ZILINGO อัดงบฯ 7 พันล้านบาท ขยายแพลตฟอร์มชอปปิงออนไลน์

alivesonline.com : แพลตฟอร์มชอปปิงออนไลน์ ZILINGO สบจังหวะตลาดแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โตเร็ว ใช้งบฯ กว่า 7 พันล้านบาท ขยายแพลตฟอร์ม B2B เพิ่มในเวียดนาม บังกลาเทศ และกัมพูชา พร้อมตั้งสำนักงานที่ฟิลิปปินส์ พร้อมเตรียมแผนพัฒนาเครื่องมือช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เช่น ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง

นางสาวแอนกิติ โบส ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มชอปปิงออนไลน์ภายใต้ชื่อ “ZILINGO” (ซิลิงโก้) เปิดเผยว่า เนื่องจากอุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลกมีมูลค่ามากถึง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ “ซิลิงโก้” จึงมองเห็นโอกาสที่จะขึ้นมาเป็นธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดในระดับโลก ด้วยการชูจุดเด่นการเป็นสื่อกลางของตลาดออนไลน์ในทุก ๆ ด้านที่เกี่ยวกับแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ อีกทั้งการเติบโตที่รวดเร็วของ “ซิลิงโก้” ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้เตรียมแผนขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้ต่อเนื่อง โดยเตรียมใช้งบประมาณกว่า 7 พันล้านบาท ขยายแพลตฟอร์ม B2B เพิ่มเติมในประเทศเวียดนาม บังกลาเทศ และกัมพูชา พร้อมตั้งสำนักงานที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์

จากการแข่งขันที่รุนแรงของอุตสาหกรรมแฟชั่นทำให้ธุรกิจขนาดเล็กต้องเผชิญกับพ่อค้าคนกลาง ด้วยเหตุนี้ “ซิลิงโก้” จึงมองเห็นโอกาสในการเข้ามาทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ เพื่อปลดล็อกปัญหาต่าง ๆ เและลดขั้นตอนที่ซับซ้อนยุ่งยาก โดยเฉพาะระบบซัปพลายเชน ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มครบวงจรที่สมบูรณ์แบบให้ร้านค้าขนาดเล็กซึ่งจะเป็นประโยชน์และเอื้อโอกาสให้กับผู้ขาย ในขณะเดียวกันผู้ซื้อก็จะได้รับข้อเสนอที่ดี ทั้งด้านราคาและคุณภาพของสินค้า อีกทั้งยังเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายให้ลูกค้าได้มากขึ้น

“เราตั้งเป้าหมายว่า ซิลิงโก้ จะเป็นผู้นําที่รวบรวมความแตกต่างไว้อย่างเท่าเทียม โดยให้ความสำคัญและช่วยเหลือลูกค้า B2C และ B2B โดยในส่วนของกลุ่มลูกค้า B2C จะเป็นออนไลน์แพลตฟอร์มเพื่อผู้จัดจำหน่ายขนาดกลางและขนาดย่อมที่ต้องการขายสินค้าในจำนวนไม่มากและต้องการขายสินค้าไปยังต่างประเทศ โดยอาจกล่าวได้ว่าเมื่อผู้ขายจำหน่ายสินค้าที่ตลาด หรือตามห้างสรรพสินค้า ผู้ขายจะมีต้นทุนคงที่ และยังค่อนข้างจำกัดเรื่องของจำนวนผู้เยี่ยมชม แต่ถ้าขายกับ ซิลิงโก้ จะมีผู้เยี่ยมชมจากทั่วทุกมุมโลกที่สามารถเห็นสินค้าของเขาได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขาต้องการถ่ายภาพสินค้าต่าง ๆ เราสามารถที่จะจัดหาให้เขาได้ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด หรือหากเขาต้องการการสนับสนุนทางการเงิน เราก็สามารถที่จะสนับสนุนได้เช่นกัน”

ส่วนกลุ่มลูกค้า B2B รูปแบบองธุรกิจค่อนข้างมีความคล้ายกับ B2C แต่เราไม่ได้สนใจเพียงผู้จัดจำหน่ายรายย่อยเท่านั้น เพราะเรายังสนใจผู้จัดจำหน่ายที่ใหญ่กว่าด้วย อย่างเช่น โรงงานผลิต และโรงงานเสื้อผ้า หรือแม้แต่ศูนย์จัดจำหน่าย ซึ่งจะถูกแสดงออกไปใน “ซิลิงโก้” ทุก ๆ ประเทศ เพื่อที่จะเปิดโอกาสทางธุรกิจ และทำให้บริการของเรามีความครบวงจรมากขึ้น

“สำหรับการทำตลาดในประเทศไทย ซิลิงโก้ มีสินค้ามากกว่า 1 แสนรายการคัดสรรมาเพื่อคนไทย นอกจากนี้ผู้จัดจำหน่ายส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น จึงทำให้สินค้าที่จำหน่ายใน ซิลิงโก้ ตรงกับความต้องการลูกค้าคนไทย เพราะผู้ประกอบการท้องถิ่นรู้ดีว่าคนไทยมีความต้องการอย่างไร อย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้จัดจำหน่ายของ ซิลิงโก้ ในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน แต่ในด้านวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจยังคงอยู่ภายใต้กรอบเดียวกันคือ ต้องการที่จะสนับสนุนผู้คนให้เป็นตัวของตนเอง เชื่อในความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน”

นางสาวแอนกิติ กล่าวอีกว่า สำหรับเอกลักษณ์และความพิเศษของเราคือ แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ด้วยฐานลูกค้าของเราใน 4 ประเทศคือ ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เราจะอัปเดทเทรนด์แฟชั่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ลูกค้าของเรา และเราต้องการที่จะเสนอสินค้าที่เราคัดสรรมาอย่างดีที่สุดให้ลูกค้าของเราด้วย อย่างไรก็ดี เพื่อให้ลูกค้าไว้ใจในบริการของ ซิลิงโก้ มากขึ้น ในอนาคตเรามีแผนที่จะพัฒนาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เช่น ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง เป็นต้น หลังจากที่ปัจจุบันมีนโนบายเกี่ยวกับการรับคืนสินค้าภายใน 15 วัน

ปัจจุบัน “ซิลิงโก้” ให้บริการผู้ซื้อและผู้ขายทั้งทาง B2B และ B2C กว่า 15 ประเทศทั่วโลก ประกอบด้วย ไทย สหรัฐอเมริกา บราซิล อินเดีย บังกลาเทศ เกาหลีใต้ ฮ่องกง จีน กัมพูชา เวียดนาม อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ มีคู่ค้าทางธุรกิจรวมกันกว่า 2.5 หมื่นราย มีพนักงานกว่า 400 คน มีลูกจ้างทางอ้อม 1 แสนคน และมีโรงงานที่เข้าร่วมธุรกิจกว่า 1.2 พันแห่งทั่วโลก

 

พบธุรกิจเอเชียแปซิฟิกละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ 57%

alivesonline.com : “บีเอสเอ พันธมิตรซอฟต์แวร์” จัดโครงการ “Legalize & Protect” ในไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มุ่งแก้ไขปัญหาการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ หวังสร้างความเข้าใจถึงประโยชน์ของการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิทั้งทางกฎหมาย การดำเนินธุรกิจ และความมั่นคงปลอดภัยของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เผยปี 61 องค์กรธุรกิจไทยละเมิดลิขสิทธิ์เป็นมูลค่า 661 ล้านบาท

นายดรุณ ซอว์เนย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บีเอสเอ  พันธมิตรซอฟต์แวร์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ปัจจุบันเราให้ความสำคัญในเรื่องการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซ่นส์) เพื่อช่วยองค์กรธุรกิจลดความเสี่ยงจากการใช้งานซอฟต์แวร์ โดยมีเป้าหมายคือการเห็นองค์กรธุรกิจจำนวนมากเข้าใจถึงความจำเป็นในการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิถูกต้องครบถ้วน และเข้าใจว่าการลงทุนในการใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกกฎหมายนั้นส่งผลดีต่อความปลอดภัย ชื่อเสียงองค์กร การดำเนินธุรกิจขององค์กรและผลกำไรของพวกเขาด้วยเช่นกัน

