ภาคการผลิตต้องรับมือยุค AI อย่างไร ?

 

alivesonline.com : หากกล่าวถึงอุตสาหกรรมการผลิตในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและการรับมือกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวแล้ว ปัจจัยสำคัญในการรับมือการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือ “แรงงาน” ที่ในวันนี้ได้รับอิทธิพลจากเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมการผลิตมากยิ่งขึ้น

“แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” จึงได้จัดทำการสำรวจและวิจัยในภาคอุตสาหกรรมการผลิตพบว่า การปรับปรุงพัฒนาแรงงานของตนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมการผลิตกำลังอยู่ในช่วงการปฏิวัติทักษะโดยได้รับแรงผลักดันเบื้องต้นจากระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ รวมทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าตำแหน่งงานในภาคการผลิตแบบในอดีตได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปแบบใหม่ที่จะทำให้สายงานผลิตสามารถทำงานได้รวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งความเปลี่ยนแปลงนี้ยังเป็นแรงผลักดันที่ดีสำหรับความประพฤติในเชิงบวก และยังก่อให้เกิดความท้าทายกับผู้ผลิตเกินกว่าจะละเลยได้ ขณะที่ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ มีความกดดันเกี่ยวกับการนำระบบดิจิทัลมาใช้น้อยกว่าและการเปลี่ยนแปลงด้านแรงงานอาจเป็นไปอย่างช้า ๆ แตกต่างจากอุตสาหกรรมการผลิต

สำหรับกลุ่มผู้ผลิตที่นำระบบอัตโนมัติมาใช้มากที่สุดถือเป็นผู้สร้างงานมากที่สุด จากผลสำรวจระบุว่าผู้ผลิตร้อยละ 87 วางแผนที่จะเพิ่ม หรือคงไว้ซึ่งจำนวนพนักงานอันเนื่องมาจากการใช้ระบบอัตโนมัติเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่องกัน ระหว่างการสร้างงานและการขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถเพิ่มสูงขึ้นมากที่สุดในรอบ 12 ปี ดังนั้นการเพิ่มพูนทักษะให้แรงงานปัจจุบันอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีและเมื่อองค์กรไม่สามารถหาบุคลากรผู้มีความสามารถจากภายนอกได้ การค้นหาโดยการสร้าง การซื้อ การยืม และการต่อยอดบุคลากรผู้มีความสามารถเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” ที่ได้วางไว้เช่นกัน

สำหรับกลยุทธ์ในการร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมการผลิต (ผู้ผลิต) กับภาคการศึกษา เพื่อร่วมพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับทิศทางและแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมนั้น “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมภาคการผลิตและเป็นเหตุผลที่ทำให้บริษัทร่วมเป็นพันธมิตรกับ “เอ็มเอ็กซ์ดี” เพื่อวางแผนตำแหน่งงานในอนาคตที่จะเป็นปัจจัยส่งเสริมความเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ ทั้งยังได้ร่วมมือพัฒนาเกี่ยวกับทักษะและตำแหน่งงานจะที่ช่วยสนับสนุนองค์กรภาคการผลิตที่เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลวิจัยดังกล่าวระบุว่า หุ่นยนต์ หรือระบบอัตโนมัติ เป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้ผลิตสามารถระบุความต้องการในการพัฒนาทักษะของตนได้และยังกำลังช่วยสร้างงานให้มนุษย์ โดยปัจจุบันงานที่เราร่วมดำเนินการกับ “เอ็มเอ็กซ์ดี” ทำให้ทราบว่าจะสามารถคาดการณ์ด้วยระดับความแม่นยำที่เพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อการจ้างงาน ประเภทงานที่ยังคงอยู่ และประเภทงานที่จะสูญหายไป หรือเปลี่ยนแปลงไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้า อันเนื่องมาจากผลกระทบของระบบดิจิทัล  นอกจากนี้ ยังทำให้ทราบว่าเกือบครึ่งของตำแหน่งงานทั้งหมดในภาคการผลิตคิดเป็นร้อยละ 49 ต้องมีการเปลี่ยนแปลงภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เนื่องจากอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ กว่า 1 ใน 4 ของตำแหน่งงานในพื้นที่การผลิตในโรงงานจะสูญหายไป

ขณะเดียวกัน ยังได้ระบุตำแหน่งงานใหม่ขึ้นอีก 165 ตำแหน่งซึ่งตำแหน่งงานส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญการทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ โดยงานวิจัยยังพบด้วยว่าการใช้เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการทำให้เกิดพลังที่เข้มแข็งในองค์กร แต่ยังต้องพัฒนา “ผู้บริหารดิจิทัล” ซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และพร้อมทำงานในระบบดิจิทัล รวมถึงมีความทุ่มเทในการสร้างวัฒนธรรมและสมรรถนะที่จำเป็นภายในองค์กร เพื่อสร้างโอกาสและขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพและสำเร็จลุล่วง

ผลวิจัยยังระบุอีกว่าร้อยละ 16 ของบริษัทคาดการณ์ว่าจะเพิ่มจำนวนพนักงานในสายงานไอที ซึ่งจะเป็นการขยายช่องว่างที่มีอยู่ระหว่างอุปสงค์และอุปทานแรงงาน ในขณะที่ร้อยละ 38 ขององค์กรกล่าวว่าการฝึกอบรมทักษะด้านเทคนิคที่เป็นที่ต้องการและเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก 

นอกจากนี้ การฝึกอบรมทักษะด้านการสื่อสารและประสานงานเป็นเรื่องที่ยากกว่า ขณะที่ความต้องการทักษะด้านนี้เพิ่มสูงขึ้นในทุกอุตสาหกรรม โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 ในประเทศสหรัฐอเมริกา และร้อยละ 22 ในทวีปยุโรป พร้อมกันนี้ยังมีการระบุอีกว่าภายใน 5 ปี คนในกลุ่มมิลเลนเนียลและรุ่นแซดจะมีจำนวนมากกว่า 2 ใน 3 ของแรงงานทั่วโลก โดยแรงงานส่วนใหญ่ร้อยละ 87 ต้องการงานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น งานสัญญาจ้าง งานพาร์ทไทม์ และงานชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม องค์กรธุรกิจทุกขนาดอาจจะเผชิญกับปัจจัยและปัญหาต่างกันออกไป องค์กร หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความต้องการทักษะที่สำคัญและเร่งพัฒนาอย่างรวดเร็วอาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการแย่งชิงบุคลาการที่มีความสามารถสูง และเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะดังกล่าวจึงต้องยอมลงทุนทั้งด้านเวลา ทรัพยากร และวางกลยุทธ์ในการฝึกอบรมเพิ่มมากขึ้น ส่วนองค์กร หรือบริษัทที่มีขนาดเล็กลงมาอาจจะมีงบประมาณในการลงทุนน้อยกว่าและยังมองว่าการฝึกอบรมข้างต้นใช้เวลานานเกินไป รวมทั้งต้องวางแผนอย่างรัดกุมและพยายามหาทางให้บริษัทยังคงเป็นผู้นำในตลาดให้ได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในบริบทเช่นนี้การวางแผนกำลังคนจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับองค์กรทุกประเภท

