“วัตสัน” จัดโปรโมชั่นสุดร้อนแห่งปี “ชิ้นที่ 2 ราคา 1 บาท”

กลับมาอีกครั้งกับโปรโมชั่นระดับตำนานสุดร้อนแรงแห่งปี! วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย จัดโปรโมชั่นเอาใจสาว ๆ ให้ได้เลือกของที่ถูกใจ ชิ้นที่ 2 ในราคา 1 บาท” โดยซื้อสินค้าที่ร่วมรายการชนิดเดียวกัน ชิ้นแรกในราคาปกติ ชิ้นที่สองเพียง 1 บาทเท่านั้น!

สินค้าชิ้นที่สอง 1 บาท รายการที่น่าสนใจ เช่น วัตสัน ทรีทเมนท์แว็กซ์ 500 มล.(เฉพาะสูตรที่ร่วมรายการ) ราคาชิ้นแรก 129 บาท ชิ้นที่สอง 1 บาท, วิสทร้า อเซเรล่าเชอรี่ 20 เม็ด ราคาชิ้นแรก 259 บาท ชิ้นที่สอง 1 บาท, เรฟลอน อัลตร้า เอชดีแมทลิปคัลเลอร์ / แมทลิป เมทัลลิค 5.9 กรัม (ทุกเฉด) ราคาชิ้นแรก 275 บาท ชิ้นที่สอง 1 บาท, ยูเซอรีน ไฮยาลูรอนมิสสเปย์ 50 มล. ราคาชิ้นแรก 220 บาท ชิ้นที่สอง 1 บาท, นีเวีย ซันเซรั่ม SPF50+ PA+++ 30 มล. (ทุกสูตร) ราคาชิ้นแรก 279 บาท ชิ้นที่สอง 1 บาท, วาสลีน เซรั่ม 320 มล. (ทุกสูตร) ราคาชิ้นแรก 249 บาท ชิ้นที่สอง 1 บาท เป็นต้น

พิเศษสำหรับสมาชิกวัตสัน พบกับสินค้าร่วมรายการที่มากกกว่า ได้แก่ วัตสัน สำลีแผ่นเช็ดหน้า 150 แผ่น (ฟรี 40%) ราคาชิ้นแรก 69 บาท ชิ้นที่สอง 1 บาท, โอปโซพ สบู่สครับกาแฟ 100 กรัม ราคาชิ้นแรก 290 บาท ชิ้นที่สอง 1 บาท, พฤกษา นกแก้ว ครีมอาบน้ำ 500 มล. (ทุกสูตร) ราคาชิ้นแรก 129 บาท ชิ้นที่สอง 1 บาท, วิตตี้ แมรี่ แอ็บโซลูทมิสท์ 110 มล. ราคาชิ้นแรก 249 บาท ชิ้นที่สอง 1 บาท, เฟรชไลท์ แฮร์คัลเลอร์ ครีมเปลี่ยนสีผม (ทุกเฉด) ราคาชิ้นแรก 299 บาท ชิ้นที่สอง 1 บาท, เป็นต้น

เริ่มช้อปกันได้เลยได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 27 มีนาคม 2562 นี ที่ร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศไทย โดยสามารถสังเกตสินค้าที่ร่วมรายการได้จากสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่บนตัวสินค้า หรือชอปออนไลน์ผ่านวัตสันออนไลน์ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สื่อ ณ จุดขาย Official Line WatsonsTH เว็บไซต์ www.watsons.co.th และแอปพลิเคชัน WatsonsTH ทั้ง PlayStore และ AppStore

“โฮมโปร แฟร์ หาดใหญ่” ลดสูงสุด 70% ถึง 3 มี.ค.62

นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)

alivesonline.com : “โฮมโปร” จัดใหญ่ยกขบวนความสุขลงใต้ จัด “โฮมโปร แฟร์” งานแฟร์เรื่องบ้าน ที่ทุกคนต้องมา ครั้งแรกรับปี 62 นำเทรนด์สินค้าใหม่จัดเต็มเอาใจนักแต่งบ้านครบทุกไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์ทุกครอบครัว ลดราคาสูงสุดกว่า 70% พร้อมสัมผัสที่สุดแห่งการบริการหนึ่งเดียวจาก “โฮมโปร” และโปรโมชันอัดแน่น ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 3 มี.ค. 2562 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่

นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)  ว่า งาน “โฮมโปร แฟร์ หาดใหญ่” ถือเป็นอีเวนต์แรกหลังจาก “โฮมโปร” ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีที่ให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้า การเพิ่มเทรนด์สินค้าใหม่ ๆ และสินค้าที่ตอบโจทย์ธุรกิจเอสเอ็มอี รวมถึงการเพิ่มศักยภาพช่องทางการจัดจำหน่าย Omni Channel ทำให้ “โฮมโปร แฟร์” ครั้งนี้ ถูกยกระดับความพิเศษไปอีกขั้น อีกทั้งหาดใหญ่ยังเป็นหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพ และกำลังซื้อสูง มีจำนวนนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก โดยการจัดงานในปี 2561 ที่ผ่านมา เราได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าชาวภาคใต้ และคาดว่าการจัดงานในครั้งนี้น่าจะได้ผลตอบรับที่ดีเช่นเคย

งาน “โฮมโปร แฟร์ หาดใหญ่ 2562” จัดขึ้น ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งเป็นแลนมาร์คสำคัญที่จะดึงดูดคนรักบ้านหลากสไตล์จากหัวเมืองใหญ่ภาคใต้มาไว้ในงานเดียว โดยงานแฟร์ครั้งนี้มีความพิเศษกว่าครั้งก่อน ด้วยเทรนด์เรื่องบ้านที่ “โฮมโปร” นำมาไว้ในงานแบบจัดเต็ม ทั้งอุปกรณ์ D.I.Y. ต่าง ๆ ที่พร้อมเนรมิตบ้านในฝันทุกสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นบ้านสไตล์ Loft, Green Living, Modern Luxury และสินค้านวัตกรรมใหม่ล่าสุด เพื่อตอบโจทย์ทุกคนภายในครอบครัว

นอกจากสินค้าไลฟ์สไตล์จัดเต็มตลอดทั้งงานแล้ว “โฮมโปร” ยังเพิ่มช่วงเวลาทองใน WEEKDAY STAR สินค้าลดพิเศษเฉพาะวัน เพียง 6 วันเท่านั้นคือ วันที่ 22, 25 ก.พ.-1 มี.ค.62 ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า, ทีวีแอลอีดี, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า และเฟอร์นิเจอร์สุดเก๋ พ่วงด้วยสินค้า Super Shock!! และ Shock Price จำนวนจำกัด ลดราคาสุด ๆ มาก่อนมีสิทธิ์ก่อน ทั้งเครื่องปรับอากาศ, ชุดเครื่องนอน, สุขภัณฑ์, ของตกแต่งบ้าน, เครื่องกรองน้ำ, วัสดุซ่อมแซมบ้าน, เครื่องใช้ในบ้าน, ที่นอน, เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าจาก BIKE CLUB เอาใจคนรักจักรยาน และเครื่องออกกำลังกาย ราคาสุดพิเศษ

คุ้มสุด ๆ กับโปรแรง 4 คุ้ม เริ่มด้วย

คุ้มแรก ชอปครบ…รับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่าสูงสุดถึง 42,000 บาท เมื่อชอปครบ 700,000 บาท รับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 22,000 บาท / ชอปครบ 400,000 บาท รับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 10,000 บาท / ชอปครบ 200,000 บาท รับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 4,000 บาท / ชอปครบ 100,000 บาท และชอปครบ 50,000 บาท รับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 1,500 บาท / ชอปวันจันทร์ – ศุกร์ รับเพิ่ม คูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จ 200 บาท เพื่อใช้ซื้อสินค้าในครั้งถัดไป พิเศษสำหรับสมาชิก HomePro Line Connect เพียงลงทะเบียนผ่าน QR Code รับฟรี คูปองส่วนลดรวมมูลค่ากว่า 300 บาท

