“ลาซาด้า” ชูกลยุทธ์หนุนผู้ค้าออนไลน์ระหว่างประเทศ

alivesonline.com : ยักษ์ใหญ่อี-คอมเมิร์ซประกาศเดินหน้ารุกตลาดข้ามพรมแดน หนุนผู้ค้าและสินค้าแบรนด์นอกให้เข้าถึงตลาดนักชอปออนไลน์บนแพลตฟอร์มลาซาด้าเพิ่มมากขึ้น หลังพบความต้องการของผู้บริโภคตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ดันยอดขายสินค้าข้ามพรมแดนเติบโต 4.6 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คาดมีมูลค่าถึง 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568

 

 นายจิง ยิน ประธานกรรมการ (ร่วม) “ลาซาด้า กรุ๊ป” กล่าวระหว่างการประชุมผู้ขายสินค้าข้ามพรมแดนบนแพลตฟอร์ม “ลาซาด้า” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2562 ณ เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน โดยมีผู้ค้ากว่า 1 พันรายเข้าร่วมประชุมและรับฟังคำแนะนำด้านกลยุทธ์ที่ “ลาซาด้า” พัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้ค้าสามารถเข้าถึงลูกค้าในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดีขึ้นว่า หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ “ลาซาด้า” คือการนำแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพจากผู้ค้าข้ามพรมแดน (Cross-Border Sellers) มานำเสนอบนแพลตฟอร์มของ “ลาซาด้า” ผลักดันให้เติบโต พร้อมทั้งดูแลรักษา แบรนด์ชั้นนำ 300 อันดับแรกใน 6 ตลาดหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดย “ลาซาด้า” ต้องการทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างร้านค้าข้ามพรมแดนที่มีคุณภาพกับผู้บริโภคกว่า 560 ล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเปิดโอกาสให้แบรนด์เหล่านี้สามารถพัฒนาตลาดและเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ผ่านการแสดงผลการค้นหาที่ช่วยให้สินค้าข้ามพรมแดนจากผู้ขายสามารถปรากฏต่อสายตาลูกค้าได้มากขึ้น เมื่อลูกค้ามีการเรียกดูเว็บไซต์ หรือใส่คำค้นหาสินค้า นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงระบบการคัดแยกประเภทสินค้าข้ามพรมแดนบนแพลตฟอร์ม “ลาซาด้า” ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย

นายจิง กล่าวอีกว่า ด้วยความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นสุดยอดจาก “อาลีบาบา” ผนวกกับความเข้าใจด้านตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเชิงลึก ทำให้ “ลาซาด้า”สามารถหยิบยื่นความรู้และเครื่องมือต่าง ๆ ให้ผู้ขายสินค้าข้ามพรมแดนและบรรดาแบรนด์สินค้าต่าง ๆ เพื่อก้าวไปพร้อมกับการเติบโตอย่างมหาศาลในภูมิภาคนี้

สำหรับการพัฒนาที่สำคัญคือ การปรับปรุง “Global Collection” ช่องทางการซื้อขายสินค้าข้ามพรมแดนบนแพลตฟอร์ม “ลาซาด้า” ซึ่งได้อัปเกรดเป็น “Global Collection 2.0” โดยพัฒนาฟังก์ชั่นช่วยการค้นหาด้วยอัลกอริทึมการคัดกรองประเภทสินค้าข้ามพรมแดนและแสดงผลผู้ขายสินค้าคุณภาพและได้รับความนิยมซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าเหล่านั้นได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

ในส่วนของการบริการภายใต้ Global Collection “ลาซาด้า”ยังได้พัฒนาระบบให้ลูกค้าได้รับสินค้ารวดเร็วยิ่งขึ้น โดยลูกค้าที่เลือกประเภทบริการจัดส่งพัสดุสินค้าแบบมาตรฐานจะสามารถรับสินค้าได้ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่สั่งสินค้า โดยผู้ค้ายังสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการบริการและขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม”ลาซาด้า” ด้วยแคมเปญใหม่ที่มาพร้อมกับเครื่องมือและข้อมูลเชิงลึก โดยผู้ค้าจะได้รับรายงานประจำสัปดาห์เกี่ยวกับคำค้นยอดนิยมและรายการสินค้าที่ลูกค้ามองหาบน “ลาซาด้า” เพื่อนำไปพัฒนาการขายให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดีขึ้น

สำหรับ Global Collection ของ “ลาซาด้า” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2556 และได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นตลาดซื้อขายสินค้าที่มีความหลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งที่รวมเอาแบรนด์และผู้ค้าจากทั่วทุกมุมโลกมาไว้ในที่เดียว โดยผู้ขายสินค้าข้ามพรมแดน 5 อันดับแรกมาจากประเทศจีน ฮ่องกง เกาหลี สหรัฐอเมริกา และยุโรป ตามลำดับ ส่วนสินค้ายอดนิยม ได้แก่ สินค้าประเภทแฟชั่นสตรี สินค้าสำหรับบ้านและที่อยู่อาศัย และแฟชั่นเด็ก ทั้งนี้จากการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีพื้นฐานอันแข็งแกร่งของ “อาลีบาบา” รวมถึงเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมในวงกว้างและไร้คู่แข่ง “ลาซาด้า” ยังเตรียมที่จะเปิดตัวตลาดสินค้าประเภทใหม่ซึ่งเป็นสินค้าที่มีขนาดใหญ่ อาทิ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในบ้านอีกด้วย

ในปีที่ผ่านมา “ลาซาด้า” ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยสถิติการจัดส่งสินค้าผ่านตัวแทนรับส่งพัสดุของ “ลาซาด้า”ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจำนวนมากกว่า 1 ล้านชิ้นต่อวัน โดย “ลาซาด้า” ได้ตอบรับต่อความต้องการของลูกค้าซึ่งมากเป็นประวัติการณ์ ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรด้านโลจิสติกส์กว่า 100 ราย รวมถึงผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุรายอื่น ๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบริการและจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็วทันใจ นอกจากนี้ยังได้เช่าเครื่องบินขนส่งสินค้าแบบเหมาลำส่งพัสดุสินค้าข้ามพรมแดนน้ำหนักรวมกว่า 200 ตันสู่มือนักชอปในประเทศอินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย เพื่อให้ทันเวลาสำหรับช่วงเทศกาลวันหยุดพิเศษอีกด้วย

ทั้งนี้ ยอดการใช้จ่ายผ่านอี-คอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่มสูงมากเป็นประวัติการณ์ได้สะท้อนถึงความต้องการสินค้าข้ามพรมแดนที่เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยยอดขายสินค้าข้ามพรมแดนบนแพลตฟอร์มของ”ลาซาด้า”ในภูมิภาคนี้มีการเติบโตถึง 4.6 เท่าภายในระยะเวลา 3 ปี

อนึ่ง มีการคาดการณ์ว่า ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคนี้จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตลาดจะมีมูลค่าสูงถึง 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2568 ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ถึง 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

 

 

 

 

 

“ออลล์ อินสไปร์ฯ” กางแผนธุรกิจปี 62 ประกาศเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai

alivesonline.com : “ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เดินหน้าเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 18,250 ล้านบาท เผยรายได้รวมปีที่ผ่านมา 2,343 ล้านบาท พร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai เพื่อเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จำนวน 150 ล้านหุ้น มุ่งใช้เป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ วางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2561 มีรายได้รวม 2,343 ล้านบาท มาจากธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 1,978 ล้านบาท ธุรกิจนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 204 ล้านบาท และรายได้อื่น มูลค่า 160.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 84%, 9% และ 7% ตามลำดับ โดยยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) จำนวน 11 โครงการ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 มูลค่าประมาณ 6,354 ล้านบาท

