“บาเนีย” พัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลอสังหาฯ จากช่องทางออนไลน์

alivesonline.com : “บาเนีย” เปิดบริการ “Baania Pulse” วิเคราะห์ข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ เจาะลึกเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พร้อมเปิดผลสำรวจข้อกังวลของคนซื้อบ้านผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พบกลุ่มคนที่โพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการซื้อบ้านมีข้อความกังวลในเรื่องของการขอสินเชื่อ ขณะที่ผู้ประกาศขายผ่านอินเทอร์เน็ต เน้นจุดเด่นเรื่องทำเลทอง หรือใกล้รถไฟฟ้า

นายวีรวัฒน์ รัตนวราหะ ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท บาเนีย (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับ “บิ๊ก ดาต้า” (Big Data) ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบ Comprehensive Marketplace และดาต้า แพล็ตฟอร์มรายแรกของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดบริการ “Baania Pulse” ซึ่งเป็น Deep Social Analytics Platform ทางด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างเป็นทางการ โดยการพัฒนา Unstructured Data  ที่มีอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ มาจัดการอย่างเป็นระบบและวิเคราะห์โดยทีม Data Siencetist และ Data Analytics ทำให้ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ร่วมกับ Structured Data มีความครบถ้วนและถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันการสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์มีมากกว่า 10 ล้านคอมเมนต์ต่อวัน ซึ่งถือเป็น Unstructured Data ที่มีอยู่อย่างมหาศาล แต่เรายังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถจัดการข้อมูลเหล่านั้นให้เป็นหมวดหมู่และนำมาวิเคราะห์เจาะลึกเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ “Baania Pluse” จึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้การเข้าถึงผู้บริโภคในสื่อสังคมออนไลน์เป็นเรื่องง่ายในเวลาอันสั้น โดยใช้เทคโนโลยีที่ผสมผสานหลายศาสตร์ รวมถึงใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อปรับกระบวนการการทำ Keyword Optimization ให้ได้ข้อมูลเชิงลึกในด้านพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค รวมกระแสตอบรับต่าง ๆ ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การทำดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง หรือการจัดการเรื่องของภาพลักษณ์องค์กรและสินค้า

สำหรับบริการของ “Baania Pulse” ประกอบด้วย การติดตามทุกความเห็น ความเคลื่อนไหวของแบรนด์ ตรวจสอบความรู้สึก ความคิดเห็น และพึงพอใจของลูกค้า รวมไปถึงการเปรียบเทียบคู่แข่งทางการตลาด และกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ ตรวจสอบความนิยมของโปรโมชั่น แคมเปญการตลาด หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ผู้ประกอบการนำเสนอออกสู่ตลาด วิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่ นอกจากนี้ ยังสามารถแยกกลุ่มลูกค้าตามระดับความเข้าถึงและความเป็นไปได้ที่จะเป็นลูกค้า รวมถึงบริการวิเคราะห์หากลุ่มเป้าหมายที่สามารถเป็นลูกค้าให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้อย่างแม่นยำ

นายวีรวัฒน์ กล่าวอีกว่า “Baania Pulse” ได้ตรวจสอบพฤติกรรมการโพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายที่อยู่อาศัยทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยสามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ว่า กลุ่มคนที่โพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการซื้อบ้านมีข้อความกังวลในเรื่องของการขอสินเชื่อ สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เนื่องจากธนาคารมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นได้ในอนาคต ประกอบกับภาระหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ถูกปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อได้

“เรื่องของราคาบ้านที่สูงเกินไปเป็นอีกข้อกังวลที่ถูกพูดถึงกันมากในสื่อสังคมออนไลน์ เนื่องจากที่ผ่านมาราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากต้นทุนที่ดินที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ค่าครองชีพของประชาชนทั่วไปปรับขึ้นน้อย ทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคลดลงในภาวะที่ราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้น”

สำหรับข้อกังวลของผู้บริโภคในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการซื้อคอนโดมิเนียม พบว่า ในการซื้อคอนโดมิเนียมผู้บริโภคในสื่อสังคมออนไลน์ให้ความสนใจกับเศรษฐกิจของประเทศจีนซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ปัจจุบันคนจีนมีบทบาทต่อตลาดคอนโดมิเนียมของไทยอย่างสูง ทั้งในส่วนที่เป็นผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย หรือลงทุนและในฐานะผู้เช่า จึงทำให้ผู้ซื้อคอนโดมิเนียมให้ความสนใจความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจของจีนมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ประเด็นของการตรวจรับห้องและคุณภาพของการก่อสร้างเป็นอีกข้อกังวลที่ถูกพูดถึงในสื่อสังคมออนไลน์ เนื่องจากคอนโดมิเนียมเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลายโครงการเริ่มก่อสร้างเสร็จและทยอยส่งมอบให้ผู้ซื้อ ทำให้ประเด็นเรื่องของการตรวจรับโอนห้องและการก่อสร้างที่ไม่ได้คุณภาพตามที่คาดหวังจึงถูกพูดถึงกันมากในสื่อสังคมออนไลน์

“ในส่วนของการขายบ้านและคอนโดมิเนียมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ช่องทางที่ผู้ขายเลือกใช้คือ การประกาศขายผ่านอินเทอร์เน็ต โดยชูจุดขายในเรื่องของบ้านในทำเลทอง หรือคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า ลักษณะของบ้านที่ประกาศขายส่วนใหญ่จะเป็นบ้าน 3 ห้องนอน ส่วนคอนโดมิเนียมจะเน้นห้องที่อยู่บนชั้นสูง ๆ” นายวีรวัฒน์ กล่าวในตอนท้าย

“JD CENTRAL – เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” จัดแคมเปญเอาใจนักช้อปและคอหนัง “สวัสดีวันอังคาร”

JD CENTRAL แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ จับมือกับ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป” สุดยอดเมืองหนังและศูนย์รวมความบันเทิงระดับโลก เปิดตัวกิจกรรม “Hello Tuesday” หรือ “สวัสดีวันอังคาร” มอบความสุขให้แก่นักช้อปออนไลน์และผู้ที่ชื่นชอบการชมภาพยนตร์ ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษทุกวันอังคาร ตั้งแต่ 25 กันยายน – 30 พฤศจิกายน 2561

ช้อปแล้วชม : เพียงช้อปของดีการันตีของแท้ที่ JD CENTRAL ทุกวันอังคารตั้งแต่ 800 บาทขึ้นไป รับเลยส่วนลดบัตรชมภาพยนตร์มูลค่า 80 บาท โดยลูกค้าสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ที่ LINE Official Account (@JDCENTRAL) ภายในวันพฤหัสบดีของสัปดาห์เดียวกัน จากนั้นรอรับรหัสส่วนลดผ่านทางอี-เมล์ เพื่อใช้ซื้อบัตรชมภาพยนตร์กับ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ผ่านทางแอปพลิเคชั่น “เมเจอร์ มูฟวีพลัส” (จำกัด 600 รหัสส่วนลด/สัปดาห์)

