“เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ พัทยา” มั่นใจขึ้นแท่นผู้นำเทรนด์สินค้าตบแต่งบ้าน

alivesonline.com : เปิดบ้าน “เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ พัทยา” แหล่งรวมไอเดียและสินค้าเพื่อการตบแต่งบ้านและอาคารที่ทันสมัย บนพื้นที่กว่า 1.5 พันตารางเมตร และสินค้ามากกว่า 1 พันรายการ ภายใต้แนวคิด “เฮเฟเล่ อุปกรณ์ครบ จบทุกเรื่องงานอาคาร” (Complete Building Solutions) ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ในที่อยู่อาศัยได้ทุก ๆ พื้นที่

นายโฟลเคอร์ เฮลสเติร์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและครัวเรือน พร้อมทั้งสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ในห้องน้ำ คุณภาพมาตรฐานเยอรมนี เปิดเผยว่า “เฮเฟเล่” มีนโยบายเน้นการสรรหาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบจบทุกเรื่องงานอาคาร หรือ Complete Building Solutions เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำตลาดรองรับการเติบโตของตลาดอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ พร้อมเป็นบริษัทพันธมิตรชั้นเลิศของนักธุรกิจวงการก่อสร้าง อุตสาหกรรมค้าไม้ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงคู่ค้าและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศไทย

บริษัทฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพทำเลของเมืองพัทยามีแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในอัตราที่สูงขึ้น ทำให้ภาคของอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัวตามไปด้วย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม โรงแรม อะพาร์ตเมนต์เซอร์วิส หอพัก บ้านจัดสรร ทั้งทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว โดยแนวโน้มด้านความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น รวมถึงเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีแหล่งท่องเที่ยวและร้านอาหารมากมาย เพื่อตอบสนองนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้งยังมีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งดึงดูดแรงงานทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้ามาในพื้นที่ในปริมาณที่สูงมาก

สำหรับ “เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ พัทยา” มีนายชาลี เกเซอร์ เป็นผู้จัดการโชว์รูม เปิดให้บริการมากว่า 15 ปี ทุกวันจันทร์–ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00–18.00 น. และวันเสาร์ เวลา 9.00-16.00 น. ปิดทำการในวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ มีพื้นที่กว่า 1.5 พันตารางเมตร ภายในโชว์รูมมีการจำลองพื้นที่ภายในบ้านเสมือนจริง เพื่อให้สามารถสัมผัสและทดลองใช้สินค้าได้อย่างใกล้ชิดมากกว่า 1 พันรายการ โดยสินค้าในโชว์รูมแห่งนี้จะเน้นดีไซน์ที่โดดเด่นและคุณภาพระดับนานาชาติที่สอดคล้องกับรสนิยมและความต้องการของตลาด ทั้งยังตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกและผู้คนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ภายในโชว์รูมมีการจัดพื้นที่แบ่งออกเป็น 6 โชน ได้แก่ โซนอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์, โซนสุขภัณฑ์และห้องน้ำ, โซนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ในห้องครัว, โซนโฮมออฟฟิศ, โซนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และโซนประตูหน้าต่าง พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำด้านต่าง ๆ

นายโฟลเคอร์ กล่าวในตอนท้ายว่า “เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ” ยังเป็นทั้งแหล่งรวมสินค้าและอุปกรณ์ตบแต่งบ้าน คุณภาพมาตรฐานเยอรมนีที่ครบครันที่สุดและยังเป็นแหล่งรวมสินค้านำเทรนด์การตกแต่งบ้านที่ลูกค้าจะได้เข้ามาเห็นเทรนด์ใหม่ในการตกแต่งบ้านที่นำสมัยและกำลังเป็นเทรนด์ฮิตของโลกซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร “เฮเฟเล่” ที่ต้องการให้ประเทศไทยเดินหน้าเข้าสู่ความเป็นผู้นำเทรนด์ใหม่ ๆ ของสินค้าสำหรับบ้าน

“ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร” เปิดตัวต้นแบบอาคารสำนักงานแบบใหม่

‘ดร.ประสาน ภิรัช บุรี’ (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี พร้อมด้วย ‘ประพีร์ บุรี’ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ‘ปิติภัทร บุรี’ (ที่ 2 จากขวา) กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ‘ปนิษฐา บุรี’ (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ‘สโรชา บุรี’ (ขวาสุด) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการเงิน กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี และ ‘วุธิชัย ทรัพย์เพิ่มพงศ์’ (ซ้ายสุด) กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ร่วมงานเปิดตัว “ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร” ออฟฟิศแคมปัสแห่งแรกในกรุงเทพฯ

กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ระดับคุณภาพของประเทศไทย เปิดตัวอาคารสำนักงาน Office Campus ต้นแบบแห่งแรกใจกลางกรุงเทพฯ อาคาร “ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร” บนทำเลทองถนนสาทร ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สุรศักดิ์ มุ่งเสริม Work-Life Balance ให้กับกลุ่มคนทำงานในเมืองด้วยพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจและพื้นที่สีเขียวร่มรื่น พร้อมร้านกาแฟชื่อดัง Roots และ ร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่นรสชาติเยี่ยมอย่าง Ocken เกิดเป็นโอเอซิสแห่งใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของคนทำงานทุกอาชีพ

 

นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี เปิดเผยว่า อาคาร “ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร เป็นต้นแบบของอาคารสำนักงานแบบใหม่ ภายใต้แนวคิด Office Campus แห่งแรกตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ พื้นที่โดยรอบเน้นการอำนวยความสะดวกด้านพื้นที่การทำงานที่หลากหลาย ความสะดวกสบาย รวมถึงพื้นที่สีเขียวที่หาได้ยากมากท่ามกลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกสูง เราจึงต้องการสร้างความแตกต่างและสร้างความหมายให้กับทุกตารางเมตร รวมถึงสร้างโอกาสในการทำความรู้จัก หรือมี Social Connection กับผู้คนรอบข้างได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นก็ยังมีร้านกาแฟ ร้านอาหารคุณภาพเยี่ยมให้ผู้คนได้เลือกกินดื่ม ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์สำหรับคนทำงานรุ่นใหม่ที่อยู่ไม่ติดที่และต้องการความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี

อาคาร “ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร” เป็นกลุ่มอาคารสำนักงานแบบ Office Campus บนพื้นที่ขนาด 5 ไร่ แบ่งออกเป็น 3 แคมปัส ได้แก่ Campus A อาคารสูง 4 ชั้น, Campus B อาคารสูง 2 ชั้น และ Campus C อาคารชั้นเดียว ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สุรศักดิ์ แบ่งเป็นพื้นที่ให้เช่าส่วนอาคารสำนักงานจำนวน 3.5 พันตารางเมตร ถือเป็นต้นแบบ Office Campus ในประเทศไทย ที่ตอบโจทย์คนทำงานทั้งในและนอกออฟฟิศในยุคปัจจุบัน พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวสำหรับการคิดนอกกรอบและพักผ่อนหย่อนใจ และร้านกาแฟภายใต้แนวคิด Cup-to-farm Ethos อย่าง Roots ที่จะช่วยเติมพลังให้กับคนทำงาน พร้อมด้วยร้านอาหารบรรยากาศสบาย ๆ และอบอุ่นอย่าง Ocken ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูอาหารตะวันตกสไตล์โมเดิร์น เหมาะกับเป็นจุดนัดสังสรรค์หลังเลิกงานยามเย็นได้เป็นอย่างดี