ในปี 2562 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,250 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์ (High Rise) จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ ทำเลทองหล่อ 12 ทองหล่อ 16 และโครงการ “อิมเพรสชั่น เอกมัย” โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low Rise) จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ ทำเลลาดพร้าว-สุทธิสาร 20 มิถุนาแยก 5 และลาซาล 83

ขณะที่ไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทฯ เปิดขายไปแล้ว 2 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ 1 โครงการที่ทำการตลาดต่อเนื่องมาจากปีก่อนคือ โครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์” เฟส1 จำนวน 199 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 890 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวรวม 2 เฟสมีทั้งหมด 308 ยูนิต มูลค่ารวม 1,391 ล้านบาท ส่วนโครงการไฮไรส์คอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ “อิมเพรสชั่น เอกมัย” ซึ่งเป็นโครงการลักซ์ชัวรี เรสสิเดนท์ เน้นกลุ่มลูกค้าระดับบน จำนวน 380 ยูนิต มูลค่าโครงการทั้งสิ้น 4,800 ล้านบาท โดยร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่นคือ “ฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์” (Hoosiers Holdings) และ “คิวชู เรลเวย์ คัมปะนี” (Kyushu Railway Company)

 

 

นายธนากร กล่าวอีกว่า สำหรับทิศทางและนโยบายการดำเนินงานซึ่งเป็นกลยุทธ์ขององค์กร บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ศักยภาพที่มีความโดดเด่นในด้านทำเลที่ตั้ง และบริเวณพื้นที่แนวระบบขนส่งมวลชนหลักของกรุงเทพฯ เช่น BTS, MRT เป็นต้น นอกจากนี้ยังเน้นการออกแบบที่ทันสมัยและเป็นเอกลักษณ์ เน้นฟังก์ชั่นการใช้งาน พื้นที่ใช้สอย พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งแวดล้อมที่ดี มุ่งเน้นการอยู่อาศัยได้จริง ในราคาที่จับต้องได้

“สำหรับการเปิดโครงการใหม่ ๆ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในเซกเมนต์ต่าง ๆ จะแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าวัยทำงาน ระดับรายได้ต่อเดือนประมาณ 2.5-5 หมื่นบาทต่อเดือน และกลุ่มลูกค้าประเภท Dual Income, No Kids หรือ DINKs ภายใต้แบรนด์ The Excel หรือกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับกลางถึงกลางบน ระดับรายได้ประมาณ 4–8 หมื่นบาทต่อเดือน ภายใต้แบรนด์ RISE หรือกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับกลางถึงกลางบน ระดับรายได้ประมาณ 4 หมื่นบาทถึง 1 แสนบาทต่อเดือน ภายใต้แบรนด์ The Vision หรือกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับสูง ประมาณ 1.5 แสนบาทต่อเดือนขึ้นไป ภายใต้แบรนด์ Impression”

นายธนากรกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นร้อยละ 26.79 ของจํานวนหุ้นหลัง IPO โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนแล้ว โดยมีทุนจดทะเบียนจำนวน 560 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและชำระเต็มมูลค่าแล้วจำนวน 410 ล้านบาท หรือคิดเป็น 410 ล้านหุ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินระดมทุนที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งนี้ เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในหลายพื้นที่ที่มีศักยภาพ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานในอนาคต

“บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ถือหุ้น คู่ค้า พนักงาน เป็นต้น โดยการเสนอขาย IPO ครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากตลาดทุนและตลาดเงินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ ในอนาคต ตามนโยบายของบริษัทฯ ที่จะไม่หยุดยั้งที่จะขยายธุรกิจเพื่อสร้างผลการดำเนินงานให้มีความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งจะมุ่งสร้างผลตอบแทนให้คุ้มค่าให้ที่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นในบริษัทฯ”

ด้าน บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ในการนำหุ้น บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า ภายหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุญาตแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชน ของ ALL เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างกำหนดกรอบระยะเวลาการนำเสนอข้อมูลนักลงทุน (โรดโชว์) ทั้งกลุ่มนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป ก่อนที่จะมีการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 26.79 ของจำนวนหุ้นหลัง IPO

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากจุดแข็งของ ALL จะเห็นได้ว่า กลุ่มบริษัทประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภทเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise และ High Rise ภายใต้แบรนด์ “ดิ เอ็กเซล”, “ไรส์” และ “อิมเพรสชั่น” และทาวน์โฮม ภายใต้แบรนด์ “เดอะ วิชั่น” โดยเป็นโครงการที่พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทเองและภายใต้กิจการร่วมค้าอีก 3 บริษัท คือ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ – ฮูซิเออร์ สุขุมวิท 50 จำกัด (ALL Hoosiers) เพื่อพัฒนาโครงการ “The Excel Hideaway Sukhumvit 50” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise บริษัท เอเอชเจ เอกมัย จำกัด (AHJ Ekkamai) เพื่อพัฒนาโครงการ “Impression Ekkamai” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแบบ High Rise และบริษัท เอจี ทองหล่อ 12 จำกัด (AG Thonglor) เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมแบบ High Rise ย่านทองหล่อ

นอกจากนี้ ALL ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ธุรกิจให้บริการเป็นตัวแทนและนายหน้าในการขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับตลาดต่างประเทศ ดำเนินงานภายใต้ บริษัท ไทย ดี เรียลเอสเตท จำกัด (Thai D) ธุรกิจลงทุนและซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างแล้วเสร็จภายใต้ชื่อ “Rise Venture” ดำเนินงานภายใต้บริษัท ไรส์ เอสเตท จำกัด และธุรกิจให้บริการบริหารจัดการนิติบุคคลอาคารชุด ดำเนินงานภายใต้บริษัท ออลล์ พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส จำกัด (ALL Prop)

เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2559 – 2561 นั้น ALL มีรายได้รวมและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม จำนวน 420 ล้านบาท, 714  ล้านบาท และ 2,343 ล้านบาท ตามลำดับ และในช่วงเวลาเดียวกันกลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 11 ล้านบาท, 81 ล้านบาท และ 343  ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งจากอัตราการเติบโตของบริษัทฯ แสดงถึงสถานะทางการเงินและการเติบโตของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด

 

“ไบโอฟาร์ม” บุกตลาดอาเซียน ขยายตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

alivesonline.com : “ไบโอฟาร์ม” ฉลองครบรอบ 45 ปี เปิดกลยุทธ์ลุยธุรกิจปี 62 ปักธงบุกตลาดอาเซียนเต็มรูปแบบ พร้อมขยายตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทุ่มงบลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ควบคู่การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับกับผู้บริโภค ตั้งเป้าขึ้นแท่น 1 ใน 3 แบรนด์ผลิตภัณฑ์สุขภาพครองใจผู้บริโภคในอีก 3 ปีข้างหน้า