ชมแล้วช้อป : ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ราคา 120 บาทขึ้นไปผ่านแอปพลิเคชั่น “เมเจอร์ มูฟวีพลัส” ทุกวันอังคาร รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ ต่อที่หนึ่งรับเลยส่วนลดบัตรชมภาพยนตร์ทันทีอีก 20 บาท ต่อที่สองรับคูปองส่วนลดไปช้อปที่ JD CENTRAL อีก 120 บาท ภายใน 7 วันผ่านทางอี-เมล์ เพียงลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน “เมเจอร์ มูฟวี พลัส” และกรอกโค้ด HELLOTUESDAY ก่อนการชำระเงินซื้อตั๋วหนัง

นางสาวรวิศรา จิราธิวัฒน์ (ขวาสุด) ประธานบริหารฝ่ายการตลาด เจดีเซ็นทรัล และ นายทศพล เมธีธารพงศ์วาณิช (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยฝ่ายธุรกิจโมบายและการตลาดดิจิตอล บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป

นางสาวรวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด JD CENTRAL กล่าวถึงความร่วมมือกับ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ในกิจกรรมครั้งนี้ว่า ปัจจุบันคนไทยมีตัวเลือกในการชมภาพยนตร์ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น แต่บรรยากาศการชมภาพยนตร์บนจอเงินก็ยังเป็นประสบการณ์ที่คอหนังยังเพลิดเพลินไม่เปลี่ยน JD CENTRAL จึงร่วมมือกับ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” จัดโปรโมชั่น “Hello Tuesday” หรือ “สวัสดีวันอังคาร” เพื่อเอาใจลูกค้าที่ชื่นชอบความสะดวกสบายจากการซื้อสินค้าออนไลน์และจองบัตรชมภาพยนตร์ผ่านแอปพลิเคชันกับส่วนลดจากทั้ง JD CENTRAL และ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์”

ด้าน นายทศพล เมธีธารพงศ์วาณิช ผู้อำนวยฝ่ายธุรกิจโมบายและการตลาดดิจิตอล บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมว่า “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป” และ JD CENTRAL ร่วมกันส่งความสุขให้ลูกค้านักชมและนักช้อปออนไลน์ผ่านแคมเปญสุดพิเศษครั้งนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์ความบันเทิงสมบูรณ์แบบให้แก่ลูกค้า ได้ดูหนังและสนุกต่อเนื่องกับการช้อปออนไลน์ พร้อมดีลสุดพิเศษที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง ให้ทุกวันอังคารเป็นวันพิเศษสำหรับลูกค้าออนไลน์ถึง 30 พฤศจิกายน 2561

ติดตามโปรโมชั่น โค้ดส่วนลด คูปอง และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพิ่มเติมจาก JD CENTRAL ได้ผ่านทางเว็บไซต์ JD.CO.TH และ JD CENTRAL Facebook Page ช้อปของดี การันตีของแท้ ช้อปเลย! ที่ JD CENTRAL

TMB หนุนธุรกิจลูกค้าจัดกิจกรรมโปรโมทร้านค้าออนไลน์ฟรี

alivesonline.com : TMB เผยผลตอบรับจากแคมเปญ Get MORE with TMB ดีทั้งในเฟซบุ๊กและยูทูบ ซึ่งเป็นสื่อโซเชียลมีเดียหลักของคนไทย พบว่าตัวเลข Brand Favorability บนเฟซบุ๊ก และตัวเลข Ad Recall บนยูทูบ สูงกว่าค่าเฉลี่ยภาพรวมในประเทศไทย จัดกิจกรรม “โปรโมทร้านค้าออนไลน์ฟรี กับ Get MORE with TMB” สำหรับร้านค้าออนไลน์ 6 หมวดสินค้าที่เป็นลูกค้า TMB ตั้งแต่เดือน ก.ย.–พ.ย.61

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า TMB ยังคงเดินตามโรดแมป 5 ปี เพื่อขึ้นชั้นเป็นธนาคารที่ลูกค้าชื่นชอบและบอกต่อมากที่สุดในประเทศ ด้วยการจัดกิจกรรมการตลาดในแคมเปญ “Get MORE with TMB” ที่ธนาคารเดินหน้าสร้างเอกลักษณ์การเป็นธนาคารที่แตกต่างเหนือใครอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่ม “ได้มากกว่า”

การจัดกิจกรรมทางการตลาดในแคมเปญ “Get MORE with TMB” จะใช้สื่อประชาสัมพันธ์ในช่องทางต่าง ๆ ครอบคลุมถึงสื่อโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะเฟซบุ๊กและยูทูบซึ่งเข้าถึงคนไทยและได้รับผลตอบรับที่ดี ทั้งนี้จากการวัดผล Brand Favorability บนเฟซบุ๊กนั้นสูงกว่าตัวเลขค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารถึง 81% ส่วนในแง่ของ Message Association ในกลุ่มผู้หญิงสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 4.1 คะแนน ขณะที่ในส่วนของยูทูบ Ad Recall สูงถึง 12.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ยภาพรวมในประเทศไทย (11%) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงสูงถึง 27.5%

นายปิติ กล่าวในตอนท้ายว่า TMB จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องด้วยกิจกรรมพิเศษในขณะนี้คือ “การโปรโมทร้านค้าออนไลน์ฟรี กับ Get MORE with TMB” ผ่านทางเฟซบุ๊ก TMB สำหรับร้านค้าบนโซเชียลมีเดียที่ใช้บริการ TMB เป็นธนาคารหลักเป็นประจำ เพื่อช่วยสนับสนุนธุรกิจของลูกค้าบนเพจ TMB ให้ได้โอกาสที่มากกว่า MORE Possibilities และตอกย้ำแนวคิด Get MORE with TMB ในทุกช่องทาง

ด้าน นางกาญจนา โรจวทัญญู หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร TMB กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมการตลาดดังกล่าวเริ่มตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 เพียงลูกค้าที่เป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์และมีบัญชีเงินฝากกับ TMB ก็สามารถโปรโมทร้านค้าออนไลน์ฟรีบนเฟซบุ๊ก TMB ซึ่งมีจำนวนผู้ติดตามกว่า 1.4 ล้านคน โดยเจ้าของร้านค้าที่ตอบคำถามโดนใจจะได้รับเลือกให้มาโปรโมทกับ TMB ฟรี ง่าย ๆ เพียงร่วมคอมเมนต์ ฝากร้านค้าบนเฟซบุ๊ก TMB ได้แก่ การระบุชื่อ-นามสกุลที่ตรงกับชื่อบัญชีเงินฝากของ TMB, มีชื่อร้านค้าออนไลน์ที่ขายสินค้าและบริการบนเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม หรือเว็บไซต์, อธิบายเหตุผลว่าเป็นลูกค้า TMB แล้วได้มากกว่าที่อื่นอย่างไร และใส่แฮชแท็ก #เพราะคุณต้องได้มากกว่า #GetMOREwithTMB

สำหรับการจัดกิจกรรมครั้งนี้แบ่งเป็น 6 ครั้ง 6 หมวดร้านค้า ดังนี้

ครั้งที่ 1 หมวดเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องแต่งกายหญิง เปิดให้กิจกรรมแล้วตั้งแต่วันที่ 3–14 ก.ย.ที่ผ่านมา

ครั้งที่ 2 หมวดเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องแต่งกายชาย ร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 17-28 ก.ย.61

ครั้งที่ 3 หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่1–12 ต.ค.61

ครั้งที่ 4 หมวดสินค้าแม่และเด็ก ร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 15–26 ต.ค.61

ครั้งที่ 5 หมวดเครื่องประดับ ร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.–9 พ.ย.61

