ศูนย์การค้า ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ จัดแคมเปญพิเศษเอาใจนักช้อป “ธัญญาพาร์ค เดอะ บลูมมิ่ง อ๊อฟ แฮปปี้เนส 2019” (Thanya Park The Blooming of Happiness 2019) ช้อปฟิน กินสนุก ให้ความสุขเบ่งบานทั้งครอบครัว เพียงซื้อสินค้า หรือใช้บริการภายในศูนย์การค้าฯ ตั้งแต่ 1,500 บาท ขึ้นไป รับฟรี! กระเป๋าผ้าลดโลกร้อน Blooming Bag มูลค่า 399 บาท จากนั้นรับคูปองชิงโชคเพื่อลุ้นรับรางวัลต่าง ๆ มากมาย อาทิ แหวนเพชร จี้ทองคำ บัตรกำนัลที่พัก Springfield @Sea Resort & Spa บัตรกำนัล Tops Market กระเป๋าเดินทาง และอีกมากมาย มูลค่ารวมกว่า 50,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 12 มกราคม 2563 ณ ศูนย์การค้า ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2108 6000 หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/thanyapark
ผู้เขียน: admin2
“บอย-ปกรณ์” ร่วมปาร์ตี้ริมหาด ฉลองเปิดตัว “แกรนด์ ฟลอริด้า”
หลังจาก “บลู สกาย กรุ๊ป” จัดงานฉลองเปิดตัว “แกรนด์ ฟลอริด้า” คอนโดฯ หาดนาจอมเทียน พัทยา ซอย 14 อย่างอลังการ โดยมี “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” ซูเปอร์สตาร์คนดังมาร่วมงาน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ล่าสุดก็จัดงานฉลองขึ้นอีกครั้ง โดยครั้งนี้มาในธีม “AMAZING FANTASY Beach Party” โดยมี “บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” มาร่วมงาน พร้อมชมคอนเสิร์ต “ว่าน ธนกฤต พานิชวิทย์” และ “คริสติน่า อากีล่าร์” นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีโชว์อลังการแฟนตาซีสร้างความสนุกสนานบนชายหาดนาจอมเทียม
“ถ้าจะมองหาคอนโดฯ ก็คงมองในเรื่องของการลงทุนระยะยาว เพราะตอนนี้ก็กำลังศึกษาด้านการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อความมั่นคงของตัวเองและครอบครัวอยู่ด้วย และวันนี้รู้สึกเป็นเกียรติและสนุกสนานมากที่มีโอกาสมาร่วมงานเฉลิมฉลองงานเปิดตัว แกรนด์ ฟลอริด้า คอนโดฯ แห่งใหม่ริมหาดนาจอมเทียน ซอย 14 พัทยา ซึ่งได้ยินว่าจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ต่อเนื่อง และเปลี่ยนธีมทุกสัปดาห์ โดยวันนี้มาในธีม AMAZING FANTASY Beach Party เป็นปาร์ตี้ริมทะเล บรรยากาศดีมาก ถ้าใครได้มาที่นี่ต้องประทับใจแน่นอน สามารถตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของทุกไลฟ์สไตล์จริงๆ”
“ยิ่งถ้าใครกำลังมองหาที่พักอาศัยเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์เพื่อหวังผลกำไรในระยะยาวถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะที่นี่ตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพผืนสุดท้ายริมหาดนาจอมเทียนพัทยา ส่วนตัวชอบทั้งบรรยากาศการตกแต่ง มีโซนหลาย ๆ ที่น่าสนใจ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ สามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวก สำหรับผู้ที่สนใจอยากให้แวะมาศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะพบที่พักอาศัยที่ใช่สำหรับคุณก็ได้ครับ”
สอบถามข้อมูล “แกรนด์ ฟลอริด้า” โดย “บลู สกาย กรุ๊ป” คอนโดฯ แห่งใหม่ริมหาดนาจอมเทียนซอย 14 พัทยาที่สุดแห่งทำเลของการพักผ่อนรูปแบบใหม่ที่คอนโดฯ พัทยา นาจอมเทียน ได้แล้ววันนี้ โทร.09 2312 9999 www. https://www.grandfloridapattaya.com/
Hi-Kool ขยายแนวรุกบุกอาเซียน
alivesonline.com : Hi-Kool ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงชั้นนำของเมืองไทย ขยายโมเดลธุรกิจบุกตลาดอาเซียน หลังประสบความสำเร็จในเวียดนาม คาดภายใน 3 ปี ขึ้นแท่นเบอร์ 1 เร่งเครื่องศึกษาตลาดเมียนมา ลาว กัมพูชา จัดหนักแคมเปญโค้งสุดท้ายงาน “มอเตอร์ เอ็กซ์โป” พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ “Hi-Kool Ceramic BLACK” ฟิล์มเซรามิกระดับพรีเมียม ดันยอดขายปลายปี
นางสาวชลิฏา วณิชชากรพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ลีวณิชย์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสง “Hi-Kool” (ไฮคูล) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดฟิล์มกรองแสงโดยรวมในปี 2563 มีอัตราการเติบโตชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจและตลาดรถยนต์ใหม่ที่มีอัตราการเติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย แต่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สามารถเติบโตสวนกระแส เนื่องจากการวางกลยุทธ์การตลาด โฆษณา ประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงจุดและตรงใจอย่างแท้จริง
ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัวพรีเซนเตอร์คนใหม่ “ดีเจเพชรจ้า” ซึ่งถือเป็นกูรูผู้เชี่ยวชาญเรื่องรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ชื่นชอบการแต่งและรักรถยนต์ โดยก่อนรับเป็นพรีเซนเตอร์ “ดีเจเพชรจ้า” ได้ทำการศึกษาและทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จริง เมื่อพิสูจน์แล้วว่าผลิตภัณฑ์ดีจริงตามข้อมูลที่แจ้งไว้ จึงตกลงใจรับเป็นพรีเซนเตอร์ ดังนั้น การสื่อสารบอกเล่าเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ จึงมีความน่าเชื่อถือ สื่อสารได้ตรงจุด เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เหมือนเพื่อนบอกต่อสิ่งดี ๆ ให้กับเพื่อน ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค
“ปัจจุบันตลาดฟิล์มกรองแสงมีการแข่งขันสูง มีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่เชื่อถือได้และไม่ทราบที่มา แต่ละแบรนด์จะโฆษณาจุดขายอย่างไรออกมาก็ได้ แต่ฟิล์มกรองแสง Hi-Kool เน้นย้ำนโยบายส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ดีที่สุด มีความบริสุทธิ์ใจ ให้ข้อมูลชัดเจน ไม่โก่งราคา ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในราคาที่เหมาะสม ทำให้เราเติบโตอย่างแข็งแกร่งมายาวนานกว่า 36 ปี และด้วยแคมเปญดังกล่าวในตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ Hi-Kool Ceramic Blackได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ผู้บริโภคจดจำ เรียกหา และสอบถามเข้ามามากมาย ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งทำให้ยอดขายของบริษัทฯ ในปี 2563 เติบโตกว่า10%” นางสาวชลิฏากล่าว