 นายวีระพัฒน์ ถกลศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์คุณภาพชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยถึงแผนการทำตลาดอาเซียนของบริษัทฯ ในปี 2562 ว่า จะทำตลาดในภูมิภาคนี้มากขึ้นด้วยการนำเสนอจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานการผลิตเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยมองว่าประเทศอินโดนีเซีย เป็นตลาดที่น่าสนใจและมีความท้าทายเป็นอย่างมาก โดยจะเข้าไปทำตลาดผ่านตัวแทนการค้า ดังเช่นความสำเร็จในตลาดในประเทศต่าง ๆ อาทิ ประเทศลาว เมียนมาร์ เวียดนาม สิงค์โปร มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งบริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยผลิตภัณฑ์หลักที่นำเข้าไปบุกตลาดคือ ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร “Belcid Suspension” และยาสามัญประจำบ้าน “Belcid Forte” ผลิตภัณฑ์กลุ่มแคลเซียม “Calvin” เวชภัณฑ์ในกลุ่มยาปฏิชีวนะ รวมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นต้น

ส่วนการขยายตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพนั้นมีที่มาจากการที่ผู้คนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะรุกตลาดด้วยสินค้าใหม่คือ “Odorless Krill Oil” หรือ น้ำมันคริลล์ชนิดไร้กลิ่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากคริลล์ ซึ่งคือ กุ้งขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในขั้วโลกใต้ที่มีความบริสุทธิ์สูง อุดมด้วยสารอาหารในกลุ่มของโอเมก้า 3 ฟอสโฟลิปิด โคลีนและแอสต้าแซนทีน

นายวีระพัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังได้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อขยายตลาด โดยจะเน้นไปที่ช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ได้แก่ Biopharmshop.com มากขึ้น จากเดิมที่มีการทำตลาดในช่องทางหลัก ได้แก่ ร้านขายยา ร้านโมเดิร์นเทรด โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของบริษัทฯ คิดเป็น 15% ในกลุ่มของสินค้าตลาดร้านขายยาทั้งหมด โดยคาดว่าในปีนี้จะเติบโตเป็น 20%

“ภาพรวมของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปี 2562 ยังมีโอกาสทางธุรกิจมากพอสมควรท่ามกลางการแข่งขันค่อนข้างสูง ซึ่งโอกาสมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยเต็มรูปแบบในอีก 2 ปีข้างหน้า การที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น รวมไปถึงเทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลที่มีผลต่อช่องทางการทำตลาดและการสร้างการรับรู้ในตัวสินค้ามากขึ้น โดยมูลค่าของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 5-7% ในทุกปี โดย 2 ปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการในตลาดกว่า 6.3 พันราย”

นายวีระพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ในปี 2562 นอกจากเป้าหมายในการขยายตลาดในทุกด้านแล้ว สิ่งที่เราจะดำเนินการควบคู่กันไปคือ การสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้าของไบโอฟาร์มต่อผู้บริโภคให้มากที่สุด โดยเราตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า เราจะเป็น 1 ใน 3 แบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพของไบโอฟาร์มที่เข้าไปอยู่ในใจคนไทยทั้งประเทศ

“สำหรับการลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของไบโอฟาร์ม รวมทั้งบริษัท ไบโอแลป จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิต จะมีการลงทุนด้านการพัฒนาและวิจัยยาตัวใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาด และเพื่อให้ผู้บริโภคคนไทยได้ใช้ยาที่มีคุณภาพทัดเทียมกับยาจากต่างประเทศ โดยในปี 2562 บริษัทฯ ยังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยของรัฐในการวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำตลาดได้ในเร็ว ๆ นี้”

 

 

“กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” ยกระดับสู่ Specialty Coffee

 

alivesonline.com : นับเป็นเวลากว่า 1 พันปีแล้วที่มีการค้นพบเมล็ดกาแฟตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 จนเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน รสนิยมการดื่มกาแฟได้ถูกยกระดับมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 20 ปีให้หลังที่วัฒนธรรมการดื่มกาแฟได้ล่วงเลยเข้ามาสู่ยุค Third Wave Coffee

ทุกวันนี้การดื่มกาแฟหนึ่งแก้วจะถูกพิจารณาตั้งแต่สายพันธุ์ สถานที่ปลูก ลักษณะการคั่ว กลิ่น วิธีการชง จนไปถึงวิธีการดื่มกาแฟที่ถูกต้อง นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เหล่าบาริสต้าทั่วโลกพยายามเสาะหาเมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดมาสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้เป็นศิลปะในถ้วยแก้วที่จะถ่ายทอดรสชาติ ความหอม ความกลมกล่อมออกมาเป็น “กาแฟคุณภาพ” (Specialty Coffee) ที่มีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัว

หากจะพูดถึงปัจจัยแรกสู่การเป็น Specialty Coffee คงจะหนีไม่พ้น “เมล็ดกาแฟ” ที่ต้องมีคุณภาพมาจากแหล่งปลูกที่ดี แม้ในประเทศไทยจะมีร้านกาแฟนับไม่ถ้วน แต่หากจะหาร้านที่พิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกเมล็ดกาแฟ อาจจะนับได้ด้วยมือข้างเดียวด้วยซ้ำ หนึ่งในนั้นคือ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” (Gloria Jean’s Coffees)

คนทั่วไปอาจจะเคยได้ยินชื่อ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” มาบ้าง แต่สำหรับผู้รักในกาแฟแล้ว ชื่อนี้ถือเป็นตัวแทนความพิเศษของกาแฟอย่างแท้จริง ร้านกาแฟแห่งแรกของ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” มีต้นกำเนิดมาจาก ‘กลอเรีย จีน คเวทโก้’ (Gloria Jean Kvetko) ผู้ก่อตั้งร้านกาแฟ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลินอยด์ สหรัฐอเมริกา เมื่อปีค.ศ.1979 จากนั้นในปีค.ศ.1995 นักธุรกิจด้านกาแฟผู้ซึ่งทั่วโลกให้การยอมรับในเรื่องความรู้และความชำนาญ ‘นาบี ซาเรห์’ และ ‘ปีเตอร์ ไอร์วีน’ เจ้าของลิขสิทธิ์ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” ในประเทศออสเตรเลีย ได้นำกาแฟแบรนด์คุณภาพมาสู่ชาวออสเตรเลียนซึ่งมีสาขาแรกที่มิรันด้า เมืองซิดนีย์ ด้วยความรักและความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมกาแฟและประสบการณ์ที่มากมายในด้านธุรกิจเฟรนไชส์ จึงทำ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” มีระบบเฟรนไชส์ที่มีประสิทธิภาพและมีแนวทางบริหารที่แน่วแน่ รวมถึงทีมงานที่มุ่งมั่นและกระตือรือร้น บาริสต้าทุกคนทุ่มเทเพื่อร้านกาแฟและเพื่อความพึงพอใจอันสูงสุดของลูกค้าทุกท่าน เพื่อให้ได้กาแฟแก้วที่ดีที่สุด ด้วยความตั้งใจที่จะทำกาแฟคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ พร้อมมอบบริการด้วยความใส่ใจ ในบรรยากาศร้านที่อบอุ่นและเป็นกันเอง ให้ผู้ที่ได้ดื่มกาแฟของ “กลอเรีย จีนส์” สัมผัสได้ถึงความเป็นครอบครัวร้านกาแฟที่เป็นหนึ่งเดียวกัน