“บีเอสเอ” ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐของหลายประเทศในอาเซียน เพื่อช่วยให้กลุ่มธุรกิจต่าง ๆ เข้าใจถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับจากการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิถูกต้องครบถ้วน โดย ข้อมูลจากไอดีซี (IDC) ประเมินว่า องค์กรธุรกิจจะมีผลกำไรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 11 จากการเปลี่ยนมาใช้งานซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ รวมถึงมีการบริหารจัดการสินทรัพย์ซอฟต์แวร์ที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้การใช้ซอฟต์แวร์ดังกล่าวยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับความสามารถในการแข่งขันระดับประเทศ ทำให้รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ สนับสนุนให้องค์กรธุรกิจจำนวนมากเปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

“บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิถูกครบถ้วนจะมีประสิทธิภาพในการการปฏิบัติงานที่สูงกว่า ลดความเสี่ยงที่ข้อมูลองค์กรจะรั่วไหลและเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ดังนั้นองค์กรที่ดีและสามารถสร้างกำไรได้จึงควรใช้งานซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของลูกค้า ตลอดจนข้อมูลทางธุรกิจของตน ยิ่งไปกว่านั้นคือการป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อองค์กรเอง”

นายดรุณ กล่าวด้วยว่า ในสัปดาห์นี้ “บีเอสเอ” ได้เปิดตัวโครงการ “Legalize & Protect” ในประเทศไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งก่นหน้านี้เคยเปิดตัวโครงการที่คล้ายกันนี้มาก่อนแล้วในประเทศเวียดนาม และผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง โดยบริษัทเป้าหมายสำหรับโครงการนี้ล้วนอยู่ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต ไอที การเงิน การบริการ การก่อสร้าง การดูแลสุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค วิศวกรรม สถาปัตยกรรมและการออกแบบ

ในเดือนต่อๆ ไป “บีเอสเอ” จะจัดกิจกรรมในการให้ความรู้แก่ผู้นำองค์กรธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มนักธุรกิจต่างตระหนักถึงความเสี่ยงของการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ รวมถึงกิจกรรมทางการตลาด การสื่อสาร บทความบนโซเชียลมีเดีย และในบางกรณีอาจมีการติดต่อโดยตรงไปยังองค์กรธุรกิจเพื่อส่งเสริมให้พวกเขาดำเนินการ เพื่อให้แน่ใจว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่นั้นมีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิถูกต้องครบถ้วน

นายดรุณ กล่าวในตอนท้ายว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิสูงที่สุดในโลกถึงร้อยละ 57 ทั้ง ๆ ที่ภูมิภาคอาเซียนเป็นพื้นที่ที่มีพลวัตรทางเศรษฐกิจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยองค์กรธุรกิจของท้องถิ่นและข้ามชาติต่างกำลังเติบโตและได้รับประโยชน์จากโอกาสอันหลากหลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สำหรับบริษัทในภูมิภาคอาเซียนที่จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแท้จริง พวกเขาจำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิเพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ เพราะการทำธุรกิจด้วยซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิแสดงให้เห็นการขาดธรรมภิบาลในด้านการบริหารจัดการและเป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับการทำธุรกิจในระดับสากลและมืออาชีพ

ผลการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในองค์กรธุรกิจไทย ปี 61

ในปี 2561 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ตรวจค้นและดำเนินคดีกับองค์กรธุรกิจละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ จำนวน 395 ราย พบคอมพิวเตอร์ติดตั้งใช้งานซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ จำนวน 4,431 เครื่อง คิดเป็นมูลค่าการละเมิดฯ มากกว่า 661 ล้านบาท พื้นที่ที่มีการตรวจค้นและดำเนินคดีสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง และนนทบุรี ตามลำดับ

สำหรับองค์กรธุรกิจที่ถูกดำเนินคดีในปี 2561 ประกอบด้วยธุรกิจเอสเอ็มอี และองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งในบางรายมีรายได้สูงระดับหมื่นล้านบาทต่อปี โดยส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจหลักอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิต คิดเป็นร้อยละ 31.54 ธุรกิจออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งภายใน และธุรกิจที่เกี่ยวข้องในกลุ่มนี้ ร้อยละ 28.85 ธุรกิจบริการ เช่น บริการทางด้านวิศวกรรม บริการด้านสื่อโฆษณา ฯลฯ ร้อยละ 24.23 ธุรกิจตัวแทนจำหน่าย ค้าปลีกและค้าส่ง ร้อยละ 15.38 ตามลำดับ ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่คนไทยถือหุ้น 100% จำนวน 350 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 88.61 ของบริษัทที่ถูกดำเนินคดีทั้งหมด

ในปี 2562 บก.ปอศ. จะยังคงมาตรการด้านการป้องปรามและปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในองค์กรธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยการสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเสี่ยงทางด้านกฎหมายผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ โดยจะยังคงทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมทรัพย์สินทางปัญญา บีเอสเอ พันธมิตรซอฟต์แวร์ ฯลฯ เพื่อลดปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย นอกจากนี้ จะดำเนินการตรวจค้นองค์กรธุรกิจที่ใช้ซอฟต์แวร์โดยไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ตามเบาะแสที่ได้รับจากการแจ้งผ่านทางช่องทางต่าง ๆ ทั้งของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าของลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ โดยในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ดำเนินการตามกฎหมายกับองค์กรธุรกิจที่ทำผิดไปแล้วประมาณ 65 ราย

บก.ปอศ. แนะนำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีและองค์กรขนาดใหญ่ตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งใช้งานภายในองค์กรอย่างสม่ำเสมอ หากพบซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิที่เข้าข่ายเป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ควรแก้ไขให้ถูกต้องเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านกฎหมายและความเสี่ยงอื่น ๆ ที่จะตามมา เช่น ความเสี่ยงต่อชื่อเสียงขององค์กรหากถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

เผยผลเสียต่อธุรกิจมหาศาล

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ซีไอโอ (CIO) ทั่วโลกต่างพบว่าซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซ่นส์) มีความเสี่ยงมากและส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามมา

ปัจจุบัน องค์กรธุรกิจจำนวนมากมีความเสี่ยงสูงถึงหนึ่งในสามที่จะเผชิญกับการจู่โจมของมัลแวร์ ในเวลาที่ใช้งาน หรือติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ รวมถึงใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิด้วย

การจู่โจมของมัลแวร์ในแต่ละครั้งสามารถก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรธุรกิจโดยเฉลี่ยถึง 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยอาจใช้เวลาในการแก้ปัญหาดังกล่าวนานถึง 50 วัน นอกจากนี้ หากการจู่โจมของมัลแวร์ดังกล่าวทำให้องค์กรธุรกิจไม่สามารถให้บริการ หรือดำเนินงานได้ หรือสูญเสียข้อมูลทางธุรกิจ ย่อมส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงด้วยเช่นกัน

ค่าใช้จ่ายในการจัดการกับมัลแวร์ที่มีสาเหตุมาจากการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิเพิ่มสูงขึ้น โดยสูงกว่า 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.2 แสนล้านบาท) ต่อเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องที่ถูกมัลแวร์จู่โจม ทั้งยังสร้างความเสียหายให้แก่องค์กรธุรกิจทั่วโลกเกือบ 3.59 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 114.88 แสนล้านบาท)

“บีเอสเอ” ทำงานร่วมงานกับรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน เพื่อให้ความรู้แก่องค์กรธุรกิจเกี่ยวกับผลกระทบด้านลบจากการใช้งานซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ โดยความร่วมมือดังกล่าวนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่น่ายินดี ดังจะเห็นได้จากอัตราการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซ่นส์) ที่ลดลงในแต่ละปี อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของ “บีเอสเอ” ยังคงแสดงให้เห็นว่าปัญหาดังกล่าวยังคงมีอยู่ในอัตราที่สูง

 

 

[ชมคลิป] พช.โชว์ความสำเร็จ โมเดลงานพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง

alivesonline.com : กรมการพัฒนาชุมชน ปลื้ม “โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี” มีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำให้สังคม หลังสนับสนุนให้ชุมชนที่มีความพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ OTOP ที่โดดเด่น วิถีชีวิตอัตลักษณ์ ทุนทางวัฒนธรรม และทรัพยากรทางธรรมชาติจนได้ผลสำเร็จ จัดโครงการ “พช.สัมพันธ์สัญจร สมุทรสาคร-ราชบุรี” นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี 3 ชุมชน ใน 2 จังหวัด หวังเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้สังคมรับรู้ในวงกว้าง

นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (พช.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดโครงการ “พช.สัมพันธ์สัญจร สมุทรสาคร-ราชบุรี” เพื่อศึกษาความสำเร็จของชุมชนท่องเที่ยว “OTOP OTOP นวัตวิถี” ที่ กรมการพัฒนาชุมชน มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและให้การสนับสนุนแนวทางการดำเนินงาน จนสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ชุมชน และเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม

การขับเคลื่อน “โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี” นับเป็นการพลิกโฉมครั้งใหญ่ของการพัฒนารูปแบบใหม่และเป็นโครงการที่ถูกจับตามองจากหลายฝ่ายว่าจะเข้าไปมีส่วนช่วยในการลดความเหลื่อมล้ำให้สังคมได้อย่างไร และมีวิธีการดำเนินงานรูปแบบใด โดย กรมการพัฒนาชุมชน ได้เข้าไปสนับสนุนให้ชุมชนที่มีความพร้อม มีสินค้า OTOP และมีทุน หรือเสน่ห์ชุมชนที่มีอัตลักษณ์โดดเด่น เสนอเป็นหมู่บ้าน/ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ OTOP ที่โดดเด่น วิถีชีวิตอัตลักษณ์ ทุนทางวัฒนธรรม ทรัพยากรทางธรรมชาติของชุมชน

สำหรับ โครงการ “พช.สัมพันธ์สัญจร” ถือเป็นโครงการที่จะมีส่วนช่วยเสนอภาพลักษณ์ของ กรมการพัฒนาชุมชน ได้อย่างชัดเจนในทุกมิติ พร้อมกับเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ ภารกิจ รวมถึงผลการดำเนินงานของกรมการพัฒนาชุมชน จากสถานที่ปฏิบัติงานจริง โดยได้นำคณะสื่อมวลชนเดินทางไปยังชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี 3 ชุมชน ใน 2 จังหวัด ได้แก่ “หมู่บ้านเบญจรงค์ดอนไก่ดี” จ.สมุทรสาคร “กาดวิถีชุมชนคูบัว” บ้านสระโบสถ์ จ.ราชบุรี และ “ตลาดโอ๊ะป่อย” บ้านท่ามะขาม จ.ราชบุรี

นายนิสิน กล่าวอีกว่า ในส่วนของชุมชนแรกในโครงการคือ “หมู่บ้านเบญจรงค์ดอนไก่ดี” จ.สมุทรสาคร” ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 1 ต.ดอนไก่ดี อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เป็นหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อในการทำเครื่องเบญจรงค์ที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์อันโดดเด่นของลวดลายที่เสนอเรื่องราววิถีชีวิตความเป็นไทยได้อย่างประณีตสวยงามและทรงคุณค่า น่าสะสม ถือเป็นมรดกประเทศชาติที่น่าหวงแหนและอนุรักษ์ให้คงอยู่คู่บ้านคู่เมืองสมุทรสาคร โดยในอดีตเมื่อประมาณปี 2525 กลุ่มชาวบ้านเคยทำงานในโรงงานเสถียรภาพ หรือโรงชามไก่ จึงทำให้มีภูมิความรู้และทักษะการผลิตเครื่องลายคราม ต่อมาเมื่อโรงงานปิดกิจการลง ชาวชุมชนที่ว่างงานจึงได้รวมกลุ่มกัน เพื่อผลิตถ้วยชามลายคราม และมีการพัฒนารูปแบบอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นเครื่องเบญจรงค์มาจนถึงทุกวันนี้

“กระทั่งปี  2546 ผลิตภัณฑ์เครื่องเบญจรงค์บ้านดอนไก่ดีก็ได้รับรางวัลสินค้า OTOP ระดับ 5 ดาว และยังได้รับรางวัลชุมชนดีเด่นทางด้านการท่องเที่ยว เมื่อปี 2550 และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมายอีกด้วย ซึ่งนี่คือสิ่งที่รับประกันถึงคุณภาพของเครื่องเบญจรงค์และหมู่บ้านแห่งนี้เป็นอย่างดี”

นายนิสิต กล่าวอีกว่า สำหรับจุดต่อมาเป็นชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี “กาดวิถีชุมชนคูบัว บ้านสระโบสถ์” จ.ราชบุรี ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2560 ตั้งอยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 6 ต.คูบัว อ.เมือง จ.ราชบุรี มีไฮไลท์สำคัญคือ “กาดวิถีชุมชน” ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวิถีชุมชน ตั้งอยู่ภายในวัดโขลงสุวรรณคีรี จุดเด่นอยู่ที่กลิ่นอายวิถีชีวิตชุมชน “ไท-ยวน” และซุ้มร้านค้ามากมายถึง 87 ซุ้ม ครบถ้วนทั้งอาหารคาว อาหารหวาน ผักและผลไม้ ตลอดจนอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานและอาหารสด รวมถึงผลิตภัณฑ์ชุมชนต่าง ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์จักสาน ผลิตภัณฑ์จากไม้ต่าง ๆ เสื้อผ้า และเครื่องแต่งกาย นอกจากนี้ ยังมีศิลปะพื้นบ้านไท-ยวน ซุ้มถ่ายภาพ มีชุดไท-ยวนให้สวมใส่เดินเที่ยวตลาดอีกด้วย

“กาดวิถีชุมชนแห่งนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยสัปดาห์ละประมาณ 800-1,000 คน สร้างรายได้หมุนเวียนสัปดาห์ละ 3-5 แสนบาท หรือประมาณ 1.2-2 ล้านบาทต่อเดือน แต่หากเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาวนักขัตฤกษ์ เช่น สงกรานต์, ปีใหม่ จะมีรายได้หมุนเวียนเพิ่มขึ้นถึงสัปดาห์ละ 1 ล้านบาท”

นายนิสิต กล่าวด้วยว่า หลังจากที่มีโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการว่า ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในตัวคุณภาพของสินค้ามากขึ้น ขายสินค้าได้มากขึ้น เพราะนอกจากกาดวิถีชุมชนจะมีการประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างต่อเนื่องแล้ว โครงการชุมชนท่องเที่ยวโอทอปนวัตวิถียังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ OTOP ที่เข้าร่วมโครงการให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ทำให้ทุกวันนี้ กาดวิถีชุมชนคูบัวแห่งนี้ไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนได้เป็นอย่างดีเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมและความรักความสามัคคีของชาวไท-ยวนที่สืบทอดมาเป็นร้อยปีอีกด้วย

นายนิสิต ยังกล่าวถึง ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี “ตลาดโอ๊ะป่อย บ้านท่ามะขาม” จ.ราชบุรี หมู่ที่ 2 ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ว่า “โอ๊ะป่อย” เป็นตลาดริมธารภาชี โดยที่มาของชื่อ “โอ๊ะป่อย” นั้นมาจากภาษากะเหรี่ยง แปลว่า “พักผ่อน” โดยการท่องเที่ยวที่ชุมชนแห่งนี้ นอกจากจะได้สัมผัสวิถีริมน้ำภาชีแล้ว ยังได้อิ่มบุญกับกิจกรรม “ใส่บาตรพระล่องแพ” หนึ่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่หาได้ยาก

ภายในตลาดโอ๊ะป่อยมีสินค้าน่าสนใจหลายอย่าง ประกอบไปด้วยอาหารท้องถิ่นและข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงสินค้า OTOP โดยเมนูแนะนาของตลาดโอ๊ะป่อยคือ “ข้าวแดกงา” เป็นการนำข้าวเหนียวและงาดามาตำรวมกัน แล้วนำไปนวดและย่างบนเตา นอกจากนี้ ยังมีอีกหลากหลายเมนูท้องถิ่น อาทิ “ก๋วยเตี๋ยวม่อนไข่” ซึ่งเป็นอาหารร้านดังประจำอำเภอ และ ”บ้าบิ่นมะพร้าว” ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้า OTOP ของท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมีข้าวของเครื่องใช้ให้เลือกซื้ออีกมามาย ได้แก่ ตุ๊กตาผึ้งถักไหมพรม ผลิตภัณฑ์จักสานไม้ไผ่ ตุ๊กตาปั้นดินไทย และสบู่สมุนไพร