ด้าน นายปฏิพล วณิชชากรพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายต่างประเทศ บริษัท ลีวณิชย์ จำกัด กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ต้องการสร้างโมเดลธุรกิจในต่างประเทศให้เข้มแข็งและประสบความสำเร็จเหมือนในประเทศไทย จึงมีโครงการนำร่องให้ตัวแทนจำหน่ายในประเทศเวียดนามมาศึกษางานและรูปแบบการทำการตลาดอย่างครบวงจร โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำตลาดในประเทศเวียดนามภายใน 3 ปี หลังจากทำการตลาด 1 ปีสามารถก้าวขึ้นเป็นฟิล์มกรองแสงที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 3 หลังจากนั้นจะนำความสำเร็จไปต่อยอดประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งปัจจุบันมีการเข้าไปศึกษาตลาด รวมถึงข้อกำหนดทางกฏหมายในกลุ่มประเทศ CLMV เพื่อรุกตลาดอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจฟิล์มกรองแสงในอาเซียนในอนาคตอันใกล้
อนึ่ง ฟิล์มกรองแสง “Hi-Kool” ได้ร่วมงาน MOTOR EXPO 2019 (มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 36) โดยมีกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการขาย พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าหลักที่ต้องการดูแลรักษาและปกป้องรถยนต์ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายรุ่น โดยมีการนำเสนอสินค้าใหม่หลายรายการ อาทิ
– Hi-Kool Ceramic Black สุดยอดฟิล์มเซรามิกที่ดีที่สุด สวย ดำสนิท เคลียร์อย่างแท้จริง หรูหรามีระดับเหนือใคร มาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษที่เหนือกว่าฟิล์มเซรามิกทั่วไป กับ “Super Clear++ Technology” ป้องกันรังสี Infrared สูงกว่าฟิล์มเซรามิกทั่วไปถึง 87%
– Hi-Kool UVCARE ฟิล์มเซรามิกเกรดพรีเมี่ยม ที่มาพร้อมประสิทธิภาพการป้องกันที่โดดเด่นสามารถป้องกันรังสี UVB UVA ได้ 100% และยังป้องกันแสงสีฟ้า Blue Light ได้สูงถึง 98% ป้องกันรังสีอินฟาเรต80% ไม่รบกวนสัญญาณดิจิทัลและสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด
– Hi-Kool Black Carbon ฟิล์มคาร์บอน ดำจริง เคลียร์จริง ด้วยนวัตกรรม Real Nano Carbon ผสานอนุภาคคาร์บอนแท้ 100% เนื้อฟิล์มดำ เข้ม ทนทาน ไม่ซีดจาง สอดรับกับทัศนวิสัยการขับขี่ที่ชัดเจน
– Hi-Kool R-Series ตระกูลฟิล์มระดับตำนาน ฟิล์มกันร้อน 3 เฉดสี Silver Grey Magic Green และ Light Blue โดยเฉพาะ R10 เขียว เขียวใส โชว์ภายใน ที่มีกระแสตอบรับจากขาซิ่งเป็นอย่างมาก
ผู้สนใจเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ฟิล์มกรองแสงคุณภาพสูง ราคาที่เหมาะสม พบกันได้ที่บูธ H08 ในงาน MOTOR EXPO 2019 (มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 36) จนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2563 ที่ฮอลล์ 3 อาคารชาแลนเจอร์ เมืองทองธานี
“แลคตาซอย” แตกซับแบรนด์ “ซังซัง” จับกลุ่มวัยรุ่น
alivesonline.com : “แลคตาซอย” เปิดตัวแบรนด์ “ซังซัง” เจาะเซ็กเมนต์นมถั่วเหลืองคั้นสด ชูจุดเด่น น้ำตาลน้อยกว่า 2% ผลิตจากถั่วเหลืองคุณภาพดีจากแคนาดา เตรียมวางจำหน่ายครบทุกช่องทางภายในสิ้นปี 62 พร้อมดันกิจกรรมการตลาดจัดเต็มปูพรมทั่วประเทศด้วยงบสูงถึง 100 ล้านบาท มุ่งยอดขาย 1 พันล้านบาทในปี 63
นางสาวมัลลิกา จิรพัฒนกุล ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายขาย บริษัท แลคตาซอย จำกัด ผู้นำตลาดนมถั่วเหลือง เปิดเผยว่า “แลคตาซอย” เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ นมถั่วเหลืองคั้นสด แบรนด์ “ซังซัง” เพื่อเป็นการตอบรับเทรนด์รักสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ โดยเน้นจุดเด่นด้วยสูตรคั้นสด มีน้ำตาลน้อยกว่า 2% แคลอรี่ต่ำ ไม่ผสมนมผง ไม่มีวัตถุกันเสีย ผลิตจากถั่วเหลืองคัดสรรพิเศษเต็มเมล็ดคุณภาพเกรดพิเศษจากแคนาดา ทำให้ “ซังซัง” เป็นแหล่งโปรตีนสำหรับคนรักสุขภาพอย่างแท้จริง
“ซังซัง” หมายถึง “ความสุขสองเท่า” ผู้ที่ดื่มนมถั่วเหลือง “ซังซัง” จะมีความสุขสองเท่าจากคุณประโยชน์ที่ได้รับ โดยเฉพาะเรื่องความหวานน้อยและวิธีการผลิตที่คั้นสดจากถั่วเหลืองคุณภาพดีเต็มเมล็ดจากประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีสภาพดิน ภูมิประเทศ และอากาศ เหมาะสมสำหรับการปลูกถั่วเหลือง และยังเป็นถั่วเหลืองที่ไม่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมใด ๆ จำหน่ายในราคาเหมาะกับผู้บริโภคทุกกลุ่มรายได้ โดยเริ่มวางจำหน่ายมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีและจะวางจำหน่ายให้ครบทุกช่องทางภายในเดือนธันวาคม 2563 นอกจากนี้ ยังได้รับการตอบรับจากโรงพยาบาลและสถานศึกษาให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางจำหน่ายด้วย”
นางสาวมัลลิกา กล่าวด้วยว่า ในส่วนของแผนงานการตลาดได้จัดงบประมาณการตลาดในทุกช่องทางทั้งออนไลนและออฟไลน์ ประมาณ 100 ล้านบาท โดยจะมีภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์เริ่มเผยแพร่ทั่วประเทศในเดือนธันวาคม 2563 นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมทางการตลาดหลากหลายกิจกรรมที่จะโปรโมตให้นมถั่วเหลือง “ซังซัง” เป็นที่รู้จักในวงกว้างในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งขบวนคาราวานความสุขสองเท่าที่จะออกไปแนะนำผลิตภัณฑ์ โดยแมสคอต “น้องซังซัง” พร้อมด้วย หนุ่มคิวท์บอย การจัดอีเว้นท์แนะนำและแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยคาดว่าในปี 2563 จะมียอดขายประมาณ 1 พันล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 5-6% จากตลาดนมถั่วเหลืองที่ปัจจุบันมีมูลค่ารวมประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท
อนึ่ง นมถั่วเหลือง “ซังซัง” มีจำหน่าย 2 ขนาด คือ 125 มล. ราคา 5 บาท และขนาด 300 มล. ราคา 10 บาท โดยใช้บรรจุภัณฑ์โทนสีที่สื่อให้เห็นถึงความมีสุขภาพดี ดีไซน์น่ารัก สดใส เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงานรุ่นใหม่
8 องค์กรร่วมขับเคลื่อนโครงการ “กองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา”
alivesonline.com : สทบ. ขับเคลื่อนโครงการ “กองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา” ผนึกความร่วมมือภาคีเครือข่าย 8 องค์กร เร่งส่งเสริมสมาชิก กทบ. และประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน ร่วมปลูกต้นไม้ทั่วประเทศใน “วันกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ” 25 กรกฎาคม 2563 ย้ำวัตถุประสงค์หลักเพิ่มพื้นป่าให้ประเทศไทย พร้อมสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้สมาชิกฯ ในการทำอาชีพการเพาะกล้าไม้ และทำเรือนเพาะชำ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล (ซ้าย) รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประธานการดำเนินโครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนาและ นายนที ขลิบทอง (ขวา) ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.)