‘เคียงเดือน เข็มทอง’ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท พรีโม ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ จำกัด เล่าว่า บริษัทฯ ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” ประเทศไทยเมื่อปี 2550 โดยเราจะเสาะหาเมล็ดกาแฟคัดพิเศษเฉพาะสายพันธุ์อาราบิก้า100% จากทั่วทุกแห่งที่ขึ้นชื่อที่สุดของโลก หลังจากเราได้ลูกเชอร์รี่กาแฟที่ดีที่สุดแล้ว เมล็ดเหล่านั้นจะถูกส่งเข้ากระบวนการคั่วที่โรงคั่วกาแฟของเราในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ทุกขั้นตอนล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟ เพื่อที่จะได้เมล็ดกาแฟที่ให้กลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากแต่ละแหล่งกำเนิดอย่างสมบูรณ์ที่สุด และเมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วทุกเมล็ด จะถูกนำไปบรรจุในบรรจุภัณฑ์ชนิด One-Way Valve Bag ซึ่งอากาศไม่สามารถเข้าไปข้างในถุงได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ากาแฟทุกถุงที่ส่งไปยังร้าน “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” ทั่วโลกนั้นจะคงความสดใหม่และเป็นมาตรฐานเดียวกัน รอวันถูกสกัดมาเป็นกาแฟแก้วโปรด

Nicaraguan Coffee Picker

“กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” ยังร่วมมือกับองค์กร Rainforest Alliance ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนส่งเสริมในการอนุรักษ์และพิทักษ์สัตว์ป่า พืชพันธุ์ธรรมชาติ ระบบนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังส่งเสริมการสร้างที่อยู่อาศัย ให้การศึกษาทางด้านการผลิต และการสร้างอาชีพให้แก่ชุมชนท้องถิ่นในหลาย ๆ ประเทศ จากความร่วมมือดังกล่าว “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” จึงเลือกใช้เมล็ดกาแฟกว่า 85% ซึ่งนำมาจากฟาร์มที่ได้รับการรับรอง Rainforest Alliance Certified

นี่คือความลับเบื้องหลังกาแฟทุกแก้วที่คุณได้รับจากร้าน “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่W ซึ่งสามารถร่วมสร้างและเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ โดยเมล็ดกาแฟอันเป็นความพิเศษของ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” นั้นมาจากหลายแหล่งกำเนิดที่ดีที่สุดของโลก ไม่ว่าจะเป็น

  • Paradiso Blend Dark สุดยอดความลับของกาแฟชนิดนี้คือ ทักษะอันยอดเยี่ยมของนักผสมกาแฟ ที่เลือกมา 4 ชนิด เพื่อความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกาแฟชนิดนี้ โดยเลือกกาแฟที่ดีที่สุดจากอเมริกากลาง 2 ชนิด อเมริกาใต้ 1 ชนิด และแอฟริกา 1 ชนิด เพื่อรสชาติที่นุ่มนวล มีกลิ่นหอมของการคั่ว จากเปลือกไม้ เป็นกาแฟที่โดดเด่นในรสชาติและถือเป็นเอกลักษณ์ของการผสมกาแฟของ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่”
  • Mocha Java ผสานจาก 2 แหล่งปลูกที่ให้รสชาติเข้มข้นจากอินโดนิเซียและเอธิโอเปีย
  • Special Espresso Blend คือกาแฟสูตรต้นตำรับของ GJC และเป็นกาแฟหลักในการผสมผสานเครื่องดื่มทุกแก้วในร้าน เกิดจากการผสมระหว่างกาแฟ 3 แบบจากอเมริกากลางและใต้
  • French Breakfast Blend ผสานการคั่วแบบเข้มและปานกลาง ให้ความสดชื่นและรสชาติเข้มข้น หอมกรุ่น เหมาะเป็นแก้วโปรดมื้อเช้า
  • Colombia Supremo กาแฟคุณภาพดีที่สุดสายพันธุ์โคลัมเบีย ให้รสชาติกลมกล่อมที่ลงตัวพร้อมกลิ่นอ่อน ๆ ของคาราเมล
  • Kenya AA กาแฟคุณภาพดีที่สุดของเคนย่าให้รสชาติบางเบาสดใสเปล่งปลั่งคล้ายผลไม้
  • Nicaragua กาแฟสายพันธุ์นิการากัว ให้รสชาติละมุนคล้ายถั่วผสมเบอร์รี่ เหมาะที่จะชงดื่มได้ตลอดทั้งวัน
  • Sumatra Dark กาแฟสายพันธุ์สุมาตรา ได้แร่ธาตุจากดินภูเขาไฟทำให้รสชาติเข้มข้นสุดละมุน
  • Papua New Guinea Organic เมล็ดกาแฟสายพันธุ์เอเชียแปซิฟิก หอมกลิ่นคาราเมลและทิ้งท้ายรสชาติคล้ายผลไม้

“ความมุ่งมั่นที่จะเป็นร้านกาแฟที่หนึ่งในใจและเป็นที่รักของคนทั่วโลกที่สิ่งที่คอยผลักดันให้เราเสาะหาสิ่งที่ดีที่สุดตลอดมา และการสร้างกาแฟที่ดีที่สุดนั้นจะต้องได้รับความใส่ใจของผู้ชงลงไปด้วย เราเสิร์ฟกาแฟทุกแก้วความตั้งใจและความพิถีพิถัน เพื่อให้ได้กาแฟคุณภาพที่มาจากความตั้งใจจริง”

สัมผัสรสชาติกาแฟคุณภาพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความหอมกรุ่นของกาแฟ สไตล์ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” ได้ทุกเมนูทั้งร้อนและเย็นที่ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” ทุกสาขา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB : Gloria Jean’s Coffees Thailand หรือInstagram : Gloriajeansthailand

“พาณิชย์” ปลื้มยอดสั่งซื้องาน “บางกอกเจมส์” ทะลุ 2.1 พันล้าน

alivesonline.com : กระทรวงพาณิชย์ เผยความสำเร็จการจัดงาน “บางกอกเจมส์ ครั้งที่ 63” นักธุรกิจจาก 118 ชาติร่วมชมงานกว่า 1.4 หมื่นราย พร้อมยอดสั่งซื้อกว่า 2.1 พันล้านบาท เร่งส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ผ่านแคมเปญ “Thailand Magic Hands” เจาะกลุ่มผู้ซื้อที่มีความต้องการเฉพาะทางมากขึ้น ทั้งเครื่องประดับสำหรับคนรุ่นใหม่วัยทำงาน เครื่องประดับแนวความเชื่อและโชคลาง และเครื่องประดับสำหรับสัตว์เลี้ยง ด้าน กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดโรดโชว์เชิญชวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีร่วมงาน “บางกอกเจมส์ ครั้งที่ 64” วันที่ 10-14 ก.ย.62

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ (Bangkok Gems & Jewelry Fair) ครั้งที่ 63 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Thailand’s Magic Hands : the Spirit of Jewelry Making”  ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยผู้ซื้อและผู้เยี่ยมชมต่างชาติต่างชื่นชมฝีมือการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับอันงดงามของช่างชาวไทยที่ผลักดันให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านการเป็นผู้ผลิตและเป็นแหล่งการค้าอัญมณีและเครื่องประดับระดับโลก (Jewelry Hub) ขณะที่ผู้ประกอบการที่ร่วมงานได้พบปะผู้ซื้อชาวไทยและต่างชาติ สร้างโอกาสในการพัฒนาสู่การเป็นคู่ค้าต่อไป

งาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 63 มีผู้เข้าชมงานประมาณ 1.4 หมื่นราย จาก 118 ประเทศทั่วโลก โดยจำนวนผู้เข้าชมงานต่างชาติเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 5.4 เมื่อเทียบกับการจัดงานในช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดสั่งซื้อคิดเป็นมูลค่ารวมเกือบ 2.1 พันล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าสั่งซื้อทันทีวันเจรจาธุรกิจ 700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่แล้ว ถึงร้อยละ 85.2 ขณะที่มูลค่าการสั่งซื้อในวันจำหน่ายปลีกประมาณ 360 ล้านบาท สินค้าที่มีมูลค่าซื้อขายภายในงานมากที่สุด ได้แก่ อัญมณี เครื่องประดับแท้ เครื่องประดับเงิน เครื่องจักร และเครื่องประดับทอง ตามลำดับ