ในอนาคตจะมีลักษณะของการพัฒนาตำแหน่งและบทบาทหน้าที่ของการทำงานอย่างรวดเร็ว จากการระบุตำแหน่งงานจำนวน 165 ตำแหน่งในสายงานผลิต “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” ได้ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคการผลิตให้เตรียมพร้อมรองรับความจำเป็นในการเติบโตในอนาคต การใช้ระเบียบวิธีการเดียวกันในการแบ่งย่อยตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบงานที่คาดการณ์ไว้ซึ่งจะทำให้องค์กร หรือบริษัทต่าง ๆ สามารถวางแผนความต้องการในอนาคตเมื่อเทียบกับกำลังคน (แรงงาน) ตลอดจนการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ปัจจุบันโดยการเพิ่มพูนทักษะ การว่าจ้างด้วยตนเอง และการว่าจ้างจากบริษัทภายนอก ไม่มีอุตสาหกรรมใดที่รอดพ้นจากการปฏิวัติเทคโนโลยีดิจิทัลแต่ทุกอุตสาหกรรมจะต้องเตรียมพร้อมเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงได้มีประสิทธิภาพ

จากผลวิจัยดังกล่าวจึงทำให้สรุปภาพรวมตลาดแรงงานของอุตสาหกรรมการผลิตได้ว่า ถึงแม้จะมีปัจจัยบอกและปัจจัยลบตามผลวิจัยข้างต้น แต่ก็ถือเป็นส่วนสำคัญให้องค์กรทั้งขนาดเล็กจนถึงใหญ่ต้องวางยุทธศาสตร์และการพัฒนาทักษะแรงงานให้ทันและพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการผลิต รวมทั้งตำแหน่งงานใหม่ในภาคการผลิตที่จะเกิดขึ้นอีก 165 ตำแหน่งที่ชี้ให้เห็นว่าจะต้องเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญการทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจและยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถรองรับการแข่งขันในอุตสาหกรรมต่อไป

“โฮมโปร แฟร์ เชียงใหม่” ยกทัพสินค้าเรื่องบ้านลดสูงสุด 70%

นับถอยหลังสู่มหกรรมความสุขครั้งยิ่งใหญ่ ส่งท้ายปี “โฮมโปร แฟร์ เชียงใหม่” งานแฟร์เรื่องบ้านที่ทุกคนต้องมา “ชอปสนุก สุขีกว่าครั้งไหน” กับสินค้าตกแต่งบ้านต้อนรับทุกเทศกาล ลดราคาสูงสุดกว่า 70% พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษต้อนรับลมหนาว คุ้มค่า ครบครัน อาทิ SHOCK Price!! สินค้าราคาสุดช็อค หมดแล้วหมดเลย ทั้งเครื่องทำน้ำอุ่น, ชุดที่นอน-ผ้าห่ม, เฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า และพลาดไม่ได้กับบรรยากาศความสุข ชอปรับส่วนลด WEEKDAY STAR ชอปสินค้าวันธรรมดา จันทร์-ศุกร์ รับส่วนลดเพิ่มอีก 15% และสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ บัตรของขวัญโฮมโปร, คูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จ และสิทธิ์ผ่อน 0% นานสูงสุดถึง 24 เดือน ร่วมเติมความสนุก เต็มอิ่มเต็มอารมณ์ กับกลิ่นอายงานแฟร์เรื่องบ้านสไตล์ล้านนาและร้านอาหารดังรสชาติอร่อยจากทั่วถิ่นเมืองเหนือมาให้ชิมถึงที่ตลอด 10 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 13-22 ธันวาคม 2562 ณ ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติฯ เชียงใหม่ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ www.homeprofair.com

สร้างสุขภาพดีในทุกมิติ “THAIVIVAT ACTIVE BONUS” ยิ่งแอ็คทีฟก็ยิ่งได้

“ประกันภัยไทยวิวัฒน์” ก้าวเข้าสู่ความสำเร็จอีกระดับของการประกันภัย กับ “THAIVIVAT ACTIVE HEALTH” นวัตกรรมประกันภัยเพื่อสุขภาพมิติใหม่ สัมผัสการต่อยอดขั้นกว่าสู่ชีวิตอิสระที่ควบคุมได้กับการนำเทคโนโลยีมาประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ รวมถึงการผนึกกำลังครั้งสำคัญ เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีในทุกมิติจาก “ประกันภัยไทยวิวัฒน์” เริ่มต้นได้ง่าย ๆ ผ่านแคมเปญ “THAIVIVAT ACTIVE BONUS” ยิ่งแอ็คทีฟก็ยิ่งได้ เพียงออกกำลังกาย หรือใช้บริการร้านอาหารเพื่อสุขภาพ, Gyms หรือ Healthy Activities อื่น ๆ ในโครงการก็จะได้รับสิทธิพิเศษจาก “ประกันภัยไทยวิวัฒน์” ทันที!

พบกับเอ็กซ์คลูซีฟอีเวนต์ “THAIVIVAT Active Health & Thanks Press Dinner” ร่วมเปิดตัวและสัมผัสนวัตกรรมประกันภัยเพื่อสุขภาพมิติใหม่ พร้อมตัวอย่างกิจกรรมเพื่อสุขภาพมากมายภายในงาน อาทิ เวท เทรนนิ่ง และฟิซีค การออกกำลังกายแบบคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ แต่เน้นการเผาผลาญครบส่วนท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นและวิวแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมร่วมพูดคุยกับพาร์ทเนอร์และพรีเซ็นเตอร์คนสำคัญ “อาเล็ก ธีรเดช เมธาวรายุทธ” กับประสบการณ์การใช้งานประกันภัยเพื่อสุขภาพ THAIVIVAT ACTIVE HEALTH และไลฟ์สไตล์เรื่องสุขภาพในแบบฉบับอาเล็ก ในวันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 13.00-18.00 น. ณ แม็งโกทรี ออน เดอะ รีเวอร์ ชั้น 2 โครงการยอดพิมาน ริเวอร์ วอร์ค

ครัวคุณต๋อยแนวใหม่ “ยกทัพ” จัดเต็มเมนูดัง 5-15 ธ.ค.62

alivesonline.com : เพราะ “คุณภาพ” เรื่องการจัดงานอาหารอันเลื่องชื่อ “ครัวคุณต๋อย EXPO” ที่จัดอย่างต่อเนื่องมาถึง 4 ครั้ง จนผู้มาร่วมงานต่างยอมรับและแต่ละปีต่างเฝ้ารอถึงการรวมตัวร้านอาหารคาว-หวาน-ว่าง ชื่อดังใต้ฟ้าเมืองไทย เสมือนเป็น “ศูนย์รวมความอร่อยแบบ One Stop Service” อร่อยครบจบในพื้นที่เดียว