คุ้ม 2 สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลตินั่ม และลูกค้าบัตรกรุงศรี รับส่วนลดทันที 3% ลดเพิ่ม 13% เมื่อแลกคะแนนเท่ายอดชำระ พร้อมเครดิตเงินคืนอีก 2% หรือผ่อนชำระทั้งงาน 0% นาน 4 เดือน

คุ้ม 3 สมาชิกบัตรโฮมการ์ด รับส่วนลดต่อเนื่องสูงสุดถึง 20% เมื่อใช้คะแนนเท่ายอดซื้อ และสมัครสมาชิกบัตรโฮมการ์ดวันนี้ รับฟรี บัตรกำนัลส่วนลด 100 บาท เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ พร้อมลงทะเบียนชอปก่อนใคร รับสิทธิพิเศษสุดคุ้ม รับฟรี Discount Voucher รวมมูลค่ากว่า 1,000 บาท แลกก่อนชอป..คุ้มสุด 100 คะแนน โฮมการ์ด เท่ากับ 100 บาท และเมื่อชอปครบ 12,000 บาท/ใบเสร็จ รับสิทธิ์ลุ้นของรางวัล Exclusive มากมาย เอาใจคนรักบ้าน

คุ้ม 4 เอาใจคนชอบแต่งบ้าน เมื่อซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แผนก The Power รับส่วนลดเพิ่มอีก 1,200 บาท และเมื่อซื้อที่นอน, ชุดเครื่องนอน รับส่วนอีก 400 บาท

“โฮมโปร” ยังเสิร์ฟความคุ้มสุดพิเศษให้กับชาวหาดใหญ่ เพียงใช้คะแนนในบัตรโฮมการ์ด หรือคะแนนจากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ อาทิ บัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลตินั่ม บัตรกรุงศรี กสิกร KTC กรุงเทพ และธนชาติ แลกของพรีเมียมฟรีที่จุดบริการ Point to shop บริเวณหน้าประตูทางเข้าฮอลล์ อาทิ พัดลมไอเย็น เตาแม่เหล็กไฟฟ้า หม้อหุงข้าว กาต้มน้ำ ราวแขวนผ้าปรับระดับได้ เครื่องออกกำลังกาย และอีกมากมาย

ห้ามพลาด! กับสินค้าเรื่องบ้านไอเดียล้น ในราคาสุดช็อก พร้อมโปรโมชันจัดเต็มความคุ้มแบบนี้ที่งาน “โฮมโปร แฟร์ หาดใหญ่” งานแฟร์เรื่องบ้าน ที่ทุกคนต้องมาที่เดียว ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 3 มีนาคม 2562 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.homeprofair.com

 

“เคป & แคนทารี โฮเทลส์” คว้า 19 รางวัล จาก Trip Advisor Awards 2019 พร้อมจัดโปรราคาพิเศษ

โรงแรมเคป กูดู เกาะยาวน้อย

alivesonline.com : อีกครั้งกับรางวัลอันทรงเกียรติจากผลโหวตและรีวิวของลูกค้าที่เข้าพักโรงแรมในเครือ “เคป & แคนทารี โฮเทลส์” ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

แต่ละรีวิวอันมีค่าจากลูกค้าที่ได้ให้ข้อมูลและคำชื่นชมไว้กับ Trip Advisor คือสิ่งยืนยันถึงคุณภาพของการให้บริการและความพึงพอใจของลูกค้าในระหว่างการเข้าพักซึ่งมี 15 โรงแรม จากจำนวนทั้งหมด 23 โรงแรมในเครือฯ ที่ได้รับ 19 รางวัลจาก Trip Advisor Awards 2019 ในสาขา Travellers’ Choice 2019 และประกาศนียบัตรชนะเลิศ ด้านการบริการยอดเยี่ยม (Certificate of Excellence)

สำหรับโรงแรมที่ได้รับรางวัล Travellers’ Choice 2019 ได้แก่โรงแรมเคป กูดู เกาะยาวน้อย ได้รับรางวัล 1 ใน 25 อันดับสูงสุดของโรงแรมสำหรับคู่รัก-ประเทศไทย (Top 25 Hotels for Romance – Thailand) โรงแรมเคปนิทรา หัวหิน ได้รับรางวัล 1 ใน 25 อันดับสูงสุด โรงแรมขนาดเล็กในประเทศไทย (Top 25 Small Hotels – Thailand) โรงแรมแคนทารี เบย์ ภูเก็ต และ โรงแรมแคนทารี บีช เขาหลัก ได้รับรางวัล 1 ใน 25 โรงแรมที่ราคาดีที่สุดในประเทศไทย (Top 25 Bargain Hotels – Thailand)

โรงแรมเคปนิทรา หัวหิน

ส่วนโรงแรมที่ได้รับรางวัลประกาศนียบัตรชนะเลิศด้านการบริการยอดเยี่ยม ได้แก่ โรงแรมเคป พันวา ภูเก็ต, โรงแรมเคป กูดู เกาะยาวน้อย, โรงแรมเคป เฮ้าส์ หลังสวน, โรงแรมเคป นิทรา หัวหิน, โรงแรมแคนทารี เบย์ ภูเก็ต, โรงแรมแคนทารี บีช เขาหลัก, โรงแรมแคนทารี โคราช, โรงแรมแคนทารี ฮิลส์ เชียงใหม่, โรงแรมแคนทารี เฮ้าส์ กรุงเทพ, โรงแรมแคนทารี เบย์ ระยอง, โรงแรมแคนทารี อยุธยา, โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี, โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อยุธยา, โรงแรมคลาสสิค คามิโอ ระยอง และโรงแรมซัมแวร์ เกาะสีชัง

โรงแรมเคป กูดู เกาะยาวน้อย

โรงแรมซัมแวร์ เกาะสีชัง

‘ธีรวัลคุ์ เตชะอุบล’ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการกลุ่ม โรงแรมในเครือ “เคป & แคนทารี โฮเทลส์” กล่าวว่า การได้รับรางวัลในครั้งนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จและความพยายามร่วมกันระหว่างผู้บริหารและพนักงานทุกระดับในการส่งมอบประสบการณ์และบริการอันเป็นเลิศ รวมทั้งบริการด้านห้องพักให้ลูกค้าทุกท่านไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพื่อมาท่องเที่ยวพักผ่อน หรือเพื่อเจรจาธุรกิจภายในโรงแรมทุกแห่งของเรา

“พวกเรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลทั้งหมดนี้ เพราะรางวัลที่ได้รับเป็นเสมือนคำมั่นสัญญาและแสดงถึงความมุ่งมั่นของพวกเราทุกคน ที่ต้องการบริการลูกค้าทุกท่านให้ได้มีช่วงเวลาที่ดีและมีคุณภาพ เมื่อพักอยู่ที่โรงแรมในเครือ เคป & แคนทารี โฮเทลส์”

ในโอกาสเดียวกันนี้ โรงแรมในเครือ “เคป & แคนทารี โฮเทลส์” ยังได้จัด โปรโมชัน “วีคเอนด์ สเปเชียล” กับ 17 โรงแรมในเครือ ในราคาสุดพิเศษสำหรับการพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ (ศุกร์-อาทิตย์) ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1,400 บาทสุทธิ/ห้อง/คืน ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2562 โดยพิมพ์คูปองส่วนลดจากเว็บไซต์ https://www.capekantaryhotels.com/pdf/Weekend2019.pdf

สำหรับโรงแรมที่ร่วมรายการได้แก่ โรงแรมเคป พันวา ภูเก็ต, โรงแรมแคนทารี เบย์ ภูเก็ต, โรงแรมเคป กูดู เกาะยาวน้อย, โรงแรมแคนทารี บีช เขาหลัก, โรงแรม เคป ราชา ศรีราชา, โรงแรมแคนทารี เบย์ ศรีราชา, โรงแรมคาราเวล เฮ้าส์ ศรีราชา, โรงแรมแคนทารี เบย์ ระยอง, โรงแรมคลาสสิค คามิโอ ระยอง, โรงแรมคามิโอ แกรนด์ ระยอง, โรงแรมแคนทารี อยุธยา, โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อยุธยา, โรงแรมคามิโอ โฮเทล บางปะกง, โรงแรมแคนทารี 304 ปราจีนบุรี, โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี, โรงแรมแคนทารี โคราช, และโรงแรมแคนทารี ฮิลส์ เชียงใหม่