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประธานการดำเนินโครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา เปิดเผยว่า สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) ได้จัดพิธีลงนามความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย 8 องค์กร ประกอบด้วย สทบ. กรมป่าไม้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) และธนาคารออมสิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การดำเนินโครงการ “กองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา” ไปตามแผนการดำเนินงาน ภายใต้แนวคิด “ต้นไม้ยั่งยืน กองทุนมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง” เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปลูกต้นไม้พร้อมกันของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กทบ.) โดยกำหนดไว้ใน “วันกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ” ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2563 จะเป็นวันครบรอบ 19 ปีกองทุนฯ และก้าวสู่ปี 20 จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเปิดโอกาสให้ทุกกองทุนได้ร่วมกันสร้างสินทรัพย์ให้แผ่นดิน โดยการส่งเสริมให้สมาชิกปลูกต้นไม้ร่วมกัน
ในช่วงที่ผ่านมาการดำเนินโครงการฯ ได้นำร่องที่จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อต้นเดือนธันวาคม โดยได้มอบกล้าไม้มีค่าแก่ผู้แทนสมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองไปแล้ว 6 พันต้น พร้อมกันนี้ยังได้เปิดการฝึกอบรมโครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา โดยมีประธานเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองระดับอำเภอ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผู้บริหารและพนักงานของทั้ง 8 หน่วยงาน ร่วมให้ความรู้ในหัวข้อต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เข้าร่วมโครงการฯ อาทิ หัวข้อ “การบริหารจัดการเรือนเพาะชำกล้าไม้พันธุ์ดี” และ “การดูแลรักษาและหัวข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ” โดยกรมป่าไม้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หัวข้อ “การสร้างเครือข่ายต้นไม้ร่วมพัฒนา” และ “แนวทางการสร้างรายได้จากโครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา” โดยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หัวข้อ “การสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก คาร์บอนเครดิต” โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หัวข้อ “การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากโครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา” โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กล่าวในตอนท้ายว่า “โครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา” เป็นโครงการที่ให้สมาชิก กทบ. มีส่วนร่วมในการเพิ่มพื้นป่าประเทศไทยให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพราะเห็นว่า กทบ. มีสมาชิกทั่วประเทศกว่า 10 ล้านคนที่จะเป็นกำลังในการปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า รวมถึงยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่สมาชิกฯ และประชาชนในพื้นที่อีกด้วย
ด้าน นายนที ขลิบทอง ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) กล่าวเสริมว่า กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กทบ.) เป็นองค์กรภาคประชาชนที่ก่อตั้งมา 18 ปี มีการตั้งกองทุนฯ รวมกว่า 7 หมื่นกองทุนทั่วประเทศซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการปลูกต้นไม้ผ่าน “โครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา” ภายใต้แนวคิด “ต้นไม้ยั่งยืน กองทุนมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง” ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมซึ่งเป็นการสร้างสินทรัพย์แผ่นดินคือ “ต้นไม้” ทั้งยังจะสามารถเพิ่มมูลค่า สร้างรายได้ ขยายไปสู่การเป็นสินทรัพย์ และสามารถนำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างงานและรายได้ อาทิ อาชีพการเพาะกล้าไม้ ทำเรือนเพาะชำ ซึ่งเป็นการส่งเสริมอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้กับสมาชิกฯ และประชาชนในหมู่บ้านและชุมชน
สทบ. ได้ผนึกความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ในเบื้องต้น ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษาและสถาบันการเงิน ใน 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ การอบรมให้ความรู้ตามความเชี่ยวชาญและบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานภาคที่เกี่ยวข้อง การสนับสนุนการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการปลูกต้นไม้ของกองทุนหมู่บ้านฯ ผ่านโครงการตามแนวทางประชารัฐ และการรณรงค์เพื่อสร้างความร่วมมือและการสนับสนุนการดำเนินการจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐ เอกชน หรือภาคประชาชน
“สทบ. ขอประชาสัมพันธ์และเปิดรับข้อมูลความต้องการของสมาชิกกองทุนฯ ทั่วประเทศ โดยสามารถเข้ามาลงทะเบียนได้ที่ http://smartiotdevice.ddns.net:1234/Web/register.htm โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ผู้ต้องการปลูกต้นไม้ สามารถระบุความต้องการกล้าไม้ เพื่อทางกองทุนฯ จะได้จัดเตรียม และผู้ประสงค์ทำเพาะชำกล้าไม้ ที่จะสร้างเป็นศูนย์เพาะชำกล้าไม้ เพื่อบริการแก่สมาชิกต่อไป โดยในวันที่ 25 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเป็นวันขึ้นปีที่ 20 ของกองทุนหมู่บ้านฯ จะได้เชิญชวนให้สมาชิกฯ 7 หมื่นกว่ากองทุนทั่วประเทศ ได้ร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อสร้างสินทรัพย์และความอุดมสมบูรณ์ให้กับแผ่นดินร่วมกัน” นายนที กล่าวในที่สุด
