[ชมคลิป] คุ้มค่า 1 พันล้านบาท โหมโปรโมท “ไอคอนสยาม” อภิมหาโครงการ 5.4 หมื่นล้านบาท

alivesonline.com : ยิ่งใหญ่สมการรอคอยจนกลายเป็น “ทอล์ค ออฟ เดอะ เวิลด์” ติดระดับโลกในชั่วข้ามคืน สำหรับงานบิ๊กอีเว้นท์ส่งท้าย “ปีจอ” เมื่อค่ำคืนวันศุกร์ที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา กับการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเฉลิมฉลองการเปิดประตูเมืองอย่างอลังการของ “ไอคอนสยาม” อภิมหาโครงการเมืองแห่งการใช้ชีวิตสู่โลกอนาคต มูลค่า 5.4 หมื่นล้านบาท สัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และ กรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และ กรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า “ไอคอนสยาม” เกิดจากการรวมพลังความคิดสร้างสรรค์ระดับชาติครั้งยิ่งใหญ่จากหัวใจคนไทยหลายภาคส่วนผู้มีความรู้ความสามารถจากชุมชนทั่วประเทศ ทั้งภาคธุรกิจ ภาคราชการ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญแขนงต่าง ๆ จากหลายประเทศที่รักเมืองไทยในการร่วมกันพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ภายใต้แนวคิด “การสร้างประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย” หรือ “Creating Shared Value” และ “การร่วมกันรังสรรค์” หรือ “Co-Creation” อย่างเต็มรูปแบบในสเกลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก

การเปิดตัว “ไอคอนสยาม” ยังถือเป็นการรังสรรค์มหาปรากฏการณ์งานเปิดเมืองไอคอนสยาม ในธีม “Legendary Party” ตอกย้ำแนวคิด “สิ่งที่ดีที่สุดของไทย บรรจบกับสิ่งที่ดีที่สุดของโลก” เนรมิตงานอีเว้นท์ระดับโลกด้วยการขนทัพการแสดงครั้งประวัติศาสตร์และผลงานมาสเตอร์พีซ โดย 7 บริษัทผู้สร้างสรรค์อีเว้นท์ชั้นนำของไทยและของโลก ได้แก่ บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) บริษัท แม็กซ์ อิมเมจ จำกัด บริษัท ไร้ท์แมน จำกัดบริษัท ตือ จำกัด บริษัท เอ็มคิวดีซี ไบร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งรับผิดชอบในการนำโดรน 1.5 พันตัวมามาใช้ในการแสดงแปรขบวน พร้อมด้วยศิลปินชื่อก้องโลก ศิลปินระดับชาติของไทย และนักแสดงอาสาจากทั่วประเทศ รวมกว่า 1 พันชีวิต

https://www.facebook.com/alivesonline/videos/194846731428923/?modal=admin_todo_tour

“สำหรับการเปิดตัวโครงการได้จัดเตรียมงบประมาณการตลาดรวม 1 พันล้านบาท แบ่งเป็นการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในช่วง 3 วันแรกคือ วันที่ 9-11 พ.ย.61 เป็นจำนวนเงิน 700 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 300 ล้านบาทจะใช้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบต่าง ๆ จนถึงสิ้นปี 2561 โดยปัจจุบันมีร้านค้าต่าง ๆ เปิดให้บริการตั้งแต่ชั้น G ถึงชั้น 5 ประมาณ 80-90% ส่วนโซนอาหารขนาดใหญ่บนชั้น 6 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.61”

นางชฎาทิพ กล่าวอีกว่า โซนอาหารชั้น 6 ซึ่งใช้ชื่อว่า “อลังการ” ออกแบบตกแต่งเพื่อนำเสนอเรื่อง “ข้าว” ศูนย์กลางวัฒนธรรมอาหารของไทย โดยจะมีทั้งนาข้าวจำลอง น้ำตก และพาวิลเลียนที่ออกแบบมาจากเครื่องมือกสิกรรมของไทย ส่วนร้านอาหารทั้งหมดในโซนนี้แบ่งเป็นคาเฟ่ 4 ร้าน ร้านอาหาร 17 ร้าน และร้านอาหารนานาชาติที่เป็น Fine Dining 12 ร้าน ถือเป็นโซนที่รวมอาหารหลากหลายสไตล์ไว้อย่างครบครัน ทั้งอาหารขึ้นชื่อของไทย อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารอินเดีย และอาหารฝรั่งเศส

“เมื่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีทองแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปี 2562 คาดว่าจะทำให้มีผู้เข้ามาใช้บริการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนคนต่อวัน แบ่งสัดส่วนเป็นคนไทย 70% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 30% ส่วนในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 45% โดยมีนักท่องเที่ยวในเอเชียมากที่สุดถึง 40% โดยเฉพาะจีนที่คาดว่าจะมีมากถึง 20% รองลงมาคือ ยุโรป และสหรัฐอเมริกา”

นางชฎาทิพ กล่าวในตอนท้ายว่า สิ่งหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจสำหรับคนไทยและถือเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่คือการที่ผู้ประกอบการร้านค้าเหล่าแฟชั่นแบรนด์และลักซ์ชัวรี่แบรนด์ชื่อดังระดับโลกมีความเชื่อมั่นและมองเห็นคุณค่าความดีงามของความเป็นไทยจึงได้เข้าร่วมผนึกกำลังกับ “ไอคอนสยาม” ด้วยการคิดนอกกรอบและทำงานร่วมกับศิลปินไทยสร้างสรรค์ผลงานมาสเตอร์พีซที่จะเชิดชูอัตลักษณ์ไทยอย่างสง่างามภายในร้าน ทั้งการนำผ้าไหมไทย หรือวัสดุไทยต่าง ๆ มาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน หรือตกแต่งร้าน นับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก

https://www.facebook.com/alivesonline/videos/477022209364093/?modal=admin_todo_tour

https://www.facebook.com/alivesonline/videos/294433374737499/?modal=admin_todo_tour

สร้างเงินหมุนเวียน-จ้างงานไม่ต่ำกว่า 3 แสนคน

ด้าน นายณรงค์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูปเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด กล่าวว่า การดำเนินโครงการ “ไอคอนสยาม” เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2556 จนถึงวันนี้ที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยสร้างเงินสะพัดหมุนเวียนในประเทศและทำให้เกิดการจ้างงานแล้วไม่ต่ำกว่า 3 แสนคน นอกจากนี้ยังได้สร้างความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงจากประเทศต่าง ๆ จำนวนมากเข้ามาร่วมเปิดธุรกิจในโครงการซึ่งหลายรายเป็นการลงทุนครั้งแรกในประเทศไทย และยังมีส่วนช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางมาท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ และประเทศไทยอีกด้วย

รวบรวมกว่า 7 พันแบรนด์ดังร่วมเปิดร้าน

นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า “ไอคอนสยาม” เปิดประตูอภิมหาโครงการเมือง ด้วยความมหัศจรรย์ที่เป็นที่สุดและครั้งแรกซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทยมากมาย โดยเหล่าแบรนด์ดังที่เป็นสุดยอดความหรูหราระดับโลกจำนวนหนึ่งตั้งอยู่ภายในอาคาร “ไอคอนลักซ์” (Luxury Wing) พื้นที่ 2.5 หมื่นตารางเมตร ตั้งอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอาคารอาณาจักรศูนย์การค้าที่ล้ำเลิศแห่งยุคและเป็นสัญลักษณ์แห่งความวิจิตรตระการตาที่จะกลายเป็นปรากฏการณ์ในฐานะศูนย์กลางความหรูหราระดับโลก