โรงแรมเคป พันวา ภูเก็ต

โรงแรมแคนทารี เบย์ ระยอง

สิทธิพิเศษและเงื่อนไขสำหรับโปรโมชัน “วีคเอนด์ สเปเชียล”

1.ราคาค่าห้องสุทธิรวมอาหารเช้า 2 ท่าน สำหรับห้องพักทุกแบบ และอาหารเช้า 4 ท่าน สำหรับห้องพักแบบสวีท 2 ห้องนอน

2.คูปองนี้สงวนสิทธ์เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยเท่านั้น

3.คูปองนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับรายการส่งเสริมการขายอื่นได้,

4.โปรดแสดงคูปองส่วนลดต่อเจ้าหน้าที่โรงแรมเพื่อใช้สิทธิ์ในการใช้บริการและสำรองสิทธิ์การใช้บริการล่วงหน้า

5.คูปอง 1 ใบสามารถใช้สิทธ์ได้เพียง 1 ครั้ง และใช้จองห้องพักได้เพียง 2 ห้องเท่านั้น และไม่สามารถใช้กับกรุ๊ปทัวร์ สัมมนา หรือกรุ๊ปประชุมได้

6.บริษัทฯ ขอสงวนสิทธ์ในการเปลี่ยนแปลง แก้ไขรายการส่งเสริมการขายนี้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1627 หรือ www.capekantaryhotels.com

โรงแรมแคนทารี ฮิลส์ เชียงใหม่

 

 

 

เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านยานยนต์สมัยใหม่

‘รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย’ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (ที่ 2 จากซ้าย) ร่วมลงนามความร่วมมือด้านวิชาการกับ ‘ยงยุทธ โพธิ์ศิริสุข’ (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามมิตร มอเตอร์สแมนูแฟคเจอริง จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านลอจิสติกส์และการขนส่งระดับประเทศและระดับโลก เพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านยานยนต์สมัยใหม่ (BEV) และชิ้นส่วนยานยนต์สำหรับผู้ประกอบการลอจิสติกส์ (Logistics Service Provider) ซึ่งเป็นการส่งเสริมพลังงานสะอาด ลดปัญหามลพิษและฝุ่นละอองทางอากาศ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ รวมถึงถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างบุคคลากรเข้าสู่อุตสาหกรรม ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้

เผยความเชื่อมั่นซีอีโออาเซียนต่อเศรษฐกิจ ห่วงความขัดแย้งทางการค้า-การเมือง


alivesonline.com :
PwC ประเทศไทย เผยผลสำรวจ Global CEO Survey พบซีอีโออาเซียนเกือบครึ่งมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเติบโตลดลง ฉุดความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของรายได้ให้ลดลงตามไปด้วย สอดคล้องกับความเชื่อมั่นที่ซบเซาของซีอีโอทั่วโลก หลังเผชิญกับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงสภาพเศรษฐกิจขาลงของกลุ่มประเทศมหาอำนาจ โดยผู้นำธุรกิจอาเซียนตระหนักว่า AI จะเข้ามาปฏิวัติธุรกิจของพวกเขาในอีก 5 ปีข้างหน้า

นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจซีอีโอทั่วโลก ครั้งที่ 22 ประจำปี 2562 (PwC’s 22nd Annual Global CEO Survey) ที่ใช้ในการประชุมสมัชชาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) ณ กรุง ดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งสำรวจความคิดเห็นซีอีโอทั่วโลกจำนวน 1,378 รายใน 91 ประเทศ โดยในจำนวนนี้เป็นซีอีโอจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 78 ราย ว่า ซีอีโออาเซียนเชื่อว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้จะชะลอตัวจากปีก่อน คล้ายคลึงกันกับมุมมองของซีอีโอโลก โดยพบว่า ซีอีโออาเซียน 46% เชื่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีนี้จะลดลงจากปีก่อน เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีเพียง 10% ขณะที่ซีอีโอโลก 28% เชื่อว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้จะชะลอตัว เปรียบเทียบจากปีก่อนที่ 5%

ทั้งนี้ พบว่า 5 อันดับปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและรายได้ในสายตาของซีอีโออาเซียนในปี 2562 ได้แก่ ความขัดแย้งทางการค้า (83% เทียบกับโลกที่ 70%) ความไม่แน่นอนทางภูมิศาสตร์การเมือง (81% เทียบกับโลกที่ 75%) ความไม่แน่นอนของนโยบาย (78% เท่ากับโลก) กฎระเบียบข้อบังคับที่มากและเข้มงวดเกินไป (77% เทียบกับโลกที่ 73%) และ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก (73% เท่ากับโลก)

“ผลสำรวจในปีนี้สะท้อนให้เห็นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงขาลง โดยซีอีโอมองประเด็นเรื่องของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ความไม่แน่นอนทางการเมืองในหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงสภาพแวดล้อมของกฎระเบียบและนโยบายต่าง ๆ ที่มีความเข้มงวด หรือมีมากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันการเติบโต โดยในปีนี้เปอร์เซ็นต์ของซีอีโออาเซียนที่มีมุมมองในเชิงลบยังมีมากกว่าซีอีโลกด้วย ซึ่งแตกต่างจากปีก่อน ๆ ที่ผู้บริหารในฝั่งเอเชียมักมีความเชื่อมั่นมากกว่าซีอีโอจากฝั่งตะวันตก” นายศิระ กล่าว

นาย ศิระกล่าวอีกว่า สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ยังส่งผลให้ซีอีโออาเซียนมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจและกลยุทธ์ในการเติบโต โดย 29% มีการปรับกลยุทธ์ในการบริหารห่วงโซ่อุปทานและจัดหาวัตถุดิบ โดยหันไปส่งออกและหาแหล่งวัตถุดิบจากประเทศอื่นแทน รวมถึงชะลอการใช้จ่ายด้านการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ และคาดหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถเจรจากันได้ และอีก 17% เลือกที่จะเปลี่ยนกลยุทธ์ไปเติบโตในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม

ในส่วนของความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของรายได้ (Revenue growth) ของซีอีโออาเซียนในปีนี้ ผลสำรวจระบุว่า เปอร์เซ็นต์ความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของรายได้ในระยะ 12 เดือนข้างหน้านั้นลดลงจาก 44% ในปีก่อนเหลือ 33% ในปีนี้ ขณะที่ 39% ของซีอีโออาเซียนเชื่อมั่นว่า รายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเติบโต ลดลงจากปีก่อนที่ 53%

สำหรับ อุปสรรคสำคัญ 3 อันดับแรกที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจของซีอีโออาเซียน ได้แก่ 1. การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (82%) 2. ภัยคุกคามทางไซเบอร์ (81%)  และ 3. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว (72%)

“การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะทางด้านดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดจะส่งผลให้บริษัทสูญเสียโอกาสหลาย ๆ อย่าง ทั้งความสามารถทางการแข่งขัน การพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ รวมไปถึงการขยายสู่ตลาดใหม่ ๆ อีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจในอาเซียน”

ผู้นำธุรกิจอาเซียนยังมองด้วยว่า 3 อันดับตลาดน่าลงทุนที่จะช่วยผลักดันให้บริษัทของพวกเขาเติบโตได้ในปีนี้ ได้แก่ จีน (42%) รองลงมาคือ อินโดนีเซีย (24%) และอันดับที่สามคือ สหรัฐอเมริกา (21%) ตามลำดับ

นายศิระ กล่าวอีกว่า ผู้นำธุรกิจต่างตระหนักดีว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI กำลังเข้ามามีอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจทั่วโลก โดย 72% ของซีอีโออาเซียนคาดว่า การปฏิวัติของเอไอจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อโลก ยิ่งกว่าการปฏิวัติทางอินเทอร์เน็ตซึ่งเคยเกิดขึ้นในช่วงกลางของยุค 90s โดย 87% ยังเห็นด้วยว่า AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจของตนอย่างมีนัยสำคัญในอีก 5 ปีข้างหน้า