ประโยชน์ที่ชุมชนได้รับจากโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ได้แก่ การบริหารจัดการและรู้จักประสานงาน การแก้ไขปัญหา เป็นที่มาของสถานที่พักผ่อนแบบธรรมชาติที่ยังรักษาสิ่งแวดล้อมไว้เป็นอย่างดี เพราะตลาดโอ๊ป่อยแห่งนี้ไม่ใช้พลาสติก โฟม และวัสดุทำลายสิ่งแวดล้อมทุกชนิด อีกทั้งยังเป็นตลาดแห่งการเรียนรู้ มีวินัย เคารพกฎระเบียบ เป็นตลาดคุณธรรมที่มีความเอื้ออาทร ชาวชุมชนช่วยกันพัฒนาสินค้าให้สินค้าขายไม่ซ้ำกัน เป็นตลาดที่สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนและชุมชนใกล้เคียง เป็นตลาดที่สนับสนุนให้นักเรียนมีรายได้ มีงานทำ และยังเป็นตลาดที่มีกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา

“ในส่วนของนักท่องเที่ยวถือได้ว่ามีจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากวันแรกที่เปิดโครงการ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2561 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเพียง 250 คน แต่ในปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวพุ่งสูงถึง 5.5 พันคน สร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยรายได้จาก 1.5 พันบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2.5 หมื่นบาท โดยรายได้จากร้านค้าทุกร้านต่อสัปดาห์เฉลี่ยอยู่ที่ 2.5-3 แสนบาท และรายได้ต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.1 ล้านบาท”

นายนิสิต กล่าวในตอนท้ายว่า การนำสื่อมวลชนลงพื้นที่ในครั้งนี้ นอกจากเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีให้กลุ่มเป้าหมายและประชาชนทั่วไปเกิดการรับรู้แล้ว ยังจะนำไปสู่การเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อสร้างส่วนร่วมของประชาชนในรูปแบบประชารัฐ และขับเคลื่อนโครงการสำคัญของรัฐบาลที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้คนในชุมชน เสริมความแกร่งให้เศรษฐกิจฐานรากมั่นคงอย่างยั่งยืนต่อไป

เปิดโลกใหม่ “ไมซ์”

คุณรู้ไมซ์…ไมซ์ไม่ใช่หนูนะ
ถ้ายังไม่รู้…อย่าพลาดโอกาสกับอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรงในงาน “Explore MICE and Event Industry ค้นหาประสบการณ์ด้านไมซ์และอีเว้นท์” ในโครงการถ่ายทอดความรู้อุตสาหกรรมไมซ์และอีเวนต์ให้ครูแนะแนว (สพฐ.) ภาคกลาง วันที่ 11-12 มีนาคม 2562 ณ ห้องรัชวิภา โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพ สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://goo.gl/forms/YhTKsR7aDa8oMIFx1

ตลาดประชุมนานาชาติคึกคัก นักเดินทางใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 8 หมื่นบาท

alivesonline.com : เผยช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2562 ธุรกิจการจัดประชุมนานาชาติเติบโตขึ้นตามสถานการณ์โลก ผู้เข้าร่วมประชุมเดินทางเยือนไทยกว่า 7 หมื่นคน สร้างรายได้กว่า 5.5 พันล้านบาท ทีเส็บ” เผยไทยเป็นจุดหมายการจัดงานที่ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากสมาคมวิชาชีพชั้นนำทั่วโลก ตอกย้ำ ผลสำรวจ ICCA ระบุไทยจัดประชุมมากเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน แซงสิงคโปร์-มาเลย์

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ธุรกิจการจัดประชุมนานาชาติ หรือ Conventions ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมไมซ์ที่สร้างรายได้ถึงร้อยละ 30 ของอุตสาหกรรมไมซ์ในภาพรวม ขณะเดียวกันยังส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในแง่ของการแลกเปลี่ยนวิชาการองค์ความรู้ในสาขาวิชาชีพ เพื่อเป็นฐานพัฒนาขีดความสามารถให้นำไปพัฒนาบุคลากร สินค้า บริการ รวมถึงนวัตกรรมต่าง ๆ ที่สร้างผลประโยชน์ต่อประเทศในระดับมหภาค

ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ พ.ศ.2562 (ตุลาคม 2561 – ธันวาคม 2562) ธุรกิจการจัดประชุมนานาชาติมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีนักเดินทางกลุ่มประชุมนานาชาติมีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 7 หมื่นคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 5.5 พันล้านบาท โดยมีแนวโน้มของสาขาการจัดประชุมที่ขยายกว้างมากขึ้นตามสถานการณ์โลก เช่น การประชุมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและสตาร์ทอัป โดยผู้เข้าร่วมประชุมมีอัตราการใช้จ่ายต่อหัวสูงสุดในอุตสาหกรรมไมซ์ประมาณ 8 หมื่นบาทต่อคนต่อทริป

“สำหรับอัตราของตัวเลขที่เติบโตขึ้นเกิดจากการประมูลสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของสมาคมวิชาชีพในระดับภูมิภาค หรือระดับโลก รวมถึงการเตรียมการดึงงานและทำงานล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 3-7 ปี เพื่อให้เกิดการประชุมในแต่ละครั้ง ซึ่ง ทีเส็บ ได้กำหนดกลยุทธ์การทำงานเชิงรุกด้วยการเป็นพันธมิตรกับองค์กร หรือสมาคมระหว่างประเทศที่มีสมาชิกเป็นสมาคมวิชาชีพ องค์กรไม่แสวงหากำไร สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นในอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมของรัฐบาล เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้สมาคมวิชาชีพในแต่ละสาขา ยื่นประมูลสิทธิ์ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดงานของสาขาวิชาชีพนั้น ๆ เพิ่มมากขึ้น”

จากการจัดอันดับล่าสุดของ สมาคมส่งเสริมการประชุมระหว่างประเทศ หรือ International Congress and Convention Association (ICCA) พบว่าในปี 2560 ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีการจัดประชุมนานาชาติเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน และอันดับที่ 25 ของโลก มีจำนวนงานทั้งสิ้น 163 งาน ขณะที่สิงคโปร์ซึ่งเป็นอันดับที่ 2 มีจำนวนการจัดงาน 160 งาน และมาเลเซียเป็นอันดับที่ 3 มีจำนวนจัดงาน 112 งาน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทยทั้งด้านมาตรฐานระดับสากลของสถานที่จัดงาน การบริการดีเยี่ยม ความเป็นมิตร และความเป็นมืออาชีพของผู้ให้บริการ อีกทั้งประเทศไทยยังมีเสน่ห์ในด้านอาหารไทยและรูปแบบการจัดงานที่น่าประทับใจอีกด้วย

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า ในเดือนมีนาคม 2452 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมนานาชาติระดับโลกถึง 8 งาน ทั้งด้านอุตสาหกรรมทางการแพทย์ พลังงานและไฟฟ้า การศึกษา การเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์โฆษณา เป็นต้น โดยงานประชุมนานาชาติที่น่าสนใจ เช่น งานประชุมนานาชาติด้านจักษุวิทยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ Asia-Pacific Academy of Ophthalmology Congress (APAO 2019) ระหว่างวันที่ 6-9 มีนาคม 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย เป็นงานประชุมนานาชาติด้านจักษุวิทยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีและมีผู้เข้าร่วมงานจากจักษุแพทย์ทุกแขนง ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพการประชุม APAO เป็นครั้งที่ 3

“จากสถิติพบว่าการจัดงานดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมงานเพิ่มขึ้นทุกปี โดยคาดว่าปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมประชุมจากต่างประเทศจำนวนกว่า 5.5 พันคน สร้างรายได้กว่า 440 ล้านบาท นอกจากนี้ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ยังให้การสนับสนุนจักษุแพทย์และแพทย์ประจำบ้านทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุมและนำเสนอผลงานวิจัย โดยสนับสนุนทุนค่าลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมสำหรับจักษุแพทย์ 3 จังหวัดภาคใต้คือ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส รวมถึงทุนนำเสนอผลงานวิจัยสำหรับจักษุแพทย์ทั่วประเทศรวม 1 ล้านบาท เพื่อเพิ่มพูนความรู้บุคลากรสาธารณสุขและสามารถนำชื่อเสียงสู่ประเทศไทยต่อไป”