ครั้งที่ 6 หมวดสัตว์เลี้ยง ร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 12–23 พ.ย.61

ร้านค้าที่สนใจร่วมกิจกรรม สามารถศึกษาเงื่อนไขของกิจกรรมเพิ่มเติมที่ https://goo.gl/ABvFb8 หรือ https://www.facebook.com/tmb #เพราะคุณต้องได้มากกว่า #GetMOREwithTMB #TMBMakeTHEDifference

 

K Bank ร่วมโครงการ Visa B2B Connect พัฒนาระบบการชำระเงิน

alivesonline.com : “วีซ่า” โชว์นวัตกรรมใหม่ “Visa B2B Connect” ในเครือข่ายบล็อกเชน ช่วยสถาบันการเงินประกอบธุรกรรมชำระเงินข้ามประเทศระหว่างธุรกิจด้วยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และโปร่งใส เผย K BANK เป็นธนาคารไทยแห่งแรกเข้าร่วมโครงการแล้ว

นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่าประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า “วีซ่า” พัฒนาโครงการนำร่อง “วีซ่า บีทูบี คอนเนค” (Visa B2B Connect) เพื่อปรับปรุงการชำระเงินแบบ B2B โดยสร้างอยู่บนพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชนสำหรับวิสาหกิจที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงระหว่างธนาคาร ในนามของลูกค้าองค์กร โดยขั้นตอนการทำธุรกรรมจะอยู่ภายใต้การบริหารโดย “วีซ่า” แบบครบวงจร พร้อมทั้งมีการนำเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย การกำกับดูแล และเทคโนโลยีรายการเดินบัญชีแบบกระจายตัว หรือ Distributed Ledger

Visa B2B Connect ให้บริการระบบที่สามารถคาดการณ์ได้และโปร่งใส โดยธนาคารและลูกค้าบริษัทของธนาคารจะได้รับการแจ้งเตือนอย่างรวดเร็วเกือบจะในทันทีหลังจากธุรกรรมการชำระเงินสิ้นสุดลง ทั้งยังมีความปลอดภัยของการทำธุรกรรมที่ให้มีการลงนามและเชื่อมโยงรหัสข้อมูลได้รับการออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่าระบบบันทึกข้อมูลมีความปลอดภัยและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งยังได้รับความไว้วางใจสูง เพราะทุกฝ่ายในเครือข่ายเป็นผู้เข้าร่วมที่ต่างก็รู้จักกันในเครือข่ายบล็อกเชนส่วนตัวที่ได้รับอนุญาตและดำเนินการโดยวีซ่า

นายสุริพงษ์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันโครงการนำร่องดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบกล่องทรายทดสอบธุรกรรม หรือ Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมี ธนาคารกสิกรไทย เป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ นอกเหนือจากธนาคารอื่น ๆ อีกหลายแห่งทั่วโลก

“เรามุ่งมั่นร่วมมือกับธนาคารพันธมิตรของเราเพื่อให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์เครื่องมือต่างๆ และความเชี่ยวชาญของ วีซ่า ที่จะสามารถนำไปสู่การเติบโตทางธุรกิจและความสำเร็จต่อไป โดยมั่นใจว่าการร่วมเป็นพันธมิตรกับธนาคารกสิกรไทยจะช่วยเสริมสร้างวิธีการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและไร้รอยต่อในตลาดธุรกิจ หรือ B2B ทั่วโลก”

ด้าน นางสาวศิริพร วงศ์ตรีภพ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยมุ่งเน้นสรรหานวัตกรรมใหม่แบบครบวงจรเพื่อให้บริการแก่ลูกค้า และด้วยความเป็นพันธมิตรกับ “วีซ่า” จึงภูมิใจที่จะได้มีส่วนร่วมในโครงการนำร่อง Visa B2B Connect ซึ่งนับเป็นก้าวแรกในบริบทใหม่ของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้สำหรับการทำธุรกรรมชำระเงินข้ามพรมแดนในฐานะผู้บุกเบิก จึงเชื่อว่าธนาคารกสิกรไทยจะเป็นผู้นำในตลาดซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าองค์กรของธนาคาร เนื่องจากการทำธุรกรรมการชำระเงินจะมีความปลอดภัยมากขึ้น

ทั้งนี้ Visa B2B Connect ถือเป็นพัฒนาการชำระเงินในรูปแบบ B2B ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ด้วยการใช้เวลาที่สั้นลงในการประมวลผลและเพิ่มความชัดเจนในการติดตามขั้นตอนกระบวนการการทำธุรกรรมให้สูงขึ้น โดยผลลัพธ์ที่จะมีต่อลูกค้าธนาคารคือ ความสามารถในการลดต้นทุนและทรัพยากรที่ธนาคารและลูกค้าจำเป็นต้องใช้ในการรับส่งข้อมูลการใช้จ่ายทางธุรกิจได้อย่างมหาศาล

“พาที สารสิน” รุกธุรกิจ OTA หวังเทียบชั้นแบรนด์ต่างชาติใน 3 ปี

alivesonline.com : อดีต CEO สายการบิน “นกแอร์” เปิดตัวธุรกิจใหม่ “Really Really Cool” เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวออนไลน์ เปิดตัวแพ็คเกจแรก “กรุงเทพฯ-มัลดีฟส์” ในราคาเริ่มต้น 4.99 หมื่นบาท ตั้งเป้าภายใน 3 ปีขึ้นเทียบชั้น OTA ชั้นนำของต่างชาติทั้ง Agoda, TripAdvicer, Booking.com

นายพาที สารสิน อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “สายการบินนกแอร์” เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ในแวดวงการบินกว่า 14 ปี ทำให้เห็นโอกาสและความเป็นไปได้ที่มีอยู่ในบางอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่ยังไม่ได้รับการดูแลจากผู้ประกอบการ ประกอบกับการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องของจำนวนสายการบินและความถี่ทั้งขาเข้าและขาออกจากประเทศไทยไปทั่วโลก จึงตัดสินใจก่อตั้งเอเจนซี่การท่องเที่ยวในรูปแบบของ OTA (Online Travel Agency) เพื่อรับจองแพ็กเกจท่องเที่ยว รวมตั๋วเครื่องบิน และห้องพัก ภายใต้ชื่อว่า “Really Really Cool” ใช้เงินลงทุนเบื้องต้น 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 32 ล้านบาท โดยเป็นผู้ถือหุ้น 60% ส่วนที่เหลือ 40% คือกลุ่มเพื่อน ๆ

“Really Really Cool” จะเน้นแพ็กเกจการท่องเที่ยวที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เป็นแพ็กเกจที่อิงจากการบริการดูแลจัดการ โดยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่จุดหมายปลายทางเท่านั้น เพราะนักท่องเที่ยวสมัยใหม่มองหาการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อค้นพบประสบการณ์ในการท่องเที่ยวที่ไม่ซ้ำใครอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ต้องการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งยังได้หามุมมองใหม่ ๆ ในการเดินทาง รวมถึงการทำการตลาดผ่านจุดหมายปลายทางที่น่าตื่นตาตื่นใจ

นายพาที กล่าวอีกว่า แพ็กเกจการท่องเที่ยวที่จัดทำขึ้นนี้ถูกพัฒนาด้วยผู้ให้บริการทางด้านที่พัก และการท่องเที่ยวชั้นนำระดับประเทศ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีการเติบโตอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นกลุ่มผู้หญิงวัย 35-45 ปีซึ่งมีกำลังซื้อสูงและมีอำนาจการตัดสินในด้านการท่องเที่ยว