แต่อย่างไรก็ดี ผลสำรวจกลับพบว่า ธุรกิจอาเซียนเกือบ 40% ยังไม่มีการนำ AI เข้ามาใช้งานในปัจจุบัน ขณะที่อีก 32% มีแผนที่จะนำเอไอเข้ามาใช้งานในอีก 3 ปีข้างหน้า 28% มีการใช้งาน AI ในวงจำกัด และมีเพียง 4% ที่มีการใช้ AI อย่างกว้างขวางและเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติงานในองค์กร

“เรามองว่าสาเหตุสำคัญที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ยังคงไม่ตื่นตัวในการพัฒนา หรือลงทุนเพื่อนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในการทำงานอย่างจริงจัง แม้ว่าจะตระหนักถึงความสำคัญในจุดนี้น่าจะเป็นเพราะช่องว่างทางทักษะของแรงงานที่มีความรู้ไม่เพียงพอในการใช้งาน AI”

ทั้งนี้ ช่องว่างทางทักษะ (Skills Gap) ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัล เพราะปัจจุบันหลายธุรกิจประสบปัญหาการมีแรงงานที่มีทักษะในการทำงานน้อยกว่าที่คาด หรือมีคุณสมบัติไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดย 58% ของซีอีโออาเซียนยังมองว่า ปัญหานี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้องค์กรของพวกเขาไม่สามารถใช้งาน AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสูญเสียโอกาสในการแสวงหาตลาดใหม่ ๆ โดยผลกระทบรองลงมาคือ ทำให้ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่สูงเกินกว่าที่คาด ทั้งยังมีผลต่อคุณภาพและการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

“ในยุคที่หุ่นยนต์และระบบออโตเมชั่นเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจอย่างเช่นทุกวันนี้ ภาครัฐ ผู้นำองค์กร รวมถึงพวกเราทุกคนควรต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองด้วยการเพิ่มพูนทักษะใหม่และฝึกฝนอบรมทักษะเดิมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานทักษะทางด้านดิจิทัล การคิดวิเคราะห์ข้อมูล และการใช้เหตุผล ซึ่งผมมองว่าเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ส่วนตัวยังเชื่อว่าการเข้ามาของ AI จะเป็นไปในลักษณะของเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาสนับสนุนการทำงานประเภทที่ต้องทำซ้ำ ๆ และเปิดโอกาสให้แรงงานคนได้ไปใช้ทักษะในด้านอื่นมากกว่าเข้ามาแย่งงาน แต่นั่นแปลว่าเราก็ต้องรู้จักวิธีที่จะสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย ขณะที่สถาบันการศึกษาควรส่งเสริมหลักสูตร STEM อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแนวทางการจัดการศึกษาให้เกิดการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ให้แก่บุคลากรที่กำลังจะถูกป้อนออกสู่ตลาดแรงงาน โดยไม่ลืมที่จะปลูกฝังทักษะทางด้านอารมณ์ควบคู่กัน” นายศิระ กล่าวในตอนท้าย

“ทีเส็บ” โชว์แนวคิดตั้งสำนักงานภูมิภาค


alivesonline.com :
ยก “หาดใหญ่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา” ใช้อุตสาหกรรมไมซ์พัฒนาพื้นที่และสร้างรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน “ทีเส็บ” เตรียมแผนจัดตั้งสำนักงานสาขาภูมิภาค เร่งทำงานและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ในระยะยาว พร้อมผลักดัน “8 ไฮไลท์” โครงการไมซ์เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย เผยผลประกอบการไตรมาสแรกประจำปีงบประมาณ 62 (ต.ค.-ธ.ค.61) มีจำนวนนักเดินทางไมซ์ในและต่างประเทศรวมกว่า 6
,653,524 คน สร้างรายได้กว่า 42,525 ล้านบาท

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า การดำเนินงานของ “ทีเส็บ” ในช่วงที่ผ่านมายึดหลักตามนโยบายรัฐบาลในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของการพัฒนาชุมชนและกระจายรายได้สู่ภูมิภาคซึ่งใช้อุตสาหกรรมไมซ์เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาทั้งบุคลากรและเมืองสำคัญ ๆ หลายแห่งจนประสบความสำเร็จอย่างดีนอกเหนือจากไมซ์ซิตี้ทั้ง 5 แห่งคือ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ และขอนแก่น

อย่างไรก็ตาม “ทีเส็บ” ยังไม่มีแผนประกาศไมซ์ซิตี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีองค์ประกอบหลาย ๆ ด้านที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในเรื่องของศักยภาพพื้นที่และงบประมาณการก่อสร้างศูนย์ประชุมและจัดแสดงนิทรรศการซึ่งอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ หรือคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว แต่ในแง่ของการพัฒนาชุมชนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันโดยมีอุตสาหกรรมไมซ์เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและรายได้อย่างยั่งยืนซึ่งพบว่าหลายแห่งมีพัฒนาการที่เด่นชัดเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา เช่น หาดใหญ่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา เป็นต้น

“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทีเส็บ ยังมีการทำงานร่วมกับหลาย ๆ หน่วยงานในภูมิภาคต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เช่น กรมส่งเสริมสหกรณ์ สถาบันการศึกษา และชุมชนต่าง ๆ จึงมีแนวคิดที่จะสร้างการรับรู้และผลักดันเรื่องอุตสาหกรรมไมซ์ให้กระจายในวงกว้างมากขึ้น โดยเตรียมจัดตั้งสำนักงานสาขาทีเส็บในภูมิภาคต่าง ๆ พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารในระดับผู้อำนวยการสำนักงาน เทียบเท่าหัวหน้ากลุ่มจังหวัด โดยเบื้องต้นอาจจะยังประจำการ ณ สำนักงานส่วนกลาง แต่จะมีการทำงานและประสานกับภูมิภาคต่างอย่างใกล้ชิด เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ในระยะยาวต่อไป ส่วนจะเริ่มจัดตั้งสำนักงานในพื้นที่ใดบ้างนั้นคงต้องศึกษารายละเอียดต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง”

เชื่อมโยงการพัฒนาไมซ์ในทุกระดับ

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2562 ทีเส็บยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ตามยุทธศาสตร์ 20 ปีของรัฐบาลที่สอดคล้องกับการดำเนินงาน 2 ยุทธศาสตร์ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และยุทธศาสตร์ที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลางบริหารงานไมซ์แบบบูรณาการอย่างเท่าเทียมและโปร่งใส โดยมียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายและเชื่อมโยงการพัฒนาไมซ์ในทุกระดับกระจายไมซ์สู่ภูมิภาคทั่วทุกพื้นที่ วางยุทธศาสตร์ด้านพื้นที่ในเมืองหลักไมซ์ซิตี้ และกระจายไมซ์สู่เมืองรองทั่วประเทศ

การดำเนินงานตามแผนงานดังกล่าวเป็นการตอบโจทย์ด้วย 8 ไฮไลท์โครงการไมซ์เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.พัฒนา 25 เส้นทางไมซ์ใน 5 เมืองไมซ์ซิตี้ และกระจายสู่เมืองรองอีก 5 เมือง รวมพัฒนาเส้นทางไมซ์ไม่ต่ำกว่า 50 เส้นทาง ร่วมกับสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. และผู้ประกอบการสถานที่จัดงานทั่วประเทศ 2.พัฒนาการศึกษาไมซ์ทั่วประเทศ ภายใต้โครงการเครือข่ายการศึกษาไมซ์ ร่วมกับสถาบันการศึกษาหลักใน 5 ภูมิภาค ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และวิทยาลัยดุสิตธานี