จริงหรือ ? ปี 2020 อัตราเงินเดือนในไทยเพิ่มขึ้น 5.0%
alivesonline.com : คอร์น เฟอร์รี่ (รหัสในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก: KFY) เปิดเผยเอกสารพยากรณ์เงินเดือน โดยระบุว่าอัตราการขึ้นเงินเดือนของประเทศไทยในปี ค.ศ.2020 จะอยู่ที่ 5% ต่ำกว่าการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ยในทวีปเอเชียซึ่งอยู่ที่ 5.3% เพียงเล็กน้อย และเมื่อคำนวนอัตราเงินเฟ้อที่ 1.3% จะทำให้ประเทศไทยมีอัตราการขึ้นเงินเดือนตามที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 3.7%
เอกสารดังกล่าวระบุด้วยว่า ภาคธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีอัตราการขึ้นเงินเดือนสูงสุดของประเทศไทยอยู่ที่ 6.2% ส่วนภาคธุรกิจเคมีภัณฑ์มีอัตราการจ่ายโบนัสแบบแปรผันสูงสุดที่ 4 เดือน โดยคาดการณ์ว่าค่าเฉลี่ยการจ่ายโบนัสแบบแปรผันของทุกภาคธุรกิจจะอยู่ที่ 2.5 เดือน ขณะที่อัตราการเข้า-ออกงานของพนักงานรวมในประเทศไทยอยู่ที่ 10.8% ลดลงเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา (12.6%) โดยภาคธุรกิจค้าปลีกมีอัตราการเข้า-ออกงานของพนักงานสูงสุดที่ 36.3%
นายธันวา จุลชาติ ผู้จัดการฝ่ายดิจิทัล คอร์น เฟอร์รี่ ประเทศไทย กล่าวว่าด้วยการปฏิรูปธุรกิจด้วยแพล็ตฟอร์มระบบดิจิทัล องค์กรหลายแห่งในประเทศไทยต่างปรับตัวเข้าสู่เทคโนโลยีใหม่นี้อย่างรวดเร็วเพื่อดำรงความสามารถในการแข่งขัน การปฏิรูปธุรกิจด้วยแพลตฟอร์มระบบดิจิทัลยังเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานขององค์กรต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การแปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ประเภทธุรกิจ และโครงสร้างองค์กร การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังส่งผลกระทบต่อการบริหารทุนมนุษย์นับตั้งแต่ขั้นตอนการสรรหาบุคคลากร การบริหารประสิทธิภาพการทำงาน ไปจนถึงการพัฒนาและการรักษาพนักงานผู้มีความสามารถ โดย “ทุนมนุษย์” ถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ซึ่งสร้างหลักประกันทั้งความยั่งยืน ความสามารถในการแข่งขัน และการสร้างผลกำไร”
นอกจากการสรรหาบุคลากรผู้มีความสามารถรายใหม่ องค์กรต่าง ๆ ยังต้องพัฒนาผู้มีความสามารถที่มีอยู่เดิมผ่านการฝึกฝนทักษะซ้ำและยกระดับทักษะของผู้มีความสามารถเหล่านี้ให้มีความสามารถที่จำเป็นให้หลากหลาย โดยเฉพาะการปฏิบัติงานได้หลายหน้าที่ซึ่งความควาดหวังรูปแบบใหม่นี้ต้องการให้บุคคลหนึ่งสามารถบริหารงานอื่น ๆ ได้ดีเทียบเท่ากับงานที่เคยทำโดย 5 คนในอดีต ทำให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่มักใช้พนักงานจำนวนน้อยลงโดยที่ยังสามารถขับเคลื่อนการผลิตต่อไปได้
“เมื่อมีบุคลากรผู้มีความสามารถด้านระบบดิจิทัลรุ่นใหม่ซึ่งประกอบด้วยคนหลายรุ่นในกลุ่มงานเดียวกัน วิธีปฏิบัติหรือระบบงานทรัพยากรบุคคลเพียงรูปแบบเดียวจึงไม่เพียงพออีกต่อไป การแบ่งกลุ่มคนจะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเมื่อต้องบริหารการจ่ายผลตอบแทนและผลประโยชน์ ผู้มีความสามารถด้านระบบดิจิทัลจะต้องการงานที่ท้าทายมากกว่าในตลาดที่มีการแข่งขันสูงกว่า โดยมีความยืดหยุ่นในสภาพแวดล้อมการทำงานมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นเบเบี้บูมเมอร์ พวกเขายังเรียนรู้ได้ฉับไวมากกว่า และยังให้ความสำคัญกับการมีเงินเดือนที่สูงกว่า การเติบโตในสายอาชีพที่รวดเร็วกว่า และสถานะในชีวิตที่ดีขึ้นในอัตราที่รวดเร็วกว่า”
นายธันวา กล่าวด้วยว่า กลยุทธ์การจ่ายผลตอบแทนรวมไม่ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านการสร้างแรงจูงใจ (Hygiene Factor) อีกต่อไป หากเป็นการสร้างความเข้าใจถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดของผู้มีความสามารถผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อกำหนดแง่มุมการพิจารณาที่สำคัญอย่างแท้จริง กล่าวโดยสรุปคือ วันนี้องค์กรต่าง ๆ ต้องใช้แนวทางแบบองค์รวมในการกำหนดค่าตอบแทนและผลประโยชน์
สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซียถูกคาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นค่าแรงที่แท้จริงสูงสุดที่ 5.1% หลังคำนวนอัตราเงินเฟ้อที่ 3.0% ส่วนมาเลเซียถูกคาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นค่าแรงที่แท้จริงที่ 3.5% หลังคำนวนอัตราเงินเฟ้อที่ 1.5% แม้อัตราเงินเดือนในสิงคโปร์ถูกคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตเพียง 4.0% แต่ประเทศมีอัตราเงินเฟ้อต่ำเพียง 0.4% ทำให้มีการขึ้นค่าแรงที่แท้จริงในปี ค.ศ.2020 ที่ 3.6%
เมื่อพิจารณาทั่วโลก ในปี ค.ศ. 2020 คาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นอัตราเงินเดือนที่ 4.9% โดยมีการพยากรณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ที่ 2.8% จึงคาดว่าจะมีการขึ้นค่าแรงที่แท้จริงที่ 2.1% โดยในปี ค.ศ. 2019 การขึ้นค่าแรงที่แท้จริงทั่วโลกอยู่ที่เพียง 1.0% โดยมีอัตราการขึ้นเงินเดือนที่ 5.1% และอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่ 4.1%
เกี่ยวกับการศึกษาครั้งนี้
ข้อมูลในการศึกษานำมาจากฐานข้อมูลแบบเสียค่าใช้จ่ายของ “คอร์น เฟอร์รี่” ซึ่งมีข้อมูลจากผู้มีตำแหน่งงานมากกว่า 20 ล้านคนในองค์กร 25,000 แห่งในมากกว่า 130 ประเทศ
การศึกษาแสดงให้เห็นถึงการพยากรณ์อัตราการขึ้นเงินเดือน ซึ่งคาดการณ์โดยผู้ปฏิบัติงานด้านทรัพยากรบุคคลชั้นนำทั่วโลก และเปรียบเทียบข้อมูลกับการพยากรณ์ที่จัดทำในเวลาเดียวกันของปี ค.ศ. 2019 รวมถึงเปรียบเทียบกับการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี ค.ศ. 2020 จากหน่วยงานอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (Economist Intelligence Unit)