สำหรับจุดเด่นของงานบางกอกเจมส์ นอกจากผู้ซื้อและผู้นำเข้าจะได้พบกับสินค้ามีคุณภาพและหลากหลายเจรจาธุรกิจกับผู้ส่งออกงานฝีมือที่เป็นที่ยอมรับและระบบการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานระดับโลกแล้ว ภายในงานยังเป็นแหล่งรวมสินค้าใหม่ ๆ และคูหานิทรรศการที่นำเสนอความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงนวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่ม อาทิ The New Faces ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเล็กจากทั่วภูมิภาคของไทยกว่า 123 ราย จาก 21 จังหวัด โซน The Jewellers และ Innovation and Design Zone (IDZ) แสดงผลงานสร้างสรรค์ของนักออกแบบไทย ซึ่งต่างก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากคู่ค้า มียอดมูลค่าสั่งซื้อภายในงานรวมกว่า 120 ล้านบาท

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมาการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในเกือบทุกตลาด โดยในปี25 61 อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปมีมูลค่าส่งออก 7,606.45 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นถีงร้อยละ 6.96 โดยสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับอัญมณีเทียม และเพชร กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จึงมีแผนเร่งผลักดันการส่งออกสินค้าในอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยตั้งเป้าว่าอัญมณีและเครื่องประดับปี 2562 (ไม่รวมทองคำยังไม่ขึ้นรูป) จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2 หรือประมาณ 7,758 ล้านเหรียญสหรัฐ

นางสาวชุติมา กล่าวในตอนท้ายว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จะเน้นการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาดของผู้ประกอบการ ส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมฯ ผ่านแคมเปญ “Thailand Magic Hands” ยกระดับการจัดงานและภาพลักษณ์งาน “บางกอกเจมส์” ให้มีความโดดเด่นและน่าสนใจมากขึ้น เพื่อเจาะกลุ่ม Super Rich ในตลาดอาเซียน เอเชียใต้และจีน รวมถึงการเจาะกลุ่มผู้ซื้อที่มีความต้องการเฉพาะทาง (Niche) มากขึ้น เช่น เครื่องประดับสำหรับคนรุ่นใหม่วัยทำงาน (Millennials) ในจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา เครื่องประดับสำหรับสัตว์เลี้ยงในประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและสังคมคนโสด เครื่องประดับแนวความเชื่อและโชคลาง เป็นต้น รวมทั้งการขยายตลาดใหม่ ๆ ผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ตลอดจนการจัดคณะผู้แทนการค้าในตลาดใหม่เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้ผู้ส่งออกและเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการหน้าใหม่ได้ก้าวเข้าสู่ตลาดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับมากขึ้น

ด้าน นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ (Bangkok Gems & Jewelry Fair) ครั้งที 64 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 10-14 กันยายน 2562 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์งานให้เป็นที่รู้จัก และเชิญชวนผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs เข้าร่วมโครงการ The New Faces ซึ่งเป็นโซนจัดแสดงสินค้าของผู้ผลิต และนักออกแบบไทยระดับ SMEs ฝีมือประณีตจากทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพในการผลิตและออกแบบได้มีโอกาสขยายตลาดไปยังต่างประเทศ รวมถึงมีช่องทางในการเจรจาการค้าและจำหน่ายสินค้าเพิ่มเติม ซึ่งเป็นไปตามแผนนโยบายการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จึงจัดกิจกรรมโรดโชว์ไปยังแหล่งผลิตและจำหน่ายสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับทั่วประเทศ อาทิ กรุงเทพฯ (โซนถนนข้าวสาร ตะนาว โซนบางรัก และห้างพาลาเดียม แหล่งค้าส่งเครื่องประดับและเครื่องเงิน ภูเก็ต จันทบุรี ตาก และเชียงใหม่ เป็นต้น ถึงแม้ว่าจะยังไม่จบกิจกรรมโรดโชว์ แต่มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ความสนใจขอรับใบสมัครเข้าร่วมโครงการรวมกว่า 100 ราย เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองเห็นโอกาสในการเปิดตลาดและพบคู่ค้าทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศผ่านเวทีการค้าอัญมณีและเครื่องประดับระดับสากลอย่างงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 64 โดยผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.bkkgems.com โทร.0 2507 8313 หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169

“เวิลด์ ฟูดส์ฯ รุกตลาดน้ำผลไม้รับซัมเมอร์

alivesonline.com : “เวิลด์ ฟูดส์ฯ” ตอกย้ำผู้นำตลาดน้ำผลไม้ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ “เจ-มิกซ์” รุกตลาดน้ำผลไม้รับลมร้อนซัมเมอร์นี้ ส่ง “เจ-มิกซ์ โคโค่” น้ำมะพร้าว 25% ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว สูตรใหม่ รายแรกในไทย เอาใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน และรักสุขภาพ พร้อมจัดโปรโมชั่น ซื้อ 1 ขวด แถมฟรีทันที 1 ขวด คาดกระตุ้นยอดขายไตรมาสแรกของปี 2562 เพิ่มขึ้นกว่า 10%

นางสาวกัญญา ติลกเรืองชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ “เอ็ม-จอย” (M-Joy) และ “เจ-มิกซ์” (j-mix) มานานกว่า 25 ปี เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระแสการดูแลสุขภาพของคนไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่องทำให้คนไทยหันมาบริโภคเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศของเมืองไทย ทำให้ตลาดเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม ซึ่งถือเป็นช่วงทำตลาดสินค้า

บริษัทฯ จึงเปิดตัวน้ำผลไม้ “เจ-มิกซ์ โคโค่” น้ำมะพร้าว 25% ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว เป็นรายแรกในประเทศไทย เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดน้ำผลไม้ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว และต้องการเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและจดจำมากยิ่งขึ้น โดยเน้นจุดเด่น “น้ำมะพร้าวเคี้ยวได้” ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถครองใจผู้บริโภคได้ในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากตลาดน้ำมะพร้าวเป็นตลาดที่ใหญ่และเป็นน้ำผลไม้ที่คนไทยชื่นชอบมายาวนาน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

ในส่วนของผลิตภัณฑ์ “เจ-มิกซ์ โคโค่” น้ำมะพร้าว 25% ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว สูตรใหม่ ยังมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร เพราะนอกจากจะได้รสชาติของน้ำมะพร้าวแท้ ๆ ที่หอมหวาน อร่อย ชื่นใจ มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังมีส่วนผสมของวุ้นน้ำมะพร้าวมาช่วยเพิ่มรสชาติเหมือนได้เคี้ยวเนื้อมะพร้าวด้วยขนาดวุ้นมะพร้าวที่ชิ้นใหญ่ ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่สะอาด ปลอดภัย ถูกสุขอนามัยตามหลักมาตรฐานสากล อีกทั้งได้มีการปรับสูตรใหม่ลดน้ำตาล 66% เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนรักการดื่มน้ำมะพร้าว ภายใต้ฉลากที่มีสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจง่ายในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะโภชนาการเกินและโรคที่เกี่ยวข้องในคนไทย