3.พัฒนาโมเดลและแผนงานหลักไมซ์ซิตี้ 5 เมือง ร่วมกับจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ และผู้ประกอบการภาคเอกชน 4.โครงการไมซ์เพื่อชุมชน ร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ ขยายความร่วมมือกับสหกรณ์จาก 30 แห่ง ให้เป็น 100 แห่ง ส่งเสริมให้สหกรณ์เป็นสถานที่จัดประชุมสัมมนา และเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกลุ่มองค์กรภาครัฐและเอกชนร่วมทำกิจกรรมไมซ์สร้างเศรษฐกิจกระจายรายได้ให้กับชุมชน 5.โครงการแข่งขันโปรโมทไมซ์ภูมิภาค ร่วมกับ สถาบันการศึกษาของผู้บริหารระดับสูงจากทุกภาคส่วน หน่วยงานพันธมิตรจากภาครัฐ เอกชนและกิจการเพื่อสังคม ตลอดจนเครือข่ายมหาวิทยาลัย

6.โครงการส่งเสริมการตลาดเพิ่มจำนวนงานไมซ์ภายใต้อุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 อุตสาหกรรมของรัฐบาล ร่วมกับภาครัฐและเอกชน รวมถึงไทยทีมอุตสาหกรรมไมซ์ทั้งในและต่างประเทศ เช่น สถานทูต ททท. สมาคม สมาพันธ์ หอการค้า สายการบิน เช่น การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ เป็นต้น 7.           โครงการพัฒนาข้อมูลอัจฉริยะและนวัตกรรมไมซ์ ร่วมกับภาครัฐและเอกชน เช่น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. และสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เป็นต้น 8.โครงการประชุมรับฟังการส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยคุณธรรมและความโปร่งใสของทีเส็บ ร่วมกับภาคเอกชนอุตสาหกรรมไมซ์

สรุปผลประกอบการไตรมาสแรก ปีงบประมาณ 62

นายจิรุตถ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกประจำปีงบประมาณ 2562 (ต.ค.-ธ.ค.61) มีจำนวนนักเดินทางไมซ์ในและต่างประเทศรวมกว่า 6,653,524 คน สร้างรายได้กว่า 42,525 ล้านบาท โดยในส่วนของตลาดไมซ์ในประเทศ มีนักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศเดินทาง จำนวน 6,412,117 ราย ก่อให้เกิดรายได้ 24,494 ล้านบาท ส่วนจังหวัดที่มีนักเดินทางไมซ์ในประเทศสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และขอนแก่น

ขณะที่ตลาดต่างประเทศมีจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์เดินทางเข้ามายังประเทศไทย 241,407 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.48 ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางมายังประเทศไทยทั้งหมด สร้างรายได้ให้ประเทศไทยรวม 18,031 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายสูงสุด 3 อันดับแรกคือ ค่าที่พัก ค่าอาหารและเครื่องดื่ม และค่าซื้อสินค้าและของที่ระลึก

กลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนนักเดินต่างประเทศขยายตัวอย่างน่าสนใจคือ การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ (Exhibitions) ขยายตัวร้อยละ 60.66 อันเป็นผลจากทั้งปัจจัยภายนอกประเทศ โดยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดี และความเชื่อมั่นของนักเดินทางกลุ่มไมซ์ยังอยู่ในเกณฑ์ดีจากการเร่งทำการตลาดของหน่วยงานภาครัฐและการดำเนินการกระตุ้นการเดินทางของภาคเอกชน มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival (VOA) ที่เริ่มมีผลเมื่อวันที่ 15 พ.ย.61 ซึ่งเอื้อต่อการเดินทางมาประเทศไทยของกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ อาทิ จีน อินเดีย มาเลเซีย เป็นต้น รวมถึงบรรยากาศภายในประเทศที่เอื้อต่อการเดินทางการเปิดเส้นทางการบินจากประเทศในกลุ่มอาเซียนมาไทยมากขึ้น และความสามารถบริหารจัดการของสายการบินและสนามบินที่ส่งผลให้ท่าอากาศยานหลักสามารถรองรับนักเดินทางได้ดีขึ้นด้วย

จากข้อมูลพบว่านักเดินทางกลุ่มไมซ์จากต่างประเทศสูงสุด 5 อันดับ ล้วนเป็นนักเดินทางธุรกิจจากเอเชีย ได้แก่ จีน 85,498 ราย ลาว 29,547 ราย มาเลเซีย 21,352 ราย อินโดนีเซีย 21,051 ราย และญี่ปุ่น 19,205 ราย ซึ่งนักเดินทางไมซ์จากภูมิภาคเอเชียมีความสำคัญหรือมีสัดส่วนสูงที่สุดของกิจกรรมไมซ์นานาชาติทุกประเภทที่จัดในประเทศไทย เหตุผลสำคัญคือ เทรนด์โลกด้านการเดินทางเป็นการเดินทางระยะสั้นภายในภูมิภาค ประเทศเพื่อนบ้านใช้เวลาเดินทางมาไทยน้อยกว่าประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ และมาตรการของรัฐบาลในการส่งเสริมการขาย อาทิ การยกเลิกค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา เป็นต้น

ด้านจำนวนการจัดงานไมซ์นานาชาติในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 275 งาน จำแนกเป็นการประชุมสัมมนา (Meetings) 37 งาน การจัดงานอินเซนทิฟ หรือการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentives) 153 งาน การประชุมนานาชาติ (Conventions) 16 งาน และการจัดงานแสดงสินค้า (Exhibitions) 19 งาน โดยการจัดอินเซนทิฟให้กับพนักงานขององค์กร มีจำนวนงานสูงสุดมากกว่าครึ่งหนึ่งของการจัดงานทั้งหมด

สำหรับการจัดกิจกรรมไมซ์ในประเทศไทยของต่างชาตินั้นนับได้ว่า ภาคกลางเป็นสถานที่สำคัญที่สุดสำหรับการจัดงานไมซ์นานาชาติทุกประเภท โดยมีการจัดงานคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 82.18 โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ และเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เพราะมีศูนย์ประชุม โรงแรมสำหรับการประชุม หรือการจัดแสดงสินค้าหรือนิทรรศการที่มีขนาดใหญ่และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนและได้มาตรฐานสากล ซึ่งหลายแห่งได้รับการรับรอง Thailand MICE Venue Standard (TMVS) มีห้องประชุมสัมมนาหลายขนาดที่เหมาะสมสำหรับการจัดประชุมทุกขนาดและทุกระดับ รวมถึงความสะดวกด้านการเดินทาง ตลอดจนกิจกรรมในการพักผ่อนหย่อนใจภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการประชุม รองลงมาเป็นภาคใต้ที่มีสัดส่วนร้อยละ 9.09 และภาคเหนือ ร้อยละ 6.18

โชว์แผนพัฒนาไมซ์ตามนโยบายรัฐบาล

นายจิรุตถ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงผลงานเด่นในการส่งเสริมการตลาดและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ตามนโยบายรัฐบาลในไตรมาสแรกภายใต้ 3 เป้าหมายยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ การสร้างรายได้ เช่น 1.การสนับสนุนการจัดงาน และประมูลสิทธิงานไมซ์ต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย (Event Support/Subsidy and Bidding) ทั้งสิ้นจำนวน 119 งาน โดยสนับสนุนงานเด่น เช่น การประชุมสัมมนาของกลุ่มอินเซนทิฟ ประเทศจีน 2018 Sunhope Thailand Incentive Group นำนักธุรกิจขายตรงของจีนมาร่วมกว่า 1 หมื่นคน การประชุมนานาชาติ BNI Global Convention 2018 ของสมาชิกจากทั่วโลกกว่า 4 พันคน โดยตลอด 30 ปีที่ผ่านมางานประชุมนี้จัดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา แต่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเป็นประเทศแรก เพราะศักยภาพของประเทศและนักธุรกิจไทย รวมถึงงานแสดงสินค้าเทคโนโลยีและการประชุมพลังงานเพื่ออนาคตแห่งเอเชีย Future Energy Asia 2018 ที่มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 8 พันคน

