2020 ใน 6 พื้นที่เมืองรอง และกรุงเทพฯ กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ คาดสร้างรายได้หมุนเวียนรวม 2.38 หมื่นล้านบาท “ผู้ว่าฯ ยุทธศักดิ์” มั่นใจภาพรวมท่องเที่ยวไทยปี 62 เป็นไปตามเป้า พร้อมเร่งแผนเพิ่มการเติบโตในปี 63 มุ่งรายได้รวม 3.18 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 41.8 ล้านคน และจำนวนนักท่องเที่ยวไทย 172 ล้านคน-ครั้ง

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ ททท. เตรียมกระจายความสุขไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยกำหนดจัดงาน “Amazing Thailand Countdown 2020” เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งในพื้นที่เมืองหลักและเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง พร้อมรักษาคุณค่าของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์อันดีงามของไทย โดยเสนอการจัดงานรูปแบบ “รักษ์โลก ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยจะจัดกิจกรรมใน 6 พื้นที่เมืองรองตามภูมิภาคต่าง ๆ ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย ลพบุรี ราชบุรี สระแก้ว กาฬสินธุ์ และพัทลุง รวมทั้ง “ไอคอนสยาม” กรุงเทพมหานคร โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเข้าพื้นที่กว่า 2.25 แสนคน-ครั้ง สร้างรายได้กว่า 500 ล้านบาท

ในส่วนของการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2562 – 1 มกราคม 2563 (รวม 5 วัน) ททท. คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้หมุนเวียนรวม 2.38 หมื่นล้านบาท คิดเป็นชาวไทยเดินทางภายในประเทศมากกว่า 3.16 ล้านคน-ครั้ง มีการใช้จ่ายสร้างรายได้หมุนเวียนในพื้นที่กว่า 1.18 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงที่คนไทยส่วนใหญ่เดินทางกลับภูมิลำเนาและถือโอกาสเดินทางพักผ่อน ประกอบกับอยู่ในช่วงแคมเปญ “100เดียวเที่ยวทั่วไทย” และ “วันธรรมดาราคา Shock โลก” ที่ ททท. กระตุ้นให้เกิดการเดินทางในประเทศของคนไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเที่ยวไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 6.9 แสนคน เติบโตขึ้น 4% สร้างรายได้ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 4% อันเป็นผลจากการการฟื้นตัวของตลาดจีนและอินเดีย รวมถึงการเปิดเที่ยวบินใหม่ 380 เที่ยวบิน อีกทั้ง ททท. มีการจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาดต่างประเทศอยู่อย่างต่อเนื่อง เสริมด้วยมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อาทิ มาตรการการให้ส่วนลดค่าบริการขึ้น-ลง ท่าอากาศยาน 50% จากอัตราปกติแก่เที่ยวบินระหว่างประเทศ เป็นเวลา 5 เดือน (1 ธันวาคม 2562 – 30 เมษายน 2563) การขยายระยะเวลาเปิดด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย และไทย-สปป.ลาว ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดยาว การใช้ระบบ e-Visa รวมถึงการขยายเวลามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม VOA ไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2563

นายยุทธศักดิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยในปี 2562 มั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายทั้งในส่วนของรายได้และจำนวนนักเดินทาง ประกอบกับมีปัจจัยเสริมต่าง ๆ ที่จะช่วยเร่งการเติบโตในปี 2563 เพิ่มขึ้นทั้งในด้านรายได้รวม 3.18 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 41.8 ล้านคน และจำนวนนักท่องเที่ยวไทย 172 ล้านคน-ครั้ง

 

ชี้ชัด ! 10 อันดับธุรกิจดาวร่วง-รุ่ง ปี 63

alivesonline.com : ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดผลวิจัย 10 อันดับธุรกิจเด่น ปี 2563 ระบุ “ธุรกิจแพลตฟอร์ม” ขึ้นแท่น “ดาวรุ่งอันดับ 1” จากปี 62 ที่ไม่ติดอันดับ เหตุพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ส่วน ธุรกิจร้านเช่าหนังสือ – สื่อสิ่งพิมพ์ – ร้านให้บริการอินเทอร์เน็ต – ธุรกิจดั้งเดิม ฯลฯ “ร่วง” ตามคาด

นางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลวิจัย 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่งและธุรกิจดาวร่วง ปี 2563 ที่ศึกษาโดย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่า จากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจในปี 2562 คาดว่า จีดีพีของประเทศไทยจะขยายตัวร้อยละ 2.5 โดยการส่งออกจะหดตัวร้อยละ 5.1 นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจโลก ตลอดจนความไม่แน่นอนการทำสงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีน ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมปี 2562 ไม่ดีเท่าที่ควร แต่จากการประเมินปัจจัยสนับสนุนและบั่นทอนธุรกิจปี 2563 ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะความเสี่ยงสงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีน และ Brexit ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะมีโอกาสเติบโตต่ำกว่าร้อยละ 6 ขณะที่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนคาดว่าจะแข็งค่าเฉลี่ย 29.75-30.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนของต่างชาติ ตลอดจนปัญหาหนี้เสียของสถาบันการเงินที่เพิ่มความเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ รวมถึงต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูงขึ้นอันเนื่องมาจากค่าจ้างขั้นต่ำ ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ทำให้คาดการณ์ว่า 10 อันดับธุรกิจร่วง ปี 2563 ประกอบด้วย

1.ธุรกิจเช่าหนังสือ 2.ธุรกิจผลิตโทรศัพท์พื้นฐานและเครื่องโทรสาร 3.ธุรกิจร้านให้บริการอินเทอร์เน็ต 4.ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์และวารสาร 5.ธุรกิจหัตถกรรมและเฟอร์นิเจอร์ไม้ 6.ธุรกิจการค้าแบบดั้งเดิม 7.ธุรกิจคนกลาง 8.ธุรกิจอินเทอร์เน็ตประเภทฮาร์ดดิสไดรฟ์ 9.ธุรกิจดั้งเดิมไม่มีการดีไซน์และใช้แรงงานมาก เช่น เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น และ 10.ธุรกิจร้านถ่ายรูป โดยธุรกิจร่วงเหล่านี้ผู้ดำเนินธุรกิจอยู่แล้วต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังได้มีการศึกษาธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงในปี 2563 แต่ยังไม่ถึงกับเป็นธุรกิจดาวร่วง คือ ธุรกิจร้านกาแฟที่มีทำเลไม่ดี ไม่มีแฟรนไชส์และมีขนาดเล็ก รวมถึงธุรกิจร้านชานมไข่มุกที่มีทำเลไม่ดี เพราะปัจจุบันมีร้านกาแฟและชานมไข่มุกเปิดใหม่จำนวนมาก ประการสำคัญยังมีการแข่งขันด้านการตัดราคากันด้วย นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจที่มีความเสี่ยงปานกลาง เช่น คลินิกเสริมความงาม ธุรกิจเครื่องสำอางและอาหารเสริม ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีทำเลไม่ดี รวมถึงธุรกิจเบเกอรีและร้านอาหารที่เพิ่งเปิดและมีขนาดเล็ก เป็นต้น

ส่วนการประเมิน 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่งปี 2563 ประกอบด้วย 1.ธุรกิจแพลตฟอร์ม 2.ธุรกิจเทคโนโลยีและเทคโนโลยีสารสนเทศและอุปกรณ์ รวมทั้งผู้ให้บริการด้านโครงข่าย 3.ธุรกิจเกม 4.ธุรกิจด้านขนส่งลอจิสติกส์ รวมถึงธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต 5.ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม รวมถึงธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 6.ธุรกิจฟาสต์ฟูด 7.ธุรกิจเกี่ยวกับผู้สูงอายุ 8.ธุรกิจด้านพลังงาน 9.ธุรกิจก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน และ 10.ธุรกิจเครื่องสำอางและบำรุงผิว

“ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจแพลตฟอร์มมาแรงสุดในปี 2563 จากที่ปี 2562 ไม่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของธุรกิจดาวรุ่ง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้นและมีความเคยชินกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เพราะมีความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน และกระแสการพัฒนาแพลตฟอร์มทั่วโลก ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงจุด แต่ก็ต้องยอมรับว่าธุรกิจแพลตฟอร์มอาจมีความเสี่ยงในด้านการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งจากคู่แข่งในและต่างประเทศ ความไม่ชัดเจนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องและด้านความปลอดภัย หรือการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น”