ภายในวันเปิดโครงการ ยังมีการจัดนิทรรศการภาพถ่าย “Birth” จาก “พิชาญ สุจริตสาธิต” ช่างภาพอิสระชื่อดังที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่อมุมมองย่านสาทรผ่านภาพถ่ายที่สะท้อนการถือกำเนิด เอกลักษณ์และความหวังบนถนนสาทรออกมาได้อย่างโดดเด่น พร้อมมินิคอนเสิร์ตจาก “อิมเมจ สุธิตา” ที่ช่วยสร้างสีสันและบรรยากาศภายในงานได้อย่างน่าประทับใจ

“กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี” เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ระดับคุณภาพ บนทำเลชั้นเยี่ยมทั่วกรุงเทพฯมากว่า 30 ปี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและเป็นเจ้าของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสมัชชาวาณิช 2 (UBC II) วันอุดมสุข คอมมิวนิตี้มอลล์ และล่าสุดคือ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร

 

 

ชุดเครื่องนอน “เจสสิก้า – ทิวลิป” ลด 50-80% ในงานกาชาดประจำปี 2561

บริษัท ที แอล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการมอบสัมผัสประสบการณ์การนอนที่เหนือระดับ ชวนเหล่าสาวกชุดเครื่องนอนคุณภาพแบรนด์ “เจสสิก้า” ร่วมชอปจุใจกับโปรโมชั่นสุดพิเศษในงานกาชาด ประจำปี 2561 ที่ลดสูงสุดถึง 80% อาทิ ชุดเครื่องนอน “เจสสิก้า ไมโครเทนเซล” ครบเซ็ต 6 ชิ้น จากราคาปกติ 14,650 บาท ลดเหลือ 2,990 บาท, ปลอกหมอนหนุน “เจสสิก้า” จากราคาปกติ 200 บาท ลดเหลือ 40 บาท และพิเศษสุด ๆ เมื่อซื้อหมอนหนุน “เจสสิก้า” รุ่น “ไฟเบอร์ บอล” (FIBER BALL) จากราคาปกติ 650 บาท ลดเหลือ 380 บาท พร้อมรับเพิ่มฟรีอีก 1 ใบ

นอกจากนั้น ชุดเครื่องนอน “ทิวลิป” ยังจัดโปรโมชั่น ลด 50-80% อาทิ ชุดเครื่องนอน “ทิวลิป คอตตอน ชัวร์” พิมพ์ลาย 500 เส้นด้าย ครบเซ็ต 6 ชิ้น จากราคาปกติ 16,670 บาท ลดเหลือ 3,990 บาท, ชุดเครื่องนอน “ทิวลิป ดีไลท์” พิมพ์ลาย ครบเซ็ต 6 ชิ้น จากราคาปกติ 5,980 บาท ลดเหลือ 1,790 บาท พิเศษสุดเมื่อซื้อสินค้าครบ 7,000 บาท รับฟรีทันทีหมอนหนุน “ทิวลิป”ลายการ์ตูน 2 ใบ มูลค่า 900 บาทร่วมช้อปสินค้าคุณภาพจากทั้งสองแบรนด์ได้ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2561 เวลา 10.30 -22.00 น. ณ บูธ D19 บริเวณหอนาฬิกา สวนลุมพินี ข้อมูลติดต่อ บริษัท ที แอล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด โทร.0 2870 8466 www.tulip.co.th

“ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู 100% LIMITED EDITION” หอมที่สุด นุ่มที่สุด อร่อยที่สุด

“ข้าวหงษ์ทอง” ส่งต่อความพิเศษจากฤดูเก็บเกี่ยวเมล็ดข้าวหอมมะลิพันธุ์บริสุทธิ์ที่ผ่านกรรมวิธีการปลูกข้าวที่ดีที่สุด สู่ข้าวหอมมะลิคุณภาพหนึ่งเดียวในรอบปี ผลผลิตถุงแรกจากโครงการ “หงษ์ทอง นาหยอด” ในชื่อว่า “ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู 100% LIMITED EDITION” สุดยอดข้าวจากความภาคภูมิใจของ “ข้าวหงษ์ทอง” ด้วยเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ผ่านกรรมวิธีการปลูกในแปลงนาหยอด บนผืนนาในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ใส่ใจดูแลข้าวทุกรวงด้วยเกษตรกรผู้มีประสบการณ์ เติมความพิถีพิถันด้วยเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัยและรวดเร็ว ให้ข้าวทุกถุงทุกเมล็ดมีมาตรฐาน เกิดเป็นข้าวหอมมะลิที่มีเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม มีกลิ่นหอม และรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ จนได้ชื่อว่าเป็น “ข้าวที่อร่อยที่สุด หอมที่สุด และนุ่มที่สุด” ของ “ข้าวหงษ์ทอง” อันเป็นความพิเศษที่มีเพียงปีละครั้งเท่านั้น พร้อมให้คุณได้รับประทานก่อนใคร

สัมผัสความพิเศษแบบ “LIMITED EDITION” ด้วยตัวคุณเองได้แล้ววันนี้ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ด่วน! สินค้ามีจำนวนจำกัด ช้าอาจหมด ต้องรอปีหน้า

“ลาซาด้า” ตั้งเป้าสร้างผู้ค้าออนไลน์ทั่วอาเซียน 8 ล้านรายภายในปี 2030

alivesonline.com : “ลาซาด้า” หนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เน้นสร้างระบบนิเวศอี-คอมเมิร์ซแบบยั่งยืนและครบวงจร รวมถึงสนับสนุนโครงสร้างด้านเทคโนโลยีและโลจิสติกส์เพื่อประโยชน์ต่อผู้ขาย ผู้บริโภค และชุมชนในท้องถิ่น พร้อมเตรียมขยายโครงการขับเคลื่อนร้านค้าออนไลน์เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการกลุ่มผู้หญิง-แม่บ้าน ตั้งเป้าส่งเสริมผู้ประกอบการจำนวน 8 ล้านรายทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2030

นายเจมส์ ตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ลาซาด้า” มีนโยบายสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจสู่ระบบดิจิทัลให้สามารถเข้าถึงผู้กลุ่มผู้บริโภคที่ใช้อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ผู้ค้าสามารถสร้างแบรนด์ของตนเองบนแพลตฟอร์มของ “ลาซาด้า” ได้ง่ายขึ้นและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโลจิสติกส์ของ “ลาซาด้า” เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนถ่ายสินค้าและนำส่งสินค้าสู่ผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายส่งเสริมผู้ประกอบการจำนวน 8 ล้านรายทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2030

หลังจากที่ “ลาซาด้า” ได้ผ่านความท้าทายต่าง ๆ จนสามารถประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจช่วงยุคตั้งต้นของอี-คอมเมิร์ซ ขณะนี้พร้อมที่จะนำระบบนิเวศทางธุรกิจอันแข็งแกร่งของ “ลาซาด้า” เข้าสู่ยุคแห่งการปรับเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างแพลตฟอร์มอันเป็นที่เชื่อถือได้ โดยเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ขายกับผู้บริโภคในภูมิภาคฯ เข้าไว้ด้วยกัน สำหรับการสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีและโลจิสติกส์ของ “ลาซาด้า” เป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ได้เติบโตขึ้นพร้อมธุรกิจอันยั่งยืนและช่วยผลักดันเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เติบโตในระยะยาว

ในฐานะที่ “ลาซาด้า” เป็นแพลตฟอร์มของการชอปปิ้งและจำหน่ายสินค้าออนไลน์ชั้นนำของภูมิภาค จึงมุ่งมั่นในการสร้างอี-คอมเมิร์ซให้เป็นธุรกิจชั้นแนวหน้าในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจเอสเอ็มอีที่แข็งแกร่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับอี-คอมเมิร์ซทั้งระบบ โดยธุรกิจเอสเอ็มอีเหล่านี้ยังช่วยเปิดศักยภาพและนำพาให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก้าวสู่ยุคดิจิทัลด้วย นอกจากนี้ “ลาซาด้า” ยังให้การสนับสนุนให้ผู้ค้าในธุรกิจเอสเอ็มอีให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น โดยได้พัฒนาความคิดริเริ่ม รวมไปถึงเครื่องมือต่าง ๆ ที่เน้นการฝึกอบรวมและส่งเสริมให้ผู้ค้าสามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและปิดการขายได้มากขึ้น