ข้อมูลตัวเลขและอินโฟกราฟิกแสดงตัวเลขพยากรณ์อัตราการขึ้นเงินเดือนของแต่ละประเทศ แสดงไว้ดังนี้
ภูมิภาค |
ประเทศ |
คาดการณ์อัตราการขึ้นเงินเดือน |
อัตราเงินเฟ้อ |
การขึ้นค่าแรงที่แท้จริง |
แอฟริกา | อัลจีเรีย | 6.4% | 3.4% | 3.0% |
แอฟริกา | อียิปต์ | 13.5% | 6.9% | 6.6% |
แอฟริกา | กานา | 11.0% | 8.1% | 2.9% |
แอฟริกา | มอริเชียส | 4.0% | 3.9% | 0.1% |
แอฟริกา | โมร็อกโก | 3.9% | 0.0% | 3.9% |
แอฟริกา | นามิเบีย | 5.5% | 4.4% | 1.1% |
แอฟริกา | ไนจีเรีย | 13.1% | 11.3% | 1.8% |
แอฟริกา | แอฟริกาใต้ | 6.8% | 5.1% | 1.7% |
แอฟริกา | แทนซาเนีย | 6.6% | 3.8% | 2.8% |
แอฟริกา | ตูนิเซีย | 8.6% | 6.1% | 2.5% |
แอฟริกา | แซมเบีย | 7.9% | 8.7% | -0.8% |
เอเชีย | จีน | 6.0% | 3.1% | 2.9% |
เอเชีย | ฮ่องกง | 4.0% | 2.6% | 1.4% |
เอเชีย | อินเดีย | 9.2% | 4.2% | 5.0% |
เอเชีย | อินโดนีเซีย | 8.1% | 3.0% | 5.1% |
เอเชีย | ญี่ปุ่น | 2.0% | 1.4% | 0.6% |
เอเชีย | เกาหลี | 4.1% | 1.2% | 2.9% |
เอเชีย | มาเลเซีย | 5.0% | 1.5% | 3.5% |
เอเชีย | ปาปัวนิวกินี | 4.0% | 3.8% | 0.2% |
เอเชีย | ฟิลิปปินส์ | 5.9% | 2.4% | 3.5% |
เอเชีย | สิงคโปร์ | 4.0% | 0.4% | 3.6% |
เอเชีย | ไต้หวัน | 3.9% | 0.2% | 3.7% |
เอเชีย | ไทย | 5.0% | 1.3% | 3.7% |
เอเชีย | เวียดนาม | 7.7% | 3.1% | 4.6% |
ยุโรปตะวันออก | แอลเบเนีย | 2.6% | 1.9% | 0.7% |
ยุโรปตะวันออก | เบลารุส | 7.6% | 5.4% | 2.2% |
ยุโรปตะวันออก | บัลแกเรีย | 4.3% | 2.6% | 1.7% |
ยุโรปตะวันออก | สาธารณรัฐเช็ก | 4.1% | 2.1% | 2.0% |
ยุโรปตะวันออก | เอสโตเนีย | 5.0% | 2.2% | 2.8% |
ยุโรปตะวันออก | ฮังการี | 5.1% | 2.9% | 2.2% |
ยุโรปตะวันออก | คาซัคสถาน | 7.0% | 5.1% | 1.9% |
ยุโรปตะวันออก | ลัตเวีย | 4.6% | 2.8% | 1.8% |
ยุโรปตะวันออก | ลิทัวเนีย | 5.0% | 2.2% | 2.8% |
ยุโรปตะวันออก | โปแลนด์ | 4.4% | 2.2% | 2.2% |
ยุโรปตะวันออก | โรมาเนีย | 5.3% | 3.1% | 2.2% |
ยุโรปตะวันออก | สหพันธรัฐรัสเซีย | 5.1% | 4.2% | 0.9% |
ยุโรปตะวันออก | เซอร์เบีย | 2.7% | 2.0% | 0.7% |
ยุโรปตะวันออก | สโลวาเกีย | 4.0% | 2.1% | 1.9% |
ยุโรปตะวันออก | ตุรกี | 18.0% | 10.1% | 7.9% |
ยุโรปตะวันออก | ยูเครน | 15.0% | 7.7% | 7.3% |
ละติน อเมริกา | อาร์เจนตินา | 37.5% | 44.3% | -6.8% |
ละติน อเมริกา | โบลิเวีย | 5.9% | 3.2% | 2.7% |
ละติน อเมริกา | บราซิล | 5.3% | 3.7% | 1.6% |
ละติน อเมริกา | ชิลี | 4.7% | 2.7% | 2.0% |
ละติน อเมริกา | โคลัมเบีย | 4.5% | 3.2% | 1.3% |
ละติน อเมริกา | คอสตาริกา | 3.7% | 2.7% | 1.0% |
ละติน อเมริกา | สาธารณรัฐโดมินิกัน | 5.0% | 2.0% | 3.0% |
ละติน อเมริกา | เอกวาดอร์ | 4.0% | 1.5% | 2.5% |
ละติน อเมริกา | เอลซัลวาดอร์ | 2.6% | 0.2% | 2.4% |
ละติน อเมริกา | กัวเตมาลา | 5.0% | 3.2% | 1.8% |
ละติน อเมริกา | ฮอนดูรัส | 6.0% | 3.9% | 2.1% |
ละติน อเมริกา | เม็กซิโก | 5.0% | 3.3% | 1.7% |
ละติน อเมริกา | นิการากัว | 5.0% | 4.4% | 0.6% |
ละติน อเมริกา | ปานามา | 4.0% | 0.7% | 3.3% |
ละติน อเมริกา | ปารากวัย | 7.4% | 3.0% | 4.4% |
ละติน อเมริกา | เปรู | 4.5% | 2.0% | 2.5% |
ละติน อเมริกา | อุรุกวัย | 5.8% | 6.9% | -1.1% |
ตะวันออกกลาง | บาห์เรน | 3.9% | 1.2% | 2.7% |
ตะวันออกกลาง | จอร์เดน | 5.0% | 2.0% | 3.0% |
ตะวันออกกลาง | คูเวต | 3.4% | 1.7% | 1.7% |
ตะวันออกกลาง | เลบานอน | 3.0% | 3.5% | -0.5% |
ตะวันออกกลาง | โอมาน | 3.0% | 1.9% | 1.1% |
ตะวันออกกลาง | กาตาร์ | 3.0% | 2.5% | 0.5% |
ตะวันออกกลาง | ซาอุดีอาระเบีย | 4.0% | 2.0% | 2.0% |
ตะวันออกกลาง | สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | 3.5% | 1.0% | 2.5% |
อเมริกาเหนือ | แคนาดา | 2.6% | 1.9% | 0.7% |
อเมริกาเหนือ | สหรัฐอเมริกา | 3.0% | 1.6% | 1.4% |
แปซิฟิก | ออสเตรเลีย | 2.5% | 1.5% | 1.0% |
แปซิฟิก | นิวซีแลนด์ | 2.5% | 1.9% | 0.6% |
ยุโรปตะวันตก | ออสเตรีย | 3.0% | 1.7% | 1.3% |
ยุโรปตะวันตก | เบลเยียม | 3.0% | 1.7% | 1.3% |
ยุโรปตะวันตก | ไซปรัส | 2.5% | 0.7% | 1.8% |
ยุโรปตะวันตก | เดนมาร์ก | 2.4% | 1.0% | 1.4% |
ยุโรปตะวันตก | ฟินแลนด์ | 2.0% | 1.2% | 0.8% |
ยุโรปตะวันตก | ฝรั่งเศส | 2.0% | 1.4% | 0.6% |
ยุโรปตะวันตก | เยอรมนี | 2.9% | 1.5% | 1.4% |
ยุโรปตะวันตก | กรีซ | 2.0% | 1.1% | 0.9% |
ยุโรปตะวันตก | ไอร์แลนด์ | 2.5% | 0.5% | 2.0% |
ยุโรปตะวันตก | อิตาลี | 2.3% | 0.5% | 1.8% |
ยุโรปตะวันตก | ลักเซมเบิร์ก | 3.6% | 1.9% | 1.7% |
ยุโรปตะวันตก | เนเธอร์แลนด์ | 3.4% | 1.8% | 1.6% |
ยุโรปตะวันตก | นอร์เวย์ | 3.0% | 2.2% | 0.8% |
ยุโรปตะวันตก | โปรตุเกส | 2.0% | 0.5% | 1.5% |
ยุโรปตะวันตก | สเปน | 2.4% | 1.3% | 1.1% |
ยุโรปตะวันตก | สวีเดน | 2.0% | 1.6% | 0.4% |
ยุโรปตะวันตก | สวิตเซอร์แลนด์ | 1.5% | 0.8% | 0.7% |
ยุโรปตะวันตก | สหราชอาณาจักร | 2.5% | 2.1% | 0.4% |
“แกร็บแอสซิสท์” เข้าใจ เข้าถึง…เพื่อบริการที่ดีกว่าสำหรับผู้พิการ
alivesonline.com : การเข้าถึงโอกาสในการเดินทางอย่างเท่าเทียมและสะดวกสบายถือเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ผู้พิการในประเทศไทยยังต้องเผชิญ โดยเฉพาะระบบขนส่งโดยสารสาธารณะ