อาคาร “ไอคอนลักซ์” มีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนที่ใดในโลก โดยจะเป็นอาคารกระจกโครงสร้างไร้เสาที่ยาวที่สุดในโลก รูปทรงคล้ายกระทงแก้ว สร้างสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรงดงามให้เป็นสัญลักษณ์ใหม่บนแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งยังเป็นการรวบรวมสุดยอดแบรนด์ลักซ์ชัวรี่ชื่อดังจากทั่วโลกมาเนรมิตร้านแฟลกชิฟสโตร์ในรูปแบบ Global ICONIC Store ครั้งแรกในประเทศไทย รวมถึงคอนเซ็ปต์ Icons within Icon ที่ “ไอคอนสยาม” ได้รังสรรค์ให้ลักชัวรี่แบรนด์มีคฤหาสน์ของตนเองในรูปแบบ Duplex Mansion อยู่ภายในอาคาร “ไอคอนลักซ์” อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ นอกจากนั้น ยังเป็นครั้งแรกของแบรนด์ชื่อดังระดับแนวหน้าของโลกและของไทยกว่า 7 พันแบรนด์ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ใหม่ในการนำเสนอสินค้าสุดพิเศษเฉพาะที่ “ไอคอนสยาม” เท่านั้น

นายสุพจน์ กล่าวด้วยว่า “ไอคอนสยาม” ได้ทำงานลงลึกในรายละเอียดร่วมกับผู้ประกอบการร้านค้าตั้งแต่สุดยอดแบรนด์ของไทยไปจนถึงลักซ์ชัวรี่แบรนด์จากต่างประเทศ เพื่อให้แต่ละร้านนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความเป็นมา จนถึงแนวคิดและนวัตกรรมโดยเชื่อมโยงกับการออกแบบร้าน เพื่อให้ “ไอคอนสยาม” เป็นโครงการแรกที่ทำ Story Telling ที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจได้อย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งหลายแบรนด์ดังระดับโลกให้ความเชื่อมั่นใน “ไอคอนสยาม” โดยร่วมกันคิดสร้างสรรค์สิ่งพิเศษที่จะเกิดขึ้นภายในร้านของเขาเฉพาะที่สาขา “ไอคอนสยาม” เท่านั้น เพื่อให้ไอคอนสยามเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศไทยที่นำเสนอความแปลกใหม่อย่างมีอัตลักษณ์โดดเด่น

คอนโดฯ สุดหรู ราคาสูงสุด 460 ล้านบาท

นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยสุดหรู 2 อาคาร ภายในโครงการไอคอนสยาม กล่าวว่า “แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์” เป็นคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยคุณภาพเหนือระดับที่หรูหราที่สุดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สูง 70 ชั้น จำนวน 379 ยูนิต ขณะนี้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วกว่า 90% และ “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ” เป็นโครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่แบรนด์ “แมนดาริน โอเรียนเต็ล” แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแห่งที่ 14 ของโลกความสูง 52 ชั้น จำนวน 146 ยูนิต ขณะนี้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วกว่า 85%

 

“ทั้ง 2 โครงการได้สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จในวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ในฐานะโครงการที่พักอาศัยที่มีมาตรฐานเทียบชั้นโครงการที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในต่างประเทศ เทียบเท่าที่พักอาศัยในมหานครชั้นนำอย่างนิวยอร์ก ลอนดอน โตเกียว และเซี่ยงไฮ้ พร้อมสร้างสถิติใหม่เป็นโครงการที่พักอาศัยริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีราคาสูงที่สุดคุ้มค่ากับการลงทุนและอยู่อาศัย โดยมีราคาเริ่มต้น 85 ล้านบาท สำหรับคอนโดมิเนียม 2 ห้องนอน และห้องเพนท์เฮ้าส์ โดยห้องชุดที่ใหญ่ที่สุดมีพื้นที่ใช้สอยรวม 707 ตารางเมตร ซึ่งมีราคาประมาณ 460 ล้านบาท” นายวิสิษฐ์ กล่าวในตอนท้าย

 

 

 

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯ เปิด “ไอคอนสยาม”

alivesonline.com : เมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา เวลา 09.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในงานเปิดโครงการ “ไอคอนสยาม” ถ.เจริญนคร แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพฯ โดยมีนางพาสินี ลิ่มอติบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด นายณรงค์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ดิ ไอคอนสยาม เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ดิไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด และคณะกรรมการบริษัทฯ เฝ้าฯ รับเสด็จ

ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงทอดพระเนตรการแสดงนาฏยจิตรกรรม และเสด็จไปยังแท่นทรงลงพระนามาภิไธยบนแผ่นเปิดโครงการ “ไอคอนสยาม” แล้วเสด็จไปยังหน้าห้างสรรพสินค้า”สยาม ทาคาชิมายะ” ทรงตัดแถบแพรเปิดห้างสรรพสินค้า “สยาม ทาคาชิมายะ” และเสด็จเข้าภายในห้างสรรพสินค้า”สยาม ทาคาชิมายะ”

จากนั้น เสด็จฯ เปิดโซน “สุขสยาม” บริเวณชั้น G โครงการ “ไอคอนสยาม” ซึ่งจำหน่ายสินค้ายอดนิยมและนำเสนอวัฒนธรรมจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยผู้ประกอบการรายย่อยวิสาหกิจท้องถิ่น ศิลปินจากทุกภาค และองค์กรภาครัฐ จากนั้นเสด็จไปยัง โซน “ไอคอน คราฟต์” ชั้น 4 แหล่งรวมงานนวัตศิลป์ และงานคราฟต์แบบร่วมสมัยหลากหลายประเภทของคนไทย พื้นที่ 2.5 พันตารางเมตร และทอดพระเนตรสินค้าร้าน “ภูฟ้า” โครงการส่งเสริมอาชีพของชาวบ้านในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

โอกาสนี้ทรงลงพระนามาธิไธยลงบนภาพวาดฝีพระหัตถ์ “ปีกุนหมูอยู่ยั่งยืน” ประจำปี พ.ศ.2562 เป็นรูปหมูสีชมพูร่าเริง พระราชทานเป็น ส.ค.ส. และสินค้าต่าง ๆ แก่ร้าน “ภูฟ้า” ทุกสาขา จากนั้นเสด็จร้านลอฟท์ ชั้น 3, ร้านแอปเปิลสโตร์ ไอคอนสยาม แล้วเสด็จเสวยพระกระยาหารกลางวัน

จากนั้นเสด็จไปยังอาคาร “แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์” คอนโดมิเนียม สูง 70 ชั้น จำนวน 379 ยูนิต เพื่อทอดพระเนตรการก่อสร้าง ซึ่งมีความคืบหน้า 90% พร้อมกับอาคาร “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียลเต็ล กรุงเทพฯ” โครงการที่พักอาศัย ความสูง 52 ชั้น จำนวน 146 ยูนิต ซึ่งมีความคืบหน้า 85% แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ

โครงการ “ไอคอนสยาม” เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูส ตั้งอยู่บนที่ดิน 55 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอยของโครงการ 7.5 แสนตารางเมตร ทิศตะวันออกติดแม่น้ำเจ้าพระยา ทิศตะวันตกติดถนนเจริญนคร เป็นการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด มูลค่าการลงทุน 5.4 หมื่นล้านบาท

ส่วนประกอบสำคัญของโครงการประกอบด้วย 3 ส่วนคือ 1.อาณาจักรศูนย์การค้า พื้นที่ 5.25 แสนตารางเมตร 2 อาคารคือ “ไอคอนสยาม” (Main Retail & Entertainment) และ “ไอคอนลักซ์” (Luxury Wing) 2.คอนโดมิเนียมที่พักอาศัยมาตรฐานระดับโลกริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา 2 อาคารคือ “แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์” ความสูง 70 ชั้น และ “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียลเต็ล กรุงเทพฯ” ความสูง 52 ชั้น

“จิ้งจอกสยาม” ภายใต้การกุมบังเหียนของ “เจ้าสัววิชัย”