“Really Really Cool ถือเป็น OTA สัญชาติไทยที่กำลังยังอยู่ในช่วงพัฒนาระบบ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 พร้อมตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3 ปีจะสามารถแข่งขันกับแบรนด์ต่างชาติที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เช่น Agoda, TripAdvicer, Booking.com เป็นต้น”

นายพาที กล่าวอีกว่า เบื้องต้นได้ร่วมมือกับ โรงแรมดุสิตธานี เพื่อจัดทำแพ็คเกจท่องเที่ยวเกาะมัลดีฟส์ ในราคาเริ่มต้น 1,520 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.99 หมื่นบาท) จำนวน 3 วัน 2 คืน (ต่อท่าน) พร้อมที่พักหรูระดับ 5 ดาว ณ โรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ รวมค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ – มัลดีฟส์ ด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชีย, ค่าอาหารทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็น, อุปกรณ์ดำน้ำแบบสนอร์กเกิล, บริการรถรับส่ง พร้อมเรือสปีดโบ๊ทมายังเกาะ รวมทั้งบริการเหนือระดับจากบัตเลอร์ส่วนตัว นอกจากนั้น ยังมีคูปองส่วนลดมูลค่า 50 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,641 บาท) สำหรับผู้ที่ต้องการการนวดผ่อนคลายสุดพิเศษ (90 นาที) ที่ “เทวารัณย์ สปา” (Devarana Spa)

ผู้สนใจสามารถจองได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 โดยสามารถเดินทางได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 20 ธันวาคม 2561 โดยข้อกำหนดและเงื่อนไขจะเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สามารถติดตามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจที่พักและการบริการอื่น ๆ ได้ที่ www.reallyreally-cool.com หรือช่องทาง Facebook และโทร.0 2203 0457, 09 3946 5194

“ปัจจุบันบริษัทฯ กำลังอยู่ในช่วงเจรจาพูดคุยกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว โรงแรม และสายการบินชั้นนำต่าง ๆ เพื่อที่จัดแพ็คเกจและโปรโมชันการท่องเที่ยวสุดพิเศษในราคาที่สมเหตุสมผลที่สุดให้แก่ลูกค้า โดยคาดว่าแพ็คเกจต่อไปที่จะจัดทำคือประเทศญี่ปุ่นซึ่งนักท่องเที่ยวไทยให้ความนิยมเดินทางไปเป็นจำนวนมาก” นายพาที กล่าวในตอนท้าย

 

“สุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล” พร้อมเปิดตัว “ไอคอนสยาม” 9 พ.ย.61

alivesonline.com : จนถึงวันนี้ “ไอคอนสยาม” อภิมหาโครงการเมืองแห่งการใช้ชีวิตสู่โลกอนาคต สัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามูลค่า 5.4 หมื่นล้านบาท .ใกล้ปรากฏโฉมและพร้อมจะสะกดให้ทั้งโลกต้องหันมองกรุงเทพฯ และประเทศไทย กับมหาปรากฏการณ์งานเปิดสุดยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยความแปลกใหม่ของร้านค้าและองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในโครงการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“ไอคอนสยาม” เป็นโครงการแลนด์มาร์คยิ่งใหญ่ระดับโลกในกรุงเทพฯ สร้างขึ้นบนที่ดิน 55 ไร่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีพื้นที่ติดริมแม่น้ำยาว 400 เมตรและพื้นที่ภายในอาคารกว่า 7.5 แสนตารางเมตร ประกอบด้วยอาณาจักรศูนย์การค้าที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 2 อาคาร พร้อมด้วยคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ริมฝั่งแม่น้ำ 2 อาคาร สูง 70 ชั้น และ 52 ชั้น โดยหนึ่งในคอนโดมิเนียมดังกล่าวอยู่ภายใต้แบรนด์ “แมนดาริน โอเรียนเต็ล”

“ไอคอนสยาม” พัฒนาโดยกลุ่มธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของประเทศไทย 3 กลุ่มคือ “สยามพิวรรธน์” เจ้าของและผู้บริหารศูนย์การค้าสุดหรูของไทย ได้แก่ สยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน และสยามดิสคัฟเวอรี่ “แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น” (MQDC) เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพระดับลักซ์ชัวรี่ และ “เครือเจริญโภคภัณฑ์” บริษัทชั้นนำของไทยที่มีการลงทุนในระดับโลก

  • ไอคอนสยาม” ศูนย์รวมความมหัศจรรย์

การเปิดเมือง “ไอคอนสยาม” จึงถือเป็นการบุกเบิกการทำธุรกิจในโลกยุคใหม่ที่พลิกโฉมรูปแบบการพัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ยิ่งใหญ่ไปอย่างสิ้นเชิง ภายใต้แนวคิด “การสร้างประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย” หรือ Creating Shared Value และ “การร่วมกันรังสรรค์” หรือ Co-Creation ในการที่จะทำให้ธุรกิจค้าปลีกรูปแบบใหม่นี้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมและเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ที่ก้าวขึ้นไปอีกขั้นอย่างเต็มภาคภูมิและสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจแก่คนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

การเปิด “ไอคอนสยาม” ในครั้งนี้จึงถือเป็นการประสานประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่ายที่จะแผ่กระจายความรุ่งเรืองไปทั้งในระดับชุมชน สังคม และประเทศ ดังที่ “สุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด มุ่งหวังที่จะให้ “ไอคอนสยาม” เป็นศูนย์รวมของความมหัศจรรย์อันหลากหลาย ทั้งศิลปะและวัฒนธรรม ผสมผสานรวมอยู่กับที่สุดของการชอปปิ้งและความบันเทิง โดยการผนึกกำลังพันธมิตรองค์กรธุรกิจทั้งใหญ่และเล็กทุกขนาดหลากหลายรูปแบบธุรกิจ รวมไปถึงผู้คนจำนวนมากจากนานาสาขาอาชีพที่มีความปรารถนาจะสร้างสถานที่ที่บอกเล่าหลากหลายเรื่องราวของความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ผสมกับสิ่งที่ดีในมิติต่าง ๆ จากทุกมุมโลกได้มารวมพลังกันสร้างสรรค์สัญลักษณ์ใหม่ซึ่งจะกลายเป็นมหาปรากฏการณ์

  • จัดงบฯ 1 พันล้านบาทเปิดตัวอลังการ

จึงไม่แปลกใจที่ “สุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล” บอกว่าได้เตรียมงบประมาณไว้มากกว่า 1 พันล้านบาท สำหรับการจัดงานเปิดเมือง “ไอคอนสยาม” และเชิญผู้สื่อข่าวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 เพื่อจะได้ร่วมสัมผัสความมหัศจรรย์ที่เป็น “ครั้งแรก” ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทยมากมายจากเหล่าผู้สร้างสรรค์ที่มีส่วนร่วมในการเนรมิตสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ใน “ไอคอนสยาม” ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า นักออกแบบในสาขาต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ศิลปินจากทั่วประเทศผู้มาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกต่าง ๆ รวมถึงเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนโดยรอบและบรรดาธุรกิจริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญและมีส่วนร่วมในการกำหนดองค์ประกอบต่าง ๆ ของ “ไอคอนสยาม”