นางเสาวนีย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับธุรกิจดาวรุ่งอื่น ๆ ที่โดดเด่น เช่น “ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต” ได้รับผลดีจากการยกเลิก LTF ทำให้เกิดโอกาสในการออมเพื่อลดหย่อนภาษี มีความต้องการซื้อประกันภัย เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงต่อบริษัทและครัวเรือน ประชาชนให้ความสำคัญในการออมระยะยาวมากขึ้น และประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้มีการวางแผนทางการเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่ “ธุรกิจบนสตรีทฟู้ด” เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ เนื่องจากรัฐบาลและภาคเอกชนมีนโยบายสนับสนุนการเปิดถนนคนเดินเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว จนทำให้ธุรกิจสตรีทฟู้ดของประเทศไทยมีชื่อเสียงในระดับโลก

ส่วน “ธุรกิจความเชื่อ” ซึ่งไม่ติด 1 ใน 10 ของธุรกิจดาวรุ่งในปี 2562 แต่มาติดในปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันคนจำนวนมากต้องการหาที่พึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจทั้งด้านการงาน การเงิน ความรัก และความศรัทธา ประกอบกับความเชื่อเรื่องเครื่องราง ของขลัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่คู่กับอารยธรรมมาตลอดและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งต้องการเสริมบารมี และที่สำคัญลูกค้าบางกลุ่มพร้อมที่จ่ายในทุกราคาเพื่อสิ่งที่ตนเองเชื่อ เป็นต้น

“สำหรับภาพรวมภาวะเศรษฐกิจปี 2563 คาดว่าจีดีพีของประเทศจะขยายตัวร้อยละ 2.4-3.1 การส่งออกขยายตัวร้อยละ 1.8-3.4 เงินเฟ้อเฉลี่ยร้อยละ 1.2 โดยในปี 2563 แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงในภาวะภาพรวมเศรษฐกิจโลก แต่ประเทศไทยยังมีความน่าสนใจด้านการลงทุนและการท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาไม่ต่ำกว่า 41-42 ล้านคน นอกจากนี้ การที่ภาครัฐต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ให้เกิดเป็นรูปธรรมจะเป็นตัวเร่งกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจให้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี เป็นต้น ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั่วโลกจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้การลงทุนปี 2563 เป็นไปตามเป้าหมายวางไว้” นางเสาวนีย์ กล่าวในตอนท้าย

 

เหตุใด “วัตสัน” ยังคงความเป็นสุดยอดร้านสุขภาพและความงาม

alivesonline.com : ในยุคปัจจุบันที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หลายธุรกิจได้รับผลกระทบจากการที่เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค หลายแบรนด์จึงต้องปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความได้เปรียบจากคู่แข่ง และให้เหมาะกับสถานการณ์ทางการตลาดที่เปลี่ยนไป

สำหรับวงการธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของบ้านเราก็มีการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อครองความเป็นหนึ่งในใจของผู้บริโภค โดยหนึ่งในแบรนด์ร้านเพื่อสุขภาพและความงามชั้นนำของประเทศไทยที่น่าสนใจและเป็นแบรนด์ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก นั่นคือแบรนด์ “วัตสัน” ร้านที่มีจำนวนสาขาในไทยมากกว่า 500 สาขา โดดเด่นด้วยความหลากหลายของสินค้าคุณภาพที่มีให้ผู้บริโภคได้เลือกช้อปปิ้งกันอย่างจุใจ

เรามาดูกันว่าเพราะเหตุใดร้านวัตสันถึงได้ประสบความสำเร็จในยอดขายจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็น Top of Mind Brand ของผู้บริโภค และยังครองความเป็นหนึ่งในตลาดได้ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดในวงการรีเทล Health and Beauty  