“วิชัย ศรีวัฒนประภา” ไม่เคยมีความผูกพันอะไรกับสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” มาก่อน อ่านเพิ่มเติม ““จิ้งจอกสยาม” ภายใต้การกุมบังเหียนของ “เจ้าสัววิชัย””

วงการธุรกิจ-กีฬา สูญเสีย “เจ้าสัววิชัย”

alivesonline.com : ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัว “ศรีวัฒนประภา” หลังจาก เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวของ นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” ในฐานะประธานสโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ “เลสเตอร์ ซิตี้” ประสบอุบัติเหตุตก บริเวณลานจอดรถใกล้สนามฟุตบอล “คิง เพาเวอร์ สเตเดียม” หลังจบเกมลีกนัดที่ทีมเปิดบ้านเสมอ “เวสต์แฮม ยูไนเต็ด” 1-1 เมื่อเวลาท้องถิ่นประมาณ 20.30 น. วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม 2561

ล่าสุด สโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ขณะที่ แฟนเพจ Leicester City FC Thailand ออกแถลงการณ์ว่า…

 

 

แถลงการณ์เรื่อง: คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา

แถลงการณ์ร่วมออกในนามของกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์, สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ และสโมสรฟุตบอลโอเอช ลูเวิน ที่เกี่ยวกับประธานกรรมการคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา

ด้วยความเสียใจและความอาลัยอย่างสุดซึ้งที่ทางสโมสรได้รับการยืนยันว่าคุณวิชัย ศรีวัฒนประภาเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวได้พาท่านและอีก 4 คนออกไปบริเวณนอกสนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยมในเมืองเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งทั้งห้าคนไม่มีใครที่รอดชีวิตมาได้ในเหตุการณ์นี้

ในนามของกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ และสโมสรฟุตบอลโอเอช ลูเวิน ขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัว ศรีวัฒนประภา และครอบครัวของบรรดาผู้ที่โดยสารอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวมา ณ ที่นี้ด้วยเช่นกัน

แด่คุณวิชัย โลกใบนี้ได้สูญเสียอีกหนึ่งบุคคลที่ยิ่งใหญ่ บุคคลที่เป็นผู้ที่มีจิตใจดี มีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น บุคคลที่ชีวิตนี้ได้อุทิศให้กับการสิ่งที่รักให้กับครอบครัวของเขา รวมไปถึงความสำเร็จต่าง ๆ ภายใต้การนำของคุณวิชัย เราทุกคนต่างเป็นสมาชิกครอบครัวภายใต้การนำของหัวหน้าครอบครัวอย่างคุณวิชัย ซึ่งพวกเราจะเป็นสมาชิกครอบครัวที่เสียใจกับจากไปของคุณวิชัย แต่เราจะยังคงรักษาไว้ซึ่งเจตนารมณ์และวิสัยทัศน์อันกว้างไกลที่คุณวิชัยได้ทิ้งไว้เป็นมรดกสืบต่อไปในอนาคต

ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้จะมีการเปิดให้ลงนามแสดงความอาลัยต่อการจากไปของคุณวิชัย ศรีวัฒนประภาที่คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยมตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังได้เปิดให้ลงนามแสดงความอาลัยที่สนาม คิง เพาเวอร์ แอท เดนดรีฟ ในเมืองลูเวิน ประเทศเบลเยียมอีกด้วย

สำหรับผู้ที่ไม่สามารถมาลงนามได้ด้วยตนเองสามารถเข้าไปลงนามได้ที่ www.lcfc.com และ www.ohleuven.com

การแข่งขันทีมฟุตบอลของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ กับ เซาธ์แฮมป์ตัน ในศึกฟุตบอล คาราบาวคัพ และ การแข่งขันฟุตบอลทีม U-23 กับ ทีมเฟเยนูร์ด ในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อินเตอร์เนชั่นแนลคัพ ซึ่งกำหนดให้มีขึ้นในวันอังคารที่จะถึงนี้ได้ถูกเลื่อนออกไปก่อน

พวกเราได้สัมผัสกับความประทับใจและความจริงใจอย่างแท้จริงจากการตอบรับที่ยอดเยี่ยมของแฟนบอลผู้ซึ่งได้สนับสนุนและส่งกำลังใจ รวมถึงการแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พร้อมทั้งยังได้ส่งความรู้สึกที่ซาบซึ้งในห้วงเวลาที่ยากลำบากนี้

Agusta Westland AW169 พาหนะมฤตยู “เจ้าสัววิชัย”

alivesonline.com : จากเหตุการณ์น่าตระหนกหลังจากเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวของ นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” ในฐานะประธานสโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ “เลสเตอร์ ซิตี้” ประสบอุบัติเหตุตก บริเวณลานจอดรถใกล้สนามฟุตบอล “คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม” เมื่อเวลาท้องถิ่นประมาณ 20.30 น. วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม ที่ผ่านมา

เว็บไซต์ http://www.leonardocompany.com ระบุว่า เฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวคือรุ่น Agusta Westland AW169 รหัส G-VSKP ผลิตโดยบริษัท ลีโอนาร์โด ประเทศอิตาลี ซึ่งถือเป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีสูงระดับโลกและเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศและการป้องกันประเทศและการรักษาความปลอดภัยทั่วโลก

Agusta Westland AW169 เป็นเฮลิคอปเตอร์แบบเครื่องยนต์คู่ น้ำหนัก 4.6-4.8 ตันโดยเครื่องยนต์ใช้เครื่องยนต์แพลตเชอร์รุ่น Pratt & Whitney Canada PW210A จำนวน 2 เครื่อง (ชั้นละ 1,000 ชิป) พร้อมด้วย FADEC รวมกับอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงของเฟรมและโรเตอร์เพื่อให้ได้สมรรถนะที่เหนือกว่า มีความยาวลำตัว 14.65 เมตร สูง 4.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางโรเตอร์ 12.12 เมตร สามารถบรรทุกนักบินได้ 1-2 คน และบรรทุกผู้โดยสารได้สูงสุด 11 ที่นั่ง ประกอบด้วยที่นั่ง 3 แถว ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เพดานสูง และยังมีหน้าต่างบานใหญ่เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นของผู้โดยสาร

Agusta Westland AW169 ถือเป็นเฮลิคอปเตอร์รุ่นใหม่แบบแอนตี้–ไบเออร์ สมรรถนะกลาง ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดมากที่สุดสำหรับการบังคับใช้กฎหมายและการรักษาความปลอดภัยที่หลากหลายจนได้รับความนิยมอย่างมาก สามารถทำความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และบินได้นานถึง 4 ชั่วโมง 20 นาที มีระบบ Auxiliary Power Units Mode (APU) ที่สามารถผลิตกำลังไฟฟ้าเพื่อให้เครื่องปรับอากาศ ฮีทเตอร์ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าภายในห้องโดยสารทำงานได้โดยไม่ต้องติดเครื่องยนต์ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการรอรับผู้โดยสาร

Agusta Westland AW169 ยังถือเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่มีประสิทธิภาพระดับชั้นนำสำหรับความสามารถที่หลากหลายในสภาพการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นภารกิจขนส่งผู้บริหาร กู้ภัยฉุกเฉิน รักษาความปลอดภัย และอื่น ๆ ทั้งยังมีห้องโดยสารขนาดใหญ่ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วปรับตัวเข้ากับความหลากหลายของแต่ละภารกิจ

ในขณะที่ด้านความปลอดภัยของ Agusta Westland AW169 นักบินจะได้รับประโยชน์จากชุดอุปกรณ์ Avionics สถาปัตยกรรมแบบเปิดที่ทันสมัยพร้อมกระจกดิจิตอลแบบเต็มรูปแบบและการมองเห็นภายนอกที่ยอดเยี่ยมเพื่อเพิ่มความตระหนักในสถานการณ์และลดภาระงาน โดยในส่วนของระบบการแสดงผลของห้องนักบิน Cockpit (CDS) อิงกับการแสดง AMLCD ขนาดใหญ่ 3 แบบ พร้อมการออกแบบที่เหมาะให้นักบินสามารถมองเห็นทัศนวิสัยที่ดีขึ้น

จึงไม่แปลกที่เฮลิคอปเตอร์ลำนี้เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะนักธุรกิจกำลังซื้อสูง ด้วยสนนราคาลำละประมาณ 8.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 280 ล้านบาท !