2.การกระจายรายได้สู่ภูมิภาค เช่น การสนับสนุนการจัดงาน ยกระดับงาน และสร้างงานไมซ์ในประเทศไทย (Event Support/Subsidy and New Event) ทั้งสิ้นจำนวน 9 งาน เช่น การสนับสนุนการจัดประชุมวิชาการสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ครั้งที่ 33 และการประชุมสามัญประจำปี 2561 ของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย จ.ชลบุรี การยกระดับงานเทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง” เพื่อกำหนดตำแหน่งยุทธศาสตร์ไมซ์ซิตี้จังหวัดเชียงราย ในฐานะเมืองแห่งการเรียนรู้ด้านการบริการจัดการเป็นเลิศ ศูนย์รวมโครงการหลวงของภาคเหนือ และการสร้างงานแสดงสินค้าใหม่งานข้าวหอมมะลิโลก RICE Expo 2018 จ. ร้อยเอ็ด รวมถึงการขยายการส่งเสริมตลาดไมซ์ในประเทศและขยายตลาดในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS/CLMV/SEZ) จำนวน 8 งาน เช่น การจัดประชุมสัมมนาของบริษัทประกัน Prudential ประเทศเวียดนาม และการจัดประชุมสัมมนาของผู้ผลิตสินค้าปุ๋ย Armo Fertilizer ประเทศเมียนมาร์ เป็นต้น

3.การพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรม เช่น การจัดประชุมมาตรฐานสถานที่จัดงานอาเซียนครั้งที่ 7 โดยมีผู้แทนจากสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม 7 ประเทศ การจัดสัมมนาด้านข้อมูลและนวัตกรรมไมซ์ MICE Intelligence and Innovation Conference สร้างความรู้ความเข้าใจและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนวัตกรรมไมซ์ และการอำนวยความสะดวกการเข้าเมืองของนักเดินทางไมซ์เข้าสู่ประเทศไทยจำนวนถึง 45 งาน (MICE Lane) เป็นต้น

นายจิรุตถ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ภายใต้แผนการดำเนินงานและโครงการหลักในปี 2562 คาดว่าประเทศไทยจะมีโอกาสต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์ รวมทั้งสิ้นประมาณ 35,982,000 คน และสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศได้ประมาณ 221,500 ล้านบาท แบ่งเป็นนักเดินทางกลุ่มไมซ์ต่างประเทศประมาณ 1,320,000 คน สร้างรายได้ให้ประเทศได้ 100,500 ล้านบาท นักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศประมาณ 34,662,000 คน สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศ 121,000 ล้านบาท

ผลวิจัย Employee Perspective 4.0

alivesonline.com : “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” ผู้นำที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมแรงงานกว่า 80 ประเทศทั่วโลกและในประเทศไทย จัดทำผลการวิจัยเรื่อง “พฤติกรรมการใช้เงิน การดำเนินชีวิต และความคิดเห็นที่มีต่อการทำงานของคนรุ่นใหม่ 4.0” (Employee Perspective 4.0) มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 1,515 คน แบ่งเป็นเพศหญิง ร้อยละ 60 เพศชาย ร้อยละ 33 และเพศอิสระร้อยละ 7 ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามเกิดในยุค Gen M ปี พ.ศ.2523-2540 อายุระหว่าง 21-38 ปี มากที่สุด ร้อยละ70 รองลงมาร้อยละ 24 เกิดในยุค Gen X ปี พ.ศ.2508-2522 อายุระหว่าง 39-53 ปี ร้อยละ 6

ระดับการศึกษาสูงสุด หรือที่กำลังศึกษาอยู่คือ ระดับปริญญาตรีมากที่สุด ร้อยละ 54 รองลงมาระดับปริญญาโท ร้อยละ 33 โดยส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชนมากที่สุด ร้อยละ 44 รองลงมา อาชีพอื่น ๆ ร้อยละ 19 อาชีพอิสระ ร้อยละ 14 ตามลำดับ

ส่วนใหญ่มีรายได้รวมทั้งครอบครัวต่อเดือนมากกว่า 70,000 บาท มากที่สุด ร้อยละ 36 รองลงมา ร้อยละ 16 มีรายได้รวม 60,001-70,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีรายได้ส่วนตัวต่อเดือน 20,001-30,000 บาท มากที่สุด ร้อยละ 23 รองลงมา ร้อยละ 22 มีรายได้ 10,001-20,000 บาท ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน ส่วนใหญ่มีที่อยู่อาศัยในปัจจุบันเป็นบ้านส่วนตัวมากที่สุด ร้อยละ 56 รองลงมา ร้อยละ 25 อาศัยอยู่หอพัก / อะพาร์ตเมนท์

เมื่อพิจารณาแจกแจงความถี่ร่วม (Crosstabs) จำแนกตามช่วงปีการเกิดกับรายได้ส่วนตัวต่อเดือน พบว่า Gen B (Baby Boomer) ปี พ.ศ.2489-2507 อายุระหว่าง 54-72 ปี ส่วนใหญ่มีรายได้ 50,001-60,000 บาท Gen X ปี พ.ศ. 2508-2522 อายุระหว่าง 39-53 ปี ส่วนใหญ่มีรายได้ 20,001-30,000 บาท Gen M ปี พ.ศ. 2523-2540 อายุระหว่าง 21-38 ปี ส่วนใหญ่มีรายได้ 10,001-20,000 บาท และ Gen Z ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นไป อายุ 20 ปีลงไป ส่วนใหญ่มีรายได้ ต่ำกว่า 10,000 บาท

ทั้งนี้ เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษากับรายได้ส่วนตัวต่อเดือน พบว่า ระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท ระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่มีรายได้ 10,001-20,000 บาท ระดับปริญญาโท ส่วนใหญ่มีรายได้ 30,001-40,000 บาท กับ 60,001 บาทขึ้นไป โดยมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน และระดับปริญญาเอก ส่วนใหญ่มีรายได้ 40,001-50,000 บาท บาท

ปี 61 คนไทยว่างงานลดลง 0.04%


alivesonline.com :
ทิศทางตลาดแรงงานไทยชะลอตัว เหตุภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวนจากสงครามการค้าสหรัฐ
-จีน แม้ภาวะการว่างงานปี 61 ลดลง 0.04% แต่คนรุ่นใหม่ยังเลือกงานมากขึ้น “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย” แนะองค์กรธุรกิจเตรียมรับมือเร่งพัฒนาคนด้านทักษะแรงงานและด้านการศึกษา โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี เผยผลประกอบการปี 61 กวาดรายได้ 4.5 พันล้านบาท เติบโต 12% เร่งพัฒนานวัตกรรมแรงงานตอบโจทย์ตลาด พร้อมวิเคราะห์ 10 อันดับสายงานที่เป็นที่ต้องการของแรงงาน รวมถึงธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานสูงสุด

นายไซมอน แมททิวส์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย แถบตะวันออกกลาง และเวียดนาม “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” ผู้นำที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมแรงงานกว่า 80 ประเทศทั่วโลกและในประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะที่ในประเทศไทยมีนโยบายการลงทุนด้านการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor Development (EEC) อีกทั้งการที่ภาครัฐได้กำหนดนโยบายการปฏิรูประดับประเทศโดยเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-Curve ที่เป็นการพัฒนาและต่อยอดกลุ่มธุรกิจเดิมที่มีศักยภาพ ทำให้ประเทศไทยควรต้องมีการส่งเสริมพัฒนาคนด้านทักษะแรงงานและด้านการศึกษา โดยเฉพาะภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต้องเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะทักษะความรู้ทางด้านเทคโนโลยี (High-Tech Skill) ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงมากในปัจจุบัน

จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนและการแข่งขันทางธุรกิจ หลายองค์กรมุ่งการบริหารจัดการบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับการให้บริการของ “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” ในบทบาทที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมแรงงาน เราจึงพัฒนาบริการและโซลูชั่นที่มีความยืดหยุ่นรองรับกับลูกค้าทุกกลุ่มธุรกิจ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ด้วยการบริการหลากหลายรูปแบบ ทั้งการจ้างงานแบบประจำ งานชั่วคราว งานสัญญาจ้าง รวมไปถึงงานรับเหมาประเภทต่าง ๆ  นอกจากนี้ ยังตอบโจทย์ยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) ด้วยการให้บริการแรงงานข้ามชาติ (Borderless Talent Solutions) และการให้บริการสรรหาผู้บริหารระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะทาง (Experis) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการสูงในปัจจุบัน ถือว่าสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ EEC ที่ต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านด้านต่าง ๆ รองรับการลงทุนจากทั้งจากภาครัฐ เอกชนและนักลงทุนต่างชาติ