“ไอคอนสยาม ยังได้ร่วมมือกับชุมชนโดยรอบ และกลุ่มธุรกิจริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดที่จะช่วยกันทำให้แม่น้ำสายนี้เป็น The Next Global Destination ที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวนับแสนจากทั่วประเทศไทยและทั่วโลก พร้อมกับสร้างมาตรฐานใหม่เหนือความคาดหมายจากพลังของหัวใจไทย”

“สุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล” ย้ำว่า “ไอคอนสยาม” คือการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ในโลกอนาคตเพื่อความเจริญที่ยั่งยืนร่วมกัน โดยจะมี “ไอคอนนิกสโตร์” สุดอลังการจำนวน 14 แบรนด์ และอีกหลากหลายสโตร์จากแบรนด์พรีเมียมที่สุดของโลกมารวมตัวกันอยู่ในที่เดียวอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยแบรนด์ที่เป็นสุดยอดความหรูหราระดับโลกจำนวนหนึ่งจะอยู่ในอาคาร “ไอคอนลักซ์” (ICONLUXE) ซึ่งมีพื้นที่ 2.5 หมื่นตารางเมตร ตั้งอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอาคารกระจกโครงสร้างไร้เสาที่ยาวที่สุดในโลก รูปทรงคล้ายกระทงแก้ว สรรค์สร้างอย่างงดงามให้เป็นสัญลักษณ์ใหม่บนแม่น้ำเจ้าพระยา

“เพื่อให้ไอคอนสยามเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศไทยที่นำเสนอความแปลกใหม่อย่างมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น เราจึงได้ทำงานลงลึกในรายละเอียดร่วมกับร้านค้าและผู้ประกอบการกว่า 500 ราย ตั้งแต่สุดยอดแบรนด์ของไทยไปจนถึงลักซ์ชัวรี่แบรนด์จากต่างประเทศเพื่อขอให้แต่ละร้านนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวกับแบรนด์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความเป็นมาของแต่ละแบรนด์ จนถึงแนวคิดและนวัตกรรมต่าง ๆ เชื่อมโยงกับแนวการออกแบบร้าน ให้ “ไอคอนสยาม” เป็นโครงการแห่งแรกที่ทำ Story Telling ที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจได้อย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างแต่มีคุณค่าให้ผู้บริโภคได้ประทับใจ”

 

  • 188 แบรนด์ดังระดับโลก ร่วมสร้างปรากฏการณ์

ใน “ไอคอนสยาม” จะมีมากกว่า 188 แบรนด์ชั้นนำที่เป็นแบรนด์และคอนเซ็ปต์ใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนเซ็ปต์ ‘Icons within Icon’ ซึ่งเราจัดให้ลักซ์ชัวรี่แบรนด์มีคฤหาสน์ของตนเองในรูปแบบ Duplex Mansion อยู่ภายในอาคาร “ไอคอนลักซ์” ซึ่งจะทำให้สามารถมีสินค้าที่ครบครันและมีบริการพิเศษอีกด้วย

นอกจากนั้น ยังมีแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชื่อดังอีกมากมายมาร่วมกันนำเสนอคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน อาทิ

  • Adidas เปิด Adidas Original Store ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
  • JD Sports ร้านแฟชั่นกีฬาชื่อดังจากประเทศอังกฤษ เปิดร้านแรกในประเทศไทย
  • Nike เปิด Nike Kicks Lounge แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะนำเสนอสินค้าที่แตกต่างจาก Nike Store อื่น ๆ
  • ALAND ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์คอนเซ็ปต์สโตร์
  • COS เปิดแฟลกชิปสโตร์แฟชั่นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับทั้งผู้หญิงผู้ชาย
  • นารายา เตรียมพร้อมที่จะเปิดร้านดูเพล็กซ์ไอคอนนิกสโตร์ของตัวเอง
  • H&M เตรียมพร้อมเปิดอาคารของตัวเองในรูปแบบ Triplex Store 3 ชั้นสุดอลังการเป็นครั้งแรก
  • ทาคาชิมายะ ห้างสรรพสินค้าระดับตำนานที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากประเทศญี่ปุ่น เตรียมเปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่ “ไอคอนสยาม” ขนาด 6 หมื่นตารางเมตร โดยจะนำ 170 แบรนด์ในทุก category รวมถึงอาหารและขนมจากญี่ปุ่นที่ไม่เคยมีจำหน่ายในประเทศไทยมาก่อนมานำเสนอด้วย

“ไอคอนสยาม” ยังจะนำเสนอสุดยอดประสบการณ์ของการกินดื่มใน 7 บรรยากาศที่แตกต่างกันไปในแต่ละโซน นับตั้งแต่ร้านอาหาร Fine Dining ซึ่งแต่ละร้านมี Terrace ชมวิวแม่น้ำ จนถึงอาหารยอดนิยมของไทยซึ่งหาชิมได้ยาก รวมถึง Roof-Top Bars ที่สามารถดื่มด่ำกับความงดงามของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังมีภัตตาคารชื่อดังจากต่างประเทศ อาทิ “Harbour” จากไต้หวัน และภัตตาคารอาหารทะเลชื่อดังจากสิงค์โปร์อย่าง “Jumbo Seafood” ซึ่งเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ทั้งยังมี “Fitness First” คลับเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดของประเทศไทย และมีสาขามากกว่า 29 สาขาก็จะมาเปิดคลับระดับหรูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมสระว่ายน้ำกลางแจ้งซึ่งจะเป็นแฟล็กชิปที่ให้บริการพิเศษแตกต่างจากสาขาอื่น ๆ

“ไอคอนสยาม” จะเป็นอภิมหาโครงการเมืองที่นำเสนอความภาคภูมิใจในความเป็นไทยและเป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยส่งเสริมและผลักดันแบรนด์ไทย สินค้าไทย ศิลปินไทย งานฝีมือไทย และศิลปวัฒนธรรมไทย ให้เป็นที่ชื่นชมและสะกดทุกสายตาโลกได้เพียงใด ?

เตรียมพบคำตอบได้ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 !

 

 

นักศึกษา ม.รังสิต โชว์ไอเดียคว้ารางวัลประกวดโลโก้ “60 ปีไทยน้ำทิพย์”

alivesonline.com : “ไทยน้ำทิพย์” ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มของกลุ่มธุรกิจ “โคคา-โคลา” ตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม และการก้าวเข้าสู่ปีที่ 60 ในปี 62 เผยโฉมผลงานชนะเลิศการประกวดโลโก้ “ฉลองครบรอบ 60 ปี ไทยน้ำทิพย์” จากผลงานกว่า 160 ชิ้นที่เยาวชนจากทั่วทั้งประเทศไทยให้ความสนใจส่งผลงานเข้าประกวด ก่อนมอบทุนการศึกษา 1 แสนบาท ให้นักศึกษา คณะนิเทศฯ ม.รังสิต ผู้คว้ารางวัลชนะเลิศ พร้อมรางวัลอื่น ๆ รวม 2 แสนบาท

 