ปูมชีวิตและขุมทรัพย์ “เจ้าสัววิชัย” แห่ง “คิง เพาเวอร์”

alivesonline.com : จากกรณี เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวของ นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” ในฐานะประธานสโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ “เลสเตอร์ ซิตี้” ประสบอุบัติเหตุตก บริเวณลานจอดรถใกล้สนามฟุตบอล “คิง เพาเวอร์ สเตเดียม” หลังจบเกมลีกนัดที่ทีมเปิดบ้านเสมอ “เวสต์แฮม ยูไนเต็ด” 1-1 เมื่อเวลาท้องถิ่นประมาณ 20.30 น. วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม ที่ผ่านมา ถือเป็นข่าวที่สร้างความตกใจให้แก่บุคคลต่าง ๆ ทั้งในแวดวงกีฬา ธุรกิจ และสังคมเซเลบริตี้

เนื่องเพราะ นายวิชัย หรือ “เจ้าสัววิชัย” ไม่เพียงแต่ดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” พร้อมทั้งมีสถานะทางสังคมเป็นประธานสโมสรฟุตบอล “เลสเตอร์ ซิตี้” และนายกสมาคมขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย โดยจัดเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย ประจำปี 2561 โดยมีทรัพย์สินทั้งหมด 5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.71 แสนล้านบาท (จากการจัดอันดับของ “นิตยสารฟอร์บส์”)

แต่เขายังนับเป็นบุคคลหนึ่งที่มี “สายสัมพันธ์สูง” กับบุคคลแทบทุกกลุ่มทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษซึ่งเขายังมีความคุ้นเคยใกล้ชิดจนถึงขั้นสามารถเชิญบุคคลชั้นสูงและราชวงศ์อังกฤษ รวมถึง เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และ เจ้าชายวิลเลี่ยม เข้าร่วมในกิจการกีฬาผ่านรายการขี่ม้าโปโลนัดการกุศล “จักกราวาตี้ – คิง เพาเวอร์ คัพ” เมื่อปี 2558

“เจ้าสัววิชัย” เกิดวันที่ 5 มิถุนายน 2501 เดิมใช้สกุล “รักศรีอักษร” เป็นบุตรของ นายวิวัฒน์ รักศรีอักษร กับนางประภาศร รักศรีอักษร ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อสกุล “ศรีวัฒนประภา” ให้เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2555 เพื่อเป็นสิริมงคลแก่วงศ์ตระกูล

ด้านการศึกษา จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาวูดลอว์น ประเทศสหรัฐอเมริกา และศิลปศาสตรบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนอร์ททอร์ป ประเทศสหรัฐอเมริกา

ด้านชีวิตครอบครัว สมรสกับ นางเอมอร มีบุตรทั้งหมด 4 คน ได้แก่ นางสาววรมาศ ศรีวัฒนประภา, นายอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา, นางสาวอรุณรุ่ง ศรีวัฒนประภา และ นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ซึ่งทำหน้าที่เป็นรองประธานสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” และมีส่วนช่วยในการบริหารทีมฟุตบอลจนก้าวสู่ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–2016

 

  • เจ้าแห่งธุรกิจดิวตี้ฟรี

“เจ้าสัววิชัย” เป็นนักธุรกิจชาวไทยที่มีผลงานการบริหารธุรกิจมามากมาย เคยทำงานด้านธุรกิจต่าง ๆ ทั้งกิจการของตนเองและร่วมบริหาร เช่น บริษัท ศรีอักษร (1980) จำกัด, กรรมการบริษัท ไทยนิชิกาวา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูโรป้าปริ๊นซ์ จำกัด (มหาชน), กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาวน์ทาวน์ ดี.เอฟ.เอส.(ไทยแลนด์) จำกัด และกรรมการบริษัท ยูโรป้าปริ๊นซ์ (ประเทศไทย) จำกัด

“เจ้าสัววิชัย” เริ่มต้นธุรกิจร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free) ที่สนามบินฮ่องกงเป็นแห่งแรกจากคำชักชวนของเพื่อนนักธุรกิจชาวฮ่องกง เมื่อปี 2532 หลังจากนั้นได้พยายามก้าวเข้าสู่ธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีในประเทศไทยโดยใช้ความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับบุคคลในรัฐบาล จนสามารถเปิดร้านค้าปลอดภาษีแห่งแรก ณ อาคารมหาทุนพลาซ่า ถ.เพลินจิต กรุงเทพฯ ในปี 2532 ต่อมาเขาได้ไปบุกเบิกธุรกิจที่ประเทศกัมพูชา จีน และมาเก๊า ซึ่งค่อนข้างไปได้ดีกว่าธุรกิจในประเทศไทยในช่วงนั้น

จนกระทั่งปี 2538 เขาได้รับสัมปทานธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินดอนเมือง ก่อนที่จะเริ่มผงาดเป็น “เสือติดปีก” ในปี 2549 เมื่อสนามบินสุวรรณภูมิพร้อมเปิดใช้งาน โดย “คิง เพาเวอร์” คือบริษัทเดียวที่ได้บริหารพื้นที่ให้เอกชนอื่น ๆ เช่าทำธุรกิจในอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ และ “คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์” ซึ่งเช่าที่ดินจากสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในซอยรางน้ำ เขตพญาไท กรุงเทพฯ ก่อนที่จะได้รับพระราชทานตราตั้ง “ครุฑ” ในปี 2552

ปัจจุบัน “คิง เพาเวอร์” มีทั้งหมด 9 สาขา ได้แก่ สาขารางน้ำ, ศรีวารี, พัทยา, ภูเก็ต, ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่

 

ว่ากันว่า “เจ้าสัววิชัย” มีเพื่อนสนิทคือ “เนวิน ชิดชอบ” อดีตนักการเมืองคนสำคัญใน “รัฐบาลทักษิณ” จนส่งผลให้เข่มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศในขณะนั้น) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนถึงขั้นใช้สำนักงานส่งแฟกซ์แถลงการณ์ให้ “ทักษิณ” ในช่วงหลังถูกทหารโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจ เมื่อปี 2549

ในครั้งนั้น “คิง พาวเวอร์” ถูกจับตาว่าจะถูกผลกระทบจากการยึดอำนาจครั้งนั้นหรือไม่ แต่แล้วด้วยความสามารถในการต่อสายสัมพันธ์กับผู้นำการรัฐประหาร ทำให้เขารอดพ้นจากที่หลายคนคาดการณ์ ประกอบกับ “เนวิน ชิดชอบ” เพื่อนสนิทของเขาเปลี่ยนขั้วการเมืองหันมาหนุนอีกฝากหนึ่งขึ้นเป็นรัฐบาล ทำให้ “เจ้าสัววิชัย” สามารถต่อสายสัมพันธ์ต่อเนื่องมาถึงยุครัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