นายไซมอน กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับผลประกอบการของ “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” ประเทศไทย ในปี 2561 มีผลประกอบการ 4.5 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 12% โดยในปี 2562 จะยังคงมีการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นสัดส่วน 10% ของรายได้ แบ่งเป็นการลงทุนทางด้านออนไลน์ 70% และออฟไลน์ 30% อีกทั้งยังได้ทำการสำรวจกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการเพื่อนำมาปรับปรุงการให้บริการที่ตรงกับความต้องการลูกค้าเสมอมา

เผยกลยุทธ์รับมือประเทศไทย 4.0

นายวรรณชัย ไพบูลย์บารมี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” กล่าวว่า ในปี 2562 ถือเป็นปีการดำเนินงานปีที่ 21 ของ “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย” จึงมีแผนขยายงานทั้งในส่วนของการบริการ การพัฒนาด้านนวัตกรรมแรงงาน และจัดหาแรงงานที่ตอบโจทย์ตลาด โดยได้รับการตอบรับที่ดีด้วยความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และแรงงานทุกระดับ ครอบคลุมตั้งแต่องค์กรขนาดใหญ่จนถึงธุรกิจเอสเอ็มอีที่ใช้บริการสรรหาบุคลากรด้านการขายและการบริการลูกค้า

ปัจจุบัน “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” มีสัดส่วนลูกค้าแบ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ 35% อุตสาหกรรมด้านการผลิต เช่น ยานยนต์ อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และโลจิสติกส์ 25% และกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี เช่น พนักงานขาย ล่ามภาษาจีน และอื่น ๆ 15% กลุ่มแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง 15% ซึ่งยังมีบริการพิเศษเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นสายงานที่ต้องการแรงงานเฉพาะทาง เพื่อเข้ามาตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0 อาทิ ทักษะความเชี่ยวชาญด้านโรโบติกส์และ AI โดยกลุ่มนี้ต้องมีการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ และกลุ่มอื่น ๆ อีก 10%

นายวรรณชัย กล่าวด้วยว่า “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” มีกลยุทธ์ 3 ส่วนหลักในการรับมือการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ คือ 1.มุ่งเน้นการบริการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง 2.การพัฒนาบุคลากรของเราให้มีความเชี่ยวชาญและปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งการมีนวัตกรรมในองค์กร 3.การพัฒนาด้านเทคโนโลยีในกระบวนการด้านทรัพยกรบุคคลเชื่อมต่อกับพนักงาน ลูกค้าและผู้สมัครงานเพื่ออำนวยความสะดวกและง่ายต่อการเข้าถึง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเรามีบริการ Business Solutions ที่มาช่วยตอบโจทย์ในเรื่องของการบริหารจัดการแรงงานในเชิงนวัตกรรม คำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของลูกค้า โดยเข้าไปทำงานร่วมกับลูกค้าในการบริหารจัดการกลุ่มแรงงานที่ลูกค้าต้องการด้วยการบริหารเชิงผลลัพธ์ผ่านตัวชี้วัดของงาน ซึ่งเป็นบริการแบบเต็มรูปแบบ ทำให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายและยังลดภาระด้านการบริหารจัดการแรงงานด้วย พร้อมยังมีบริการส่งออกแรงงานเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของลูกค้าที่มีการลงทุนไปยังประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม AEC ถือเป็นแผนรับมือของ แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ที่สอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในยุค 4.0”  นายวรรณชัย กล่าวในตอนท้าย

วิเคราะห์ภาพรวมตลาดแรงงานปี 61 – แนวโน้มปี 62

ทางด้าน นางสาวสุธิดา กาญจนกันติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แมนพาวเวอร์กรุ๊ป กล่าวว่า จากผลการสำรวจอัตราความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันมีสัดส่วนความต้องการ ดังนี้ 10 อันดับสายงานที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ได้แก่ 1.งานขายและการตลาด 22.65% 2.งานบัญชีและการเงิน 12.16% 3.งานวิศวกรและการผลิต 8.62% 4.งานไอที 8.11% 5.งานธุรการ 7.15% 6.งานบริการลูกค้า 6.39 % 7.งานระยะสั้นต่าง ๆ 6.28% 8.งานระดับผู้บริหาร 5.63% 9.งานทรัพยากรบุคคล 5.02 % 10.งานโลจิสติกส์ 3.04%

ส่วน 10 อันดับแรกสายงานที่เป็นที่ต้องการของแรงงาน ได้แก่ 1.งานขายและการตลาด 22.57% 2. งานวิศวกร 13.42% 3.งานธุรการ 11.48% 4.งานทรัพยากรบุคคล 8.66% 5.งานบัญชีและการเงิน 8.57% 6.งานบริการลูกค้า 8.26% 7.งานโลจิสติกส์ 6.42 % 8.งานไอที 4.73% 9.งานระดับผู้บริหาร 4.18 %และ 10.งานด้านการผลิต 4.14 %

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานสูงสุด 3 อันดับแรกคือ ธุรกิจการบริการ ได้แก่ ขนส่งและโลจิสติกส์ ค้าปลีกค้าส่ง, บริการเฉพาะกิจและที่ปรึกษาด้าน ๆ รองลงมาคือ ธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์ , วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร, ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ อันดับสามคือ ธุรกิจด้านเทคโนโลยี ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

“ในภาพรวมของสถานการณ์ตลาดแรงงานแม้จะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่อัตราการว่างงานในปี 2561 ลดลงประมาณ 0.04% คิดเป็นจำนวน 1.1 หมื่นคน จากจำนวนผู้ว่างงานทั้งหมด 4 แสนคน ในขณะที่มีผู้มีงานทำประมาณ 38 ล้านคน ไม่รวมแรงงานนอกระบบ 20 ล้านคน โดยคาดว่าในปี 2562 ภาวะการว่างงานอาจเพิ่มขึ้นประมาณ 1.0-1.2% อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจผันผวนอันเนื่องมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน รวมถึงผลกระทบจากภาคการผลิตด้านการส่งออกซึ่งอาจต้องมีการปรับลดพนักงานลง โดยเฉาะปัจจัยหลักคือคนรุ่นใหม่เลือกงานมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่บางสาขาอาชีพมีการปรับลดวุฒิการศึกษาลงมาแล้ว เช่น พนักงานขาย พนักงานบริการ และอื่น ๆ ที่เคยรับผู้มีวุฒิปริญญาตรีก็ลดเหลือเพียงวุฒิ ปวส. หรือ ปวช. แต่ก็ยังคงขาดแคลนกำลังแรงงาน”

“อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีปัจจัยบวกจากการที่เข้าสู่นโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ซึ่งเป็นนโยบายการปฏิรูปประเทศไทย และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล หรือ Digital Transformation ทำให้ภาครัฐ ภาคธุรกิจ ตลาดแรงงาน และภาคการศึกษาทุกฝ่ายตื่นตัว มีการตั้งรับและวางแผน รวมถึงบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนตนเอง องค์กรและประเทศไทยก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน จึงนับเป็นความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องรับมือให้ทันกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป”  นางสาวสุธิดา กล่าวในตอนท้าย

SMARTFINN ผุดแพลตฟอร์มแมทช์ชิ่งขายฝากอสังหาฯ

alivesonline.com : SMARTFINN พัฒนาแพลตฟอร์มขายฝากออนไลน์แก้ปัญหานายทุนนอกระบบ เน้นจุดเด่นสร้างความพอใจทั้งสองฝ่ายภายใต้อัตราที่กฎหมายกำหนด ตั้งเป้าปี 62 แมทช์ชิ่งดีลมากกว่า 1 พันสัญญา คิดเป็นมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท หวังช่วยเอสเอ็มอีไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นเพื่อกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