จากรายงาน ข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย โดย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้พิการมากถึง 1.99 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 3 ของประชากรทั้งประเทศ โดยกว่าร้อยละ 49 หรือประมาณ 9.85 แสนคน เป็นผู้พิการทางการเคลื่อนไหว หรือทางร่างกายซึ่งมีความยากลำบากในการเดินทางสัญจร อย่างไรก็ดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงประเด็นปัญหาดังกล่าว โดยได้กำหนดให้ “การสร้างสภาพแวดล้อม การเดินทาง บริการสาธารณะ และพัฒนาเทคโนโลยีที่คนพิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้” เป็นหนึ่งใน 5 พันธกิจหลักตามแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติฉบับที่ 5 (พ.ศ.2560–2564) ซึ่งหนึ่งในบริการการเดินทางสาธารณะที่มีความสอดคล้องและสามารถตอบสนองพันธกิจดังกล่าวได้คือ “บริการเรียกรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน” ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว ทั้งยังมีความปลอดภัย และส่งเสริมให้ผู้พิการสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและพึ่งพาตัวเองได้
เนื่องในโอกาส “วันคนพิการสากล” ซึ่งตรงกับวันที่ 3 ธันวาคมของทุกปี “แกร็บ ประเทศไทย” จึงร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ “บริการแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันเพื่อคนทุกกลุ่มในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล” ให้กับพาร์ทเนอร์คนขับ “แกร็บแท็กซี่” เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้พิการ พร้อมแนะนำเทคนิคและวิธีการในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้พิการประเภทต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ สามารถให้บริการการเดินทางที่สะดวกสบายและตอบสนองความต้องการของผู้พิการ รวมถึงผู้สูงอายุได้อย่างเข้าถึงมากที่สุด
การจัดการอบรมดังกล่าวให้กับพาร์ทเนอร์คนขับ “แกร็บแท็กซี่” ถือเป็นส่วนหนึ่งของบริการ “แกร็บแอสซิสท์” (GrabAssist) ซึ่งได้เปิดตัวมาแล้วเป็นระยะเวลา 1 ปี (นับตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2561) โดย “แกร็บแอสซิสท์” เป็นการให้บริการการเดินทางสำหรับผู้พิการ รวมถึงผู้สูงอายุผ่านรถแท็กซี่ โดยพาร์ทเนอร์คนขับต้องได้รับการอบรมเป็นพิเศษตลอดหนึ่งวันเต็มเพื่อเรียนรู้วิธีการให้ความช่วยเหลือที่ถูกวิธีกับผู้โดยสารซึ่งเป็นผู้พิการ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องใช้รถเข็น ผู้มีความบกพร่องทางสายตาและทางการได้ยิน รวมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ โดยมีการให้บริการในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงเขตปริมณฑล โดยบริการดังกล่าวริเริ่มขึ้นจากเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจของ “แกร็บ” ที่ต้องการส่งเสริมให้ทุกคนได้รับบริการการเดินทางที่สะดวกและปลอดภัยอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
สำหรับการอบรมครั้งนี้เริ่มต้นด้วย กิจกรรม “คิดแวบ” ที่เปิดโอกาสให้พาร์ทเนอร์คนขับแกร็บแท็กซี่ได้แลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็นกับตัวแทนคนพิการ โดยได้รับเกียรติจาก ‘เสาวลักษณ์ ทองก๊วย’ หัวหน้าสํานักงานองค์การคนพิการสากลประจําภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ร่วมเป็นวิทยากรบรรยาย โดยเธอกล่าวว่า
“เราได้นำกิจกรรมคิดแวบมาใช้ประเมินความคิดในเบื้องต้นและวิเคราะห์จิตใต้สำนึกเชิงลบของคนขับที่มีต่อคนพิการซึ่งพบว่าคนขับส่วนใหญ่จะรู้สึกสงสาร หรือบางรายอาจตีตราคนพิการ แต่ในทางกลับกันกลุ่มคนพิการอยากให้เข้าใจว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ป่วย หรือบุคคลอ่อนแอ กิจกรรมนี้นอกจากจะทำให้คนขับรู้จักตัวเองมากขึ้นแล้ว ยังทำให้พวกเขาเข้าใจความคิดและมุมมองของคนพิการมากขึ้นด้วย ในฐานะตัวแทนของสํานักงานองค์การคนพิการสากลประจําภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมความเข้าใจและพัฒนาศักยภาพให้กับพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บแท็กซี่ และดีใจที่ได้เห็นว่าภาคเอกชนอย่างแกร็บให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพการบริการขนส่งเพื่อกลุ่มคนพิการและผู้สูงอายุให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีจำนวนพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บที่คอยให้บริการผู้พิการเพิ่มมากขึ้นในอนาคต”
นอกจากการปรับทัศนคติแล้ว พาร์ทเนอร์คนขับแกร็บแท็กซี่ยังได้เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ในการช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการทั้ง 7 ประเภท อันได้แก่ ผู้พิการทางกายหรือทางการเคลื่อนไหว ผู้พิการ หรือมีความบกพร่องทางการได้ยิน (หูหนวก) ผู้พิการ หรือมีความบกพร่องทางการมองเห็น (ตาบอด) ผู้พิการทางการเรียนรู้ (เรียนรู้ช้า) ผู้พิการทางออทิสติก (มักมีอาการอยู่ไม่นิ่ง) กลุ่มดาวน์ซินโดรม และกลุ่มจิตสังคม (เป็นความพิการที่มองไม่เห็น เช่น อาการซึมเศร้าหรือไบโพล่า ซึ่งมีความเครียดจากหลายปัจจัย) โดยต้องเรียนรู้วิธีการพูดคุยสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจและสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างถูกวิธี การใช้ภาษามือเบื้องต้นเพื่อสื่อสารกับผู้พิการทางการได้ยิน การต้อนรับผู้โดยสารที่พิการทางสายตา ทักษะในการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การจัดการกับเก้าอี้รถเข็น การพับเก็บรถเข็นและอุปกรณ์เคลื่อนที่อื่น ๆ รวมทั้งการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายคนพิการจากรถเข็น เป็นต้น
‘กฤศชญาญ์วี บัวแดง’ พาร์ทเนอร์คนขับแกร็บแท็กซี่ ในฐานะหญิงสาวหนึ่งเดียวที่เข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้กล่าวว่า