“ปัจจุบันผู้ค้ายุคใหม่ไม่ได้มองอี-คอมเมิร์ซเป็นเพียงแค่ส่วนเสริมของธุรกิจเท่านั้น แต่มองว่าคือสิ่งจำเป็นในการผลักดันความสำเร็จของธุรกิจ โดยผู้นำในด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่าง ลาซาด้า สามารถเป็นคู่ค้าสำหรับผู้ประกอบการที่มุ่งมั่นในการสร้างธุรกิจให้เติบโตแบบมืออาชีพ ซึ่งการเติบโตของธุรกิจเหล่านี้จะผลักดันระบบนิเวศทางธุรกิจทั้งระบบ”

นายเจมส์ ตง กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในหลาย ๆ ประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายต่างๆ เช่น การพัฒนาการรองรับการชำระเงินออนไลน์ หรืออี-เพย์เม้นท์ (e-Payment) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเข้าถึงบริการด้านการเงินและการสนับสนุนด้านอื่น ๆ แต่สำหรับในประเทศไทย “ลาซาด้า” ได้ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดดังกล่าว โดยได้จับมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ นำร่องปล่อยสินเชื่อออนไลน์ (Digital Lending) ให้แก่ลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นผู้ขายบน “ลาซาด้า” ด้วยการนำเทคโนโลยี Artificial Intelligence (AI) ที่พัฒนาโดย บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด มาใช้พิจารณาปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซเป็นแห่งแรกในประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าให้สามารถทำการขอสินเชื่อออนไลน์ได้ทันทีไม่ต้องขอเอกสารยุ่งยาก สร้างความคล่องตัวทางการเงิน และความสามารถในการขยายธุรกิจให้แก่กลุ่มผู้ค้า “ลาซาด้า” ประเทศไทย

ระบบโลจิสติกส์ยังถือเป็นความท้าทายอีกด้านหนึ่งของผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยข้อจำกัดในด้านผู้ให้บริการซึ่งดำเนินธุรกิจขนาดเล็กและไม่สามารถตอบโจทย์ในทั้งระบบ ทั้งยังมีความแตกต่างทางโครงสร้างด้านการคมนาคมขนส่งภายในภูมิภาคอีกด้วย

จากการวิจัยของ อิโคโนมิสต์ อินเทลลิเจ้นท์ ยูนิต ประจำภูมิภาคเอเชีย หรือ “อีไอยู” (Economist Intelligence Unit : EIU) พบว่า โลจิสติกส์ ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในประเทศที่มีภูมิประเทศเป็นแบบหมู่เกาะ เช่น อินโดนิเซีย และฟิลิปปินส์ โดยผลการวิจัยระบุว่า เครือข่ายถนน ไปจนถึงเครือข่ายค้าปลีกและการกระจายสินค้า เป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับบริษัทผู้ประกอบธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ

“สำหรับภูมิภาคที่มีความแตกต่างและหลากหลายเช่นนี้ ข้อมูลและเทคโนโลยีนับเป็นสองปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาประสบการณ์ของผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ โดยผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการใช้ข้อมูลเพื่อเข้าถึงรสนิยมของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่และสามารถสร้างความต้องการของผู้บริโภคขึ้นได้นั้น จะเป็นผู้ที่ผู้ที่อยู่บนเส้นทางแห่งความสำเร็จ”

นายเจมส์ ตง กล่าวด้วยว่า การใช้เครือข่ายโลจิสติกส์ของ “ลาซาด้า” จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบธุรกิจในด้านการเคลื่อนย้ายสินค้าในแต่ละประเทศ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถเข้าถึงและส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ในทุกที่ โดยเทคโนโลยีของ “ลาซาด้า” ที่ใช้ระบบสถิติและข้อมูลเชิงลึก จะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กเชื่อมต่อกับผู้ซื้อสินค้าผ่านเครือข่ายซึ่งไว้ใจได้ นับเป็นการสร้างโอกาสในการต่อยอดธุรกิจและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของตลาดผู้บริโภคในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซสามารถเปิดโอกาสให้ชุมชนและผู้ที่มีความสามารถพิเศษในด้านต่าง ๆ มากมาย ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเพราะสามารถเข้าถึงสื่อประเภทโซเชียลเน็ตเวิร์คและนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือความยืดหยุ่นในการประกอบธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ดึงดูดให้กลุ่มผู้หญิงหันมาเป็นผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซมากขึ้น โดยสามารถดูแลธุรกิจไปพร้อม ๆ กับการดูแลครอบครัวที่บ้านได้ในเวลาเดียวกัน

“เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญของผู้บริโภคกลุ่มที่เป็นผู้หญิงซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจและการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน เราจึงมองเห็นถึงเหตุผลที่ผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ ๆ ให้การสนับสนุนบรรดาผู้ประกอบการรายย่อยที่เป็นสุภาพสตรี โดยเฉพาะในธุรกิจสินค้าอี-คอมเมิร์ซประเภทเครื่องสำอางและสินค้าสำหรับเด็ก

ทั้งนี้ ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิตอลเป็นอย่างมาก โดยระบบนิเวศทางอี-คอมเมิร์ซที่สมบูรณ์แบบจะช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจอันแข็งแกร่งสำหรับผู้ประกอบการที่เป็นผู้หญิง และเพื่อเป็นการสนับสนุนกลุ่มสตรีในภูมิภาค “ลาซาด้า” ได้พัฒนาความคิดริเริ่ม อาทิ โครงการ “Mompreneurs” ซึ่งเป็นโปรแกรมฝึกอบรมที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยให้สุภาพสตรีที่เป็นแม่บ้านสามารถทำธุรกิจร้านค้าออนไลน์ได้ในขณะที่ยังคงดูแลครอบครัวไปด้วย โดยโปรแกรมนี้ได้ดำเนินการแล้วในประเทศฟิลิปปินส์ และคาดว่าจะขยายสู่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ต่อไป

 

10 ปี 10 คอนเซ็ปต์ ต้นคริสต์มาส “ยูดี ทาวน์”

 

นายวันชัย จันทร์พร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดไฟต้นคริสต์มาส “UD TOWN Christmas Tree Light Up 2018”  เมื่อเร็ว ๆ นี้

alivesonline.com : ต้นคริสต์มาสยักษ์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางศูนย์การค้า “ยูดี ทาวน์” จังหวัดอุดรธานี กลายเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงการเริ่มต้นแห่งฤดูกาลการเฉลิมฉลองและฤดูกาลท่องเที่ยวของจังหวัดอุดรธานีไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่บอกถึงความสำเร็จของ “ยูดี ทาวน์” ตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ในการนำ “ซีซันนอล อีเว้นท์” (Seasonal Event) มาสร้างสีสันและความแตกต่างเพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้แก่กลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนภาคอีสาน

‘อภิชา วีรชาติยานุกูล’ ผู้จัดการฝ่ายดูแลภาพลักษณ์องค์กร บริษัท อุดรพลาซ่า จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้า “ยูดี ทาวน์” จังหวัดอุดรธานี บอกล่าวว่า เทศกาลคริสต์มาสถือเป็นอีกหนึ่ง “ซีซันนอล อีเว้นท์” ที่ทำให้ศูนย์การค้า “ยูดี ทาวน์” กลายเป็นที่จดจำของกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจก็ได้มีการนำเทศกาลคริสต์มาสมาใช้เป็นอีเว้นท์หลักสร้างสีสันให้กับเมืองอุดรธานี เพื่อมอบเป็นประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวใหม่ ๆ ให้กลุ่มลูกค้ามาโดยตลอด