เหตุผลที่ 1 : เพราะให้ความสำคัญกับผู้บริโภคเป็นอันดับหนึ่ง

ปฎิเสธไม่ได้ว่าการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องกับลูกค้าเป็นสิ่งที่แบรนด์จะต้องให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยให้ลูกค้ามีทัศนคติที่ดีและเกิดความพึงพอใจต่อแบรนด์แล้ว ยังทำให้แบรนด์เข้าใจลูกค้าและสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ข้อนี้ถือได้ว่าเป็นจุดแข็งสำคัญของร้าน “วัตสัน” เพราะแคมเปญการตลาดที่จัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในแต่ละปีและโปรโมชันที่มีความหลากหลายกว่าร้านเพื่อสุขภาพและความงามร้านอื่น อาทิ โปรโมชันซื้อ 1 แถม 1 หรือซื้อชิ้นที่สอง 1 บาท ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งยืนยันว่า “วัตสัน” ใส่ใจกับความต้องการของผู้บริโภคและอยากจะให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าคุณภาพในราคาที่คุ้มค่าอยู่เสมอ ซึ่งกิจกรรมการตลาดที่ “วัตสัน” ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องและน่าสนใจ ทำให้ผู้บริโภคเกิดการยอมรับต่อแบรนด์และสร้างกระแสการบอกต่อ (Word Of Mouth) อย่างกว้างขวาง อีกทั้งยังสร้างและเพิ่มยอดขายให้กับวัตสันได้อย่างมาก จนสามารถคว้า รางวัล Asia’s No. 1 ในประเภท Pharmacy/ Drugstore Brand มาครองได้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 จากการสำรวจของผู้บริโภคเกี่ยวกับแบรนด์ต่าง ๆ ทั้งหมด 14 ตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค

เหตุผลที่ 2 : ไม่หยุดนิ่งที่จะปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

วัตสัน” ก้าวนำกระแส Technology Disruption อยู่เสมอ ด้วยการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจทั้งทางออฟไลน์และออนไลน์เพื่อให้เหมาะกับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะผู้คนในกลุ่มคนเจนเนอเรชั่นวาย หรือมิลเลนเนียลที่กำลังเติบโตและคาดว่าจะเป็นกลุ่มประชากรที่มีความสำคัญและเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของตลาดโลกในอนาคต ซึ่งหลายแบรนด์รวมถึง “วัตสัน” จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อเจาะตลาดคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ในปีที่ผ่านมา “วัตสัน” จึงได้มีการปรับรูปแบบร้านให้มีความนำสมัยมากขึ้นโดยการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานเพื่อสร้างประสบการณ์การชอปปิงสุดพิเศษให้ลูกค้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นเจ้าแรก ๆ ในตลาดร้านสุขภาพและความงามในไทยที่ปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น StyleMe ที่ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริง (AR) ให้บริการแต่งหน้า และ TRY ME เทคโนโลยีแสดงสินค้าผ่านรูปแบบวิดีโอ นอกจากนั้นยังสร้างการมีส่วนร่วมยิ่งขึ้นระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคด้วยการเข้าไปทำกิจกรรมกับเหล่าบล็อกเกอร์และอินฟลูเอนเซอร์ตัวแทนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อให้เกิดการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยได้รับการการันตีความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจด้วยการคว้า รางวัล Influential Brand ประจำปี 2019 หมวด Personal Care Store มาครองได้อย่างน่าประทับใจ จากการโหวตของกลุ่มคนเจนเนอเรชั่นวายในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนกว่า 1 พันคน โดยผลสำรวจของสวนดุสิตโพล

 

เหตุผลที่ 3 : ความแข็งแกร่งของแบรนด์ และคุณภาพของสินค้าที่เป็นเลิศ

วัตสัน” เป็นร้าน Health and Beauty อีกหนึ่งร้านที่ผู้บริโภคมักนึกถึงอยู่เสมอ เพราะด้วยความโดดเด่นของสโตร์ที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยโทนสีที่สังเกตได้ง่าย และสินค้าคุณภาพที่มีความหลากหลายที่สามารถเชื่อมโยงให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของลูกค้าได้ จึงทำให้แบรนด์ “วัตสัน” ก้าวเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภค ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไปได้เป็นอย่างดี ด้วยการสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งจากภายใน โดยการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพาร์ทเนอร์เพื่อให้ได้รับความเชื่อมั่น และในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้บริโภคยอมรับในคุณภาพของสินค้าและการบริการที่ได้มาตรฐาน จากกลยุทธ์ดังกล่าวได้ช่วยผลักดันให้ “วัตสัน” ก้าวขึ้นมาเป็นร้านเพื่อสุขภาพและความงามเบอร์หนึ่งของประเทศไทยและได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน สุดยอดแบรนด์ชั้นนำแห่งปี (Superbrands Thailand) ประจำปี 2562 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้สำหรับแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคและมีบทบาทนำในภาคอุตสาหกรรม