นอกจากนี้ ยังมีงานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติแห่งอนาคตด้านไฟฟ้าและพลังงาน หรือ IEEE PES GTD ASIA 2019 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-23 มีนาคม 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยสมาคมสถาบันวิศวกรไฟฟ้าและอิเล็กโทรนิกส์แห่งประเทศไทย เป็นการประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติด้านระบบผลิตไฟฟ้า ระบบส่งและจำหน่ายไฟฟ้า การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับระบบดิจิทัลที่น่าสนใจ คือ เป็นงานประชุมด้านไฟฟ้าและพลังงานระดับโลกที่มาจัดในภูมิภาคเอเชียเป็นครั้งแรกโดยประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพ หลังจากที่ได้จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ 40 กว่าปีในสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะมีผู้ประกอบการด้านไฟฟ้าและพลังงานเข้าร่วมงานกว่า 400 ราย และคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานประชุมจากต่างประเทศกว่า 3 พันคน สร้างรายได้กว่า 240 ล้านบาท

“ในแต่ละปี ประเทศไทยต้อนรับนักเดินทางประชุมนานาชาติเฉลี่ยกว่า 3 แสนคนต่อปี สร้างรายได้ให้กับประเทศกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท โดยทีเส็บสนับสนุนงานประชุมนานาชาติทั้งสมาคมวิชาชีพในและต่างประเทศมากกว่า 100 งาน โดยเฉพาะการสนับสนุนให้สมาคมวิชาชีพของไทยประมูลสิทธิ์การจัดงานประชุมนานาชาติเฉลี่ย 30 งานต่อปี โดยธุรกิจการจัดประชุมนานาชาติของประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ และนับว่ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตตามนโยบายอุตสาหกรรม Thailand 4.0 ของรัฐบาล เป็นเวทีถ่ายทอดและกระจายองค์ความรู้ทุกสาขาจากระดับโลกสู่การพัฒนาประเทศ ที่ผู้ร่วมประชุมสามารถใช้เป็นฐานพัฒนาขีดความสามารถ ต่อยอดนำไปพัฒนาสินค้าและบริการหรือสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมทั้งสร้างเครือข่ายของผู้ร่วมสาขาวิชาชีพเดียวกันต่อยอดไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน” นายจิรุตถ์ กล่าวในตอนท้าย

“เวิร์นส์ ออโตโมทีฟ” เปิดตัวโชว์รูม “วอลโว่” สาขาหัวหมาก

alivesonline.com : “วอลโว่” นำเสนอนิยามใหม่แห่งประสบการณ์เหนือระดับสำหรับผู้บริโภค “Volvo Retail Experience (VRE)” ผ่านแนวคิดโชว์รูมโฉมใหม่ “Cool on the outside, warm on the inside” โดดเด่นด้วยการต้อนรับอันอบอุ่นเป็นกันเอง เน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าภายใต้บรรยากาศที่หรูหราทว่าเรียบง่ายแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายการตกแต่งแนวสแกนดิเนเวียน โดย บริษัท เวิร์นส์ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้แทนจำหนายรถยนต์ “วอลโว่” รายใหญ่ที่สุดของเมืองไทยตอบรับกลยุทธ์ดังกล่าว ปรับเปลี่ยนโชว์รูมวอลโว่สาขาหัวหมาก เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ภายใต้แนวคิด “Beyond Experience” ที่เพียบพร้อมทั้งบริการด้านการขาย การให้คำปรึกษา และบริการซ่อมบำรุงเต็มอัตราแก่ลูกค้า “วอลโว่” ในประเทศไทย

นายเอเดรียน ยัน กิต ยิป กรรมการผู้จัดการ บริษัท แปซิฟิค ไทย มอเตอร์สปอร์ตส์ – เวิร์นส์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ทางธุรกิจยาวนานกว่า 112 ปีในภูมิภาคเอเชีย ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า กลุ่มบริษัทเวิร์นส์ พร้อมทุ่มเทมอบประสบการณ์ผู้บริโภคชั้นเลิศภายใต้แนวคิด “Beyond Experience” โดยโชว์รูม “วอลโว่” แห่งใหม่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นนี้ผ่านการให้บริการที่ดีเยี่ยมแก่ลูกค้าทุกท่าน ภายใต้บรรยากาศที่สวยงามหรูหรา เปิดโล่งและโปร่งสบายตาในทุกโซนบริการ

“แนวคิดโชว์รูมใหม่นี้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมในทุกรายละเอียดแก่ลูกค้าที่ให้ความสำคัญอย่างมากกับบริการที่เหนือระดับ เราจึงพยายามเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ลูกค้าเกิดปฏิสัมพันธ์ในแบบฉบับสวีดิช และทำให้โชว์รูมเวิร์นส์สาขาหัวหมาก นำแนวคิด Volvo Retail Experience (VRE) มาใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการสร้างอัตลักษณ์องค์กรใหม่ของเรา”

แนวคิด Volvo Retail Experience (VRE) ให้ความสำคัญกับวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้างทั้งในด้านพื้นที่และการออกแบบภายในโชว์รูม พร้อมสอดแทรกสัมผัสที่เงียบสงบและหรูหราแบบสแกนดิเนเวียน ผ่านการออกแบบเส้นสายทางสถาปัตยกรรมที่เรียบง่ายสะอาดตา เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งและยกระดับวิสัยทัศน์สำหรับลูกค้า เน้นการแบ่งกั้นพื้นที่ภายในด้วยกระจกเพื่อให้ลูกค้ามองเห็นกิจกรรมต่าง ๆ ในห้องเวิร์กชอปรูปแบบใหม่และการติดสปอตไลต์บริเวณส่วนหลังโชว์รูมที่มักเป็นจุดอับสายตา สำหรับส่วนโชว์รูมด้านในมีการจัดพื้นที่นำเสนอข้อมูลอย่างสมดุลทั้งแบบวัตถุจริงและแบบสื่อดิจิทัล เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพื้นที่บริการเกิดการบูรณาการและให้ความรู้สึกเปิดกว้างที่สมบูรณ์แบบ และนี่คือสิ่งชี้วัดความเชื่อถือที่ลูกค้ามีต่อ “วอลโว่” เสมอมา

สำหรับบรรยากาศโชว์รูมจำหน่ายรถยนต์รูปแบบใหม่นี้ถูกออกแบบเพื่อช่วยให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายเป็นกันเอง และทำให้ทุกครั้งที่มาเยือนโชว์รูมกลายเป็นช่วงเวลาที่ดี พบการต้อนรับที่อบอุ่นและรู้สึกรื่นรมย์ไม่ว่าจะอยู่ในโซนนั่งรอรับบริการ โซนทำงาน หรือโซนประเมินรถยนต์ กล่าวได้ว่านี่คือการเปลี่ยนให้โชว์รูมกลายเป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ซึ่งลูกค้าจะได้พักผ่อนแสนสบายบนเฟอร์นิเจอร์แบบสแกนดิเนเวียนและมีสัญญาณอินเทอร์เน็ต Wi-Fi ใช้ฟรี ในขณะที่โซนด้านหน้าติดถนนออกแบบให้เป็นส่วนจัดแสดงรถยนต์ “วอลโว่” รุ่นใหม่ที่ดึงดูดใจผู้มาเยือน

“การให้ความสำคัญกับความรู้สึกสบายของลูกค้านับเป็นความต้องการของวอลโว่ เพื่อให้ลูกค้าที่มาใช้บริการหลังการขายรู้สึกผ่อนคลายเมื่อนำรถยนต์มารับบริการและต้องนั่งรอ จุดประสงค์หลักคือการยกระดับประสบการณ์ผู้บริโภคผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพของโชว์รูม ซึ่งบริการส่วนใหญ่ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นในช่วงเวลาของการมาใช้บริการครั้งนั้น” นายเอเดรียน ยัน กิต ยิป กล่าว

การติดตั้งหน้าต่างกระจกช่วยให้ลูกค้าที่รออยู่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเวิร์กช็อปได้อย่างชัดเจน ช่างเทคนิคส่วนบุคคล Volvo Personal Service (VPS) ของ “วอลโว่” ที่ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงานของลูกค้าเฉพาะรายยังสามารถให้คำแนะนำแก่ลูกค้าได้โดยตรง ภายใต้บรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเอง ทั้งยังสามารถเชิญลูกค้าให้เข้ามาดูรถยนต์ภายในเวิร์กช็อปได้หากจำเป็นต้องมีการซ่อมแซมเพิ่มเติมในจุดต่าง ๆ โดยภายในปี 2562 “เวิร์นส์” คาดว่าจะสามารถให้บริการรถยนต์ได้เฉลี่ยราววันละ 30 คัน