ในแต่ละปี “ยูดี ทาวน์” ให้ความสำคัญกับการออกแบบต้นคริสต์มาส ทั้งด้านการดีไซน์ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมเปิดไฟต้นคริสต์มาสภายใต้คอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกันไป เพื่อสร้างเป็นแลนด์มาร์คให้ประชาชนได้มาถ่ายรูป นอกจากนี้ยังได้ตกแต่งบริเวณรอบศูนย์การค้าฯ ให้มีความสวยงามพร้อมทั้งได้เชิญศิลปินนักแสดงชื่อดังระดับประเทศมาร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างความสนุกสนานและบรรยากาศการเข้าสู่ฤดูกาลแห่งการเฉลิมฉลอง

ต้นคริสต์มาสต้นแรกของศูนย์การค้า “ยูดี ทาวน์” เกิดขึ้นในปี 2009 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “มหัศจรรย์คริสต์มาสแฟนตาซี” ด้วยการออกแบบต้นคริสต์มาสความสูงกว่า 10 เมตร ให้มีสีขาวพร้อมครอบด้วยคริสตัล เพื่อสร้างบรรยากาศให้เสมือนเป็นเมืองหิมะ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี อีกทั้งยังสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ประชาชนในจังหวัดอุดรธานีอีกด้วย เนื่องจากเป็นต้นคริสต์มาสที่สูงที่สุดของจังหวัดในเวลานั้น

ต่อมาในปี 2010 ต้นคริสต์มาสถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Sparkling Crystals Christmas Tree” ซึ่งทำขึ้นจากคริสตัลระยิบระยับกว่าล้านเม็ด พร้อมตกแต่งบรรยากาศรอบศูนย์การค้าฯ ให้เป็นสีขาว เสมือนหนึ่งยกขั้วโลกเหนือมาไว้ที่ภาคอีสาน พร้อมเชิญนางเอกชื่อดัง “พลอย-เฌอมาลย์ บุญศักดิ์” ร่วมเป็นราชินีหิมะในชุดราตรีสีขาว ประดับเครื่องเพชรอลังการมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท

ส่วนปี 2011 ต้นคริสต์มาสถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นสวนแนวตั้งภายใต้คอนเซ็ปต์ “UD TOWN Gifts From Heaven” สร้างขึ้นจากต้นคริสต์มาสสีแดงสดกว่า 2,000 ต้นพร้อมเนรมิตพื้นที่รอบศูนย์การค้าฯ ให้เป็นเหมือนสวรรค์ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด

ต่อมาในปี 2012 เทศกาลคริสต์มาสที่ “ยูดี ทาวน์” ก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ปีก่อน ๆ ด้วยคอนเซ็ปต์ “The Dazzle of Happiness” ประกายสีสันแห่งความสุขที่ไม่สิ้นสุดและมีการทำต้นคริสต์มาสให้ยิ่งใหญ่กว่าปีที่ผ่านมา ด้วยความสูง 12 เมตร ตกแต่งด้วย Poly Mirror ให้แสงประกายแวววาวในยามค่ำคืนด้วยไฟแอลอีดีนับหมื่นดวง พร้อมกระดิ่งลมคอยบรรเลงบทเพลงธรรมชาติต้อนรับนักท่องเที่ยวยามเมื่อสายลมพัดมากระทบและตกแต่งรอบศูนย์การค้าฯ ด้วยดวงไฟนับล้านดวงให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนถนนบอนด์สตรีทแห่งมหานครลอนดอน อีกทั้งความพิเศษของกิจกรรมในปีนั้นคือการได้รับเกียรติจาก “ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต”มาร่วมเป็น “สโนว์ควีน” ในชุดเลเซอร์คัต ประดับเพชรมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เพื่อเปิดไฟให้กับต้นคริสต์มาส

ปี 2013 ต้นคริสต์มาสถูกออกแบบให้มีความสนุกเพิ่มมากขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Merry-Go-Round Christmas Tree” ด้วยการเพิ่มลูกเล่นที่ฐานต้นคริสต์มาสเป็นม้าหมุน เพื่อเป็นการต้อนรับเข้าสู่ปีมะเมีย หรือปีม้า พร้อมตกแต่งด้วยม้านำโชคอย่าง “ม้าเพกาซัส” ที่ตั้งสง่าอวยพรให้แก่ผู้ที่เดินผ่านไปมาอยู่ภายในงาน ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ได้พระนางคู่จิ้นคือ “บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” และ “มาร์กี้-ราศี บาเลนซิเอก้า” มาสวมบท “เทพอพอลโล” และ “เทพีออโรร่า” มอบความสุขให้ชาวอุดรธานี

จากนั้นในปี 2014 “ยูดี ทาวน์” ก็ได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้ต้นคริสต์มาสอีกครั้งในชื่อ “The X’Mas Wonder in UD Town” กับการสร้างลวดลายหมากรุกบนต้นคริสต์มาส ส่วนยอดประดับด้วยมงกุฎ พร้อมตกแต่งฐานด้วยตัวการ์ตูนในเทพนิยายวันเดอร์แลนด์ โดยมี “ปู-ไปรยา สวนดอกไม้” มารับหน้าที่เป็น “สโนว์ควีน” เปิดไฟต้นคริสต์มาสให้สว่างไสวไปทั่วเมือง

ในปี 2015 ต้นคริสต์มาสถูกออกแบบให้กลายเป็น ขนมเค้กก้อนโต เพื่อสื่อถึงการมอบความหวานและความสุขให้แก่คนที่รักในช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง

จนเมื่อปี 2016 ซึ่งนับเป็นปีแห่งความเศร้าโศกของประชาชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศ เมื่อทราบข่าวการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ศูนย์การค้า “ยูดี ทาวน์” จึงได้ตกแต่งต้นคริสต์มาสด้วยการนำไฟสีขาวมาดัดเป็นรูปทรงกลมสื่อถึงการรวมจิตใจของประชาชนชาวไทยและนำมาซ้อนเรียงต่อกัน เพื่อเป็นศูนย์กลางให้พี่น้องชาวอุดรธานีได้มาร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมถวายความอาลัย ต่อเนื่องมาจนถึง ปี 2017 ต้นคริสต์มาสถูกตกแต่งด้วยการประดับดวงดาวและเหล่านางฟ้า เพื่อน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

ล่าสุดในปี 2018 ศูนย์การค้า “ยูดี ทาวน์” ออกแบบต้นคริสต์มาส ภายใต้คอนเซ็ปต์ “UD TOWN Christmas Tree Light Up 2018” ต้นคริสต์มาสยักษ์ความสูงกว่า 10 เมตร ตบแต่งให้มีบานหน้าต่างขนาดใหญ่ เสมือนเป็นบ้านต้นคริสต์มาสที่คอยเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวได้เข้ามาเข้าชมอย่างใกล้ชิด ข้างในตกแต่งด้วยไฟกระพริบที่สามารถเข้าไปถ่ายรูปด้านในแบบ 3 มิติ นอกจากนี้ได้เนรมิตอุโมงค์แห่งสีสันด้วยเส้นด้ายหลากสีสันกว่า 50,000 เส้น ให้ผู้คนได้มีส่วนร่วมในการถ่ายรูปสวย ๆ พร้อม “แชะ แอนด์ แชร์”