นางสาวกัญญา กล่าวอีกว่า ตลาดน้ำผลไม้ระดับซูเปอร์อีโคโนมี (มีส่วนผสมของน้ำผลไม้ไม่เกิน 25%) มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1.8 พันล้านบาท แบ่งเป็นตลาดน้ำผลไม้มีวุ้นประมาณ 400 ล้านบาท โดยบริษัท เวิลด์ ฟูดส์ฯ เป็นผู้บุกเบิกตลาดน้ำผลไม้มีวุ้นและเป็นผู้นำตลาดน้ำผลไม้มีวุ้น โดย “เอ็ม-จอย” (M-Joy) และ “เจ-มิกซ์” (j-mix) มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 57% การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ครั้งนี้จึงคาดว่าจะสามารถช่วยเพิ่มยอดขายในช่วงฤดูร้อนได้เพิ่มขึ้นกว่า 10%  โดยคาดว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 จะมียอดขายโดยรวมประมาณ 80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับแผนการตลาดในช่วงแรกนอกจากการชูกลยุทธ์ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องทั้ง Above the Line และ Below the Line แล้ว ยังมีกิจกรรมตามสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าใหญ่ ๆ ในต่างจังหวัดด้วย นับเป็นการสร้างความใกล้ชิดระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ รวมทั้งยังเป็นการกระตุ้นตลาดฯ สร้างสีสันให้กับผู้บริโภค อีกทั้งยังทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำและครองใจผู้บริโภคทั่วประเทศมากขึ้นด้วย พร้อมกันนี้ยังมีแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และกิจกรรมส่งเสริมการขายต่าง ๆ อีกด้วย

ทั้งนี้ “เจ-มิกซ์ โคโค่” น้ำมะพร้าว 25% ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว สูตรใหม่ มีวางจำหน่ายแล้ว แบบขวดขนาดพกพา 280 มล. ราคา 15 บาท พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษรับซัมเมอร์ ซื้อ 1 ขวด แถมฟรีทันที 1 ขวดที่ร้านกูร์เมต์ มาร์เก็ต และโฮมเฟรช มาร์ท ในเครือเดอะมอลล์ทุกสาขา รวมถึงร้านค้าสะดวกซื้อจิฟฟี่ทั่วประเทศ

 

“อาเซียนบิวตี้ 2019” พร้อมหนุนเครื่องสำอางเปิดตลาดโลก

alivesonline.com : “ยูบีเอ็ม เอเชีย” สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในการจัดงาน ASEANbeauty 2019 หรือ “อาเซียน บิวตี้ 2019” ดึงผู้ประกอบการจากทุกมุมโลก ร่วมสร้างโอกาสสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจความงามของไทยสู่ตลาดโลก มั่นใจดึงคนเข้าร่วมงานกว่า 1.2 หมื่น ราย ระบุแนวโน้มตลาดเครื่องสำอางสำหรับผู้ชายอนาคตสดใส

นางสาวอนุชนา วิชเวช ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การจัดงาน “อาเซียน บิวตี้ 2019” (ASEANbeauty 2019) ที่จะเกิดขึ้น ระหว่างวันที่ 2–4 พฤษภาคม 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการ และการประชุมไบเทค บางนา ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการจากทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และเอเชียเข้ามานำเสนอสินค้าและธุรกิจมากกว่า 350 ราย จาก 20 ประเทศทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่มีผู้ประกอบการ 250 ราย โดยกว่า 40% มาจากประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา อิตาลี ฝรั่งเศส เป็นต้น โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 หมื่นราย

การจัดงาน “อาเซียน บิวตี้ 2019” ยังคงเน้นการเจรจากทางธุรกิจเป็นหลัก โดยบริษัทฯ ต้องการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยได้มีโอกาสพบกับนักธุรกิจจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการต่างประเทศที่มาร่วมงานก็จะมีโอกาสเห็นตลาดของไทยและตลาดของประเทศอื่น ๆ ที่มีศักยภาพน่าลงทุนเช่นเดียวกัน

“ในปีนี้จะมีแบรนด์จากญี่ปุ่นที่ไม่เคยทำตลาดในเมืองไทยมาก่อน เข้าร่วมภายในงานดังกล่าวเพิ่มขึ้นด้วย โดยเบื้องต้นคาดว่าผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นจะมาสร้างพาวิลเลียนและบูธในงานประมาณ 20-25 ราย ขณะที่เกาหลีใต้ก็มีการตอบรับที่ดีเหมือนกัน โดยในครั้งนี้มี 2 หน่วยงานจากภาครัฐบาลที่ให้การสนับสนุน ทำให้พื้นที่ของเครื่องสำอางเกาหลีใต้จะเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย”

นางสาวอนุชนา กล่าวอีกว่า ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอย่างหลากหลาย ทั้งเรื่องของเทรนด์ใหม่ ๆ ของแต่ละประเทศ รวมถึงการสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับการส่งออก การพัฒนาสินค้า ด้านการตลาด วิธีการสร้างแบรนด์ และวิธีการทำการตลาดออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีการทำเวิร์คชอป โดยมีบล็อกเกอร์และผู้ประกอบการที่มีผลิตภัณฑ์น่าสนใจจัดกิจกรรมให้มีการทดลองใช้สินค้า อาทิ การแต่งหน้าด้วยตนเอง เทคนิคการทำเล็บ ทำผม โดยขณะนี้ได้ขายพื้นที่การจัดงานไปแล้ว 70 พร้อมทั้งเริ่มประชาสัมพันธ์ไปยังผู้สนใจเพื่อให้เข้ามาชมงาน โดยเปิดลงทะเบียนให้ชมงานล่วงหน้าฟรีที่ www.aseanbeautyshow.com

“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากลุ่มเป้าหมายที่มาแรงคือเครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย เห็นได้จากความต้องการของตลาดที่เกิดขึ้น เพราะบริษัทฯ ไม่ได้จัดงานเพียงแค่ในประเทศไทย จึงทำให้เห็นสัญญาณที่เกิดขึ้นได้จากทั่วโลก ทั้งในส่วนของผู้ชมงานและผู้ซื้อซึ่งมีจำนวนผู้ชายมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวต้องการมีบุคลิกภาพที่ดีไม่แพ้ผู้หญิงเช่นเดียวกัน การจัดงานครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการความงามเอสเอ็มอีไทยที่จะมาโชว์ศักยภาพของผลิตภัณฑ์ตัวเอง พร้อมการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้สินค้าและบริการสู่ตลาดโลก เพิ่มมากยิ่งขึ้น” นางสาวอนุชนา กล่าวในตอนท้าย

“ถิรไทย” คาดตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าปรับตัวดีขึ้น

 

alivesonline.com : “ถิรไทย” ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าของประเทศ มั่นใจปี 62 ความต้องการหม้อแปลงไฟฟ้าปรับตัวดีขึ้นจากภาครัฐกลับมาใช้งบฯ ปกติ คาดบริษัทฯ ได้คำสั่งซื้อประมาณ 20-25 % หลังประเดิมสัญญาแรกงาน กฟผ. งานจัดซื้อหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังขนาด 333.33 MVA 500 kV จำนวน 6 ยูนิต มูลค่า 268 ล้านบาท ในโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า พร้อมตั้งเป้าปีนี้โตกว่า 20 %

นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้ผลิต จำหน่าย และซ่อมบำรุงหม้อแปลงไฟฟ้าทุกขนาดของคนไทยเพียงแห่งเดียว เปิดเผยถึงภาวะอุตสาหกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าของทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศว่า มีการปรับตัวลดลง เนื่องจากนโยบายรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการจัดซื้อจากเดิมเป็นระบบ e-Bidding ทำให้เกิดความล่าช้าและชะงักงันต่อการใช้งบประมาณในการจัดซื้อ ประจำปี 2560-2561 ส่งผลให้ยอดรับคำสั่งซื้อของหม้อแปลงไฟฟ้าของภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศ ลดลง จาก 1,625 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 931 ล้านบาท ในปี 2561 ขณะที่ภาคส่งออกปรับตัวดีขึ้นจาก 174 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 789 ล้านบาท ในปี 2561 เนื่องจากรับงานโปรเจกต์ใหญ่ที่ประเทศสิงค์โปร์ คิดเป็นร้อยละ 51% ของภาคส่งออก

บริษัทฯ ยังมีมูลงานคงเหลือ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 ในส่วนของหม้อแปลงไฟฟ้าอยู่ที่ 1,039 ล้านบาท ซึ่งจะส่งมอบในปี 2562 จำนวน 788 ล้านบาท และ 251 ล้านบาท ในปี 2563 ส่วนในปี 2562 บริษัทฯ มีการส่งมอบสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นสูง โดยเฉพาะภาคส่งออก ทำให้กำไรขั้นต้นของหม้อแปลงไฟฟ้าปรับตัวจาก 16.77% ใน ปี 2560 เป็น 18.76% ในปี 2561

ในปี 2562 คาดว่าความต้องการหม้อแปลงไฟฟ้าโดยรวมยังคงปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการใช้งบประมาณของภาครัฐกลับเข้าสู่ภาวะปกติและภาคเอกชนมีความต้องการมากขึ้น เนื่องจากการลงทุนของภาครัฐทางด้านระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดคือ หม้อแปลงไฟฟ้าชนิดพิเศษที่เรียกว่า Unit Substation เพื่อตอบสนองต่อนโยบายในการนำสายไฟฟ้าอากาศลงสู่ใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งอาเซียน รวมถึงการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยต่อชีวิต ทรัพย์สิน และคำนึงถึงภูมิทัศน์ รักษาสภาพแวดล้อมให้สวยงาม

“จากสถานการณ์ที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับในช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ สำหรับงานจัดซื้อจัดจ้างหม้อแปลงไฟฟ้า ขนาด 333.33 MVA 500 kV ซึ่งเป็นหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุด จำนวน 6 เครื่อง มูลค่างาน 268 ล้านบาท สำหรับโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และกรุงเทพฯ เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าตามแผน PDP โดยมีกำหนดส่งมอบในปี 2563”

นายสัมพันธ์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของรายได้ของกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลงไฟฟ้า (Non-Transformer Group) นั้น เนื่องจากในปี 2560-2561 ภาครัฐยังคงชะลอการประมูลสำหรับโครงการใหญ่ ๆ ส่งผลให้ในปี 2561 TRT ได้รับงานลดลง จำนวน 61 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้จากการขายรถกระเช้า 23 ล้านบาท และรายได้จากการบริการ 38 ล้านบาท โดยคาดว่าการประมูลน่าจะกลับมาสูภาวะปกติในปี 2562 โดยประมาณการมูลค่างานที่รอประมูลในปี 2562 อยู่ที่ 1,857 ล้านบาท ซึ่ง TRT มีส่วนแบ่งการตลาด 15% -20% ประมาณการส่งมอบในปี 2562-2563

“ในส่วนของบริษัทย่อยคือ LDS ในปี 2561 ยังมีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย มีผลให้ขาดทุนสุทธิ 74 ล้านบาท ประกอบด้วยการปรับปรุงผลประโยชน์ทางภาษีที่ยังไม่ได้ใช้ของปีก่อน ๆ ที่เคยรับรู้เป็น จำนนวน  21 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 54 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม LDS ยังมีมูลค่างานคงเหลือ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 ประมาณ 80 ล้านบาท มีกำหนดส่งมอบในปี 2562 ทั้งหมด ในขณะที่มีงานที่อยู่ระหว่างการติดตาม ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 ทั้งสิ้น 1,424 ล้านบาท คาดว่ามีโอกาสจะเป็นยอดรับคำสั่งซื้อได้ประมาณ 20-25% อีกด้วย”

นายสัมพันธ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2561 ภาพรวมของผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจถิรไทยปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น ต่อรายได้ขายและบริการ 21.90% เปรียบเทียบกับ 20.10% ในปี 2560 แต่เนื่องจาก LDS มีรายได้เติบโตไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ประกอบกับมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น เป็นผลให้กลุ่มบริษัทถิรไทยมีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 30.76 ล้านบาท โดย ณ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมี Backlog แล้วกว่า 1,748 ล้านบาท ซึ่งจะส่งมอบในปี 2562 จำนวน 1,257 ล้านบาท และในปี 2563 จำนวน 491 ล้านบาท โดยมีมูลค่างานที่กำลังเสนอราคาและประมาณการของมูลค่าโครงการของภาครัฐ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 ประมาณ 13,031 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้คำสั่งซื้อประมาณ 20-25%

“ในปี 2562 คาดว่าภาวะการแข่งขันทางด้านราคายังคงอยู่ในระดับปานกลาง–สูง เพื่อลดความสี่ยงในเรื่องนี้ บริษัทฯ จะมุ่งเน้นตลาดที่ต้องการสินค้าที่มีการออกแบบทางวิศวกรรมที่การแข่งขันไม่สูงมากนัก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและจะดำเนินการทุกมาตรการที่จะบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อที่จะรักษาอัตรากำไรเฉลี่ยขั้นต่ำ 20% เพื่อควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้และให้มั่นใจว่าบริษัทฯ และบริษัทย่อยดำเนินตามแผนงานอย่างมีการควบคุมที่เหมาะสม” นายสัมพันธ์ กล่าวในตอนท้าย

 

 

นวัตกรรมบริการลองแต่งหน้าเสมือนจริง #ColourMe

alivesonline.com : บริษัทผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี AI และ AR ของลอรีอัล “ModiFace” และ “A.S.Watson Group” ประกาศเปิดตัวโปรแกรมแนะนำการแต่งหน้าเสมือนจริง #ColourMe นำเสนอเทคโนโลยี AR ที่ล้ำสมัยที่สุดแก่ผู้บริโภคทั่วเอเชียผ่านโทรศัพท์มือถือ

แอปพลิเคชัน #ColourMe ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นบริการแนะนำการแต่งหน้าเสมือนจริงบนแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือของ “วัตสัน” เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับบรรดาเหล่านักชอปที่จะได้มีโอกาสในการทดลองแต่งหน้ากับผลิตภัณฑ์ความงามที่มีกว่า 300 รายการ อาทิ ลิปสติก, มาสคารา, อายแชโดว์ที่แต่งสีคิ้วและรองพื้น ผู้ใช้จะสามารถลองแต่งหน้าได้ตามรูปแบบต่าง ๆ ที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน โดยสามารถสร้างและบันทึกรูปแบบการแต่งหน้าที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาได้ อีกทั้งยังสามารถบันทึกเป็นรูปภาพและถ่ายวิดีโอการแต่งหน้าได้อีกด้วย โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้แต่งในแต่ละลุคนั้น สามารถจัดส่งตรงถึงบ้านให้กับเหล่านักชอปได้เลย หรือจะเลือกซื้อได้จากร้าน “วัตสัน” สาขาใกล้บ้าน