เหตุผลที่ 4 : นวัตกรรมสินค้าสุขภาพและความงาม

อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของแบรนด์ “วัตสัน” ประเทศไทย คือการเป็น Global Company ที่ทำธุรกิจใน 13 ตลาด ซึ่งมี 7.2 พันสาขาทั่วโลก ส่งผลให้สามารถประเมินได้ว่าเทรนด์ใดที่จะได้รับความนิยมในประเทศไทย ทำให้การวางกลยุทธ์ทางการตลาดมีความแตกต่าง รวดเร็วกว่าคู่แข่งและสร้างความได้เปรียบอยู่เสมอ พร้อมด้วยการมีนวัตกรรมสินค้าสุขภาพและความงามที่ทันต่อกระแสโลก จึงไม่แปลกใจที่วัตสันจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำร้านสุขภาพและความงามระดับโลกอย่างรวดเร็ว จนสามารถครองความเป็นอันดับหนึ่งในตลาดและได้รับ รางวัล The Most Valuable Brands of the Year 2019 By Longtunman ประเภทแบรนด์ร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามในเมืองไทย

จากรางวัลต่าง ๆ ที่ได้รับแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ “วัตสัน” ว่าเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในวงการสุขภาพและความงามของประเทศไทยที่ได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและการบริการที่เป็นเลิศแก่ลูกค้าอยู่เสมอ ด้วยกิจกรรมทางการตลาดที่สร้างสรรค์และแตกต่างหลากหลาย พร้อมด้วยนวัตกรรมในการชอปปิงรูปแบบใหม่ที่สร้างประสบการณ์พิเศษแก่ลูกค้าและส่งเสริมให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“เดอะเฟสชอป” ส่งความสุขด้วยเซ็ตของขวัญยอดนิยมตลอดกาล

         

เดอะเฟสชอป เครื่องสำอางอันดับ 1 จากประเทศเกาหลีใต้ เชิญทุกท่านร่วมส่งผ่านความสุขของเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปี ด้วยชุดเซ็ต Holiday ยอดนิยมที่ขายดีตลอดกาล โดยได้แรงบันดาลใจจากสวนสนุกและของประดับตกแต่งต้นคริสต์มาสในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อใช้เป็นสื่อกลางแทนความรักความห่วงใย และส่งผ่านความสุขด้วยชุดของขวัญสุดพิเศษให้ตัวเอง ครอบครัว และคนที่คุณรัก โดยมีทั้งหมด 4 เซ็ตด้วยกัน

THE FACE SHOP HOLIDAY SPECIAL HAND CREAM SET (ราคา 439 บาท ขนาด 30 ml จำนวน 3 ชิ้น) ชุดครีมบำรุงผิวมือรุ่น Daily Perfumed Hand Cream ที่ขายดีที่สุด 3 สูตร มีส่วนผสมที่อุดมไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ช่วยให้ผิวมือชุ่มชื้น เนียนนุ่ม ไม่แห้งกร้าน เนื้อครีมซึมซาบลงสู่ผิวได้ง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ พร้อมมอบกลิ่นหอมหวาน สดชื่น ใน 1 เซ็ต ประกอบไปด้วย 1) Daily Perfumed Hand Cream Rose Water มีสารบำรุงจากดอกกุหลาบ เสริมการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ให้ผิวมือเนียนนุ่ม พร้อมกลิ่นหอมกุหลาบอ่อน ๆ 2) Daily Perfumed Hand Cream Orchid ช่วยเก็บกักน้ำหล่อเลี้ยงผิว ทำให้ผิวมืออ่อนนุ่ม ชุ่มชื้น พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของกล้วยไม้ และ 3) Daily Perfumed Hand Cream Snow Cotton ครีมบำรุงมือกลิ่นหอมจากดอกสโนว์ คอตตอน อันอ่อนโยน ซึ่งมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากความแห้งกร้าน และกรดไฮยาลูโรนิคที่ช่วยให้ผิวมือชุ่มชื้น