จึงไม่แปลกที่ “ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอร์น โปรเจค จำกัด และประธานกรรมการ บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด ผู้ผลิตและดำเนินรายการโทรทัศน์ “ครัวคุณต๋อย” ในฐานะผู้จัดงาน “ครัวคุณต๋อย EXPO” จะต่อยอดความสำเร็จด้วยการเพิ่มสูตรใหม่ของการจัดงาน ตามคำเรียกร้องของเหล่านักชิม ด้วยการแตกไลน์รูปแบบการจัดงานให้มีขนาดงานกะทัดรัดลง แต่เพิ่มสีสันและลูกเล่นในการจัดงาน ด้วยการจัดงาน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ โดยเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกระหว่างวันที่ 5 – 15 ธันวาคม 2562 ณ แกรนด์ฮอลล์ ชั้น จี เดอะมอลล์ บางแค เน้นคุณภาพร้านอาหารที่มาร่วมออกงานเหมือนเดิม ชูจุดเด่นคือ “ของดี จับต้องได้” ให้ผู้ร่วมงานได้ซึมซับกับรูปรสกลิ่นเสียง รูปแบบการตกแต่งในรูปแบบ “ครัวคุณต๋อย” ในงานยังมีการจัดบูทจำหน่าย “วัตถุดิบอาหาร” ภายใต้แนวคิด “ครัวคุณต๋อย Selected” ให้ผู้มาร่วมงานได้เลือกซื้ออีกด้วย


“ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์” บอกว่า การจัดงาน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ยังคงเอกลักษณ์ของการจัดงาน “ครัวคุณต๋อย EXPO” คือจะรวบรวมเฉพาะร้านอาหารที่เคยออกรายการ “ครัวคุณต๋อย” มาออกร้านเท่านั้น โดยจะคัดสรรเพียง 52 บูท น้อยกว่าจำนวนบูทในงาน “ครัวคุณต๋อย EXPO” ที่รวบรวมร้านอาหารมากกว่า 200 บูท โดยภายในงานยังคงมีพิธีกร 4 ท่านคือ ไตรภพ ลิมปพัทธ์, ณวัฒน์ อิสรไกรศีล, กีรติ เทพธัญญ์ และโก๊ะตี๋ อารามบอย พร้อมด้วยโปรโมชันจัดเต็มจากร้านอาหารมากมายแบบพิเศษสุด ส่วนในปี 2563 ยังมีแผนที่จะจัดงาน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ตามห้างสรรพสินค้าในย่านต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ และ พัทยาอย่างต่อเนื่องถึง 9 ครั้ง หลังจากการจัดงาน “ครัวคุณต๋อย EXPO” ครั้งที่ 5 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563
“การจัดงานครัวคุณต๋อยยกทัพมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อเป็นการกระจายการจัดงานไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคและผู้ชื่นชอบการรับประทานให้มากขึ้น ในรูปแบบงานที่เล็กลงแต่เพิ่มสีสันใหม่ ๆ ขณะเดียวกันยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านค้าที่มีความพร้อมในการร่วมออกบูทได้มีโอกาสเพิ่มช่องทางการตลาดในการสร้างยอดขายเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น เพราะบางร้านค้าอาจมีข้อจำกัดบางประการในการทำตลาด เช่น สถานที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการรองรับลูกค้าจำนวนมาก เป็นต้น”


“ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์” บอกด้วยว่า การจัดงาน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ยังมีความพิเศษคือบูทที่จัดสร้างในงานจะถูกออกแบบให้มีไลฟ์สไตล์วาไรตี้มากขึ้น โดยยังมีไฮไลท์สำคัญที่ต้องบอกว่า “ไม่ไปถือว่าผิด” คือ การให้ความสำคัญในเรื่องของ “วัตถุดิบอาหาร” (Food Ingredient) ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของ “อาหารไทย” และอยู่คู่กับวิถีการดำรงชีพของคนไทยมายาวนาน จนได้รับการยกย่องในเรื่องภูมิปัญญาอันลึกซึ้งในการเลือกใช้พืชผักและสมุนไพรชนิดต่าง ๆ มาปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติอาหารให้น่ารับประทาน ทำให้อาหารไทยเป็นหนึ่งในอาหารที่คนทั่วโลกยกย่อง โดยภายในงาน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” จึงจะมีการจัดบูทจำหน่าย “วัตถุดิบอาหาร” ภายใต้แนวคิด “ครัวคุณต๋อย Selected” เพื่อให้ผู้มาร่วมงานได้เลือกซื้อวัตถุดิบคุณภาพกลับไปประกอบอาหารเองตามสูตรเด็ดเฉพาะของแต่ละบุคคล
“มีแฟน ๆ รายการเรียกร้องเข้ามามากว่าอยากให้เราไปจัดงานในหลาย ๆ ที่ โดยเฉพาะต่างจังหวัดซึ่งเราก็จะพยายามไปพบแฟน ๆ ให้ทั่วถึงทุกหนทุกแห่ง โดยรับปากและจะพยายามทำให้ได้ จึงอยากเชิญชวนทุกท่านให้มาเห็นความตั้งใจในการจัดงานครัวคุณต๋อยยกทัพ เรียกได้ว่ารับรองมางานนี้ไม่ผิดหวัง มางานนี้งานเดียวเหมือนได้ไปร้านอาหารจากทั่วประเทศ โดยเฉพาะเรื่องรสชาติรับรองว่าอร่อยแน่นอน”


สำหรับร้านอาหาร คาว หวาน และ อาหารว่าง ชื่อดังที่จะมาร่วมออกบูทภายในงาน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” แต่ละแห่งล้วนขึ้นชื่อในเรื่อง “ความอร่อย” ที่มีมาอย่างยาวนาน อาทิ ร้าน “ฟงอวิ๋น หมูกรอบ เป็ดย่างเตาถ่าน”, ร้าน “ปิ่นมณี ปลาส้มไร้ก้าง”, ร้าน “ครัวรสหนึ่ง” ขึ้นชื่อเรื่องกุ้งแช่น้ำปลา ยำไข่แมงดา, ร้าน “Simply V Dine &Wine Restaurant” กับเมนู ไก่ เป็ด และ ซี่โครงหมูรมควัน, ร้าน “หอยจ๊อปูทองเยาวราช”, ร้าน “ขาหมูกรอบ บายเชฟเดย์”, ร้าน “ฟู่จิน ซาลาเปา”, ร้าน “มะม่วงเบาพี่เล็กหาดใหญ่”, ร้าน “อีกวาง” ทอดมันกะลาอ่อน, ร้าน “ขนมไทยคุณยายผ่องศรี”, ร้าน “บ้านปลาทูมหาชัย”, ร้าน “เค้กหนองพงนก” กับเมนู ขนมปังไส้กุ้ง ขนมปังสังขยานมสดไส้ทะลัก, เป็นต้น
เตรียมท้องให้พร้อมเพื่อไปร่วมอิ่มอร่อยได้ในงาน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ระหว่างวันที่ 5–15 ธันวาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 10.30-21.30 น. ณ แกรนด์ฮอลล์ ชั้น จี เดอะมอลล์ บางแค ติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook : ครัวคุณต๋อย Line @kktshop

[ชมคลิป] “ทีเส็บ-การบินไทย” จัดแคมเปญ APAC MaxiMICE กระตุ้นนักเดินทางไมซ์เอเชียแปซิฟิก

alivesonline.com : “ทีเส็บ” ขับเคลื่อนแผนเร่งตลาดนักเดินทางไมซ์ 15 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หลังพบมีสัดส่วนสูงกว่า 91% ของภาพรวม จับมือสายการบินแห่งชาติและสายการบินในเครือ “การบินไทย” – “ไทยสมายล์” จัดแคมเปญ APAC MaxiMICE มอบสิทธิประโยชน์มากมายให้กลุ่มจัดประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในไทยที่เดินทาง 40 คนขึ้นไป หวังเพิ่มยอดนักเดินทางได้ 1 หมื่นคน