อนึ่ง “เวิร์นส์” คือบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์ระดับหรูชั้นนำแห่งภูมิภาคเอเชีย ซึ่งภาคภูมิใจในการมอบประสบการณ์ชั้นเลิศแก่ลูกค้าเฉพาะรายได้ในแบบฉบับ “Wearnes Experience” ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานการให้บริการชั้นเยี่ยมของ “วอลโว่” ซึ่ง “วอลโว่” จะยังคงนำเสนอโซลูชั่นที่ดีเยี่ยมเพื่อการดูแลรถยนต์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านอุ่นใจได้ว่าจะสามารถเดินทางได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยในทุกเส้นทาง

 

“วรชัย คาร์ กรุ๊ป” อัดโปรโมชันสู้ศึกตลาดรถมือสอง

alivesonline.com : “วรชัย คาร์ กรุ๊ป“ งัดกลยุทธเด็ดสู้ศึกตลาดรถยนต์มือสอง อัดโปรโมชั่นแจกเงินสด 1 แสนบาททุกเดือน มัดใจลูกค้า ย้ำจุดยืนเป็นแหล่งขายรถยนต์มือสอง คุณภาพดี ราคาถูก รับประกันหลังการขาย 1 ปี ดูแลเรื่องอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดในตลาด หวังเจาะกลุ่มลูกค้าวัยทำงาน อายุระหว่าง 25-45 ปี รายได้มั่นคง ตั้งเป้ายอดขายปี 62 ปั้นยอดขาย 800 คัน รวมมูลค่า 240 ล้านบาท พร้อมขยายสาขาเพิ่มในพื้นที่ฉะเชิงเทรา และระยอง

นายวรชัย ทวีถาวรสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วรชัย คาร์ กรุ๊ป จำกัด ศูนย์จำหน่ายรถยนต์มือสองรายใหญ่ของเมืองไทย เปิดเผยว่า ตลาดซื้อขายรถยนต์มือสองในประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวขึ้นทุกปี จึงทำให้เกิดศูนย์จำหน่ายรถยนต์มือสองเกิดขึ้นอย่างมากมายและมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ดังนั้นกลยุทธ์หลักที่ “วรชัย คาร์ กรุ๊ป” นำมาสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าคือ การคัดสรรรถยนต์คุณภาพดี ราคาถูก รับประกันหลังการขาย 1 ปี และดูแลเรื่องอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดในตลาด เนื่องจากทางเต็นท์ได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินต่าง ๆ หลายแห่งว่า เป็นเต็นท์รถที่มีมาตรฐานดีเยี่ยม ซึ่งเป็นจุดขายของศูนย์บริการ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัยทำงานช่วงอายุระหว่าง 25-45 ปีที่มีรายได้มั่นคง

ส่วนการทำตลาดจะเน้นเรื่องการทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในศูนย์บริการ “วรชัย คาร์ กรุ๊ป” ว่ามีรถยนต์คุณภาพดี ราคาที่ทุกคนเข้าถึง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกราย เพราะมีรถยนต์มือสองให้เลือกสูงสุดกว่า 250 คันต่อศูนย์บริการ พร้อมทั้งมีการจัดโปรโมชั่นดึงดูดใจลูกค้า โดยการแจกเงินสดมูลค่า 1 แสนบาททุกเดือนโดยคาดว่าในปี 2562 จะสามารถทำยอดขายสูงสุดถึง 800 คัน รวมมูลค่ากว่า 240 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2561 ประมาณ 30 % ซึ่งทำยอดขายได้ประมาณ 210 ล้านบาท จากจำนวน 700 คัน

ปัจจุบัน “วรชัย คาร์ กรุ๊ป” มีศูนย์บริการซื้อขายรถยนต์มือสอง 3 สาขา ประกอบด้วย สาขา 1  ตั้งอยู่เขตเทศบาลอ้อมน้อย ซ.เพชรเกษม 130 ติดสถานีบริการน้ำมัน ปตท. จ.สมุทรสาคร สาขา 2 ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ อ.แพรกษา ก่อนถึงนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ  และสาขา 3 เต็นท์รถยนต์บ้านคุณจอย ตั้งอยู่ที่นิคมอมตะนคร จ.ชลบุรี

ด้านแผนการลงทุนในอนาคต เตรียมขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยเริ่มจากเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC  เป็นพื้นที่แรกคือ จ.ฉะเชิงเทรา  และระยอง จากนั้นมีแผนขยายธุรกิจจากศูนย์บริการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนรถยนต์ ให้มีธุรกิจครบวงจรมากขึ้น ประกอบด้วย อู่ซ่อมสี ตัวถัง ศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เป็นต้น

ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและตรวจเช็คราคารถยนต์มือสอง คุณภาพดี ราคาถูก ที่ “วรชัย คาร์ กรุ๊ป”  โทร.08 6444 4447 เวลา 09.00 น.-18.00 น.ทุกวัน หรือ www .worachaicar.com

 

 

 

 

คาดระบบอัตโนมัติพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2573

alivesonline.com : บริษัท Strategy & ของ PwC คาดการใช้ยานพาหนะร่วมกันและระบบอัตโนมัติจะเข้ามาปฏิวัติวงการยานยนต์ทั่วโลก โดยจะเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตและกำลังแรงงานของอุตสาหกรรมนี้ภายในปี 2573 โดยยานยนต์ที่ถูกออกแบบเฉพาะความต้องการของบุคคลและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีจะยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น

นางสาววิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Transforming vehicle production by 2030 : How shared mobility and automation will revolutionize the auto industry ซึ่งจัดทำโดยบริษัท Strategy& (สแตร็ดติจี้ แอนด์) ของ PwC ว่า รายงานดังกล่าวระบุว่า กระแสของการใช้ยานพาหนะร่วมกันและระบบอัตโนมัติจะเข้ามาปฏิวัติวงการยานยนต์ทั่วโลก โดยจะเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตและกำลังแรงงานของอุตสาหกรรมนี้ภายในปี 2573 โดยยานพาหนะที่ถูกออกแบบเฉพาะบุคคลและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีจะยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่า แนวโน้มดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงต่อกำลังแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะหุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้นทั้งในส่วนของสายการประกอบและในด้านของการวิจัยและพัฒนา

ภายในปี 2573 การผลิตยานพาหนะจะถูกแบ่งออกเป็นการผลิตเพื่อใช้จำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะถูกผลิตออกมาแบบเรียบง่ายและผลิตตามความต้องการ (Cars On Demand) ซึ่งรถยนต์ในลักษณะนี้จะถูกนำไปใช้ให้เช่าเพื่อการเดินทางในแต่ละครั้ง (Journey-By-Journey) ในขณะที่อีกส่วนจะเป็นการผลิตยานพาหนะที่ออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังคงต้องการเป็นผู้ขับขี่ หรือเป็นผู้นั่งในยานพาหนะของตัวเอง

แนวคิดการแบ่งปันยานพาหนะร่วมกัน (Shared Mobility) และระบบอัตโนมัติดังกล่าว จะทำให้ผู้ประกอบการที่รับจ้างผลิตสินค้า หรือชิ้นส่วนให้กับค่ายรถยนต์ (Original Equipment Manufacturers : OEMs) ต่างต้องเร่งพัฒนารูปแบบของโรงงาน 2 ประเภท ประกอบด้วย 1) โรงงานที่มุ่งเน้นไปที่การผลิตยานพาหนะที่เป็นแบบมาตรฐาน สามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และทำงานได้อย่างอัตโนมัติ (Plug and Play Vehicles) เพื่อดึงดูดผู้ใช้รถในเมืองที่มีอายุน้อย และ 2) โรงงานที่ผลิตยานพาหนะตามความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคซึ่งมีความคล้ายคลึงกับตลาดรถหรูในปัจจุบัน

รายงานดังกล่าวยังคาดว่า แนวโน้มดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงต่อกำลังแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะหุ่นยนต์ได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้นทั้งในส่วนของสายการประกอบและในด้านของการวิจัยและพัฒนา โดยคาดว่า 40-60% ของแรงงานที่มีทักษะร่วมสมัยจะเป็นที่ต้องการเพื่อประจำการในพื้นที่หน้างาน ขณะที่จำนวนความต้องการวิศวกรข้อมูลและวิศวกรซอฟต์แวร์จะเพิ่มขึ้นถึง 90%

ด้าน นายไฮโค เวเบอร์ หุ้นส่วนบริษัท Strategy& ของ PwC ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญมาเป็นเวลานานแล้ว นับตั้งแต่สายการผลิตของรถยนต์ฟอร์ดเปิดตัวขึ้นเมื่อกว่าศตวรรษที่ผ่านมา โดยเราหวังว่าจะเห็นกระแสของการเปลี่ยนแปลงเริ่มทยอยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอีกตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป

“ผู้ประกอบการ OEMs ต้องเริ่มสร้างกำลังแรงงานที่ตัวเองจะต้องการในอีก 10 ปีข้างหน้าตั้งแต่ตอนนี้ ทั้งการจ้างบุคลากรที่มีทักษะที่ใช่ การรักษาพรสวรรค์ และการฝึกอบรมทักษะเดิมของพนักงานที่มีอยู่ โดยภายในปี 2573 จำนวนความต้องการวิศวกรข้อมูลจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในโรงงานที่ผลิตรถยนต์ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า และเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 80% ในโรงงานที่ผลิตรถยนต์ประเภทปลั๊ก แอนด์ เพลย์ และเช่นเดียวกันความต้องการวิศวกรซอฟต์แวร์จะเพิ่มขึ้นถึง 90% ในโรงงานที่ผลิตรถยนต์ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าและ 75% ในโรงงานผลิตประเภทปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ตามลำดับ”

รายงานยังชี้ว่า กระแสของการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่น ๆ จะมีให้เห็นด้วยเช่นกัน เช่น ระยะเวลาระหว่างการทำวิจัยและพัฒนากับการผลิตจะสั้นลงเหลือแค่ 2 ปี เปรียบเทียบกับปัจจุบันที่ราว 3-5 ปี นอกจากนี้ ผู้ประกอบการผลิตแบบ OEMs จะเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทด้านเทคโนโลยีที่เข้ามาให้บริการระบบขนส่งเคลื่อนที่ (Mobility-as-a-Service: MaaS) ทั้งในลักษณะของการบริการยานยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติเชิงพาณิชย์ และบริการระบบขนส่งมวลชนเคลื่อนที่ให้แก่ลูกค้าได้โดยตรง ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตแบบ OEMs จะได้รับแรงกดดันในการต้องสร้างกระบวนการผลิตให้เกิดคุ้มค่ามากขึ้นกว่าเดิม เพื่อรองรับกับรูปแบบของยวดยานพาหนะและการออกแบบที่มีความหลากหลายมากขึ้น

นายเวเบอร์ กล่าวในตอนท้ายว่า อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังจะเกิดการปฏิวัติครั้งสำคัญ โดยการจัดการข้อมูลและความสามารถในการปรับตัวจะมีความสำคัญมากต่อการอยู่รอด ผู้ประกอบการผลิตแบบ OEMs จึงจำเป็นต้องปรับตัวตั้งแต่ตอนนี้ โดยเลือกสิ่งที่ใช่ที่สุดสำหรับรูปแบบการผลิตและกำลังแรงงานในอนาคตของตน

นางสาววิไลพร กล่าวเสริมว่า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตและประกอบยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญของโลก ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการผลิตยานพาหนะที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ (Connected Car) รวมไปถึงการผลิตยานพาหนะตามความต้องการเฉพาะของผู้บริโภค และการเป็นผู้ให้บริการธุรกิจเคลื่อนที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะพลิกโฉมรูปแบบการผลิตยานยนต์ รวมถึง Mindset ในการเดินทางขนส่งให้เปลี่ยนไปจากเดิม

ภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังจะเปลี่ยนไป ด้วยวิวัฒนาการของเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ระบบขับขี่อัตโนมัติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดเรื่อง MaaS ที่จะทำให้ธุรกิจด้านงานบริการมีแนวโน้มที่จะเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับผู้ผลิตยานยนต์มากยิ่งขึ้น หรือผู้ผลิตยานยนต์อาจลงเข้าสู่ตลาดด้วยตนเองทั้ง Ride Sharing และ Car Sharing ที่กำลังเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในตลาดยุโรป

“ดิฉันมองว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน แต่สิ่งที่ยังเป็นความท้าทายคือ การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะขั้นสูง เช่น วิศวกรข้อมูลและหุ่นยนต์ และเรายังคงต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มการใช้ยานพาหนะที่กำลังจะเปลี่ยนไป นอกจากนี้ ยังจำเป็นที่จะต้องวางโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต กฎระเบียบในการใช้ท้องถนน รวมถึงความปลอดภัยของข้อมูลให้สอดคล้องกับการใช้งานยานพาหนะในอนาคตด้วย

Home Inspire Space แรงบันดาลใจเพื่อคนรักบ้าน

alivesonline.com : Inspire Space มาจากคำว่า Inspiration + Space มีคำแปลตรงตามตัวคือ “พื้นที่แห่งแรงบันดาลใจ” เพราะในยุคปัจจุบัน ผู้คนไม่ได้มองว่า “บ้าน” เป็นเพียงที่อยู่อาศัยอีกต่อไป แต่หากเป็นที่ว่างบอกตัวตน ความฝัน และแรงบันดาลใจของผู้อาศัย ให้กลายเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้น แน่นอนว่าเมื่อผู้คนต่างมองหาแรงบันดาลใจ จึงเป็นช่วงเวลาของบรรดา Home Solution ที่ต้องคอยกลั่นไอเดียบ้านที่ดีที่สุดออกมา เพื่อสร้างเป็น Inspire Space ที่ตรงกับตัวตนของผู้บริโภคที่สุดนั่นเอง

“โฮมโปร สาขาเอกมัย-รามอินทรา” จึงนับเป็น Inspire Space แบบครบวงจร ที่รองรับแรงบันดาลใจทุกตัวตน ให้ก้าวสู่ TOTAL HOME SOLUTION ที่เคียงข้างคนรักบ้านอย่างเต็มรูปแบบ โดย ‘สิริวรรณ เสริมชีพ’ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เล่าให้ฟังว่า การเปลี่ยนแปลงของ โฮมโปร สาขาเอกมัย-รามอินทรา ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้บริโภค ซึ่งบริษัทฯ คาดหวังจะสร้างแลนมาร์ค Inspire ที่ครบครัน ใกล้บ้าน พร้อมให้พวกเขาได้มาสัมผัสและตื่นตาตื่นใจกับแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่เราตั้งใจสร้างสรรค์ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านที่หลากหลาย ตามคอนเซ็ปต์ HOME INSPIRES OF LIVING เข้ากับทุก ๆ ความต้องการ ที่ไม่มีจุดสิ้นสุดนั่นเอง

โซน Inspire Space ของโฮมโปร สาขาเอกมัย-รามอินทรา ถูกอัปเกรดบนพื้นที่กว้างกว่า 9,458 ตารางเมตร ด้วยงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยมีแรงบันดาลใจเรื่องบ้านที่หลากหลายเป็นตัวชูโรง ไม่ว่าจะเป็น Living Space, Working Space, Home Garden, Outdoor Furniture, Modern Luxury, Home Improvement, Ceramic & Bathroom, Small Lover รวมถึงโซนเปิดใหม่เอาใจคนรักสุขภาพอย่าง Bike Express อีกด้วย

ด้าน ‘อิษฏพร ศรีสุขวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านจัดซื้อ Bedding & Home Living เผยถึงเรื่องราวของ Inspire Space ว่า ไลฟ์สไตล์ของผู้คนย่านเอกมัย-รามอินทรา ส่วนใหญ่เน้นความสะดวกสบาย ดูแลง่าย แต่ต้องแฝงด้วยความรู้สึกของงานศิลปะ ดังนั้นพื้นที่ Inspire จึงมีความจำเป็น ขณะที่สินค้าต้องมีสไตล์ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน “โฮมโปร” จึงเน้นสร้างของคุณภาพดี มีฟังก์ชั่นมากขึ้น และสามารถสร้างแรงบันดาลใจท่ามกลางช่วงเวลาอันเร่งรีบของผู้คน เช่น SPRING Collection ที่สร้างสวนสีเขียวเล็ก ๆ ทั้งรูปแบบสวนแนวตั้งจนไปถึง Sealing ใต้เพดาน เป็นหนึ่งทางเลือก สร้างความผ่อนคลายในบ้านได้ นอกจากนี้ยังเน้นสร้างคอลเลกชั่นเพื่องาน SMEs อีกด้วย ทั้งกลุ่มร้านกาแฟ, รีสอร์ท, Hostel ต่างสามารถซื้อแรงบันดาลใจที่ราคาถูก ดีไซน์สวย และคุณภาพดี เน้นสร้างตัวตนแล้วนำไปต่อยอดไอเดียในธุรกิจต่อไป