นายพรวุฒิ สารสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด เปิดเผยว่า ในวาระครบรอบ 60 ปี “ไทยน้ำทิพย์” ในปี 2562 บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมการประกวดออกแบบโลโก้ “ฉลองครบรอบ 60 ปี ไทยน้ำทิพย์” เป็นกิจกรรมนำร่องเพื่อเฉลิมฉลอง 60 ปีแห่งคุณภาพที่อยู่เคียงข้างชาวไทย โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้มีเวทีในการแสดงความสามารถและความคิดสร้างสรรค์อย่างไร้ขีดจำกัด ผ่านการเชิญชวนให้เยาวชนตั้งแต่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อาชีวศึกษา จนถึงนักศึกษาระดับปริญญาตรีส่งผลงานเข้าประกวด ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2561

บริษัทฯ ยังมุ่งหวังในการเป็นผู้สนับสนุนศักยภาพของเยาวชนให้ประจักษ์แก่สังคมไทย โดยจะนำผลงานของผู้ชนะเลิศมาปรับใช้เพื่อเป็นโลโก้ครบรอบ 60 ปี และใช้ในสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ของไทยน้ำทิพย์ตลอดปี 2562 โดยทีมผู้บริหาร “ไทยน้ำทิพย์” และคณะกรรมการได้คัดเลือกผลงานจากเยาวชนที่ส่งเข้าร่วมประกวดมากมาย จนได้ลงมติให้ผลงานของ นายจักรภัทร ทาจันทร์ นักศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นผลงานชนะเลิศ เนื่องจากสามารถถ่ายทอดถึงความมั่นคงของ “ไทยน้ำทิพย์” ในการเป็นผู้นำในด้านการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม “โคคา-โคลา” ในประเทศไทยและประเทศแถบภูมิภาค ทั้งยังสื่อถึงความทันสมัย สามารถนำไปใช้ได้จริง ผนวกกับการดีไซน์ลายเส้นและตัวอักษรที่สวยงาม สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่ม รวมถึงการเพิ่มมุมมองใหม่ที่สดใสให้กับ “ไทยน้ำทิพย์”

ด้าน นายจักรภัทร ทาจันทร์ นักศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้ชนะเลิศจากการประกวดครั้งนี้ กล่าวว่า แรงบันดาลใจในการออกแบบผลงานชิ้นนี้เกิดจากการที่ตนมองว่า “ไทยน้ำทิพย์” เป็นองค์กรที่อยู่คู่กับชาวไทยมายาวนานจนได้รับการยกย่องมาเกือบ 60 ปี และเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย จึงตั้งใจออกแบบควบคู่กับวิสัยทัศน์ของ “ไทยน้ำทิพย์”  เน้นนำเสนอความเรียบง่าย แต่สอดแทรกความแข็งแรงมั่นคง

สำหรับผลงานที่ผ่านการคัดเลือกและได้รับรางวัลเงินทุนการศึกษา รวมถึงเกียรติบัตรแทนคำขอบคุณจากไทยน้ำทิพย์ มีจำนวนทั้งสิ้น 7 รางวัล มูลค่ารวม 2 แสนบาท ได้แก่

1.รางวัลชนะเลิศ จำนวน 1 รางวัล ได้รับเงินสดมูลค่า 100,000 บาท คือ นายจักรภัทร ทาจันทร์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จ.ปทุมธานี

2.รางวัลรองชนะเลิศ จำนวน 1 รางวัล ได้รับเงินสดมูลค่า 50,000 บาท คือ น.ส.จิรัชญา ยันตกิจ โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง กรุงเทพฯ

3.รางวัลชมเชย จำนวน 5 รางวัล ได้รับเงินสดมูลค่ารางวัลละ 10,000 บาท รวม 50,000 บาท ได้แก่นายจิรภัทร จตุรภัทรพงศ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา นายภานุวัตน์ สุนทโรทัย คณะดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีปทุม กรุงเทพฯ น.ส.พรกมล ภิรมย์น้อย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี น.ส.พศิกา ปฐมวงศ์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.ลำปาง และ น.ส.วราพร รัตนคันฉ่อง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กรุงเทพฯ


ในส่วนของผลงานที่ส่งเข้าประกวดครั้งนี้กว่า 160 ชิ้น ล้วนผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจากทีมคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้แกนายพรวุฒิ สารสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด, นายธงชัย ศิริธร ผู้อำนวยการกิจกรรมสังคมและสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด รวมถึงคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะและการออกแบบคือ “เจย์ สเป็นเซอร์” เซเลบหนุ่มชื่อดัง – ผู้พัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์และที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์ “โอ๋ ฟูตอง” (หทัยรัตน์ ฟิงเกอร์ฮูท) อาร์ทิสต์สาวเก๋ผู้มีผลงานการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังร่วมดีไซน์ผลิตภัณฑ์ให้แก่แบรนด์ชั้นนำระดับโลก ร่วมด้วย อาจารย์พิทักษ์ ปิยะพงษ์ ศิลปินอิสระและปราชญ์ด้านทัศนศิลป์ ปรมาจารย์ด้านโฆษณาของไทย

ทั้งนี้ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด คือ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มธุรกิจ “โคคา-โคลา” ในประเทศไทย ได้แก่ โค้ก, โค้ก ไม่มีน้ำตาล, โค้ก ไลท์, แฟนต้า, สไปรท์, ชเวปส์, รูทเบียร์ เอแอนด์ดับบลิว รวมถึงน้ำผลไม้มินิทเมด สแปลช, มินิทเมด พัลพิ, มินิทเมด ไวตาคิดส์, มินิทเมด ออเรนจ์ ไฟเบอร์, มินิทเมด ฮันนี่ เลมอน, น้ำดื่มน้ำทิพย์, อควาเรียส และล่าสุด ฟิวซ์ที – เครื่องดื่มชาผสมน้ำเสาวรสและเมล็ดเชีย และเครื่องดื่มชากลิ่นพีชผสมเมล็ดเชีย

Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 62 โชว์ยอดขายกว่า 2 พันล้านบาท

alivesonline.com : ประสบความสำเร็จอีกครั้งจากการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ (Bangkok Gems & Jewelry Fair) ครั้งที่ 62 โดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 7-11 ก.ย.ที่ผ่านมา ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี เปิดเผยว่า เพราะมียอดการซื้อขายภายในงานมูลค่ารวมกว่า 2,389.74 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ผู้ซื้อจากทั่วโลกต่างแสดงความสนใจและชื่นชมเครื่องประดับฝีมือของผู้ประกอบการไทยรุ่นใหม่และ SMEs ทำให้มีการซื้อสินค้าภายในงานทันที รวมถึงมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นคู่ค้าทางธุรกิจในอนาคต

งาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 62จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Heritage & Craftmanship” มีผู้ประกอบการ 914 บริษัท เข้าร่วมแสดงสินค้า 2,066 คูหา โดยมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน 800 บริษัท ในจำนวนนี้มีผู้ประกอบการหน้าใหม่และ SMEs กว่า 150 รายจาก 18 จังหวัดทั่วประเทศ ส่วนที่เหลือเป็นผู้ประกอบการจากทั่วโลก อาทิ ฮ่องกง โปแลนด์ ตุรกี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อินเดีย และไต้หวัน เป็นต้น ขณะที่มีผู้เข้าชมงานจาก 107 ประเทศทั่วโลก โดยผู้เข้าชมงานสูงสุด 5 อันดับแรกมาจากประเทศอินเดีย จีน เมียนมาร์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนามตามลำดับ

สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าซื้อขายภายในงานมากที่สุด ได้แก่ อัญมณี มูลค่ารวม 985.30 ล้านบาท (สัดส่วน 41.2%) เครื่องประดับทอง มูลค่ารวม 327.09 ล้านบาท (13.7%) เพชร มูลค่ารวม 221.55 ล้านบาท (9.3%) เครื่องประดับเงิน มูลค่ารวม 216.53 ล้านบาท (9.1%) และเครื่องจักร มูลค่ารวม 213.09 ล้านบาท (8.9%)

ผู้ซื้อและผู้เยี่ยมชมที่มาร่วมงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 62 ต่างให้ความสนใจกับกิจกรรมและโซนสินค้าพิเศษต่าง ๆ ภายในงาน อาทิ

  • นิทรรศการ The Niche Showcase นำเสนอเครื่องประดับเจาะ 5 ตลาดเฉพาะกลุ่ม
  • นิทรรศการ The New Faces แสดงสินค้าเครื่องประดับจากผู้ประกอบการ SMEs ไทยชั้นยอด 150 ราย
  • นิทรรศการ The Jewellers แสดงสินค้าจากกลุ่มดีไซเนอร์ที่มีผลงานออกแบบสร้างสรรค์และนวัตกรรมสินค้าจากโครงการพัฒนานักออกแบบไทยสู่ตลาดโลก
  • นิทรรศการ Creative Jewelry นำเสนอผลงานของ 40 แบรนด์ที่ร่วมโครงการพัฒนาสินค้ากับผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีและเครื่องประดับจนออกมาเป็นชิ้นงานที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ มีเรื่องราว (Story) มีลูกเล่นที่แปลกใหม่และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
  • Innovation and Design Zone ที่จัดแสดงงานอินสตอลเลชั่นที่ใช้เทคนิคโปรเจคชั่นแบบอินเตอร์แอคทีฟภายใต้ชื่อ Closer ที่ผู้ชมจะได้สัมผัสเครื่องประดับของตนเองได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นผ่านจอขนาดยักษ์ที่แสดงภาพเครื่องประดับออกมาในรูปแบบ 360 องศา
  • การสาธิตการทำเครื่องประดับโดยครูช่างที่มีฝีมืออันเป็นเลิศจากสมาคมช่างทองไทย
  • กิจกรรมสัมมนาและให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
  • การเจรจาธุรกิจภายในงาน

นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึงการจัดงานครั้งนี้ว่า ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม นอกจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ได้พบปะเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าเดิมและคู่ค้าใหม่แล้ว จะเห็นได้ว่าผู้ซื้อจากต่างประเทศต่างให้ความสนใจกับโซนจัดแสดงสินค้าของผู้ประกอบการหน้าใหม่และ SMEs ไทยอย่างมาก โดยมีผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการของ DITP หลายรายที่สามารถจำหน่ายสินค้าได้ภายในงาน และมีโอกาสได้เจรจาธุรกิจกับผู้ซื้อต่างชาติที่มีศักยภาพ ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะสั่งซื้อสินค้าเพิ่มเติมในอนาคต และในที่สุดจะส่งผลดีต่อภาคการผลิตและการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยต่อไป”

ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.–ก.ค.) ของปี 2561 การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวถึงร้อยละ 6.93 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่องในปี 2562

สำหรับงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 63 จะจัดขึ้นในวันที่ 20-24 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้สนใจสมัครเข้าร่วมงานและชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.bkkgems.com หรือโทร.สายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169

“พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์” คว้า 2 รางวัลด้านบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชน

ขอแสดงความยินดีกับ ดร.สาธิต วิทยากร ประธานคณะกรรมการ บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจหลักด้านธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและการบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชน ในโอกาสที่ 2 โรงพยาบาลในเครือ ได้แก่ โรงพยาบาลพิษณุเวช จังหวัดพิษณุโลก รับรางวัลธุรกิจที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานธรรมาภิบาลธุรกิจ ประจำปี 2561 และ โรงพยาบาลสหเวช จังหวัดพิจิตร รับรางวัลธรรมาภิบาลธุรกิจดีเด่น ระดับจังหวัด ประจำปี 2561 จาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

ในฐานะแม่ทัพใหญ่ ดร.สาธิต วิทยากร จึงอดที่จะภูมิใจไม่ได้ ซึ่งเจ้าตัวบอกมาว่า กว่าที่จะได้รับรางวัลนี้ใช่ว่าจะได้กันมาง่าย ๆ เพราะจะต้องฝ่าด่านการประเมินด้วยเกณฑ์ธรรมาภิบาลระดับที่เข้มข้น ต้องมีการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีการใช้หลักธรรมภิบาลเป็นธงนำในการบริหารจัดการธุรกิจ และมีมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจตามหลักเกณฑ์ของสากล…ยอดเยี่ยมแบบนี้ขอปรบมือให้เลย……

สำหรับโรงพยาบาลในเครือ บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด ประกอบด้วย โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ / โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 1 และโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 2 จังหวัดนครสวรรค์ / โรงพยาบาลพิษณุเวช จังหวัดพิษณุโลก / โรงพยาบาลสหเวช จังหวัดพิจิตร

นอกจากนี้ ยังมีโรงพยาบาลที่กำลังก่อสร้างอีก 2 แห่งซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสแรกของปี 2562 คือ โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี และโรงพยาบาลพิษณุเวช อุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์

“สตาร์บัคส์” เปิดตัว 3 เครื่องดื่มใหม่ พร้อมเมนูสุขภาพ

สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) เอาใจคนรักกาแฟ ด้วย 3 เครื่องดื่มใหม่กับ “แฟลทไวท์” (Flat White) “คาสคาร่า โคลด์ โฟม โคลด์บรูว์” (Cascara Cold Foam Cold Brew) และ “ดูโอ้ โกโก้ มอคค่า” (Duo Cocoa Mocha) ให้คอกาแฟได้รื่นรมย์กับรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ที่ร้าน “สตาร์บัคส์” ทุกสาขาทั่วประเทศ

เริ่มด้วย “แฟลทไวท์” เครื่องดื่มเอสเพรสโซ่ที่ทำจากช็อตริสเทรตโต้ (Ristretto) ที่ให้รสเข้มและหวาน เมนูหลักใหม่ของสตาร์บัคส์ เสิร์ฟพร้อมฟองนมเนียนนุ่มละมุนและจุดวงกลมสีขาวที่ด้านบนของเครื่องดื่มอันเป็นสัญลักษณ์ของแฟลทไวท์ เหมาะสำหรับคนรักกาแฟลาเต้ที่มองหารสชาติใหม่ ๆ และความเข้มข้นด้วยสูตรเฉพาะของสตาร์บัคส์

นอกจากนี้ยังมี “คาสคาร่า โคลด์ โฟม โคลด์บรูว์” กาแฟสกัดเย็นท็อปด้านบนด้วยฟองนมที่ทำจากนมพร่องมันเนย เพิ่มความหอมหวานด้วยน้ำเชื่อมคาสคาร่าที่ทำจากเปลือกของผลเชอร์รี่ (เมล็ดกาแฟ) และน้ำตาลทรายแดง พร้อมด้วยเมเปิ้ลที่โรยบนฟองนม รสชาติบางเบาแต่เข้มข้นถึงใจ

ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งเมนูกาแฟใหม่แสนสนุกอย่าง “ดูโอ้ โกโก้ มอคค่า” ซึ่งเป็นการผสมผสานของดาร์กและไวท์ช็อคโกแลต เข้ากันกับช็อตเอสเพรสโซ่เข้มข้น ท็อปด้วยวิปครีม ซอสมอคค่าและโกโก้นิบส์ หรือเปลือกผลโกโก้เคลือบช็อคโกแล็ต เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบกาแฟผสมช็อคโกแล็ต