นางสาววิชญา สุนทรศารทูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานบริหาร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า “ทีเส็บ” ร่วมกับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยสมายล์ แอร์เวย์ จำกัด ร่วมจัดทำแคมเปญ APAC MaxiMICE ส่งเสริมการขายและการตลาด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มจำนวนนักเดินทางไมซ์เข้าสู่ประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายส่วนแบ่งตลาดและขยายฐานลูกค้าองค์กรในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ APAC ซึ่งเป็นตลาดหลักของอุตสาหกรรมการจัดประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Meeting & Incentive)

แคมเปญ APAC MaxiMICE จะมอบสิทธิประโยชน์ให้กลุ่มลูกค้าองค์กรในประเทศภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ต้องการนำงานประชุมองค์กร หรือการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลเข้ามาจัดในประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ Silver, Gold และ Platinum สำหรับกลุ่มนักเดินทางตั้งแต่ 40 คนขึ้นไป โดยจะต้องพำนักอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย 2 คืน โดยจะได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ อาทิ ตั๋วโดยสารเครื่องบินราคาพิเศษภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด การบริการช่องทางพิเศษตรวจคนเข้าเมือง (VIP Fast Track) หรือ MICE Lane ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ของที่ระลึก และการแสดงทางวัฒนธรรม ฯลฯ โดยสามารถติดต่อเพื่อขอรับการสนับสนุนได้ ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2562 – 31 สิงหาคม 2563 และมีช่วงเวลาการจัดงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2563

นางสาววิชญา กล่าวว่า ตลาดไมซ์จากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ APAC เป็นตลาดที่มีความสำคัญและครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดของอุตสาหกรรมไมซ์ไทย โดยปีงบประมาณ 2562 (เดือนตุลาคม 2561 – gfnvoกันยายน 2562) มีภาพรวมนักเดินทางไมซ์จากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมาเยือนประเทศไทยจำนวน 1,162,170 คน คิดเป็น 91.22% ของตลาดไมซ์ทั้งหมดซึ่งมีจำนวน 1,273,981 คน โดยนักเดินทางกลุ่มประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกมีสัดส่วนสูงถึง 56.23% หรือคิดเป็นจำนวน 653,459 คน

“ทีเส็บมีแผนดำเนินงานสนับสนุนการจัดงานไมซ์ เร่งเจาะกลุ่มประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลของลูกค้าองค์กร หรือ Corporate Market เพื่อดึงงานที่มีคุณภาพให้เข้ามาจัดในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ตอบสนองต่อนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งช่วยประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์อันดีให้ประเทศไทยในฐานะจุดหมายหลักของการจัดงานประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

นางสาววิชญา กล่าวอีกว่า ก่อนหน้าในปีงบประมาณ 2562 ที่ผ่านมา “ทีเส็บ” ได้เปิดตัวแคมเปญ ASEAN MaxiMICE ร่วมกับ “การบินไทย” เพื่อส่งเสริมการขายและการตลาดในกลุ่มประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลของลูกค้าองค์กร สำหรับ 4 ประเทศหลักในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี สามารถดึงนักเดินทางไมซ์จากทั้ง 4 ประเทศเข้ามาเยือนประเทศไทยได้ทั้งสิ้นจำนวนกว่า 1 พันคน ทำรายได้เพิ่มขึ้น 73 ล้านบาท

ในปีงบประมาณ 2563 (เดือนตุลาคม 2562 – เดือนกันยายน 2563) “ทีเส็บ” จึงเปิดตัวแคมเปญล่าสุด APAC MaxiMICE ขยายโครงการเจาะตลาดเชิงรุกจากเดิมในภูมิภาคอาเซียน เพิ่มครอบคลุมในตลาดหลักภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรวมเป็น 15 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง และ อินเดีย โดยร่วมมือกับ “การบินไทย” และ “ไทยสมายล์” ซึ่งเป็นสายการบินในเครือ อีกทั้งเป็นสายการบินแห่งชาติและสายการบินหลักของประเทศไทยที่มีเส้นทางการบินหลากหลายในการเข้าถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญทางเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นและเพิ่มจำนวนนักเดินทางไมซ์ให้เดินทางเข้ามาเยือนประเทศไทยมากขึ้น โดยประมาณการว่าจะมีนักเดินทางไมซ์จากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเดินทางเข้ามาทั้งสิ้น 1 หมื่นคน

“ทีเส็บยังได้เตรียมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแคมเปญนี้ โดยจัดกิจกรรม Thailand MICE Road Show เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมตลาดเป้าหมายกลุ่มลูกค้าองค์กรตลาดออสเตรเลียและจีน ประมาณเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2563 และยังจะมีการจัดกิจกรรมแฟมทริปในเส้นทางที่การบินไทย และไทยสมายล์ ให้บริการ รวมถึงการจัดงาน Thailand Incentive and Meeting Exchange 2020 หรือ TIME 2020 ซึ่งเป็นเวทีเชื่อมโยงธุรกิจสำหรับตลาดประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลโดยเฉพาะ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายหลักของการจัดประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” นางสาววิชญา กล่าวในที่สุด

ด้าน นายศิริพงษ์ มังคะลี ผู้อำนวยการฝ่ายขายกลุ่มประเทศอาเซียน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ลูกค้ากลุ่มไมซ์จากประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ถือเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เดินทางกับ “การบินไทย” และ “ไทยสมายล์” เป็นจำนวนมากในลำดับต้น ๆ ความร่วมมือในการจัดแคมเปญ APAC MaxiMICE ครั้งนี้ ซึ่งนอกจากจะเป็นสนับสนุนและอำนวยความสะดวกการเดินทางของลูกค้ากลุ่มไมซ์ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในการเดินทางเข้ามาจัดการประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศไทยมากขึ้น ยังช่วยให้เกิดการใช้จ่ายและการต่อยอดสู่การท่องเที่ยวไทย รวมทั้งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย

ลูกค้าไมซ์จากแคมเปญ APAC MaxiMICE ที่เดินทางจาก 15 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเข้ามายังประเทศไทยโดย “การบินไทย” และ “ไทยสมายล์” จะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย อาทิ บัตรโดยสารหมู่คณะราคาพิเศษ (Special Airfare) บัตรโดยสารอภินันทนาการ (Complimentary Air Ticket) สิทธิพิเศษน้ำหนักสัมภาระเพิ่มเติมท่านละ 5 กิโลกรัม (Additional 5kg. Baggage Allowance) สิทธิการเชิญขึ้นเครื่องบินก่อน (Priority Boarding) การจองที่นั่งสำหรับหมู่คณะ (Pre-Assigned Group Seating) การเช็คอินล่วงหน้า (Advanced Group Check-in Special) คำกล่าวต้อนรับสำหรับหมู่คณะบนเครื่อง (On Board Announcement) ที่คลุมพนักเบาะที่นั่งบนเครื่องบินติดตราสัญลักษณ์องค์กรสำหรับหมู่คณะ (Customized Seat Cover) เป็นต้น ซึ่