  • ก้าวสู่ธุรกิจกีฬา

ในเดือนสิงหาคม 2553 “เจ้าสัววิชัย” พร้อมผู้ร่วมทุนในนาม “กิจการร่วมค้าเอเชียนฟุตบอลอินเวสต์เมนท์” ได้ซื้อกิจการสโมสรฟุตบอล “เลสเตอร์ ซิตี้” ต่อจากนายมิลาน แมนดาริช อดีตเจ้าของและประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 100 ล้านปอนด์ พร้อมเปลี่ยนชื่อสนามจาก “วอล์กเกอร์ส สเตเดียม” เป็น “คิง เพาเวอร์ สเตเดียม” และได้บริหารทีมสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ จนคว้าแชมป์ “เดอะ แชมเปี้ยนชิพ” และเข้าไปเล่นในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 2014-2015 จนในฤดูกาล 2015–16 สามารถสร้างปรากฏการณ์ดังเทพนิยายในแวดวงลูกหนังด้วยการคว้าแชมป์ “พรีเมียร์ลีก” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

ไม่เพียงเท่านั้น ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2560 กลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” ยังได้รับอนุมัติให้มีการซื้อขายสโมสร “เอาด์-เฮเฟอร์เลเลอเฟิน” ซึ่งเป็นสโมสรในระดับดิวิชั่น 2 ของประเทศเบลเยี่ยม ทั้งยังได้ดึงตัว “กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์” ผู้รักษาประตูทีมชาติไทย ให้ไปร่วมทีมในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะของลีกเบลเยียมเมื่อช่วงเดือนมกราคม 2561 อีกด้วย

เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2561 “เจ้าสัววิชัย” ยังสร้างความฮือฮาในวงการธุรกิจไทยครั้งใหญ่เมื่อซื้อหุ้นของ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น หรือ AAV ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่ถือหุ้นร้อยละ 55 ของสายการบิน “ไทยแอร์เอเชีย” ในสัดส่วนร้อยละ 39 มูลค่ารวมประมาณ 7,945 ล้านบาทจาก “ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์” และครอบครัว โดยให้เหตุผลว่าเป็นการลงทุนระยะยาวของตนและครอบครัวโดยไม่มีแผนซื้อมาเพื่อขายต่อแต่อย่างใด เนื่องจากมีข้อจำกัดตามกฎหมายอันเกี่ยวกับการเดินอากาศที่ได้กำหนดสัดส่วนการถือครองหุ้นว่า ผู้ถือหุ้นต้องเป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ซึ่งทำให้ยากต่อการที่จะหาผู้ที่มีความสนใจที่จะซื้อหุ้น AAV เป็นจำนวนมากได้ ที่สำคัญการซื้อหุ้นครั้งนั้นยังถือเป็นการส่งเสริมธุรกิจค้าปลีกและสายการบิน ตลอดจนสร้างโอกาสใหม่ในธุรกิจให้แข็งแกร่ง รวมถึงการพัฒนาแบรนด์ “คิง เพาเวอร์”, “ไทยแอร์เอเชีย” และสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” ร่วมกันในระดับนานาชาติ

ทว่าต่อมา ในช่วงเดือนธันวาคม 2560 “ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย ประกาศซื้อหุ้น AAV คืนจาก “เจ้าสัววิชัย” ในสัดส่วนร้อยละ 36.3 ในราคา 4.70 บาทต่อหุ้น รวมกว่า 1,761 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 8,279 ล้านบาท จนได้กลับมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และกำหนดทิศทางธุรกิจของสายการบิน “ไทยแอร์เอเชีย” อีกครั้ง

  • ขุมทรัพย์กลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์”

จากข้อมูลของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า กลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” มีธุรกิจต่าง ๆ 16 บริษัท แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ “กลุ่มธุรกิจดิวตี้ฟรี” มี 9 บริษัท ได้แก่

1.บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประกอบธุรกิจร้านค้าขายปลีก, ร้านค้าปลอดภาษีอากร, บริการจัดการร้านค้าปลอดอากรในเมือง, บริหารจัดการป้ายโฆษณาภายในสนามบินหลายแห่ง อาทิ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง และภูเก็ต ตลอดจนบริหารจัดการโรงละคร “อักษรา คิง เพาเวอร์” ร้านอาหาร “รามายณะ” และร้านอาหาร “ลามูน”

2.บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและให้บริการจุดส่งมอบสินค้า (Pick-up Counter) ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ โดยผู้ซื้อสินค้าปลอดอากรในเมืองของ “คิง เพาเวอร์” สามารถรับสินค้าได้ที่จุดส่งมอบสินค้าสนามบินสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง และอู่ตะเภา

3.บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีและบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

4.บริษัท คิง เพาเวอร์ มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เมเนจเมนท์ จำกัด ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรบนเครื่องบินระหว่างประเทศ

5.บริษัท คิง เพาเวอร์ มาเก็ตติ้ง แอนด์ เมเนจเมนท์ จำกัด ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรบนเครื่องบินของสายการบินไทย,สายการบินไทยแอร์เอเชีย, สายการบินไทยสมายล์ และสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์

6.บริษัท คิง เพาเวอร์ โฮเทล เมเนจเมนท์ จำกัด ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรม “พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ” และภัตตาคารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่โครงการ “คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์”

7.บริษัท คิง เพาเวอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

8.บริษัท คิง เพาเวอร์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ประกอบธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหารและเครื่องดื่ม

9.บริษัท คิง เพาเวอร์ เอวิเอชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจขนส่งคนโดยสาร ไปรษณีย์ สิ่งของ พัสดุภัณฑ์ทางอากาศ รวมถึงการขนถ่ายสินค้าทางอากาศทั้งในและต่างประเทศ

กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มธุรกิจทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับดิวตี้ฟรี มี 7 บริษัท ได้แก่

1.บริษัท วี แอนด์ เอ โฮลดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการเครื่องหมายการค้า ร่วมลงทุนในกิจกรรมทุกประเภท จัดสรรที่ดิน บริการสนามกอล์ฟ และสนามโปโล

2.บริษัท สยาม ดี.เอฟ.เอส. จำกัด ประกอบธุรกิจจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม

3.บริษัท น้องละมุน จำกัด ประกอบธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์และอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง

4.บริษัท เอมธรรมชาติ จำกัด ประกอบธุรกิจเพาะปลูกและจำหน่ายพืชผลทางการเกษตรทุกชนิด

5.บริษัท วี.อาร์.เจ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการลานจอดรถยนต์ทุกประเภท

6.บริษัท สยาม โปโล ปาร์ค จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการดูแลม้าที่ใช้ในการเล่นกีฬาโปโล

7.บริษัท บ้านพราวดาว จำกัด ประกอบกิจการจัดสรรและค้าที่ดิน

ในแง่การเมือง “เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา” เคยปรารภว่า

“ผมไม่เคยมีแผนเล่นการเมือง เพราะผมมีบุคลิกไม่เหมาะกับการเป็นนักการเมือง ทั้งยังไม่ชอบออกงานสังคมและไม่ชอบพูดในที่สาธารณะ

“เครือศิริปันนา – ไทยไฟท์” แตกไลน์ธุรกิจรับเทรนด์คนรักสุขภาพ

alivesonline.com : “เครือศิริปันนา” ทะยานสู่ปีที่ 10 ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมระดับ 5 ดาวกลางเมืองเชียงใหม่ ทุ่มงบฯ 280 ล้านบาท ขยายธุรกิจโรงแรมแบรนด์ใหม่ “S loft by Siripanna” บนพื้นที่ 2 ไร่ มุ่งตอบรับกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างชาติผู้เข้าพักที่มีใจรักการออกกำลังกายท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ พร้อมเปิดดีลธุรกิจใหม่กับ “ไทยไฟท์” เนรมิตค่ายมวย “Thai Fight Physique Sport @ S loft by Siripanna” ให้บริการฝึกซ้อมมวยไทยแก่ผู้เข้าพักโดยเทรนเนอร์ชื่อดังของ “ไทยไฟท์” คาดหลังเปิดให้บริการเดือน ก.พ. 62 ช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20%

นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือศิริปันนา

นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือศิริปันนา ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรม “ศิริปันนา วิลลา รีสอร์ท แอนด์ สปา เชียงใหม่” เปิดเผยว่า หลังจากที่ใช้งบประมาณ 700 ล้านบาทในการลงทุนดำเนินธุรกิจโรงแรมระดับ 5 ดาว บนพื้นที่ 13 ไร่ ในเขต อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มายาวนานกว่า 9 ปี ถือว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างชาติเป็นอย่างดีทั้งในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวจีน ยุโรป สหรัฐเมริกา และอื่น ๆ โดยในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 70-80% ล่าสุดจึงได้ขยายธุรกิจโรงแรม “S loft by Siripanna” เพิ่มขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกันกับที่ตั้งเดิมอีก 2 ไร่ ทำให้โรงแรมทั้งสองแห่งมีพื้นที่รวมกัน 15 ไร่

โรงแรม “S loft by Siripanna” ถือเป็นการพัฒนาพื้นที่เพื่อการพักผ่อนรูปแบบใหม่สำหรับผู้รักสุขภาพ โดยออกแบบให้มีความทันสมัยในสไตล์ลอฟต์ท่ามกลางสวนธรรมชาติ ด้วยงบประมาณ 280 ล้านบาท ห้องพักรวมทั้งหมดจำนวน 35 ยูนิต แบ่งเป็น 2 อาคาร โดยอาคารแรกเป็นห้องพักระดับลักซ์ชัวรี่ จำนวน 28 ห้อง ส่วนอีกอาคารออกแบบเพื่อตอบรับความต้องการของผู้ชื่นชอบการออกกำลังกายโดยเฉพาะ มีทั้งหมด 5 โซนคือพื้นที่ฝึกซ้อมมวยไทย ฟิตเนส โยคะ สระว่ายน้ำสำหรับออกกำลังกายแบบมาตรฐาน รวมถึงห้องพักที่ออกแบบในสไตล์กีฬามวยไทย 7 ห้อง โดยผู้เข้าพักสามารถเลือกใช้บริการการออกกำลังกายโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่อย่างใด

นายศุภมิตร กล่าวด้วยว่า ภายใต้โครงการนี้ยังได้ร่วมมือกับ “ไทยไฟท์” เปิด “Thai Fight Physique Sport @ S loft by Siripanna” ในลักษณะแฟรนไชส์สัญญา 3 ปี เพื่อให้บริการฝึกซ้อมมวยไทยแก่ผู้เข้าพักซึ่งจะมีเทรนเนอร์ของ “ไทยไฟท์” ผลัดเปลี่ยนกันมาเป็นผู้ฝึกสอน โดยจะคิดค่าใช้จ่ายจากผู้ใช้บริการเพิ่มเติมทั้งในลักษณะรายวัน รายเดือน ราย 3 เดือน และรายปี นอกจากนี้ยังจะมีพื้นที่ร้านขายของที่ระลึกจาก “ไทยไฟท์” และพื้นที่ของ Glasshouse กลางสวนเชื่อมสระว่ายน้ำสำหรับบริการห้องประชุมและห้องจัดเลี้ยงอีกด้วย

“จากกระแสการตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่มาใช้บริการเข้าพักในเครือศิริปันนาทำให้เราไม่หยุดในการเฟ้นหาบริการที่ดีที่สุดมาตอบสนองความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเรื่องของการออกกกำลังกายซึ่งถือเป็นเทรนด์ที่คนยุคปัจจุบันใส่ใจและให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้มีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้วประมาณ 30-40% คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2562”

นายศุภมิตร กล่าวด้วยว่า ในส่วนของอัตราค่าที่พักของโรงแรม “S loft by Siripanna” จะคิดค่าบริการเริ่มต้นคืนละ 7.7 พันบาท รวมอาหารเช้า 2 ท่าน ในขณะที่โรงแรม “ศิริปันนา วิลลา รีสอร์ท แอนด์ สปา เชียงใหม่” คิดค่าบริการคืนละ 6.8 พันบาท รวมอาหารเช้า 2 ท่าน โดยคาดว่าเมื่อเปิดให้บริการจะมีลูกค้าชาวไทยและต่างชาติเข้าใช้บริการในสัดส่วนใกล้เคียงกันคือ 50:50 พร้อมทั้งช่วยให้เครือศิริปันนา สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20%

ทั้งนี้ ในพิธีลงนามเซ็นสัญญาความร่วมมือ “Thai Fight Physique Sport @ S loft by Siripanna” ครั้งนี้ จัดขึ้น เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ โรงแรม VIE Bangkok ห้อง Function 1 ชั้น 12 โดยมี นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือศิริปันนา ในนามผู้บริหารโรงแรม “S loft by Siripanna” และนายนพพร วาทิน ในนามผู้บริหาร “ไทยไฟท์” โดยได้รับเกียรติจาก นายประวิทย์ มาลีนนท์ ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจเข้าร่วมในพิธี พร้อมด้วยนักมวยชื่อดังจากค่าย “ไทยไฟท์” อาทิ ป.ต.ท.ส.พัฒนาแก๊ส, แสนสะท้อน คลองสวนพลูรีสอร์ท, ชนะจน พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม, สุดสาคร ส.กลิ่นมี, พยัคฆ์สมุย-เพชรสมุย-เพชรพะงัน ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม, สะท้านฟ้า ศิษย์นายกชายสงขลา, พันธ์พยัคฆ์ พยัพคำพันธุ์ ร่วมเป็นสักขีพยาน

“ไทยแลนด์ แล็บ อินเตอร์ เนชั่นแนล” ขึ้นชั้น Top 3 งานแสดงสินค้าเครื่องมือห้องปฏิบัติการดีที่สุดในเอเชีย

alivesonline.com : จบลงไปแล้วกับงาน “ไทยแลนด์ แล็บ อินเตอร์เนชั่นแนล 2018” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 กันยายน 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ ซึ่งตลอด 3 วันของการจัดงานได้ต้อนรับผู้เข้าชมงาน ผู้ซื้อหลัก ผู้เชี่ยวชาญ และคนในอุตสาหกรรมแล็บ เข้าชมงานกว่า 9,109 ราย จาก 43 ประเทศ

จากจำนวนผู้ร่วมงานดังกล่าวคิดเป็นผู้ซื้อรายสำคัญในวงการถึง 216 รายจากนานาประทศทั่วโลก ก่อให้เกิดการจับคู่ทางธุรกิจผ่านระบบ Business Matching มากถึง 934 การประชุมในอุตสาหกรรมเครื่องมือห้องปฏิบัติการและชีววิทยาศาสาตร์ นอกจากนั้นยังเป็นศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 138 รายที่มาแบ่งปันความรู้ผ่านงานสัมมนา 60 sessions 100 หัวข้อการประชุมภายในงาน

เรียกได้ว่า งาน “ไทยแลนด์ แล็บ อินเตอร์ เนชั่นแนล” เป็นศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน ผู้ซื้อหลัก จากภาค R&D และ การตรวจสอบคุณภาพ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ จากนานาประเทศร่วมชมงาน อาทิ ประเทศสิงคโปร์, จีน, อินเดีย, เมียนมา, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, ญี่ปุ่น, กัมพูชา, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน, สหรัฐอเมริกา, ฮ่องกง, เยอรมัน, สเปน, สหราชอาณาจักร และอีกมากมายกว่า 43 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ “ไทยแลนด์ แล็บ อินเตอร์ เนชั่นแนล” ก้าวขึ้นสู่ Top 3 ของงานแสดงสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องมือห้องปฏิบัติการที่ดีที่สุดในเอเชีย

งาน “ไทยแลนด์ แล็บ อินเตอร์เนชั่นแนล” ยังถือเป็นงานแสดงสินค้าสำคัญที่กำหนดทิศทางการลงทุนของตลาดเทคโนโลยีเครื่องมือห้องปฏิบัติการ การลงทุนในภาควิจัย ตลอดจนการควบคุมและพัฒนาคุณภาพของอุตสาหกรรมต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมองค์ความรู้ด้านงานวิจัยใหม่ ๆ ระดับโลก เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ให้กับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมภายในงาน

สำหรับในปี 2562 ผู้จัดงานเตรียมขยายพื้นที่จัดงานเพิ่มเติม เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าในตลาดเครื่องมือห้องปฏิบัติการที่น่าจับตามองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เน้น “Life Science & Bio Investment Asia” และ “MED LAB Asia” พร้อมตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ พัฒนาด้านการควบคุมคุณภาพของงานวิจัยสู่มาตรฐานสากลด้วยนวัตกรรมทางห้องปฏิบัติการ การสอบเทียบและมาตรวิทยา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพใหม่ และการลงทุนด้านทางชีววิทยาศาสาตร์ที่กำลังเป็นตลาดขาขึ้นอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้

  • นานาทรรศนะผู้เข้าร่วมงาน

“หากคุณต้องการอัพเดทข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนวัตกรรมและความรู้ด้านห้องปฏิบัติการ คุณต้องมาเยี่ยมชมงาน ไทยแลนด์ แล็บ อินเตอร์เนชั่นแนล แล้วคุณจะพบทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณกำลังมองหา พร้อมกับทราบแนวโน้มตลาดด้านเทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปปรับเข้ากับธุรกิจของคุณได้” – จิรา ตั้งวิชิตฤกษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอเพกซ์ เคมิเคิล จำกัด

“ดิฉันเดินทางมาจากประเทศกัมพูชาเพื่อมาเยี่ยมชมงาน ไทยแลนด์ แล็บ อินเตอร์เนชั่นแนล ในครั้งนี้พร้อมกับเหล่าสมาชิก โดยมีจุดประสงค์หลักในการมองหาคู่ค้ารายใหม่ ๆ ในธุรกิจเครื่องมือห้องปฏิบัติการ การเยี่ยมชมงานครั้งนี้ทำให้เราได้พบกับบรรดาเจ้าของกิจการ ตลอดจนผู้ประกอบชั้นนำจากทั่วเอเชีย ซึ่งทำให้พวกเราบรรลุวัตถุประสงค์ภายใต้การจัดงานที่มีมาตรฐานของผู้จัดงาน วีเอ็นยูฯ” – SOUS Chan Chhorporn ประธาน CEA (Cambodian Entrepreneurs Club) จากประเทศกัมพูชา

“ในฐานะผู้ประกอบการ จุดประสงค์หลักที่เราเข้าร่วมแสดงบูทกับงาน ไทยแลนด์ แล็บ อินเตอร์เนชั่นแนล คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างจุดยืนของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและจดจำ เพราะงานนี้เป็นเวทีเจรจาการค้าที่ยอดเยี่ยมสำหรับ B2B และ B2C ซึ่งเราเข้าร่วมงานมาแล้วกว่า 3 ปีอย่างต่อเนื่อง” – SV Ganapathi ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท Lab Water-APAC และ Lab-South Asia, Pall India Pvt. จากประเทศอินเดีย

งาน “ไทยแลนด์ แล็บ อินเตอร์ชั่นแนล” จะกลับมาอีกครั้งในวันที่ 25-27 กันยายน 2562 ณ ฮอลล์ 102-104 ไบเทค กรุงเทพฯ โดยขณะนี้พื้นที่แสดงงานถูกจับจองภายในงานไปแล้วกว่า 70% ผู้สนใจเข้าร่วมงานแสดงงานสามารถติดต่อผู้จัดงานได้ที่ thailandlab@vnuexhibitionsap.com โทร.0 2670 0900 | www.thailandlab.com Follow THAILANDLAB at Facebook / Twitter / Linkedin / Youtube and LINE Official @thailandlab / ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ติดต่อ คุณแสงทิพ เตชะปฏิภาณดี | Email: saengtip.won@vnuexhibitionsap.com | โทร.0 2670 0900 ต่อ 122

“เซ็นทารา” สยายปีกเข้าลาว ยึดหัวหาด “ปากเซ-เวียงจันทน์-หลวงพระบาง”

alivesonline.com : เครือเซ็นทารา รุกหนักธุรกิจโรงแรมในลาว เตรียมเปิดให้บริการ “เซ็นทารา พลูมเมอเรีย รีสอร์ท ปากเซ” ในช่วงปลายปี 62 พร้อมลงนามร่วมกลุ่มทุนท้องถิ่นรายใหญ่ “เอไอดีซี ลาว” นำแบรนด์ “เซ็นทารา แกรนด์ – เซ็นทารา บาย เซ็นทารา – โคซี่” เพิ่ม 3 โรงแรมใน “เวียงจันทน์ – หลวงพระบาง” ส่งผลให้ปี 63 มีโรงแรม 4 แห่งให้บริการรวม 376 ห้อง

นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการโรงแรมและรีสอร์ทในเครือ “เซ็นทารา” เครือโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า เครือเซ็นทารา มีโรงแรมและรีสอร์ทภายใต้การบริหารของ 6 แบรนด์ในเครือซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญรวมทั้งสิ้น 60 แห่งทั่วโลก ได้แก่ ไทย, มัลดีฟส์, ศรีลังกา, เวียดนาม, ลาว จีน, โอมาน, กาตาร์, คิวบา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีเป้าหมาย 5 ปีจะเพิ่มจำนวนโรงแรมขึ้นเป็นสองเท่าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศโดยจะขยายไปยังทวีปและตลาดใหม่ ๆ

ล่าสุดได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับ “เอไอดีซี ลาว” (บริษัท เอเชียลงทุน, พัฒนา, และก่อสร้างจำกัดผู้เดียว) กลุ่มธุรกิจก่อสร้างและการลงทุนชั้นนำจากประเทศลาว กำหนดเปิดโรงแรมในเครือเซ็นทาราเพิ่มอีก 3 แห่ง รวม 214 ห้อง ใน 2 หัวเมืองใหญ่คือ เวียงจันทร์ และหลวงพระบาง

การเซ็นสัญญาในครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นความมุ่งมั่นของ เครือเซ็นทารา ที่ต้องการเติบโตในภูมิภาคเอเชีย ในขณะเดียวกันยังเร่งพัฒนาแบรนด์ให้เติบโตสู่ระดับสากล ดังนั้นการได้ร่วมมือกับบริษัทที่มีชื่อเสียงและความชำนาญด้านการลงทุนระดับประเทศอย่าง “เอไอดีซี ลาว” จึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้มีโอกาสร่วมมือทางธุรกิจกับโครงการที่น่าตื่นเต้นของโรงแรมทั้ง 3 แห่งในประเทศลาวที่กำลังจะเกิดขึ้น

โรงแรมใหม่ทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วยโรงแรมหรูพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ 5 ดาวภายใต้ แบรนด์ “เซ็นทารา แกรนด์” 1 แห่ง โรงแรมระดับ 3 ดาวพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “เซ็นทรา บาย เซ็นทารา” 1 แห่ง โดยทั้ง 2 โรงแรมนี้จะตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงพระบาง ไม่ไกลจากสนามบินและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดยจะให้บริการห้องพักรวมกว่า 114 ห้อง บนพื้นที่รวมกว่า 8 ไร่

นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมแนวไลฟ์สไตล์แบรนด์น้องใหม่ล่าสุดคือโรงแรม “โคซี่” อีก 1 แห่งในนครเวียงจันทร์ ที่จะให้บริการห้องพัก 100 ห้อง พร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ตั้งอยู่บนทำเลที่โดดเด่นใจกลางเมือง เน้นกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เน้นความสะดวกสบาย ส่งผลให้ภายในปี 2563 เครือเซ็นทารา จะมีโรงแรมในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็น 4 แห่ง รวม 376 ห้อง จากเดิม 1 แห่งคือ โรงแรมเซ็นทารา พลูมเมอเรีย รีสอร์ท ปากเซ ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการ 162 ห้องในปลายปี 2562