ส่วน ‘สันนิภา สว่างพื้นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านจัดซื้อ Home Improvement กล่าวว่า “โฮมโปร” เชื่อว่าหากไม่มี Home Improvement ที่ดี แรงบันดาลใจในบ้านก็คงไม่มีความหมาย งานระบบของ “โฮมโปร” จึงเป็นเหมือนจุดเริ่มเล็ก ๆ นำไปสู่ไอเดียที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบกรองน้ำในบ้าน Water Treatment ที่สามารถปรับคุณภาพน้ำตั้งแต่ขั้นตอนน้ำเข้าจนถึงน้ำออก โดยเราสร้างเครื่องที่มีดีไซน์สวยงาม เหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านชิ้นหนึ่ง พร้อมด้วยฟังก์ชั่นครอบคลุม เช่นเดียวกับนวัตกรรม Digital Door Lock ที่ทำงานด้วยคำสั่งหลายรูปแบบ ทั้งสแกนนิ้ว, รหัสผ่าน และระบบบลูทูธสั่งการผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ ยังเสริมบริการใหม่ด้าน Color Inspire ที่นำเทรนด์สีมากมายมาสร้างแรงบันดาลใจ อาทิ สไตล์ Loft, Majestic, Diamond, Prestige, Pearl นำเสนอโดนมัณฑนากร ให้ลูกค้าเห็นบ้านตัวเองในมุมมองหลายสีสัน เพื่อจะได้สัมผัสกับสไตล์ที่เป็นตัวเองที่สุด

‘ธนวัฒน์ คลังสุนทรรังษี’ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านจัดซื้อ Ceramic & Bathroom กล่าวว่า ในเร็ว ๆ นี้ “โฮมโปร” จะเปิดตัวแอปพลิเคชั่น ‘Fit tile’ ที่นำเสนอแรงบันดาลใจของกระเบื้องแบบต่าง ๆ บนพื้นบ้าน โดยเลือกจากคอลเลกชันกระเบื้องโฮมโปรได้ทุกสี ทุกขนาด ประหยัดเวลาและเห็นภาพจริง นอกจากนี้ยังเพิ่ม Inspire ด้านสุขภัณฑ์จากฟังก์ชั่นที่หลากหลาย อาทิ กระเบื้องกันลื่น, ระบบอุ่นฝา-ปรับร้อนเย็น, เซ็นเซอร์ข้อเท้า เปิด-ปิด ฝารองนั่ง รวมถึงการระบายน้ำ Automatic ที่สะดวกเหมาะกับผู้ใช้ทุกไลฟ์สไตล์ และสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าได้สัมผัสเทรนด์ห้องน้ำที่เหนือระดับ เช่น เทรนด์ Modern Luxury, Golden Luxury และ Black Series

ในช่วงปี 2561 การเพิ่มศักยภาพด้านการบริการของ “โฮมโปร” เป็นไปอย่างก้าวกระโดด ทั้งการเปิดตัว Omni Channel ช่องทางการซื้อออนไลน์สุดสะดวก, บริการ HOME SERVICE เพื่อคนรักบ้าน โดยช่างมืออาชีพ, บริการ CLICK & COLLECT เลือกรับสินค้าได้ทุกสาขาทั่วประเทศ, บริการจัดส่งถึงบ้านแบบ Delivery และบริการ Web Q บริการเรียกคิวอัตโนมัติ

ส่วนในปี 2562 การทำงานของ “โฮมโปร” ภายใต้แนวคิด “ปรับตัว เปลี่ยนแปลง แข็งขัน” จะเริ่มจากการสร้างแรงบันดาลใจบนพื้นที่ Inspire Space เป็นอย่างแรก และอาจพูดได้ว่า โฮมโปรมาถูกทางแล้ว เพราะดูจากความสำเร็จของ โฮมโปร สาขาเอกมัย-รามอินทรา ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง คงไม่ต้องพูดถึงสารพัดไอเดียที่จะมาตอบสนองคนรักบ้านอย่างเต็มรูปแบบเพื่อพิชิตภารกิจ TOTAL HOME SOLUTION ดังที่ตั้งเป้าไว้

แต่สิ่งที่น่าจับตามอง นั่นคือพื้นที่แรงบันดาลใจ Inspire Space แห่งใหม่จะไปอยู่ในสโตร์ไหน มีสไตล์แบบใด หรือจะโชว์เทรนด์ไหนให้ได้ว้าว! คาดว่าไม่เกินกลางปีนี้…เราคงได้รู้กัน…

 

รู้เท่าทัน “ฝุ่นละออง” สาเหตุหลักโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ

alivesonline.com : ในช่วงที่อากาศแปรปรวนเสมือนมีหมอกปกคลุมทั่วทั้งเมือง เพราะฝุ่นละอองที่มีปริมาณมากเกินค่ามาตรฐาน ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินหายใจควรต้องระวังและใส่ใจดูแลตัวเองมากเป็นพิเศษ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย

ทนพญ.กัญจนา สาเอี่ยม ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ จำกัด (N Health) กล่าวว่า ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีปริมาณมากเกิน ค่ามาตรฐานในอากาศรอบ ๆ ตัวเรา อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้มากกว่าที่คิด เพราะปัญหามลพิษทางอากาศเป็นปัญหาหลักของคนเมืองมาอย่างยาวนาน โดยฝุ่นละอองที่สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ ได้แก่ ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) และฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5)

เมื่ออนุภาคฝุ่นเหล่านี้เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจจะทำให้เกิดการระคายเคืองและทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เนื้อเยื่อปอด” หากได้รับเข้าไปปริมาณมาก หรือติดต่อกันเป็นเวลานานจะเกิดการสะสมเป็นพังผืด หรือแผล ทำให้สมรรถภาพปอดเสื่อม หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง ส่งผลให้มีอาการหอบหืด สำหรับกรณีที่อนุภาคฝุ่นมีการปนเปื้อนเชื้อโรค อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ถ้ามีโลหะหนัก หรือสารเคมีปนเปื้อนบนอนุภาคฝุ่น จะทำให้ได้รับอันตรายจากโลหะหนัก หรือสารเคมีเหล่านั้นด้วย

“ไข้หวัดใหญ่” เป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจที่พบได้บ่อย อาการทั่วไปของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ มีไข้ นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากปอดบวม โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่า อาจมีอาการรุนแรงที่ส่งผลให้เสียชีวิตได้

ดังนั้นผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินหายใจจึงควรปฏิบัติตัวโดยการหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้ง ส่วนบุคคลทั่วไปโดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุไม่ควรทำกิจกรรมภายนอกอาคารเป็นเวลานาน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมหน้ากากที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่นได้อย่างเหมาะสมและสวมใส่ได้อย่างถูกวิธี ควรติดตามข่าวสารจากหน่วยงานของรัฐและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างใกล้ชิด และหากเกิดความผิดปกติกับร่างกายควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

นอกจากนี้เรายังสามารถมีส่วนร่วมในการช่วยกันลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศได้ เช่น ดูแลรักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดีเพื่อไม่ให้ปล่อยควันดำ ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลและเพิ่มการใช้ระบบขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น ไม่เผาขยะมูลฝอย หรือหญ้า และร่วมกันรณรงค์ให้ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ของ N Health ให้บริการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ ของโรคระบบทางเดินหายใจด้วยวิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั่วไป และด้วยการตรวจหาสารพันธุกรรมด้วยเทคนิค Multi-plex PCR และ Multiplex Real-time PCR ซึ่งสามารถตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุได้พร้อมกันหลายชนิด ทั้งยังมีความไวและความจำเพาะสูง โดยสามารถตรวจครอบคลุมแบคทีเรียก่อโรคทางเดินหายใจ 6 ชนิด และไวรัส 16 ชนิด ทั้งยังสามารถระบุเชื้อที่เป็นสาเหตุได้ ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว และลดโอกาสการเกิดเชื้อดื้อยาได้

นอกจากนี้ยังให้บริการตรวจวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักในเลือดและปัสสาวะด้วยเทคนิค Inductively Coupled Plasma-Mass Spectrometry (ICP-MS) เพื่อใช้ประเมินปริมาณการสัมผัสหรือการได้รับโลหะหนักชนิดต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย

ผู้สนใจสอบถามข้อมูลด้านการตรวจวินิจฉัยและการดูแลสุขภาพเพิ่มเติมที่ N Health โทร.0 2762 4000