“ขับแกร็บแท็กซี่มาเกือบ 5 ปีแล้วค่ะ ตั้งแต่ปี 2558 แต่เพิ่งมีโอกาสได้มาอบรมเพื่อให้บริการ แกร็บแอสซิสท์ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาเราเคยได้เจอผู้โดยสารทั้งที่เป็นคนพิการแบบใช้รถเข็นและคนตาบอด แต่เราไม่รู้วิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง เวลาจะเข้าไปช่วยก็กลัวทำผิดพลาด พอเห็นแกร็บเปิดอบรมจึงตัดสินใจมาลองเรียนรู้ ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจถึงความต้องการของคนพิการมากขึ้น ทั้งยังได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น การพูดคุยสอบถามกับผู้โดยสารก่อนว่าต้องการให้ช่วยอะไรตรงไหนบ้าง การสื่อสารด้วยภาษามือกับคนหูหนวก การสื่อสารด้วยภาษากายกับคนตาบอด วิธีการใช้และพับเก็บรถเข็น รวมไปถึงการประคองและอุ้มผู้โดยสารที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากความกังวลเป็นความมั่นใจ ทำให้เรากล้าให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารมากขึ้น”
อีกหนึ่งพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บแท็กซี่ซึ่งมีคนใกล้ตัวเป็นคนป่วยแบบต้องใช้รถเข็นอย่าง ‘ปรัชญา ภูกาบเพชร’ ก็ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมอบรมในหลักสูตรของ “แกร็บแอสซิสท์” โดยได้เผยความในใจว่า
“แม้ว่าผมจะมีความใกล้ชิดกับคนพิการเนื่องจากญาติสนิทของผมป่วยเป็นโรคโปลิโอ แต่ต้องยอมรับว่าผมเองยังมีความเข้าใจในกลุ่มคนพิการไม่ดีพอ โดยส่วนตัวผมเคยเจอผู้โดยสารซึ่งเป็นคนพิการแล้วเราให้การช่วยเหลือผิดวิธี ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ ส่งผลให้เราไม่กล้าจะช่วยเหลืออีก เพราะไม่รู้วิธี หรือขั้นตอนที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมสนใจและลองมาอบรมกับแกร็บ เพื่อที่เราจะได้ช่วยผู้โดยสารระหว่างการเดินทางได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ถือเป็นกิจกรรมที่ดีมากครับ ผมรู้สึกดีทุกครั้งและภูมิใจในตัวเองที่งานของเรามีส่วนช่วยเหลือคนอื่นในชีวิตประจำวัน แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ถือเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาชีพขับแท็กซี่ครับ”
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา บริการ “แกร็บแอสซิสท์” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีพาร์ทเนอร์คนขับ “แกร็บแท็กซี่” เข้าร่วมการอบรมแล้วกว่า 400 คน เพื่อร่วมให้บริการผู้โดยสารซึ่งเป็นผู้พิการและผู้สูงอายุนับหลายพันคน โดย “แกร็บ” จะยังคงสานต่อความมุ่งมั่นในการให้บริการการเดินทางที่ทั่วถึงและเท่าเทียมแก่คนไทยทุกคน รวมถึงการสนับสนุนให้คนหูหนวกและผู้ที่มีอุปสรรคทางการได้ยินมีโอกาสในการสร้างรายได้บนแอปพลิเคชันของ “แกร็บ” ด้วยการเป็นพาร์ทเนอร์ผู้ขับขี่ภายใต้โครงการ “Break The Silence – เพราะมันอยู่ที่ใจไม่ใช่เสียง” ซึ่งเป็นไปตามพันธกิจเพื่อสังคมในระดับภูมิภาค “Grab For Good” (แกร็บเพื่อชีวิตที่ดีกว่า) ที่ต้องการขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปข้างหน้า พร้อมส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนสังคม โดยอาศัยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อให้ทุกคนก้าวทันเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล.
สจล.โชว์ผลงานวัตกรรมสื่อการเรียนสุดเจ๋ง
alivesonline.com : โคเวสโตร (ประเทศไทย) และ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) มอบรางวัลชนะเลิศให้แก่นักศึกษาทีม “วากาวากาเอเอ” จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้ชนะเลิศจากโครงการ Covestro Innovation Design Contest 2019 (IDC 2019) การประกวดออกแบบสิ่งประดิษฐ์เชิงนวัตกรรมเพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาในหัวข้อ “Fun Lesson” ตามแนวคิด STEAM ยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วยนวัตกรรม พร้อมต่อยอดการสร้างนักออกแบบนวัตกรรมรุ่นใหม่ สนับสนุนการพัฒนาภาคการศึกษาของประเทศไทยสู่ความยั่งยืน
ดร.เยอร์เกน มายน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การจัดโครงการ “Covestro Innovation Design Contest 2019” (IDC 2019) มีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษาของประเทศไทยด้วยนวัตกรรม พร้อมเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบสื่อการเรียนการสอนเชิงนวัตกรรม สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals) ที่จะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ตลอดจนนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับคนไทยในระยะยาว
ตลอดระยะเวลาที่เปิดรับสมัคร โครงการ “Covestro Innovation Design Contest 2019” ได้รับความสนใจและการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและอาชีวศึกษาที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี และ ปวส. จากทั่วประเทศที่ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดมากกว่า 200 ไอเดียซึ่งถือว่าได้รับความสำเร็จและการตอบรับที่ดียิ่งเกินกว่าที่ตั้งไว้
“ผลงานของผู้เข้าแข่งขันทุกทีมที่ส่งเข้าร่วมกับโครงการนี้ แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวด้านนวัตกรรมอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญผลงานและแนวคิดของแต่ละทีมยังสร้างความตื่นเต้นให้คณะกรรมการตัดสินอย่างมาก เพราะความคิดสร้างสรรค์ของทุกทีมไร้ขีดจำกัดและโดดเด่นเกินกว่าที่คณะกรรมการได้ตั้งเป้าหมายไว้ ทำให้เห็นศักยภาพและความพร้อมของนวัตกรรุ่นใหม่ของประเทศไทยในอนาคตอย่างชัดเจน”