ด้าน นายพฤกษภา ภูมิมะสัก ประธานกรรมการบริษัท “เอไอดีซี ลาว” กล่าวว่า จากการผสมผสานที่ลงตัวทั้งในเรื่องของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมท้องถิ่น ทัศนียภาพทางธรรมชาติที่งดงาม อีกทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ทำให้หลวงพระบางและเวียงจันทร์เป็นเมืองที่ได้รับความนิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ ดังนั้นการร่วมมือกับเครือเซ็นทาราในครั้งนี้ จึงเท่ากับเป็นการนำแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือเข้ามาร่วมพัฒนาและช่วยประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศลาวมากขึ้น

อนึ่ง โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ประกอบด้วย 6 แบรนด์ ได้แก่ เซ็นทารา แกรนด์, เซ็นทารา, เซ็นทารา บูติค คอลเลกชัน, เซ็นทารา บาย เซ็นทารา, เซ็นทารา เรสซิเดนซ์ แอนด์ สวีท และ โคซี่

บรรยายภาพ : (จากซ้ายไปขวา) นายอวยชัย คูหากาญจน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด, นายอดุลย์ ไชยพรหม รองประธานกรรมการ “เอไอดีซี ลาว”, นายแดน ชินสุภัคกุล ที่ปรึกษาบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน), นายพฤกษภา ภูมิมะสัก ประธานกรรมการบริษัท “เอไอดีซี ลาว”, นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด(มหาชน), นายสุภรัฐ จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด, ดร.รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์  รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหารบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) และนายมาร์คแลนด์ เบลคล็อค รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด(มหาชน)

 

 

“นมวัวแดง” เดินแผนผู้นำอาเซียน มุ่งเป้า 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 64

alivesonline.com : อ.ส.ค. เผยแผนยกระดับ 50 ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศเป็นสมาร์ทเอเย่นต์ มุ่งสร้างจุดแข็งทางการตลาดและเสริมสร้างความเชื่อมั่นแบรนด์ “ไทย-เดนมาร์ค” ครอบคลุมทุกพื้นที่ พร้อมยกเครื่องโรงงานทั่วประเทศ เพิ่มกำลังผลิตเป็น 2.4 หมื่นกล่องต่อชั่วโมง หวังดันยอดขายทะลุ 1 หมื่นล้านบาทในปี 62 ก่อนเพิ่มเป็น 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 64 พร้อมก้าวขึ้นสู่ผู้นำอุตสาหกรรมนมอาเซียน

ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)

ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เปิดเผยว่า หลังจาก อ.ส.ค. ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดอย่างเข้มข้นต่อเนื่องตลอดปี 2561 ส่งผลให้ 9 เดือนที่ผ่านมาสามารถผลักดันยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คได้กว่า 9.7 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 97% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนในปี 2562 มีเป้าหมายทำยอดขายเพิ่ม 6% หรือประมาณ 11,177 ล้านบาท ก่อนมุ่งสู่เป้าหมายที่จะผลักดันยอดขายให้ได้ 1.2 หมื่นล้านบาทภายในปี 2564

ในปี 2562 อ.ส.ค. ยังได้เตรียมปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเข้มข้นขึ้นไปอีกโดยยึดแผนวิสาหกิจระยะ 5 ปี (2560–2564) เป็นหลักในการขับเคลื่อนเพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คก้าวสู่แบรนด์นมแห่งชาติภายในปี 2564 รวมทั้งมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คผงาดก้าวสู่ผู้นำอุตสาหกรรมนมไทยในประเทศและอาเซียนอีกด้วย

สำหรับปี 2561 อ.ส.ค. ได้เพิ่มเพิ่มศักยภาพกำลังผลิตด้วยการติดตั้งเครื่องบรรจุนม UHT แบบไฮสปีด (High Speed) เพิ่มเติมจำนวน 2 เครื่องที่โรงงานนม อ.ส.ค.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อ.เมือง จ.ขอนแก่น และโรงงานนม อ.ส.ค. ภาคใต้ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีกำลังการผลิต 2.4 หมื่นกล่องต่อชั่วโมง สูงกว่าเครื่องบรรจุเดิมที่เป็นแบบโลว์สปีด (Low peed) เพื่อเตรียมพร้อมในการขยายกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับแผนวิสาหกิจ 5 ปี (2560-2564) ที่ได้วางเป้าให้ผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ดร.ณรงค์ฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า อ.ส.ค. ยังได้ปรับปรุงและพัฒนารูปทรงกล่องนมไทย-เดนมาร์ครูปแบบใหม่ ทรงสลิมลีฟ (Tetra Brik Aseptic Slim Leaf) ขนาดบรรจุ 200 มิลลิลิตร ให้มีความแปลกใหม่และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ดูทันสมัยหยิบใช้งานง่าย ช่วยกระตุ้นความรู้สึกของผู้บริโภคให้อยากใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้นด้วย อีกทั้งยังช่วยตอบโจทย์ความต้องการและเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคและรองรับเทรนด์การบริโภคนมภายในประเทศให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นมเย็น (Refrigerated Milk) อาทิ นมพาสเจอไรซ์, โยเกิร์ต, นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม, ดริงค์กิ้งโยเกิร์ต, ไอศกรีม, ร้านนมไทย-เดนมาร์คในสถาบันการศึกษา และร้านนมไทย-เดนมาร์ค Milk Land เป็นต้น ซึ่งผู้บริโภคและตลาดมีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นไปในทิศทางเดียวกับเทรนด์การบริโภคของต่างประเทศซึ่งนิยมบริโภคผลิตภัณฑ์นมเย็นกันมาก

อ.ส.ค. ยังมีแผนผลักดันผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คสู่ผู้นำผลิตภัณฑ์นม ด้วยส่วนแบ่งตลาดนมทั่วไปในประเทศ เติบโตขึ้นประมาณ 2% ต่อปี และมีแผนเร่งพัฒนาศักยภาพตัวแทนจำหน่ายสินค้า (Distributor /Agent) ในกลุ่มตลาดเทรดดิชันนอล หรือ TT เพิ่มขึ้น 5% ต่อปี จากปัจจุบันมีทั่วประเทศ 50 ราย เพื่อยกระดับเป็นสมาร์ทเอเย่นต์ (Smart Agent) มุ่งให้เป็นทีมตลาดที่แข็งแกร่งและเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในแบรนด์ไทย-เดนมาร์ค ให้แก่คู่ค้าและผู้บริโภคครอบคลุมทุกพื้นที่ รวมทั้งพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น

ดร.ณรงค์ฤทธิ์ ยังกล่าวถึงแผนงานด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ อ.ส.ค. ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกภายใต้ตราสินค้า “ไทย-เดนมาร์ค มอร์แกนิค” เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์นมไทย-เดนมาร์คให้เป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์เชิงคุณภาพให้สินค้าและองค์กร โดยได้ออกผลิตภัณฑ์นมมอร์แกนิคพาสเจอร์ไรส์ซึ่งได้รับผลการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ อ.ส.ค. ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตออร์แกนิก 2 รสชาติใหม่ ได้แก่ รสธรรมชาติ และรสน้ำผึ้งออร์แกนิก ราคา 30 บาทต่อกระปุก ออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ภายใต้สโลแกน Happy Cows, Healthy Milk, Happy Earth เน้นกลุ่มเป้าหมายคนชั้นกลาง วัย 30 ปีขึ้นไปที่เริ่มใส่ใจสุขภาพของตัวเองและครอบครัว รวมทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีกคือ ผลิตภัณฑ์นม Lactose Free ซึ่งจะออกวางจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้”