นางสาวปริสุทธิ์ รัตนมหาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สมาร์ทฟินน์ โซลูชั่นส์ จำกัด (SMARTFINN) เปิดเผยว่า ธุรกิจขายฝากมีมูลค่ารวม 3 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะการขายฝากอสังหาริมทรัพย์มีมานานกว่า 60 ปี แต่ที่ผ่านมาผู้ที่นำทรัพย์ของตนมาขายฝากมักต้องเผชิญกับข้อเสนอที่ไม่ค่อยเป็นธรรมนัก เพราะรูปแบบการซื้อฝากขายฝากมักมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด ส่วนผู้รับซื้อฝากก็อาจติดขัดเรื่องระยะเวลาการเดินทางไปดูทรัพย์ที่จะมาขายฝาก

ด้วยช่องว่างจากปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น SMARTFINN จึงสร้างแพลตฟอร์มแมทช์ชิ่งการขายฝากอสังหาริมทรัพย์ระหว่างผู้ต้องการเงินกับนักลงทุน โดยนำช่องทางเทคโนโลยีมาใช้ผ่านช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ www.smartfinn.co.th ให้เกิดประโยชน์กับผู้ขายฝากและผู้รับซื้อฝากในข้อตกลง (Deal) ที่เป็นธรรมและมีมาตรฐานซึ่งจะเป็นการช่วยผู้ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรือมีภาระหนี้ที่ไม่สามารถกู้ หรือขอวงเงินจากสถาบันการเงินได้ ให้เป็นทางเลือกของธุรกิจเอสเอ็มอีไม่ต้องไปพึ่งนายทุนนอกระบบ โดยนักลงทุนกับผู้ขายฝากสามารถเสนอราคา หรือ Bidding Rate กันได้ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้ทั้ง 2 ฝ่ายภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนด

“จากแพลตฟอร์มดังกล่าว นักลงทุนจะมีอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงกว่าเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันวงเงิน รวมถึงได้ช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ ทั้งยังเป็นเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ธุรกิจเอสเอ็มอีได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น เพราะนอกจาก SMARTFINN จะเป็นแพลตฟอร์มแมทช์ชิ่งที่เสนอราคาแข่งขันกันได้แล้ว ยังมีจุดเด่นที การตรวจสอบมูลค่าทรัพย์สินเป็นหลัก โดยบริษัทประเมินที่มีมาตรฐาน ใช้เวลาอนุมัติเร็วไม่เกิน 2 สัปดาห์เท่านั้น”

นางสาวปริสุทธิ์ กล่าวอีกว่า จากการดำเนินการมาตลอดระยะเวลาร่วม 2 ปี SMARTFINN มีผลตอบรับที่ดี เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนของสถาบันการเงิน เนื่องจากสถาบันการเงินต่างมีหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อ จึงทำให้ SMARTFINN เป็นตัวเลือกที่สำคัญที่ช่วยนำแพลตฟอร์มมาเชื่อมโยง ผู้ที่ต้องการเงินทุนและมีอสังหาริมทรัพย์เข้ากับผู้ที่มีเงินและต้องการผลตอบแทนมาพบกัน

สำหรับผลประกอบการในปี 2561 SMARTFINN สามารถแมทช์ชิ่งดีลให้ลูกค้าได้กว่า 260 ดีล เป็นมูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท ส่วนในปี 2562 ตั้งเป้าหมายแมทช์ชิ่งดีลให้ได้มากกว่า 1 พันสัญญา คิดเป็นมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท โดยปัจจุบันมีผู้เข้ามาลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์ม www.smartfinn.co.th และโทรศัพท์เข้ามาร่วม 5 พันราย โดย SMARTFINN สามารถแมทช์ชิ่งดีลได้แล้วกว่า 300 ดีล ยังอยู่ในระยะรอผลอีกประมาณ 200 ราย

“ธุรกิจเอสเอ็มอีมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งยังทำให้เกิดการสร้างงานและกระจายรายได้ เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจให้มีการเติบโต ที่สำคัญยังเป็นหน่วยธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศสูงมาก แต่ปัญหาและอุปสรรคของธุรกิจเอสเอ็มอีไทยคือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่ง SMARTFINN เล็งเห็งถึงปัญหานี้จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีไทยให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อใช้ในการพัฒนากิจการให้แข็งแกร่ง เพราะเมื่อธุรกิจเอสเอ็มอีไทยแข็งแรงขึ้นก็เท่ากับช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นได้อีกด้วย” นางสาวปริสุทธิ์ กล่าวในตอนท้าย

 

“แสนสิริ” ออกหุ้นกู้ 5.5 พันล้านบาท รับแผนธุรกิจปี 62

alivesonline.com : “แสนสิริ” เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี มูลค่ารวม 5.5 พันล้านบาท พร้อมนำเงินทุนเสริมแกร่งรับแผนขยายธุรกิจปี 2562 เตรียมพัฒนาและโอน 26 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 5.7 หมื่นล้านบาทตามเป้าหมายการโอนที่วางไว้ 3.2 หมื่นล้านบาทในปี 62 ผนึก 4 สถาบันการเงินเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เริ่มจำหน่ายวันที่ 22 และ 25–26 ก.พ.62 สำหรับการจองซื้อผ่าน BBL KBANK และ SCB และวันที่ 22–26 ก.พ.62 ผ่าน KTB

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวม 5.5 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจที่เติบโต อันเป็นผลจากความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ลูกค้าให้การตอบรับและไว้วางใจในแบรนด์ “แสนสิริ” รวมทั้งแบรนด์ที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ของ “แสนสิริ” อย่างต่อเนื่องเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถสร้างยอดขายได้สูงมากเป็นประวัติการณ์ 4.85 หมื่นล้านบาทในปี 2561

สำหรับเงินทุนที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นกู้ครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาธุรกิจในปี 2562 นอกเหนือจากการพึ่งพาวงเงินกู้จากธนาคาร เพื่อให้เป็นไปตามแผนการดำเนินธุรกิจในการรุกพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบรับทุกความต้องการที่อยู่อาศัยและครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า รวมทั้งขยายการพัฒนาโครงการสำหรับรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าต่างชาติและกลุ่มลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

“บริษัทฯ ตัดสินใจให้มีการออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี จำนวนรวม 5.5 ล้านหน่วย มูลค่าหุ้นกู้รวม 5.5 พันล้านบาท สำหรับผลตอบแทนของหุ้นกู้คือ อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปีตลอดอายุหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ราคาเสนอขายหน่วยละ 1 พันบาท กำหนดวงเงินจองซื้อจองซื้อขั้นต่ำ 1 แสนบาทและทวีคูณครั้งละ 1 แสนบาท โดยแต่งตั้งให้ 4 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย โดยจะเริ่มเปิดจองซื้อในวันที่ 22 และ 25–26 กุมภาพันธ์ 2562 ผ่านธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพฯ และวันที่ 22–26 กุมภาพันธ์ 2562 ผ่านธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ”

สำหรับหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่เสนอขายในครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ BBB+ (Triple B Plus) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ BBB+ เช่นเดียวกัน อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย รวมทั้งการดำรงสถานะการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดย ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2562 บริษัทมีจำนวนโครงการที่เปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนาทั้งสิ้น 98 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.07 แสนล้านบาท รวมทั้งมียอดขายรวมในปีที่ผ่านมารวมทั้งสิ้นสูงถึง 4.85 หมื่นล้านบาท

บริษัทฯ ยังมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและการมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่งเป็นสำคัญ รวมถึงยอดขายที่รอการส่งมอบ ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2565 แล้วถึง 6.35 หมื่นล้านบาท โดยเตรียมพัฒนาและโอน 26 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 5.7 หมื่นล้านบาทในปี 2562 ตามเป้าหมายการโอนที่วางไว้ 3.2 หมื่นล้านบาท

“การนำเสนอหุ้นกู้ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน หลังจากที่บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการเสนอขายหุ้นกู้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2561 สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทฯ นำเสนอล่าสุดนี้ นับว่าให้อัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก โดยบริษัทฯ ได้วางแผนออกหุ้นกู้ที่เหมาะสม เพื่อช่วยสร้างเสถียรภาพด้านการบริหารต้นทุนทางการเงินและดอกเบี้ยอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจโดยไม่ต้องกังวลกับแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น” นายอภิชาติ กล่าวในที่สุด