“ความร่วมมือในครั้งนี้จะเอื้อประโยชน์ต่อ การบินไทย ในฐานะผู้ให้บริการสายการบินที่มีเส้นทางครอบคลุมกว่า 46 เมือง ใน 15 ประเทศ ซึ่งสามารถรองรับการเดินทางของลูกค้าไมซ์ที่เดินทางกับ การบินไทย และเชื่อมต่อเที่ยวบินกับ ไทยสมายล์ ที่ให้บริการใน 10 เส้นทางบินภายในประเทศและเส้นทางบินระหว่างประเทศกว่า 21 เส้นทาง ได้อย่างสะดวกสบาย โดยคาดว่าในปี 2563 จะช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าไมซ์เข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น” นายศิริพงษ์ กล่าวในตอนท้าย

[ชมคลิป] “ซีพีแรม” หนุนเกษตรกรใช้เทคโนโลยียกระดับคุณภาพผลผลิต

 

alivesonline.com : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยก “ซีพีแรม” เปิด “อาคารถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตร” พร้อมจัดงาน “ทานตะวันสะพรั่งทั่วระแหง” สอดรับแนวคิด “รัฐมนตรีพุทธิพงษ์” ด้านส่งเสริมเกษตรกรได้รับทั้งองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรให้ดีขึ้นและเหมาะสมกับความต้องการของตลาด ช่วยยกระดับรายได้เกษตรกรให้สูงขึ้นและยั่งยืน

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เกียรติเป็นประธานพิธีเปิดงาน “ทานตะวันสะพรั่งทั่วระแหง” และพิธีเปิดอาคารถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตร โดยมี นายวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง ให้การต้อนรับ ณ พื้นที่ 45 ไร่ บริษัท ซีพีแรม จำกัด สำนักงานใหญ่ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี

นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวของ บริษัท ซีพีแรม จำกัด ถือว่า สอดคล้องกับแนวคิดของ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งต้องการพัฒนาเรื่องเกษตรดิจิทัลให้ได้ผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในประเด็นการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงการเพิ่มผลผลิต การลดต้นทุน การหาช่องทางจัดจำหน่าย ตลอดจนการพัฒนาแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือด้านการตลาดและการปรับปรุงผลผลิตให้เหมาะสมซึ่งถือเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น

“ในช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรมักจะเพาะปลูกพืชผักตาม ๆ กัน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จึงพยายามนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเก็บและรวบรวมสถิติว่าช่วงเวลาใดที่ควรเพาะปลูกพืชพันธุ์ชนิดใดดีที่สุด เพื่อนำสถิติเหล่านั้นไปถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรสามารถ Transform ตัวเอง หรือเปลี่ยนแปลงการเพาะปลูกแบบเดิม ๆ แล้วขยับขยายปลูกพืชพันธุ์ชนิดอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้มีผลผลิตได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังมีนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในหลาย ๆ ด้าน เช่น การตรวจสอบสภาพอากาศ เพื่อทำให้สามารถคาดการณ์อนาคตได้ว่าควรจะหว่านข้าวเมื่อใดจึงจะเหมาะสมที่สุด หรือควรจะเก็บเกี่ยวเมื่อใดเพื่อให้ผลผลิตที่ดีที่สุดเพื่อจะได้นำไปขายในราคาที่เหมาะสมที่สุดในตลาด” นายเนวินธุ์ กล่าว

ด้าน นายวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด ผู้ผลิตอาหารพร้อมรับประทาน กล่าวว่า การจัดตั้งอาคารถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตร มีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรซึ่งมีความสำคัญมากในห่วงโซ่อาหารได้รับทั้งองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรให้ดีขึ้นและเหมาะสมกับความต้องการของตลาดเพื่อให้ภาคเกษตรกรรมมีความยั่งยืนในอนาคต นอกจากนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชุมชนนอกภาคเกษตรกรรมได้มาศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อหาช่องทางการสร้างรายได้เสริมและลดหนี้สินในครัวเรือน โดยนำความรู้ที่ได้รับไปประกอบอาชีพต่าง ๆ เช่น การทำขนม หรือการทำอาหาร เป็นต้น

ซีพีแรม มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเพื่อประโยชน์ต่อสังคมไทยด้วยหลักธรรมภิบาล เพื่อส่งมอบอาหารที่ดี มีคุณภาพสู่ผู้บริโภค โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทานอาหารตามแนวทาง 3s ขององค์กร คือ Food Safety หรือความปลอดภัยทางอาหาร, Food Security หรือความมั่นคงทางอาหาร และ Food Sustainability หรือความยั่งยืนทางอาหาร ทั้งยังส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน และความมั่นคงในอาชีพของเกษตรกร ด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง และยั่งยืน ผ่านโครงการ “เกษตรกรคู่ชีวิต” อย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี

บริษัทฯ ให้ความสำคัญในเรื่องการบูรณาการองค์ความรู้และเทคโนโลยีการเกษตรกับการตลาดสู่วิถีเกษตรที่ยั่งยืน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ตลอดจนมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัยสู่วิถีเกษตรที่ยั่งยืน อาทิ ส่งเสริมการบันทึกข้อมูลออนไลน์เพื่อติดตามและควบคุมการเพาะปลูกให้เป็นตามมาตรฐานที่กำหนด การใช้เซ็นเซอร์ควบคุมการใช้น้ำอัตโนมัติ เป็นต้น เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี มีคุณภาพ เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค โดยช่วงต้นได้ส่งเสริมการปลูกกะเพรา และขยายผลสู่พืชผักอื่นอีกหลายชนิด รวมถึงข้าวหอมมะลิในเวลาต่อไป

“เรามองว่าอาหารจะมีคุณภาพที่ดีต้องมาจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพที่ดี เพราะฉะนั้นต่อให้เราพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารให้ดีอย่างไร แต่ถ้าขาดซึ่งการยกระดับ หรือพัฒนาวัตถุดิบซึ่งเป็นต้นน้ำ ผลิตภัณฑ์อาหารนั้นก็จะยังมีคุณภาพได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นบริษัทฯ จึงให้ความสำคัญในการเรื่องการวิจัยลึกลงไปถึงต้นน้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กะเพรา ซึ่งพัฒนาให้มีรสชาติเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอม โดยต้องพัฒนาให้มีสายพันธุ์ที่สามารถเพาะปลูกได้ให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ รวมถึงสร้างความสมดุลในตลาด ขณะเดียวกันในปัจจุบันเราได้ส่งเสริมให้เกษตรกรมีการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการเพาะปลูก เช่น การวัดความชื้นของดิน การควบคุมการใช้น้ำ การคาดการณ์ระยะเวลาการเก็บเกี่ยว เป็นต้น เพราะเราแห็นว่ายุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยีซึ่งถ้าหากขาดการนำมาใช้ก็จะไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร” นายวิเศษ กล่าวในที่สุด

อนึ่ง งาน “ทานตะวันสะพรั่งทั่วระแหง” จัดขึ้นบนพื้นที่ 45 ไร่ บริษัท ซีพีแรม จำกัด สำนักงานใหญ่ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าเกษตรให้แก่เกษตรกรในพื้นที่และสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่เพื่อเป็นแบบอย่างการเรียนรู้การพัฒนาชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรตามแนวทางนวัตวิถี

คอนโดฯ – สนง.เกรด A ย่านสาทร อัตราการดูดซับไม่ลดลง

alivesonline.com : “เน็กซัส” เผยค่าเช่าเฉลี่ยอาคารสำนักงานเกรด A ย่านสาทร แตะหลักพันบาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ส่วนภาพรวมตลาดคอนโดฯ ย่านสาทรมี 22,255 หน่วย จากทั้งหมด 48 โครงการมียอดขายรวมที่ 84% สูงกว่ายอดขายรวมของตลาด 2% ทั้งยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อัตราการดูดซับไม่เคยลดลง เหตุซัปพลายมีจำกัด ประกอบกับรับอานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาผ่านถนนสาทร ถนนนราธิวาสฯ ถนนพระราม 3 ที่จะเริ่มก่อสร้างปี 64

นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า ทำเลย่านสาทร เป็นทำเลที่มีอาคารสำนักงานตั้งอยู่อย่างหนาแน่น ถือเป็นศูนย์รวมที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทชั้นนำจากทั่วประเทศ และสำนักงานของบริษัทต่างชาติชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารและบริษัทการเงินจากหลากหลายประเทศ ทำให้ย่านสาทรยังคงเป็นย่านที่มีอัตราการเช่าที่สูงเป็นลำดับต้น ๆ ของกรุงเทพฯ โดยปัจจุบันมีอัตราการเช่าสูงถึง 97% และราคาค่าเช่ายังคงปรับสูงขึ้นในทุก ๆ ปี เฉลี่ยปีละ 4-5% ส่งผลให้ค่าเช่าเฉลี่ยอาคารสำนักงานเกรด A มีราคาประมาณ 920 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน อีกทั้งบางอาคารสามารถเรียกราคาค่าเช่าได้สูงกว่า 1 พันบาทต่อตารางเมตรต่อเดือน

ปัจจุบัน ตลาดอาคารสำนักงานยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีและยังคงมีความต้องการในการเช่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารสำนักงานเกรด A แต่ซัปพลายมีอยู่อย่างจำกัด ทำให้หลายอาคารทั้งในบริเวณสาทรและบริเวณรอบ ๆ เช่น สีลมและพระราม 4 มีแผนการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานเกรด A หลายอาคารด้วยกัน อาทิ โครงการโครนอส บนถนนสาทร, โครงการดุสิต เซ็นทรัล ปาร์ค บนที่ดินโรงแรมดุสิตธานีเดิม และโครงการสีลม สแควร์ ในบริเวณอาคารสีบุญเรืองเดิม ส่งผลให้ตลาดอาคารสำนักงานยิ่งมีความคึกคัก รวมถึงจะเป็นการขยายแหล่งงานในเวลาเดียวกัน ยังไม่รวมถึงแหล่งงานที่จะมาจากโครงการขนาดใหญ่ในบริเวณโดยรอบย่านสาทรที่อยู่ระหว่างพัฒนาและดำเนินการก่อสร้างหลายโครงการ ซึ่งล้วนแต่ส่งผลให้สาทรย่านนี้ยิ่งได้รับอานิสงส์ไปด้วยทั้งสิ้น

สำหรับโครงการต่าง ๆ ที่กำลังก่อสร้าง ได้แก่ โครงการวัน แบงค็อก โครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมแบบผสมบนพื้นที่ 104 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนพระรามที่ 4 และถนนวิทยุมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท ที่เป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานถึง 5 อาคารด้วยกัน, โครงการสถานีแม่น้ำของร.ฟ.ท. ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในช่วงที่เป็นโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาล้อมรอบด้วยถนนพระราม 3 มีพื้นที่ประมาณ 277.5 ไร่ เดิมใช้เป็นย่านคลังสินค้า คลังน้ำมัน และการขนส่งสินค้าต่อเนื่องทั้งทางน้ำกับทางรถไฟ ผ่านทางรถไฟ และถนนเชื้อเพลิงผ่านถนนพระราม 4 ออกไปเชื่อมกับเส้นทางรถไฟสายตะวันออกที่มักกะสัน มูลค่ากว่า 8.8 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาผ่านถนนสาทร ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ถนนพระราม 3 ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้ และจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยจะสามารถก่อสร้างได้ประมาณปี 2564

ด้าน นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวเสริมว่า ภาพรวมการแข่งขันของตลาดคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์บนทำเลใจกลางเมืองช่วงครึ่งปี 2562 พบว่า ผู้พัฒนา โครงการมีความระมัดระวังในการพัฒนาโครงการมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าออกมาในตลาดมีคุณภาพดีและอยู่ในทำเล ที่น่าสนใจจริง ๆ ทั้งยังมุ่งไปที่กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นหลัก โดยมีอุปทานสะสมถึงครึ่งแรกของปี 2562 ทั้งหมด 93,122 ยูนิต เป็นอุปทานใหม่จำนวน 3,262 ยูนิต ลดลงเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา โดยรวมแล้วเป็นผลดี เพราะทำให้ห้องชุดที่เปิดใหม่สามารถขายได้เร็วขึ้น ซึ่งพบว่ากลุ่มผู้บริโภคมีความต้องการคอนโดมิเนียมในกลุ่มระดับไฮเอนด์ขึ้นไปส่วนใหญ่

สำหรับ ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในย่านสาทรในปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 22,255 หน่วย จากทั้งหมด 48 โครงการ โดยมียอดขายรวมที่ 84% สูงกว่ายอดขายรวมของตลาดถึง 2% โดยยอดขายเฉลี่ยรวมของตลาดอยู่ที่ 82% ในส่วนของราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ขึ้นไป พื้นที่ใจกลางเมืองอยู่ที่ 233,200 บาท ต่อ ตร.ม. ในขณะเดียวกัน ราคาเฉลี่ยในย่านสาทรอยู่ที่ 214,400 บาท ต่อ ตร.ม. ซึ่งนับเป็นราคาที่น่าสนใจและน่าจับตามองเป็นอย่างมาก

“สาเหตุที่ทำให้ทำเลย่านสาทร ถนนจันทน์ เย็นอากาศ ยังคงมีเสน่ห์ และมีความน่าสนใจนั้น เพราะเป็นทำเลที่ผสมผสานความเป็นชุมชนเก่า แต่มีความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก ใกล้แหล่งธุรกิจใจกลางเมือง ใกล้ทางด่วน รถไฟฟ้าBTS รถไฟฟ้าใต้ดินMRT รถด่วนพิเศษBRT ทั้งยังสามารถเดินทางเชื่อมต่อได้ทั้งสาทร นราธิวาส เย็นอากาศ นางลิ้นจี่ พระราม4 และพระราม3 นับเป็นย่านที่สะดวกสบายแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ซึ่งสะดวกทั้งการอยู่อาศัย และการเดินทางไปทำงานซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นหลัก นอกจากนั้นยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านอาหารยามค่ำคืน โรงพยาบาล โรงเรียนนานาชาติ และอื่น ๆ อีกมากมาย” นางนลินรัตน์ กล่าวในตอนท้าย

 

“พระราม 4 โมเดล” บิ๊กดาต้ากับแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ

alivesonline.com : “ปัญหาการจราจรติดขัด” นับเป็นหนึ่งในประเด็นทางสังคมที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อคนกรุงเทพฯ มาอย่างยาวนาน อันเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นระบบการวางผังเมือง การขยายตัวทางเศรษฐกิจและชุมชนเมือง การหลั่งไหลของแรงงานจากต่างจังหวัด ปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองที่รถติดมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย โดยการจัดอันดับของ INRIX Global Traffic Scorecard

ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกร ระบุว่า คนกรุงเทพฯ ต้องใช้เวลาในการเดินทางยาวนานขึ้น 35 นาทีต่อครั้ง ซึ่งหากนำมาคำนวณเป็นค่าเสียโอกาสทางด้านเวลาที่ต้องติดอยู่บนถนน แทนที่จะนำเวลานั้นไปสร้างรายได้หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น คิดเป็นเม็ดเงินมูลค่าประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 60 ล้านบาทต่อวัน ทั้งยังส่งผลต่อการบริโภคเชื้อเพลิงพลังงานที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 6 พันล้านบาทต่อปี

ไม่เพียงแต่ในด้านเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น แต่ปัญหาการจราจรยังส่งผลต่ออารมณ์และสุขภาพจิต รวมไปถึงปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของคนกรุงเทพฯ ด้วย

หนึ่งในโครงการล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพฯ คือ โครงการ “พระราม 4 โมเดล” ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา อันประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจนครบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แกร็บ ประเทศไทย และมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี โดยมุ่งใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และข้อมูลขั้นสูง (Advanced Data) จากฐานข้อมูลของหน่วยงานภาคีมาศึกษาวิเคราะห์และคาดการณ์รูปแบบการจราจรตลอดทั้งเส้นทาง เพื่อนำเสนอแนวทางในการปรับปรุงการจัดการจราจรของถนนพระราม 4

(จากซ้ายไปขวา) นายปราส กาเนช กรรมการ มูลนิธิโตโยต้า โมบิลีตี, รศ.ดร.สรวิศ นฤปิติ ผู้จัดการโครงการ “พระราม 4 โมเดล” และนายเอริค เซลเบิร์ก ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท แกร็บ โฮลดิ้งส์

รศ.ดร.สรวิศ นฤปิติ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้จัดการโครงการ “พระราม 4 โมเดล” กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมหลักภายใต้บันทึกความร่วมมือด้านวิชาการเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งหน่วยงานภาคีได้ร่วมลงนามไปเมื่อเดือนตุลาคมปี 2561 ที่ผ่านมา โดยริเริ่มขึ้นเพื่อมุ่งศึกษาและทดลองนำเอาบิ๊กดาต้าจากฐานข้อมูลเชิงลึก เทคโนโลยีอันทันสมัยและองค์ความรู้จากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา มาใช้ในการวิเคราะห์ วางแผนและบูรณาการต่อยอดเพื่อแก้ปัญหาด้านการจราจรและคมนาคมขนส่ง โดยเฟสแรกจะเริ่มจากถนนพระราม 4 และมีแผนที่จะขยายผลไปยังถนนสุขุมวิท ถนนเจริญกรุง และบริเวณถนนโดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตามลำดับ

สำหรับการผนึกความร่วมมือภายใต้โครงการ “พระราม 4 โมเดล” จะเริ่มนำร่องดำเนินการบนถนนพระราม 4 เนื่องจากเป็นหนึ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่นที่สุดในกรุงเทพฯ ครอบคลุมพื้นที่ชุมชนขนาดใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เชื่อมต่อกับถนนเส้นหลักหลายสาย ไม่ว่าจะเป็น ถนนสีลมและถนนสาทร ซึ่งเป็นย่านธุรกิจการค้า โดยมีโครงการสำคัญอย่างสามย่านมิตรทาวน์ และวัน แบงค็อก รวมถึงสถานศึกษา และแหล่งที่พักอาศัยซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยโครงการนี้จะทำการศึกษาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจราจรตลอดถนนพระราม 4 ซึ่งมีความยาวประมาณ 12 กิโลเมตร โดยเริ่มจากสถานีรถไฟหัวลำโพงและไปสิ้นสุดที่พระโขนง มีระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 18 เดือน นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 จนถึงเดือนเมษายน 2564 ภายใต้งบประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี

ตัวอย่างข้อมูลสภาพการจราจรบนถนนพระราม 4 และพื้นที่ใกล้เคียง

โครงการ “พระราม 4 โมเดล” ได้ขยายผลมาจากความสำเร็จของโครงการ “สาทรโมเดล” ซึ่งดำเนินการในระหว่างปี 2557–2560 โดยได้นำมาตรการต่าง ๆ มาใช้เพื่อแก้ปัญหาการจราจรบนถนนสาทร อาทิ การควบคุมสัญญาณไฟจราจร (Traffic Signal Control Optimization) การจัดช่องจราจรพิเศษ (Reversible Lane) การใช้ระบบรถรับส่งอัจฉริยะ (Smart Shuttle Bus) มาตรการเหลื่อมเวลาทำงาน (Flexible Working Time) มาตรการจอดแล้วจร (Park and Ride) เป็นต้น โดยหน่วยงานภาคีได้ส่งมอบแผนงานเพื่อขยายผลไปยังส่วนต่าง ๆ ให้กับหน่วยงานภาครัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แก่นสำคัญของโครงการ “พระราม 4 โมเดล” คือความพยายามในการนำข้อมูลจำนวนมหาศาลและมีความหลากหลายจากฐานข้อมูลของหน่วยงานภาคีทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล GPS ของรถที่ให้บริการการเดินทางผ่านแอปพลิเคชันของ “แกร็บ” รวมถึงขนส่งสาธารณะประเภทอื่น ๆ จากกระทรวงคมนาคม ภาพจากกล้อง CCTV และข้อมูลสภาพการจราจรจาก กรุงเทพมหานคร รวมทั้งสถิติด้านอุบัติภัยจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นต้น โดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างระบบ AI และ Machine Learning ผนวกกับการนำองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและการสัญจรมาบูรณาการ ทำให้ทราบถึงเงื่อนไขและข้อจำกัดของปัญหาด้านการจราจรในปัจจุบัน สามารถคาดการณ์ถึงแนวโน้มและรูปแบบของการจราจรในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบและวางแผนระบบการจัดการจราจร การพัฒนาโครงข่ายการขนส่ง รวมไปถึงการปรับปรุงการวางผังเมืองให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น”

นายธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการนี้สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในการแก้ไขปัญหาในภาคคมนาคมขนส่งอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดย “แกร็บ” ในฐานะผู้ให้บริการการเดินทางแบบออนดีมานด์ผ่านแอปพลิเคชันได้มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลจากระบบ GPS ซึ่งให้รายละเอียดการเดินทางของผู้ใช้บริการ (โดยไม่ระบุตัวตน) ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ อาทิ ระยะทางและช่วงเวลาในการเดินทาง ความเร็วของการขับขี่ และจุดรับ-ส่งผู้โดยสาร ครอบคลุมทั้งข้อมูลแบบเรียลไทม์และข้อมูลย้อนหลัง โดยฐานข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะช่วยพัฒนาระบบการจัดการด้านคมนาคม พร้อมบรรเทาปัญหาของเมืองใหญ่ ๆ ที่มีการจราจรหนาแน่นและมีมลพิษทางอากาศอย่างกรุงเทพฯ ลงได้ นอกจากนี้ เรายังได้ส่งทีมวิศวกรเทคโนโลยี (Tech Engineer) และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) จากสำนักงานใหญ่ในประเทศสิงคโปร์ มาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ (Know-how) กับทีมงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและหน่วยงานภาคีด้วย