ต่อด้วยเมนูอาหารสุดพิเศษที่ในฤดูกาลนี้รังสรรค์ด้วยส่วนผสมอุดมคุณประโยชน์จากซูเปอร์ฟู้ดและอาหารที่ดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจ อาทิ

  • Healthy Bistro Box การผสมผสานของสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพอย่างข้าวไรซ์เบอร์รี่ คีนัว อกไก่ไร้หนัง ฟักทอง แครอท และบร็อคโคลี่ เพิ่มรสชาติเข้มข้นด้วยน้ำสลัดบัลซามิกสูตรเฉพาะ
  • Acai Mixed Berry อาซาอิปั่นผสมมิกซ์เบอร์รี่และน้ำผึ้ง ท็อปด้วยกราโนล่ากรุบกรอบ เม็ดเจีย (Chia seed) และผลบลูเบอร์รี่ อุดมด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระจากสุดยอดอาหารอย่างอาซาอิเบอร์รี่
  • Nicoise Salad นิซัวสลัด ซึ่งเป็นสลัดแบบฝรั่งเศสที่มีวัตถุดิบอย่าง ผักคอส ไข่ต้ม มันฝรั่ง มะกอกดำ ถั่วแขก และทูน่า ราดด้วยน้ำสลัดวินิเกรทแบบใส มอบความสดชื่นรับเช้าวันใหม่ได้อย่างลงตัว
  • Duo Club Sandwich ขนมปัง 2 สีจากส่วนผสมของข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่ให้สีม่วงและแครอทผสมปาปริก้าที่ให้สีส้มประกอบกันเป็นแซนด์วิชสอดไส้ด้วยไข่ เบคอน มะเขือเทศ ผักโรเมนและมายองเนส
  • Roasted Chicken & Egg Spinach Riceberry Bread ขนมปังจากแป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่สอดไส้ด้วยไก่อบ ไข่ต้มและผักโขมผัด เมนูเติมพลังแสนอร่อยยามเช้าที่ครบถ้วนด้วยสารอาหารและประโยชน์ดีๆ ต่อร่างกาย
  • Pumpkin Muffin มัฟฟินฟักทองเนื้อนุ่มรสชาติหอมหวานจากเนื้อฟักทองและแป้งสูตรพิเศษ อร่อยยิ่งขึ้นด้วยเมล็ดฟักทองอบและวอลนัทกรุบกรอบที่อยู่ด้านใน
  • Starbucks Drinkware Collection ดริ๊งค์แวร์คอลเลคชั่นสำหรับฤดูใบไม้ร่วงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากโลกใต้ทะเลและราชินีแห่งท้องทะเล นั่นคือ “นางเงือก SirenW ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของ Starbucks นั่นเอง  โดยคอลเลกชั่นนี้มาในโทนสีน้ำเงินอมเขียว สีฟ้า สีน้ำเงินและสีทอง รวมถึงองค์ประกอบของนางเงือกที่นำมาใช้ในการดีไซน์ให้สินค้ามีมิติ มีลูกเล่นที่น่าสนใจและควรค่าแก่การครอบครอง 

    1.Swimming Siren DW แก้วเซรามิก 2 ชั้นผิวแมทสีฟ้าอมเขียว ลายนางเงือก Siren ถือแก้วกาแฟ พร้อมฝาปิดเซรามิกสีทองเมทัลลิค ใส่ได้ทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น ขนาด 12 oz. ราคา 950 บาท

     

    2.Crown with Saucer แก้วเซรามิกเคลือบเงาสีฟ้า ด้านนอกทำเป็นเกล็ดนางเงือกเคลือบสีทองเมทัลลิค พร้อมด้วยฝาปิดเซรามิกทรงมงกุฎสีทองเมทัลลิค ใส่ได้ทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น ขนาด 12 oz. ราคา 980 บาท

    3.SS Siren Scale Tail ทัมเบลอร์แสตนเลส ลายเรือสำเภาและมีหางนางเงือกโผล่พ้นน้ำทะเล ตัดขอบลายเส้นด้วยสีเงิน ใส่ได้ทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น ขนาด 16 oz. ราคา 1,150 บาท

    4.Under Stars ทัมเบลอร์สแตนเลสสตีล สีน้ำเงินลายดาวเล็ก ๆ สามารถกันน้ำหก หรือรั่วไหลได้อย่างดี มีสายซิลิโคนที่ทำให้สะดวกแก่การพกพา ใส่ได้ทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น ขนาด 16 oz. ราคา 1,350 บาท

    5.SS Siren Tail Under Stars ทัมเบลอร์สแตนเลสสตีล 2 ชั้น สีน้ำเงินไล่เฉดสี มาพร้อมลายหางนางเงือกสีเงินที่โผล่พ้นน้ำทะเลขึ้นมา ใส่ได้ทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น ขนาด 16 oz. ราคา 1,150 บาท

    6.Full Siren ทัมเบลอร์พลาสติก 2 ชั้น ด้านนอกใสโปร่งแสง ส่วนด้านในเป็นกระดาษฟอยล์ลายนางเงือก ฝาปิดพลาสติกสีน้ำเงินที่เปิดปิดได้โดยกันน้ำหกและรั่วไหลได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับใส่เครื่องดื่มเย็น ขนาด 16 oz. ราคา 480 บาท

    7.SS Night Sky Cold Cup ทัมเบลอร์สแตนเลสสตีล Cold Cup 2 ชั้น โทนสีน้ำเงิน น้ำเงินอมเขียวไล่เฉดมีลายดาวดวงเล็กๆ สีทอง มาพร้อมหลอดพลาสติกที่ล้างแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เหมาะสำหรับใส่เครื่องดื่มเย็น ขนาด 16 oz. ราคา 1,150 บาท

    8.Gold Scale Cold Cup ทัมเบลอร์สแตนเลสสตีล Cold Cup 2 ชั้น สีฟ้า-น้ำเงินไล่เฉด ฝาปิดแบบบางด้านบนมีลายเกล็ดหางนางเงือก พร้อมด้วยหลอดพลาสติกที่ล้างแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เหมาะสำหรับใส่เครื่องดื่มเย็น ขนาด 20 oz. ราคา 1,300 บาท

    9.Swim Siren Cold Cup ทัมเบลอร์พลาสติก Cold Cup 2 ชั้น ลายนางเงือกว่ายน้ำใต้ท้องทะเล พื้นหลังสีขาว-ฟ้าไล่เฉด ฝาปิดพลาสติกโทนสีฟ้าน้ำทะเล มีหลอดพลาสติกสีที่ล้างแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เหมาะสำหรับใส่เครื่องดื่มเย็น ขนาด 24 oz. ราคา 600 บาท

    10.MI-Journal Siren สมุดโน้ตขนาด 16.5 X 23 เซนติเมตร ปกสมุดโน้ตแบบแข็ง ปริ้นท์ลงกระดาษฟอยล์ลายนางเงือกว่ายน้ำอยู่ใต้ท้องทะเล พร้อมที่ขั้นสมุดโน้ตริบบิ้นสีขาว ราคา 500 บาท (จำหน่ายเฉพาะร้าน Siam Flagship เท่านั้น)