นอกจากนี้ภายในงานยังจัดให้มีเทศกาลอาหารทะเล “UD Food Station Seafood Festival 2018” ที่ขนวัตถุดิบอาหารทะเลระดับพรีเมียมแบบสด ๆ มาเอาใจเหล่านักชิม “เสมือนยกทะเลมาไว้ที่นี่” กับคาราวานอาหารทะเลกว่า 50 เมนู อาทิ ล็อบสเตอร์ ซาซิมิ, ปูนำเข้าจากอินโดนีเซีย, ปูไข่นึ่งนมสด, กุ้งล็อปสเตอร์นำเข้าจากแคนนาดาและสหรัฐอเมริกา, ปลาหมึกแก้วทอดกรอบ เป็นต้น ท่ามกลางการแสดงดนตรีสดที่หมุนเวียนมามอบความบันเทิง ตลอดการจัดงานถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาสถานที่เที่ยวช่วงคริสต์มาสมาสัมผัสความงดงามได้ที่ศูนย์การค้า “ยูดี ทาวน์” จังหวัดอุดรธานี ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 12 มกราคม 2562 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0 4293 2999 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.goudtown.comFacebook :UDTOWNInstagram : UDTOWN และ Line Official : @UDTOWN

นายธนกร วีรชาติยานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อุดรพลาซ่า จำกัด และภริยา

บรรยากาศการตกแต่งรอบศูนย์การค้า ยูดี ทาวน์ ด้วยไฟแอลอีดีกว่าล้านด้วงให้เป็นรูปต่าง ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส 2018

เผยปริมาณการโจมตีทางไซเบอร์แบบระบุเป้าหมายพุ่งสูงขึ้น

alivesonline.com : “โซฟอส” Sophos ผู้นำระดับโลกด้านความปลอดภัยเครือข่ายและเอ็นด์พอยท์ เปิดเผย ข้อมูลรายงานภัยคุกคาม (Threat Report) ปี 2019 ที่มุ่งให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปของการรักษาความปลอดภัยทางโลกไซเบอร์ (Cybersecurity) ซึ่งรายงานจัดทำโดยทีมนักวิจัยของ SophosLabs ที่สืบค้นความเปลี่ยนแปลงในลักษณะของภัยคุกคามที่ผ่านมาในช่วง 12 เดือน ซึ่งเป็นการเปิดเผยแนวโน้มและคาดการณ์วิธีที่จะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ในปี 2019

‘โจ เลวี่’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ “โซฟอส” ระบุในรายงานภัยคุกคาม 2019 Threat Report ของ SophosLabs ว่า ลักษณะของภัยคุกคามกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน ด้วยอาชญากรไซเบอร์ที่มีทักษะความชำนาญน้อยกำลังถูกบีบให้ออกจากวงจรนี้ เหลือแต่พวกที่มีทักษะเป็นเลิศเท่านั้นที่จะพัฒนาตัวเองจนอยู่รอดและท้ายที่สุดจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่พวกนี้จะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทั้งฉลาดและเข้มแข็งมากขึ้น อาชญากรไซเบอร์รุ่นใหม่เหล่านี้เป็นการผสมข้ามสายพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพของกลุ่มนักโจมตีแบบระบุเป้าหมายที่เดิมที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก และคอยเป็นผู้ส่งสารให้กับบรรดามัลแวร์ที่พัฒนามาเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์เฉพาะ โดยใช้เทคนิคการแฮกแบบลงมือด้วยตัวเอง (Manual) ไม่ใช่เพื่อการจารกรรม หรือการก่อวินาศกรรม แต่มุ่งหวังจะรักษารายได้จากการทุจริตของพวกเขาไว้ต่อไป

รายงานภัยคุกคาม 2019 Threat Report ของ SophosLabs มุ่งความสนใจไปที่พฤติกรรมการก่ออาชญากรรมและการโจมตีทางไซเบอร์หลักๆ ดังต่อไปนี้:

  • อาชญากรไซเบอร์ในแวดวงการเงินกำลังหันไปสนใจใช้การโจมตีด้วย Ransomware แบบระบุเป้าหมายชัดเจน ซึงมีการวางแผนล่วงหน้าและทำในลักษณะของการเรียกเงินค่าไถ่จำนวนหลายล้านเหรียญสหรัฐ

ในปี 2018 พบพัฒนาการของการโจมตีด้วย Ransomware แบบกำหนดเป้าหมายชัดเจนและผู้โจมตีลงมือเองซึ่งสร้างรายได้จำนวนมหาศาลให้แก่อาชญากรไซเบอร์ การโจมตีเหล่านี้แตกต่างจากการโจมตีแบบ “Spray and Pray” ที่หว่านแหโดยใช้ระบบอัตโนมัติไปยังอี-เมล์นับล้าน ๆ อี-เมล์ โดย Ransomware ที่เจาะจงเป้าหมายจะสร้างความเสียหายมากกว่าแบบที่ส่งมาจาก BOT เนื่องจากผู้โจมตีที่เป็นคนสามารถค้นหาและสะกดรอยตามเหยื่อซึ่งคนจะสามารถแก้ปัญหาเพื่อเอาชนะสิ่งกีดขวาง แล้วทำลายล้างระบบสำรองข้อมูลเพื่อให้เหยื่อจำเป็นต้องจ่ายค่าไถ่ “รูปแบบการโจมตีแบบ Interactive” เช่นนี้ ซึ่งศัตรูกระทำการด้วยตนเองผ่านเครือข่ายแบบเป็นขั้นเป็นรูปแบบกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผู้เชี่ยวชาญของ Sophos เชื่อว่าความสำเร็จทางการเงินของ SamSam, BitPaymer และ Dharma สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการโจมตีในลักษณะเลียนแบบ (Copycat) และคาดว่าจะเกิดลักษณะเช่นนี้มากขึ้นอีกในปี 2019

  • อาชญากรไซเบอร์นิยมใช้เครื่องมือดูแลระบบของ Windows ที่เหยื่อใช้อยู่แล้ว

รายงานฉบับประจำปีนี้ ระบุว่า มีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการสร้างภัยคุกคาม โดยมีผู้โจมตีจำนวนมากขึ้นที่ใช้เทคนิค Advanced Persistent Threat (APT) เพื่อใช้เครื่องมือไอทีที่มีอยู่แล้วเป็นเส้นทางนำร่องต่อไปยังระบบและทำภารกิจของพวกเขาให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการโจรกรรมข้อมูลที่เป็นความลับออกจากเซิร์ฟเวอร์หรือปล่อย ransomware ไว้:

  • การเปลี่ยนเครื่องมือการดูแลระบบไปเป็นเครื่องมือโจมตีทางไซเบอร์

วิธีนี้ถือเป็นการหักมุม หรือทำให้ผู้ใช้งานหมดหนทางแก้ปัญหา เพราะอาชญากรไซเบอร์จะใช้เครื่องมือดูแลระบบของ Windows ซึ่งรวมถึงไฟล์ Powershell และ Windows Scripting (ไฟล์ executable) เพื่อทำการโจมตีด้วยมัลแวร์บนระบบของผู้ใช้เอง

  • อาชญากรไซเบอร์กำลังเล่นโดมิโนดิจิตอล

โดยการผูกโยงลำดับของเมนูเริ่มต้นประเภทต่าง ๆ ที่สามารถโยงไปยังการโจมตีในตอนท้ายได้แฮกเกอร์สามารถเริ่มกระบวนการที่เรียกว่า Chain Reaction ก่อนที่ผู้จัดการด้านไอทีจะตรวจพบว่าภัยคุกคามเริ่มทำงานบนเครือข่ายและเมื่อภัยคุกคามเหล่านั้นบุกเข้าไปแล้วก็ยากที่จะหยุดยั้งภัยดังกล่าวไม่ให้ทำงาน