ความร่วมมือของแกร็บในโครงการ “พระราม 4 โมเดล” นับเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจเพื่อสังคมในระดับภูมิภาค “Grab For Good” (แกร็บเพื่อชีวิตที่ดีกว่า) ซึ่งแกร็บได้ประกาศเป็นโรดแมปภายในระยะเวลา 5 ปี (2563-2568) เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปข้างหน้า พร้อมส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนสังคม โดยอาศัยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาทักษะและศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ รวมถึงแก้ไขปัญหาหรือขจัดข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนก้าวทันเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างความยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงสิ่งแวดล้อม

 

“ไบเทค” เดินหน้าสู่ศูนย์กลางการประชุมระดับโลก

alivesonline.com :ไบเทค” ชูจุดเด่นมีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 7 หมื่นตารางเมตร พร้อมความสะดวกด้านการเดินทาง ส่งผลให้ถูกเลือกเป็นสถานที่จัดงานระดับโลกมากมาย เผยปี 63 รับจัดงานใหญ่แล้ว 5 งาน

นางสาวปนิษฐา บุรี กรรมการผู้จัดการ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม “ไบเทค” เปิดเผยว่า ในปี 2562 “ไบเทค” ได้รับโอกาสจัดการประชุมระดับโลกแล้วกว่า 4 งาน ได้แก่ IEEE Power & Energy Society (PES) งานแห่งอนาคตด้านไฟฟ้าและพลังงาน, การประชุมใหญ่เพื่อการศึกษาโลกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 8 (The 8th Education International World Congress 2019), การประชุมสมาคมสัตว์ปีกสัตว์โลกครั้งที่ 21 (The 21st World Veterinary Poultry Association Congress – WVPAC 2019), และล่าสุดคือการประชุมสิ่งแวดล้อมศึกษาโลกครั้งที่ 10 (The 10th World Environment Education  Congress – WEEC 2019) ซึ่งมีผู้เข้าร่วมอย่างล้นหลามทั้งในไทยและต่างประเทศรวมกว่า 8,000 คน

ส่วนในปี 2563 “ไบเทค” ยังได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นพื้นที่สำหรับการจัดการประชุมระดับนานาชาติกว่า 5 งาน ได้แก่ การแข่งขันโต้วาทีโลกระดับมหาวิทยาลัยครั้งที่ 40 (The 40th World Universities Debating Championship 2020), การประชุมระดับโลกด้าน Micronutrients ครั้งที่ 5 (Micronutrients Forum 5th Global Conference 2020), การประชุมนานาชาติด้านเวชศาสตร์เขตร้อนและโรคมาลาเรีย ครั้งที่ 20 (The 20th International Congress for Tropical Medicine and Malaria 2020 – ICTMM), การประชุมวิชาการโลกด้านจิตเวช ครั้งที่ 20 (The 20th World Congress of Psychiatry 2020) และงานประชุมสมาคมโภชนาการทางหลอดเลือดและลำไส้ของเอเชีย ครั้งที่ 20 (The 21st Parenteral and Enteral Nutrition Society of Asia Congress 2020 – PENSA Congress 2020) โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานชาวไทยและชาวต่างชาติกว่า 1 หมื่นคน

นางสาวปนิษฐา กล่าวในตอนท้ายว่า ด้วยความต้องการของลูกค้าในการใช้พื้นที่จัดงานขนาดใหญ่ ๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่ง “ไบเทค” มีศักยภาพในการรองรับการจัดงานขนาดใหญ่ระดับนานาชาติได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยพื้นที่มากถึง 7 หมื่นตารางเมตร รวมถึง “ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” โซนใหม่ส่วนหนึ่งของการขยายพื้นที่ล่าสุดของ “ไบเทค” ที่มีความร่วมสมัย สะดวกสบาย และมีความยืดหยุ่นสูง อีกทั้งยังมีที่ตั้งที่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายและหลากหลาย โดยระบบขนส่งสาธารณะคือ รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีบางนาที่เชื่อมต่อตรงเข้าไปยัง “ไบเทค” หรือหากเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลก็สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายด้วยทางด่วนสมุทรปราการ-สำโรง (สุขุมวิท) และสำหรับลูกค้า หรือผู้เข้าชมงานจากต่างประเทศก็สามารถเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิได้อย่างรวดเร็วด้วยระยะห่างเพียง 14 กิโลเมตรเท่านั้น

realme ขนขบวนสมาร์ทโฟนจัดหนักโปรสุดคุ้มส่งท้ายปี

realms (เรียลมี) แบรนด์สมาร์ทโฟนเพื่อคนรุ่นใหม่จัดโปรโมชั่นพิเศษ ‘realme Month Big Promotion มอบการรับประกันตัวเครื่องนาน 24 เดือน และสิทธิ์การผ่อนชำระทางบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ 0% นานสูงสุด 24 เดือน สำหรับลูกค้าที่ซื้อสมาร์ทโฟน realme ทุกรุ่นผ่านทุกช่องทางตัวแทนจำหน่ายตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562

 ไฮไลท์โปรโมชั่น

  • เมื่อซื้อ realme X2 Pro แรงเต็มขั้น พลังเรือธง ราคาเริ่มต้นที่ 19,999 บาท รับฟรีทันทีหูฟัง realme Buds Wireless มูลค่า 1,999 บาท พร้อมการรับประกันตัวเครื่องนาน 24 เดือน และสิทธิ์การผ่อนชำระทางบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ 0% นานสูงสุด 24 เดือน
  • เมื่อซื้อ realme XT 64MP 4เลนส์ สเปคสุดล้ำ ราคาเริ่มต้นที่ 10,999 บาท รับฟรีทันทีชุดของขวัญ realme Special Gift พร้อมการรับประกันตัวเครื่องนาน 24 เดือน และสิทธิ์การผ่อนชำระทางบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ 0% นานสูงสุด 10 เดือน
  • เมื่อซื้อ realme 5 Pro 4เลนส์ สเปคแรง ราคาเริ่มต้นที่ 7,999 บาท รับฟรีทันทีชุดของขวัญ realme 5 Pro Special Gift พร้อมการรับประกันตัวเครื่องนาน 24 เดือน และสิทธิ์การผ่อนชำระทางบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ 0% นาน 6 เดือน
  • เมื่อซื้อ realme 5 4เลนส์ พลังแบตเกินพิกัด ราคาเริ่มต้นที่ 4,599 บาท รับทันทีการรับประกันตัวเครื่องนาน 24 เดือน และสิทธิ์การผ่อนชำระทางบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ 0% นาน 6 เดือน
  • เมื่อซื้อ realme C2 Mega Display, Mega Battery ในราคาพิเศษเพียง 3,599 บาท จากราคาปกติ 3,999 บาท รับทันทีการรับประกันตัวเครื่องนาน 24 เดือน และสิทธิ์การผ่อนชำระทางบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ 0% นาน 6 เดือน

นอกจากนี้ realme ยังประกาศการวางจำหน่าย realme 5s 4 เลนส์ AI 48MP พลังอึด ในราคาเริ่มต้นที่ 5,999 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/realmeTH/