สำหรับผลการตัดสินปรากฏว่า ทีม “วากาวากาเอเอ” จาก สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) คว้ารางวัลชนะเลิศกับผลงาน “คารูอิ ทรัค” (Karui Truck) ที่ผสมผสานการคิดเชิงคณิตศาสตร์กับการเล่นเกมก่อสร้างด้วยตัวต่อ ซึ่งนอกจากได้ฝึกทักษะด้านการคำนวณแล้ว ยังช่วยพัฒนาเรื่องการวางแผน นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มฟังก์ชันอักษรเบรลล์และฟังก์ชันเสียง เพื่อให้เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นสามารถใช้งานได้เช่นเดียวกับเด็กปกติทั่วไปอีกด้วย โดยน้อง ๆ จะได้รับถ้วยรางวัลและทุนการศึกษาจำนวน 80,000 บาท พร้อมด้วยโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่ ศูนย์นวัตกรรมโคเวสโตร เอเชียแปซิฟิก ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม “สมชาย” จากสถาบันเทคโนโลยีสุรนารี กับผลงานชื่อ “สมรัก” ซึ่งมีแนวคิดมาจากปัญหาภาวะโลกร้อนในปัจจุบันที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เกิดผลกระทบตามมามากมาย สื่อนี้จะปลูกฝังการรู้จักใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ผ่านสื่อการเรียนรู้แนวใหม่ที่มีแนวคิดจากเกมเศรษฐีและเกมบันไดงู พร้อมระบบภารกิจเพื่อสร้างความภาคภูมิใจในการกู้โลกด้วยการเติมเต็มลูกโลกจำลองด้านบนให้สมบูรณ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับวิชาอื่น ๆ ได้อย่างอิสระ โดยน้อง ๆ จะได้รับถ้วยรางวัลและทุนการศึกษา จำนวน 50,000 บาท
ขณะที่ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 และรางวัล Popular Vote ได้แก่ ทีม “Chem-PCR” จากวิทยาลัยเทคนิคระยอง กับผลงาน “Menon Sci” ชุดโมเดลจำลองการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งฝนตก น้ำระเหย การควบแน่น รุ้งกินน้ำ การหักเหของแสง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งช่วยให้น้อง ๆ ในระดับประถมศึกษาเห็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง และทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น โดยน้อง ๆ จะได้รับถ้วยรางวัล และทุนการศึกษาจำนวน 30,000 บาท โดยรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 และสำหรับรางวัล Popular Vote จะได้รับถ้วยรางวัลและทุนการศึกษา 20,000 บาท
ดร.เยอร์เกน กล่าวในตอนท้ายว่า
“ผมขอแสดงความยินดีกับผู้เข้าแข่งขันทุกทีมที่ได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จจากโครงการประกวดในครั้งนี้และขอชื่นชมที่แสดงให้พวกเราทุกคนได้เห็นถึงพลังความคิดสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรมที่แสดงออกอย่างเต็มที่ โดยหวังว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษารุ่นต่อ ๆ ไปมีความคิดสร้างสรรค์และยกระดับการศึกษาด้วยนวัตกรรมนำไปสู่การพัฒนาสังคมไทยให้มีความยั่งยืนต่อไป”
แคมเปญเด็ดฉลองเปิดห้าง “CENTRAL@centralwOrld”
จัดหนัก! ฉลองปรับโฉมใหม่ ZEN@centralwOrld เปลี่ยนเป็น “CENTRAL@centralwOrld”
ห้างเซ็นทรัล สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ จัดโปรโมชั่นครั้งยิ่งใหญ่! ตั้งแต่ชั้น 1 – ชั้น 7 ระหว่างวันที่ 11-22 ธ.ค.62 ให้คนกรุงเทพฯ ได้รับของขวัญสุดพิเศษ ชอปสุดคุ้มกับโปรเด็ดในสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 3,000 แบรนด์ แทนคำขอบคุณรับเทศกาลความสุขปลายปี พบกับสินค้าคอลเลคชันใหม่ลดสูงสุด 30%, แผนกบิวตี้ แกลอรี ลดสูงสุด 15%, ลด/รับเพิ่มสูงสุด 30% จากเดอะวันและบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการ พร้อมรับฟรีคูปองแทนเงินสด และบัตรของขวัญเซ็นทรัล จากบัตรเครดิตซิตี้ รวมสูงสุด 5,000 บาท (เมื่อชอปตามเงื่อนไข) และสำหรับลูกค้าบัตรมาสเตอร์การ์ด รับบัตรของขวัญเซ็นทรัลมูลค่า 1,200 บาท พิเศษ! เฉพาะบัตรเครดิตเซ็นทรัลเดอะวัน รับเพิ่มบัตรของขวัญเซ็นทรัลมูลค่า 300 บาท
อย่าพลาด! โปรโมชัน “CENTRAL@centralwOrld” Grand Opening ระหว่างวันที่ 11-22 ธ.ค.62 ที่ห้างเซ็นทรัลทุกสาขา บอกเลยว่า ช้อปฟินเฟร่อ!!
GET เสิร์ฟความสุขข้ามปี 3 เท่ากับแคมเปญ GET’s GIFTING!
GET (เก็ท) แอปพลิเคชันไลฟสไตล์ออนดีมานด์ที่ให้บริการเรียกมอเตอร์ไซค์วิน สั่งอาหาร ส่งของ และอี-วอลเลต ร่วมฉลองเทศกาลสิ้นปีกับแคมเปญใหม่ “GET’s GIFTING!” แจกจ่ายความสุข 3 เท่า ทั้งมอบส่วนลดอาหารปาร์ตี้เซ็ตสูงสุดถึง 50% คูปองส่วนลดทั้งค่าอาหารและค่าส่ง รวมทั้งให้ลูกค้าลุ้นรับรางวัลมากมาย ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2562 – 12 มกราคม 2563
ตลอดทั้งแคมเปญพบกับดีลอาหารที่ขนกันมาลดราคาสูงสุดถึง 50% ตลอดทุกวัน จากร้านค้าชั้นนำมากมายอาทิ Burger King, ZEN, Dairy Queen, Sizzler, เพลินวานพาณิชย์, แสนยอด, เรือนเพชรสุกี้ และอีกมากมาย ให้ได้สั่งกันไปอิ่มอร่อยเป็นเซ็ตสุดคุ้ม นอกจากนั้น ทุกออเดอร์การสั่งซื้อจากร้านที่ร่วมรายการ (เมื่อสั่งขั้นต่ำ 180 บาทขึ้นไป) รับทันที 1 สิทธิ์ ในการลุ้นรับรางวัลพิเศษมากมายกว่า 100 รางวัล ยิ่งสั่งมากยิ่งมีสิทธิ์ได้มาก!
- รางวัลที่ 1 โทรศัพท์มือถือ iPhone 11 (64GB, Black) จำนวน 1 รางวัล
- รางวัลที่ 2 แพคเกจที่พัก 3 วัน 2 คืน ในห้อง Fountain Pool โรงแรม Marrakesh Hua Hin Resort & Spa จำนวน 1 รางวัล
- รางวัลที่ 3 บัตรสตาร์บัคส์มูลค่า 200 บาท จำนวน 100 รางวัล
ต้อนรับช่วงเวลาพิเศษแห่งปี 12 วันก่อนคริสต์มาสกับโปรโมชันที่พิเศษยิ่งกว่า 12 Days Before Christmas ตั้งแต่วันที่ 13 – 24 ธันวาคม 2562
- GET แจกโค้ดส่วนลดพิเศษทุกวัน กว่า 100,000 คูปอง ให้ “สายกิน” เข้ามากดรับส่วนลดกันได้ตลอด 12 วัน อย่าช้าเพราะมีจำนวนจำกัด มาก่อนได้ก่อน!
- นอกจากนั้นยังชวนแบรนด์ที่ทุกคนชื่นชอบอย่าง The Alley, Domino’s Pizza, เขียง, Texas Chicken, Baskin-Robbins, Kamu, Acai Story, Viet Cuisine, KOI The, กุ้งถัง, ใจสั่งยำ, Miss Mamon, และ Taroto มามอบส่วนลดตลอด 12 วัน 12 แบรนด์ วันละแบรนด์ ทั้งแจกคูปองและมีดีลอาหารสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นซื้อ 1 แถม 1 ลด 50% ทั้งร้าน ใครเป็นแฟนแบรนด์ไหนจ้องเก็บคูปองกันไว้ให้ดี
ไม่อยากพลาดโปรโมชันดี ๆ และส่วนลดมากมาย ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน GET ทาง App Store หรือ Play Store และลงทะเบียนเพื่อใช้งานได้แล้ววันนี้