  • อาชญากรไซเบอร์หาโอกาสจากระบบปฏิบัติการ Office ใหม่ ๆ เพื่อหลอกล่อเหยื่อ

ระบบปฏิบัติการ Office ถือเป็นช่องโหว่สำหรับการโจมตีมานานแล้ว แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้อาชญากรไซเบอร์ได้ละความสนใจจากการหาประโยชน์จากเอกสารบน Office แบบเดิมไปใช้แบบใหม่แทน

  • EternalBlue กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการโจมตีแบบ Cryptojacking

การอัพเดต Patch กลายเป็นภัยที่คุกคาม Windows มานานกว่าหนึ่งปีแล้ว โดย EternalBlue ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าอาชญากรไซเบอร์ การจับคู่ของ EternalBlue เพื่อเข้ารหัสซอฟท์แวร์ทำให้กิจกรรมเปลี่ยนจากงานอดิเรกอันแสนน่าเบื่อกลายเป็นอาชีพสำหรับอาชญากรที่อาจสร้างรายได้มหาศาล การแพร่แบบกระจายตัวบนเครือข่ายขององค์กรเอื้อให้ Cryptojacker แพร่เข้าไปติดเครื่องหลายเครื่องอย่างรวดเร็ว ซึ่งเท่ากับเพิ่มรายได้ให้กับแฮ็กเกอร์และเพิ่มค่าใช้จ่ายที่หนักหนาสาหัสในฝั่งของผู้ใช้

  • ภัยคุกคามต่อเนื่องของมัลแวร์ในมือถือและ IoT

ผลกระทบของมัลแวร์ขยายไปไกลเกินกว่าระบบโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร เนื่องจากเราเห็นว่าภัยคุกคามจากมัลแวร์ในมือถือขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยแอปพลิเคชั่นบนแอนดรอยด์ที่ผิดกฎหมายมีปริมาณเพิ่มขึ้น ในปี 2018 พบว่ามีแนวโน้มปริมาณของมัลแวร์ถูกส่งเข้าไปในโทรศัพท์ แท็บเล็ต และอุปกรณ์ Internet of Things อื่น ๆ มากขึ้น เนื่องจากบ้านเรือนและองค์กรธุรกิจใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตมากขึ้น อาชญากรจึงได้คิดค้นวิธีการใหม่ ๆ ในการโจรกรรมข้อมูลในอุปกรณ์เหล่านั้นเพื่อใช้เป็นจุดศูนย์กลางใน botnets ที่ทำการโจมตี ในปี 2018 VPNFilter ได้แสดงให้เห็นถึงพลังการทำลายล้างของมัลแวร์ที่มีผลต่อระบบฝังตัวและอุปกรณ์ที่ต่อกับเครือข่าย ซึ่งไม่มี User Interface ที่ชัดเจน นอกจากนี้ Mirai Aidra, Wifatch และ Gafgyt ได้ส่งกลไกการโจมตีแบบอัตโนมัติที่โจรกรรมข้อมูลในอุปกรณ์เครือข่ายเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของ botnets ที่ทำการโจมตีโดยปฏิเสธการให้บริการ (Denial-Of-Service : DoS Attack) แบบกระจายตัว รวมถึงการขุดเงินสกุลดิจิตอล และการแทรกซึมบนเครือข่าย

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดของแนวโน้มลักษณะภัยคุกคามและพฤติกรรมอาชญากรรมในโลกไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงไป ติดตามอ่านรายงาน 2019 Threat Report ของ SophosLabs ฉบับเต็มได้ที่ www.sophos.com/threatreport

เกี่ยวกับ Sophos

Sophos เป็นผู้นำด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยทางด้านเอ็นด์พอยท์และระบบเครือข่ายที่ล้ำสมัย ในฐานะผู้บุกเบิกระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Synchronized Security ปัจจุบัน Sophos พัฒนาขอบข่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นที่ครอบคลุมเอ็นด์พอยท์ เครือข่าย การเข้ารหัส (Encryption) เว็บไซต์ อี-เมล์ และโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น ผู้ใช้มากกว่า 100 ล้านคนใน 150 ประเทศใช้โซลูชั่นของ Sophos เป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่ซับซ้อนและการสูญหายของข้อมูล ผลิตภัณฑ์ของ Sophos มีให้บริการเฉพาะผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ซึ่งมีคู่ค้าที่ลงทะเบียนไว้มากกว่า 34,000 ราย

Sophos มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Oxford สหราชอาณาจักร และมีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนภายใต้สัญลักษณ์ “SOPH” อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sophos.com

 

“อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป” โชว์รายได้ครึ่งปีแรก 5,306 ล้านบาท

alivesonline.com : ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เผยแผนดำเนินงาน The New S-Curve มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้านวัตกรรมและเทคโนโลยีในการผลิต เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตใน 3 กลุ่มธุรกิจหลักคือ “ฉนวนกันความร้อนและเย็น – ชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ – บรรจุภัณฑ์พลาสติก” ส่งผลอัตรากำไรขั้นต้นที่ 28% เตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.08 บาทให้ผู้ถือหุ้น 7 ธ.ค.61 รวม 224 ล้านบาท

รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทฯ กำหนดกลยุทธ์ The New S-Curve ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนใน 3 กลุ่มธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้านวัตกรรมและเทคโนโลยีในการผลิต เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตซึ่งได้ทยอยนำสินค้านวัตกรรมออกสู่ตลาดแล้ว รวมถึงใช้กลยุทธ์ในการตั้งราคาขายและการบริหารจัดการต้นทุน อีกทั้งยังมุ่งเน้นการขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น

ส่วนแนวโน้มธุรกิจและทิศทางการเติบโตในช่วงต่อจากนี้จนถึงเดือน มี.ค.62 จะยังคงดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ โดยคาดว่าทั้งปี 2561 จะมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นประมาณ 12% จากการสนับสนุนของ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจฉนวนกันความร้อนและเย็น ภายใต้แบรนด์ “AEROFLEX” ยังคงมุ่งเน้นทำการตลาดในกลุ่มสินค้าพรีเมียม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และอาเซียน เป็นต้น

“ในช่วงผ่านมาได้ลงทุนปรับปรุงไลน์การผลิตในสหรัฐอเมริกา โดยใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูง เนื่องจากเห็นโอกาสการเติบโตในสหรัฐอเมริกา จากความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงต้องการลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต หากไลน์การผลิตใหม่ในสหรัฐอเมริกาสามารถเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตได้จะส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นตาม ส่วนประเทศไทยได้ลงทุนขยายโรงงานใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2562”

สำหรับกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ “AEROKLAS” ได้ทยอยส่งผลิตภัณฑ์นวัตกรรมหลายชนิดออกสู่ตลาด ได้แก่ การปรับปรุงโมเดลใหม่จากผลิตภัณฑ์หลักของ “AEROKLAS” ผลิตภัณฑ์กันชนท้ายกระบะซึ่งผลิตจากโพลีเมอร์ที่มีความแข็งแรงทนทานแต่มีน้ำหนักเบา / EZ UP & DOWN TAIL GATE ASSIST ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้การเปิดปิดท้ายรถกระบะง่ายขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่จะทยอยออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

“ในส่วนของธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย TJM Products Pty.Ltd หรือ TJM และ Flexiglass Challenge Pty.Ltd หรือ Flexiglass ซึ่งเป็นช่องทางจัดจำหน่ายที่สำคัญของ AEROKLAS มีการขยายตลาดในประเทศออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน TJM มีสาขา 3 แห่ง ตั้งอยู่ที่ Perth 2 แห่ง และ Brisbane 1 แห่ง ทำให้มีร้านค้าภายใต้แบรนด์ TJM จำนวน 64 แห่ง Flexiglass มีสาขา 5 แห่ง และช่องทางการจัดจำหน่ายกว่า 100 แห่ง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับกลุ่มธุรกิจ Aeroklas ได้นำกลยุทธ์ synergy มาใช้ดำเนินงาน”

ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ “EPP” เริ่มมีการเร่งทำการตลาดมากขึ้นในกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารและถ้วยน้ำดื่ม ส่วนลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม EPP มีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับงานด้วยความพร้อมของกระบวนการผลิต และมาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัยทางด้านอาหารที่ได้รับการรับรองจากองค์กรชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้รับมาตรฐาน The British Retail Consortium (BRC) มาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร (food safety) ของสหราชอาณาจักร ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตอาหารเพื่อส่งขายในสหราชอาณาจักร ได้อีกด้วย

รศ.ดร.เฉลียว กล่าวอีกว่า สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนของปี 2561/62 (เมษายน-กันยายน 2561) มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 5,306 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% มีกำไรสุทธิ 567 ล้านบาท ลดลง 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ไตรมาสที่ 2 ปี 2561/62 (กรกฎาคม-กันยายน 2561) มีรายได้จากการขาย 2,682 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% มีกำไรสุทธิ 262 ล้านบาท ลดลง 10% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 28% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้แบ่งเป็น AEROKLAS 50% AEROFLEX 30% และ EPP 20%

รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2561/62 สิ้นสุด 30 กันยายน 2561 ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท (แปดสตางค์) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 224 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 28 พฤศจิกายน 2561และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 ธันวาคม 2561

เปิดใจเยาวชนคว้าชัยเวที “กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว” ปีที่ 12

alivesonline.com : ประกาศผลไปเรียบร้อยแล้วสำหรับโครงการ “กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว” ปีที่ 12 โครงการประกวดดี ๆ ที่ช่วยหล่อหลอมให้เยาวชนมีความรู้คู่จริยธรรมและร่วมใจกันพลิกฟื้นชุมชนที่ตนเองอาศัยอยู่ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ในวันประกาศผลคณะกรรมการและผู้บริหารธนาคารกรุงไทย มาร่วมเป็นกำลังใจให้กับเยาวชนทั้ง 15 ทีมที่ขับเคี่ยวกันในรอบสุดท้าย ซึ่งต่างช่วยกันคิดกลยุทธ์ที่จะดึงจุดเด่นและไอเดียการทำโครงงานออกมาสร้างความประทับใจให้คณะกรรมการ แต่รางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศมีเพียง 1 รางวัลเท่านั้น โดยโครงงานที่มีความโดดเด่นสามารถฝ่าด่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจากคณะกรรมการจนได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ โครงงาน “ธนาคารน้ำใต้ดิน ก้าวตามรอยพ่อ” จาก ‘ทีมเด็กไทบ้าน ธนาคารน้ำใต้ดิน’ โรงเรียนอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ ได้รับรางวัลแห่งเกียรติยศเป็นถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเงินรางวัลรวม 5 แสนบาท นอกจากนี้ยังชนะใจมหาชนด้วยการคว้ารางวัล Popular Vote มาครองด้วย

นางศิริพร นพวัฒนพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคาร มุ่งหวังที่จะให้โครงการ “กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว” เป็นจุดเริ่มต้นให้เยาวชนไทยเป็นคนเก่ง คนดี มีความรู้คู่คุณธรรม และนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ไปเป็นหลักในการดำเนินชีวิต พร้อมทั้งนำไปขยายผลไปสู่ครอบครัวและชุมชน โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนมัธยมปลาย และปวช.ทั่วประเทศ ส่งโครงงานพัฒนาชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาประกวด โดยทีมที่เข้ารอบสุดท้าย 15 ทีม จะได้รับทุนดำเนินโครงงานจากธนาคารฯ เพื่อนำไปใช้ลงมือดำเนินโครงงานจริงตามแผนที่เสนอมา

“ธนาคาร รู้สึกยินดีที่เห็นเยาวชนทั่วประเทศตอบรับเข้าร่วมโครงการนี้เพิ่มขึ้นทุกปี ตลอด 12 ปีที่จัดโครงการมา โครงงานที่ส่งเข้าประกวดมีมาตรฐานดีขึ้นเรื่อย ๆ สามารถพัฒนาต่อยอด ทำให้เกิดโครงงานดี ๆ กว่า 700 โครงงาน มีเยาวชนกว่า 4 หมื่นคนที่ได้ศึกษาและนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในชีวิตและครอบครัว รวมทั้งนำไปพัฒนาและแก้ปัญหาให้ชุมชนที่อาศัย โดยหลายโครงงานที่ทำสำเร็จแล้วยังเป็นต้นแบบให้ชุมชนอื่นนำไปศึกษา ทำให้ความรู้ขยายออกไปเป็นเครือข่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเรา เพราะเราไม่ต้องการให้โครงงานจบลงหลังการประกวด แต่ต้องการให้โครงงานต่าง ๆ ดำเนินการต่อไป สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างธนาคาร สถานศึกษา ชุมชน สังคม เกิดการบูรณาการต่อยอด และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน”

นางศิริพร กล่าวด้วยว่า สำหรับโครงการ “ธนาคารน้ำใต้ดิน ก้าวต่อตามรอยพ่อ” ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในปีนี้นับว่าน่าสนใจมาก เป็นโครงงานที่มองไปในอนาคต ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาน้ำ โดยนำปัญหาของชุมชนเป็นตัวตั้ง แล้วนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้

ด้าน นางสาวทอฝัน ก้อนคำ, นางสาวพรนภา ธรรมจักร์, นางสาวกฤติมา อรภาพ, นางสาวพรรณฑิมาภรณ์ ไชโย และนางสาวณัฐณิชา บุญหลง สมาชิกจาก ทีม “เด็กไทบ้าน ธนาคารน้ำใต้ดิน” ช่วยกันอธิบายถึงโครงงานฯ ว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้ทำโครงงานเกี่ยวกับธนาคารน้ำใต้ดินเกิดจากปัญหาในชุมชนที่น้ำแล้งและน้ำท่วม ซึ่งตั้งแต่ปี 2559 ปริมาณน้ำตามอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญมีน้อยมาก นับเป็นวิกฤติภัยแล้งในรอบ 15 ปี ขณะเดียวกันชุมชนก็มีการขุดเจาะน้ำบาดาลสูบมาใช้มากขึ้น ขาดการเติมน้ำลงสู่ใต้ดิน ทำให้น้ำสำหรับทำการเกษตรขาดแคลน เมื่อฝนตกน้ำก็ท่วมขัง พวกเราจึงไปศึกษาข้อมูลจาก พระนิเทศศาสนคุณ ประธานสถาบันน้ำนิเทศศาสนคุณ ที่จังหวัดบึงกาฬ เพื่อเรียนรู้หลักการกักเก็บน้ำใต้ดินและนำน้ำใต้ดินมาใช้

น้อง ๆ อธิบายต่อว่า พวกเธอได้ประชุมร่วมกับพระสงฆ์ที่ปรึกษา ครูที่ปรึกษา และผู้นำชุมชน เพื่อวางแผนทำโครงงานธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิดซึ่งต้องมีการบริหารจัดการน้ำ เพื่อให้มีน้ำใช้ในช่วงหน้าแล้งและน้ำไม่ท่วมในหน้าฝน การทำธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิดคือการเติมน้ำลงใต้ดินในระดับบนสุดของน้ำใต้ดินที่เปลือกโลกชั้นผิวดิน ซึ่งเป็นเขตที่มีอากาศแทรกในชั้นหิน ทำให้บริเวณนั้นมีแหล่งน้ำใต้ดินมาก มีความชื้นในพื้นที่บริเวณนั้นมากขึ้น ดินดีขึ้น การระบายและไหลเวียนของอากาศดีขึ้น สภาวะแวดล้อมดีขึ้น กรณีที่มีน้ำเน่าเสียท่วมขัง น้ำเสียก็จะถูกดูดซึมลงสู่ผิวดิน ผ่านการกรองของชั้นดิน ชั้นหิน จนไปสู่ระดับที่ลึกของชั้นดิน ชั้นหิน จุลินทรีย์ต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ หมดไป นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมขังและน้ำแล้งแล้ว ยังเป็นการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และทำให้การทำการเกษตรดีขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้และมีการจ้างแรงงานคืนถิ่น