THE FACE SHOP HERB DAY 365 MASTER BLENDING FOAMING CLEANSER SPECIAL SET (ราคา 579 บาท ขนาด 170 ml จำนวน 3 ชิ้น) ชุดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่ขายดีที่สุดของเดอะเฟสชอป ซึ่งสามารถใช้ทำความสะอาดผิวหน้าได้เป็นประจำทุกวัน มีส่วนผสมของสมุนไพรและผลไม้ ช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจด พร้อมมอบความชุ่มชื้นและช่วยฟื้นบำรุงผิวได้อย่างครอบคลุมทุกปัญหาผิว โดยใน 1 เซ็ต ประกอบไปด้วย 1) Herb Day 365 Master Blending Foaming Cleanser Aloe & Green Tea มอบความชุ่มชื้นแก่ผิวอย่างล้ำลึก ลดการระคายเคือง 2) Herb Day 365 Master Blending Foaming Cleanser Acerola & Blueberry ปรับผิวให้กระจ่างใส เรียบเนียน ดูสุขภาพดี และ 3) Herb Day 365 Master Blending Foaming Cleanser Lemon & Grapefruit ช่วยขจัดเซลผิวที่เสื่อมสภาพ และขจัดสิ่งสกปรกตกค้างได้ดีเยี่ยม พร้อมมอบความสดชื่นและสบายผิว

THE FACE SHOP HOLIDAY SPECIAL BODY CARE SET (ราคา 519 บาท ขนาด 300 ml จำนวน 2 ชิ้น) ชุดของขวัญบำรุงผิวกาย มอบความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก ยาวนาน ด้วยสารสกัดจากผลอะโวคาโดที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวเนียนนุ่มดุจใยไหม พร้อมมอบกลิ่นหอมสดชื่น ซึ่งใน 1 เซ็ต ประกอบไปด้วย Avocado Body Wash เจลอาบน้ำที่มอบความชุ่มชื้นและวิตามินอีจากผลอะโวคาโด้ ช่วยให้ทำความสะอาดได้อย่างอ่อนโยน มีฟองโฟมหนานุ่มทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื้นโดยปราศจากความแห้งตึง พร้อมสารสกัดจากมะพร้าวช่วยเคลือบผิวอย่างอ่อนโยน และ Avocado Body Lotion โลชั่นบำรุงผิวที่ช่วยมอบความเนียนนุ่มชุ่มชื้นดุจแพรไหม พร้อมปกป้องผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้น และทำให้ผิวกระจ่างใส

THE FACE SHOP INK LASTING CUSHION SPECIAL SET V201/V203 (ราคา 799 บาท คุชชั่น ขนาด 15 ml และ รองพื้น ขนาด 8 ml จำนวน 2 ชิ้น) เซ็ตรองพื้นและคุชชั่นจากรุ่น INK LASTING ที่มีเนื้อบางเบา แนบสนิทไปกับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ มอบความกระจ่างใสด้วยอนูแป้งที่มีเม็ดสีชนิดพิเศษ อีกทั้งยังช่วยอำพรางริ้วรอยต่าง ๆ อย่างเรียบเนียนและติดทนยาวนานตลอดทั้งวัน โดยมีให้เลือกกัน 2 เฉดสี ได้แก่ V201 APRICOT BEIGE ผิวขาวอมชมพู และ V203 NATURAL BEIGE ผิวสองสีอมเหลือง โดยใน 1 เซ็ตประกอบด้วย คุชชั่น ที่บรรจุฟาวเดชั่นไว้ เพื่อสะดวกต่อการพกพา สามารถเติมระหว่างวันได้ ไม่ทำให้เป็นคราบ ช่วยปรับให้ผิวสวยใส เรียบเนียนตลอดวัน และ รองพื้น 2 สูตรด้วยกัน ได้แก่ สูตร SLIM FIT ex เนื้อบางเบา ให้ลุคแมท ช่วยปกปิดได้อย่างเรียบเนียน สำหรับสูตร GLOW จะช่วยปกปิดผิวได้อย่างเรียบเนียน พร้อมมอบความเปล่งปลั่งฉ่ำวาวให้ผิว

ใครถูกใจเซ็ตของขวัญ Holiday สุดพิเศษเหล่านี้ รีบไปจับจองกันได้ที่ เดอะเฟสชอป ทุกสาขา และสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ www.thefaceshopthailand.com หรือ Line ID : @thefaceshop.th สอบถามเพิ่มเติมที่ FB : thefaceshopthailand, IG : thefaceshopthailand หรือ Line ID : @thefaceshop.th