เทคโนโลยีนี้จะนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม “ลอริอัล ปารีส” และ “เมย์เบลลีน” เป็นกลุ่มแรกหลังจากการเปิดตัว โดยจะให้บริการเฉพาะในแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือของ “วัตสัน” ในประเทศมาเลเซีย ไต้หวัน ไทย และสิงคโปร์ โดย “A.S.Watson Group” จะขยายความร่วมมือกับแบรนด์อื่นทั่วทั้งเอเชียและยุโรปในอนาคตอีกด้วย

มาลินา ไหง หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ “A.S.Watson Group” กล่าวถึงประสบการณ์ดิจิตอลแบบใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ และได้รับการสนับสนุนจาก “ลอริอัล” ว่า ลูกค้าคือหัวใจสำคัญในการรังสรรค์นวัตกรรมครั้งนี้ เราพยายามที่จะสร้างสรรค์ประสบการณ์พิเศษตามความต้องการของลูกค้าทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อจะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกค้า เรามีวิสัยทัศน์ร่วมกับ “ลอริอัล” ในการที่จะขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็นผู้นำทางด้านความงามในรูปแบบดิจิตอล และเราได้หารือเพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์สุดพิเศษเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยี ModiFace มาใช้เมื่อครึ่งหลังของปีที่แล้ว ด้วยความร่วมมือในครั้งนี้ เราจะเปลี่ยนแปลงการสร้างประสบการณ์ด้านความงามให้ครบจบในแอปพลิเคชันเดียว

อเล็กซ์ เพอราคิส วาลาท์ ประธานแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคทั่วโลก “ลอรีอัล” กล่าวว่า เทคโนโลยีด้านดิจิตอลจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในวงการค้าปลีก ทำให้การชอปปิ้งเป็นสิ่งที่สนุกมากขึ้น ง่ายมากขึ้น และเป็นรูปแบบเฉพาะตัวมากขึ้น เราต้องการสร้างแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ร่วมกับ “A.S.Watson Group” บริษัทค้าปลีกที่เราให้ความเชื่อมั่นและเป็นพาร์ทเนอร์กับเรามาอย่างยาวนาน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราจึงรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เปิดตัวโปรแกรมแนะนำการแต่งหน้าเสมือนจริง #ColourMe ซึ่งขับเคลื่อนโดยบริษัท “Modiface” บริษัทด้านความงาม AR และ AI ของเรา โดยเทคโนโลยีนี้จะนำเสนอวิธีการที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร เพื่อให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์ใหม่และสนุกสนานไปกับการแต่งหน้า อีกทั้งยังช่วยให้ “ลอริอัล” สร้างรูปแบบใหม่ของประสบการณ์ด้านความงามในอนาคตได้

ททท. ฉลองครบรอบสถาปนา 59 ปี

alivesonline.com : วันนี้ (18 มีนาคม 2562) นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. คณะกรรมการ ททท. ผู้บริหารทุกระดับพนักงาน ททท. และแขกผู้มีเกียรติ สื่อมวลชน ร่วมในงานวันคล้ายวันสถาปนา ททท. ครบรอบ 59 ปี ณ อาคาร ททท. ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพมหานคร

นายยุทธศักดิ์ สุภสร กล่าวว่า ททท. เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศตั้งแต่แรกก่อตั้งจนถึงปัจจุบันและยิ่งเพิ่มบทบาทมากยิ่งขึ้นเมื่อรัฐบาลกำหนดให้การท่องเที่ยวคือหนึ่งในเสาหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ก้าวหน้าและเจริญเติบโต ทั้งนี้ ททท. ได้กำหนดวิสัยทัศน์องค์กรไว้ว่า “ททท. เป็นผู้นำในการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม (Preferred Destination) อย่างยั่งยืน” ด้วยการทำการตลาดเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยนำเสนอคุณค่าของการท่องเที่ยวประเทศไทยผ่านประสบการณ์ท่องเที่ยวที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทย ด้วยแคมเปญ “amazing ไทยเท่” สำหรับตลาดในประเทศ และแคมเปญ “Amazing Thailand ‘Open to the New Shades” สำหรับตลาดต่างประเทศ

ททท. ยังมุ่งทำให้การท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความยั่งยืน และได้ตั้งเป้าหมายที่สำคัญเพื่อเสริมการท่องเที่ยวให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยนโยบายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ หรือ Responsible Tourism รวมถึงการสร้างกระแสการใส่ใจสิ่งแวดล้อม “ลดโลกเลอะ” ในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อช่วยให้ประเทศไทยสามารถถนอมรักษาความงดงามของทรัพยากรและส่งมอบต่อไปยังคนรุ่นหลังให้มีโอกาสได้ชื่นชมต่อไปอีกยาวนาน ดังนั้นจึงเป็นปีที่ยังคงความมุ่งมั่นตั้งใจให้การท่องเที่ยวไทยยั่งยืนอย่างแท้จริง

สำหรับในงานวันคล้ายวันสถาปนา ททท. ครบ 59 ปี ในวันนี้ ผู้ว่าการ ททท. ยังได้รับมอบใบรับรองมาตรฐาน ISO 27001 : 2013 ระบบความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศ (Information Security Management System : ISMS) จากนายไพโรจน์ เกรียงเชี่ยวชาญ ผู้อำนวยการปฏิบัติการ BSI Group (Thailand) Ltd. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตรวจประเมินและออกใบรับรองมาตรฐานสากล และรับมอบโล่และช่อดอกไม้แสดงความยินดีจากนางสาวอธิตานนท์ อภิธนทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Asian Intelligent Information Technology จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริการจัดการความมั่นคงปลอดภัยและความต่อเนื่องด้านสารสนเทศของ ททท. อีกด้วย

ทั้งนี้ ISO 27001 : 2013 ดังกล่าว เป็นการรับรองระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ครอบคลุมถึงการปฏิบัติการและการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายหลัก (การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายหลักภายในห้อง Data Center ซึ่งเป็นการบริหารจัดการการเข้าถึงระบบเครือข่ายและการดูแลรักษาอุปกรณ์ระบบเครือข่าย ให้มีความพร้อมใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง) และการให้บริการระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail Service) สำหรับ ททท. สำนักงานใหญ่ จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI : British Standards Institution)

นอกจากนี้ ผู้ว่าการ ททท. ยังได้เปิดโครงการ Hacka Travel ร่วมกับ ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดธุรกิจนวัตกรรมใหม่ ๆ ในกลุ่มสตาร์ทอัปของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นการปรับตัวขององค์กรเพื่อรองรับการพัฒนาของเทคโนโลยีและการแข่งขันที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของ ททท. ที่จะนำพาองค์กรสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงต่อไป

ทั้งนี้ ในช่วงเช้ามีการประกอบพิธีสักการะพระพุทธชัยวัฒน์ ประทานพร ททท. พิธีบวงสรวงเจ้าแม่จามเทวี พิธีสักการะรูปเหมือน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และพิธีสงฆ์เพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วนในช่วงบ่ายมีพิธีมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ และมอบประกาศเกียรติคุณ พร้อมของที่ระลึกให้แก่พนักงานอาวุโสที่มีอายุงานยาวนานและทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งนี้ ททท. ยังได้เชิญชวนให้หน่วยงานพันธมิตรร่วมบริจาคเงินสบทบทุนมูลนิธิสืบนาคะเสถียรอีกด้วย