“ผลลัพธ์ของโครงงานนี้ยังทำให้เราสามารถสร้างเครือข่ายระหว่างโรงเรียน ชุมชน วัด ก่อให้เกิดความสามัคคี มีน้ำใจ มีจิตสาธารณะ เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และรู้จักใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตามศาสตร์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นอกจากนี้ เรายังได้ต่อยอดโดยนำความรู้ไปจัดอบรมให้ชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านก็เห็นประโยชน์จนเกิดการรวมกลุ่มเป็นกลุ่มธนาคารน้ำใต้ดิน เกิดการขยายผลต่อไปยังพื้นที่อื่น ๆ ด้วย และยังเปิดให้ผู้สนใจเข้ามาศึกษาดูงานที่ฐานเรียนรู้บ้านหนองเม็ก จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งพวกเราต้องขอบขอบคุณธนาคารกรุงไทยที่จัดโครงการกรุงไทย ต้นกล้าสีขาวขึ้น เป็นโครงการที่ดีที่ช่วยพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ และทำให้พวกเราได้พัฒนาตัวเอง ได้ทำกิจกรรมร่วมกับชุมชน อยากชวนเพื่อน ๆ น้อง ๆ ในรุ่นต่อไปสมัครเข้าร่วมโครงการ เพื่อจะได้รับโอกาสดี ๆ อย่างพวกเรา” ทีมเด็กไทบ้าน ธนาคารน้ำใต้ดิน กล่าวในตอนท้าย

นอกจากรางวัลชนะเลิศแล้ว ยังมีโครงงานที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้อีก 14 โครงการ รวมเงินรางวัลทั้งสิ้น 2.3 ล้านบาท ประกอบด้วย รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ โครงงาน “วิถีพอเพียงผ่านไผ่มหัศจรรย์ สู่ชุมชนน้ำมวบใต้เงาเทือกเขาหลวงพระบาง” จาก ทีม ‘Wonderful Bamboo’ โรงเรียนสาธุกิจประชาสรรค์ รัชมังคลาภิเษก ได้รับเงินรางวัล 3 แสนบาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ โครงงาน “บำบัดน้ำเสีย สู่น้ำใส เพิ่มรากฐานในชุมชนได้อย่างยั่งยืนด้วยธูปฤาษี” จาก ทีม ‘V Organic’ โรงเรียนวังไกลกังวลในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้รับเงินรางวัล 1.5 แสนบาท

รางวัลชมเชย รวม 12 โครงงาน ได้แก่ โครงงาน “ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงจากผิวส้มเกลี้ยง” โครงงาน “อนุรักษ์ไหมลูกแก้ว ตามแนวพอเพียง หลีกเลี่ยงสารเคมี สู่วิถีความยั่งยืน” โครงงาน “สร้างวินัยทางการเงิน ออมง่าย ลดจ่าย รายได้เพิ่ม” โครงงาน “หัตถศิลป์สร้างสรรค์เสื่อยกลาย สร้างรายได้พัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน” โครงงาน “อ.ส.ศ. โมเดล ชุมชนพอเพียง สู่การพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืน” โครงงาน “ใบอ้อย T 4.0 สู่นวัตกรรมแห่งความพอเพียง” โครงงาน “พลิกฟื้นชุมชนด้วยกระดาษสาพอเพียง” โครงงาน “ต่อ เติม แต่ง โครงงาน ชุมชนทอผ้า 3 R’s รักษ์โลก ชีวิตดี๊ดี” โครงงาน “MLS olden coffee พลิกฟื้นชุมชนเพื่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืน” โครงงาน “เสาหลักนำทางจากยางพารานวัตกรรมจากชุมชนสู่เชิงพาณิชย์” และโครงงาน “วัสดุกันกระแทกจากกาบกล้วย ช่วยลดขยะเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”.

“อีริคสัน” สนับสนุนการศึกษาไทย

alivesonline.com : “อีริคสัน ประเทศไทย” จัดกิจกรรมให้บริการเพื่อสังคม ณ โรงเรียนวัดบ้านเขาแหลม อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ภายใต้โครงการ Ericsson Build & Share ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่าง บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด และมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความคิดริเริ่มในการนำเอาเทคโนโลยีและทรัพยากรมาใช้เพื่อสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ โดยคณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมกันพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ไม่ว่าจะเป็นการสร้างห้องเรียน ปรับปรุงทัศนียภาพ การใช้งานสนามเด็กเล่นและอ่างล้างหน้าแปรงฟันสำหรับเด็กเล็ก ผลิตสื่อการเรียนการสอนและปรับปรุงห้องสมุดของโรงเรียน ทำแปลงเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน รวมทั้งให้ความรู้และฝึกอาชีพให้แก่เด็กนักเรียน  พร้อมทั้งบริจาคอุปกรณ์และข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ อีกมากมาย

‘ไมตรี จันสุทธิรางกูร’ รองประธาน บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “อีริคสัน” ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาแล้ว 112 ปี เริ่มตั้งแต่การนำโทรศัพท์เครื่องแรกเข้ามาใช้และได้สร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนถึงวันนี้ “อีริคสัน” ยังคงสร้างการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขับเคลื่อนผ่านแนวคิดในการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดี เพื่อยังประโยชน์ให้แก่ประชาชนคนไทยได้มากที่สุด อย่างในวันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ได้สนับสนุนการศึกษาไทยและจะยังคงทำอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่การพัฒนาสังคมไทยต่อไปในอนาคต

ด้าน ‘วัลลภ นวลตา’ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเขาแหลม กล่าวว่า ขอขอบคุณ บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด ที่นำเทคโนโลยี รวมถึงความรู้มาช่วยพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล โครงการของ “อีริคสัน” ได้พัฒนาการศึกษาและสุขภาพความเป็นอยู่ของเด็กนักเรียน ทำให้พวกเขาได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไปในอนาคต เด็ก ๆ รู้สึกตื่นเต้นและดีใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าคณะผู้บริหารและพนักงานจาก “อีริคสัน” ประเทศไทยจะเข้ามาเยี่ยม พวกเรารู้สึกมีความสุขมากที่ได้เห็นโรงเรียนของเราได้รับการพัฒนาปรับปรุง ขอขอบคุณคณะเดินทางจาก อีริคสัน ประเทศไทย สำหรับการช่วยเหลือสนับสนุนในครั้งนี้

โรงเรียนบ้านเขาแหลม เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2521 ตั้งอยู่ในบริเวณ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ปัจจุบันโรงเรียนบ้านเขาแหลมมีนักเรียนจำนวน 180 คน ศึกษาในระดับก่อนประถมศึกษาจนถึงระดับประถมศึกษา อายุตั้งแต่ 5-12 ปี คุณครูจำนวน 11 คน ตั้งอยู่ในเขตห่างไกลจากชุมชน จากรายงานของมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พบว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของครอบครัวเด็กในโรงเรียนมีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างยากจนและต่ำกว่ามาตรฐานการครองชีพ ต้องการได้รับการช่วยเหลือดูแล.