“Let’s have a better future together” พาครูปรับตัวให้ทันศตวรรษที่ 21

บริษัท เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น จำกัด (Learn Education) กิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ด้านการศึกษาในเครือ บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำด้านการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือผ่านโปรแกรมการศึกษาแบบผสมผสาน (Blended Learning Solution) มีเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำ โดยมีครูและนักเรียนให้ความไว้วางใจใช้ระบบกว่า 45,000 ราย ใน 150 โรงเรียนทั่วประเทศ จัดกิจกรรมประชุมครูประจำปี 2561 ภายใต้แนวคิด “Let’s have a better future together : รับมือการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันปรับตัวให้ทันศตวรรษที่ 21” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดอาวุธทักษะที่จำเป็นต่อครูไทยในยุคดิจิทัลและเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 21 ณ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต รังสิต เมื่อเร็ว ๆ นี้

การจัดงานในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ‘วิเชียร พงศธร’ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน และมี ‘ธานินทร์ ทิมทอง’ ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ร่วมต้อนรับผู้ร่วมงานจากภาคีจากหลากหลายองค์กร อาทิ ‘โมนา ศิวรังสรรค์’ ผู้อำนวยการมูลนิธิยุวพัฒน์, ‘ธนารักษ์ พงษ์เภตรา’ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ‘ณรงค์ฤทธิ์ พานิชชีวะ’ กรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ดร.ขจร ธนะแพสย์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ‘สินี จักรธรานนท์’ ผู้อำนวยการมูลนิธิอโชก้า ให้เกียรติร่วมงาน

งานดังกล่าวได้รับความสนใจจากคุณครูทั่วประเทศที่มาเข้าร่วมอบรมสัมมนากว่า 300 คน กับ 2 หลักสูตรคุณภาพ ได้แก่ หลักสูตร “STEM เชิงปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21” วิทยากรโดย ‘อ.ดร.ปรัชญพงศ์ ยาศรี’ อาจารย์ประจำสถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล และหลักสูตร “การสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)” โดย ‘รศ.ดร.มนตรี แย้มกสิกร’ อดีตคณะบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งนอกจากกิจกรรมหลักสูตรส่งเสริมพัฒนาความรู้ให้ครูแล้ว ยังมีกิจกรรม “Let’s Party Together” เปิดโอกาสให้คุณครูแต่งกายแบบ “Back to School” หรือ “ค่ำนี้พี่ขอเป็นนักเรียน” โดยชุดนักเรียนที่คณะครูสวมใส่มาร่วมงานจะนำไปบริจาคให้แก่นักเรียนในโครงการของ “Learn Education” ต่อไป

คณะครู ผู้บริหารโรงเรียน หรือผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารการอบรมและข้อมูลต่าง ๆ ของ “เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น” ได้ที่ www.learneducation.co.th หรือเฟซบุ๊ก : LearnEducation

 

ไทยติดอันดับ 5 ตลาดน่าลงทุนในภูมิภาค

alivesonline.com : PwC เผย CEOในกลุ่มประเทศ “เอเปก” ยังคงเชื่อมั่นว่า แนวโน้มการเติบโตของรายได้และธุรกิจของตนในอีก 12 เดือนข้างหน้าจะแข็งแกร่ง แม้ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมากกว่าครึ่งมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในปีหน้า ขณะที่ “ไทย” ติดอันดับ 5 ตลาดน่าลงทุนในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ รองจาก เวียดนาม จีน สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ชี้ผู้นำธุรกิจ “เอเปก” ตื่นตัวต่อการเข้ามาของเทคโนโลยี พร้อมเล็งจ้างงานเพิ่ม แต่วอนภาครัฐให้ปรับปรุงระบบการศึกษาและพัฒนาทักษะ STEM ให้แก่แรงงาน

 

นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย ที่ปรึกษาทางธุรกิจ กฎหมาย และบัญชี เปิดเผยถึงผลสำรวจล่าสุด “APEC CEO Survey 2018” ที่ใช้เผยแพร่ในการประชุมสุดยอดผู้นำ “APEC CEO Summit ประจำปี 2561” ณ เมืองพอร์ตมอร์สบี ประเทศปาปัวนิวกินี ระหว่างวันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งทำการสำรวจผู้บริหารในกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ “เอเปก” จำนวน 1,189 รายใน 21 ประเทศ ว่า 35% ของ CEO “เอเปก” แสดงความมั่นใจมากว่า รายได้ของบริษัทในอีก 12 เดือนข้างหน้าจะเติบโต เปรียบเทียบกับ 37% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ 51% ของผู้นำธุรกิจในภูมิภาคยังมีแผนจะเพิ่มการลงทุนในปี 2562

ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า CEO จากสหรัฐอเมริกาและไทย ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำทางธุรกิจที่แสดงความมั่นใจต่อการเติบโตของรายได้มากที่สุดในปีนี้ (ที่ 57% และ 56% ตามลำดับ) ในขณะที่ผู้ถูกสำรวจจากจีนและเม็กซิโก ซึ่งทั้งสองถือเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา มีความเชื่อมั่นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 25% และ 21%

ทั้งนี้ จากการสำรวจครั้งที่ 2 กับผู้นำทางธุรกิจของสหรัฐอเมริกา จำนวน 100 ราย ภายหลังจากการที่สหรัฐอเมริกาและจีนตั้งกำแพงภาษีตอบโต้กันเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่ (69%) คาดว่า การจัดเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อรายได้บริษัทของพวกเขา โดยมีเพียง 27% ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบต่อต้นทุนของบริษัท

นอกเหนือจากมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของรายได้แล้ว 51% ของผู้บริหาร “เอเปก” ยังวางแผนจะเพิ่มระดับของการลงทุนมากขึ้น เปรียบเทียบกับ 43% ในปี 2559 โดยประเทศที่ถูกจัดให้เป็นเป้าหมายของการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุด ได้แก่ เวียดนาม จีน สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และไทย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของออสเตรเลียที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ตลาดที่เป็นเป้าหมายการลงทุน ขณะที่อินโดนีเซียหลุดอันดับไปในปีนี้

 

 

“ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและการลงทุนในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศ เพราะสภาพเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มที่ดี โดยได้รับปัจจัยหนุนทั้งจากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก ซึ่งจะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว ประกอบกับการขยายตัวของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ในด้านทรัพยากรและแรงงานเอง ไทยก็มีความพร้อมทั้งทางด้านทักษะ และค่าแรงที่ไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ดี สิ่งที่รัฐบาลไทยควรเร่งผลักดันคือ การพัฒนาและฝึกอบรมทักษะ STEM ซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งในทักษะที่มีความสำคัญและจำเป็นมากต่อแรงงานในยุคดิจิทัล” นายศิระ กล่าว

สำหรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย หรือ GDP ในช่วงไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 4.6% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกขยายตัว 4.8%

นอกเหนือจากการลงทุนในตลาดยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา และจีน ผู้บริหารยังมองหาโอกาสในการทำธุรกิจในตลาดสำคัญอื่น ๆ ด้วย โดยมองว่า สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอันดับต้น ๆ ที่มีความพร้อมและระบบนิเวศที่เอื้อต่อธุรกิจสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น (สตาร์ทอัปที่มีมูลค่าบริษัทเกิน 1 พันล้านเหรียญ)

ด้าน นายเรย์มันด์ ชาว ประธาน บริษัท PwC สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ถึงแม้ว่าผู้บริหารจะไม่ชอบความไม่แน่นอนทางธุรกิจในทุก ๆ มิติ อย่าว่าแต่ประเด็นเรื่องของการค้าเลย พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงใหม่และแสวงหาหนทางที่จะเติบโตและประสบความสำเร็จ ในขณะที่ประมาณ 1 ใน 5 ของผู้นำธุรกิจที่เราได้มีโอกาสพูดคุยด้วย บอกว่าเผชิญกับอุปสรรคทางการค้าใหม่ ๆ ในปีนี้ แต่จำนวน CEO ที่มองเห็นโอกาสใหม่ ๆ จากการข้อตกลงทางการค้าก็ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา

“ในทุกสงครามทางการค้าย่อมมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ แต่รายงานของเราก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว ธุรกิจยังค้นพบลู่ทางใหม่ ๆ เพื่อดำเนินไปสู่การเติบโต” นายเรย์มันด์ กล่าว

สำหรับแนวโน้มของตลาดการจ้างงานใน “เอเปก” นั้น ผลสำรวจพบว่า ยังคงมีทิศทางเชิงบวก โดย 56% ของผู้นำทางธุรกิจบอกว่า มีการจ้างงานมากขึ้นและมีเพียง 9% เท่านั้นที่กำลังลดจำนวนพนักงานซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะที่ใช่สำหรับองค์กรยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก โดย 34% ของผู้บริหารยังคงเผชิญกับปัญหาการเฟ้นหาพนักงานที่มีทักษะและประสบการณ์ที่เหมาะสมกับองค์กร ซึ่งช่องว่างดังกล่าวนี้พบมากในส่วนของการขาดแคลนทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (Science, Technology, Engineering, Maths : STEM) ทั้งนี้ 65% ของผู้บริหารระบุว่า ภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการสนับสนุนการฝึกอบรมแรงงานให้มีความเชี่ยวชาญในทักษะมากขึ้น และมีเพียง 14% ที่รู้สึกว่าภาครัฐดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้ดีแล้ว

ส่วนประเด็นเรื่องของการขาดแคลนทักษะที่จำเป็นนี้ยังสะท้อนได้จากความเห็นของผู้บริหารเมื่อถูกถามว่า ปัจจัยใดที่ผู้นำ “เอเปก” ควรร่วมกันผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างทั่วถึงต่อประชากรทั่วทั้งภูมิภาคซึ่งนั่นก็คือ การขยายการเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพสูงในทุก ๆ ระดับ ตามด้วยการพัฒนาทางด้านคมนาคม

“ปัญหาการฝึกอบรมและการศึกษากลายเป็นวาระสำคัญของผู้นำทางธุรกิจของ “เอเปก” ที่ต้องการส่งสาส์นไปถึงบรรดาผู้นำประเทศที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ ณ เมืองพอร์ตมอร์สบี ในปีนี้ว่า ยังต้องการความช่วยเหลือตรงจุดไหนและด้านใดบ้างที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว”

นอกจากนี้ CEO “เอเปก” ยังตระหนักดีถึงความจำเป็นต่อการลงทุนในการเปลี่ยนองค์กรสู่ดิจิทัล เห็นได้จากภารกิจในการลงทุนที่สำคัญของผู้บริหารในปีนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านดิจิทัล ตามมาติด ๆ ด้วยการเพิ่มทักษะทางด้านดิจิทัลให้แรงงาน ทั้งนี้ รายงานคาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 เศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำทางธุรกิจของ “เอเปก” รู้ด้วยว่า ยังมีสิ่งที่ตนต้องทำมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ดิจิทัล ส่วนหนึ่งเพราะมีเพียง 15% ของผู้บริหารเท่านั้นที่บอกว่า มีใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพื่อการแข่งขันสูงมาก ขณะที่ 33% ยังไม่มีการใช้งาน AI เลย โดยผู้บริหารที่บอกว่า ธุรกิจของตนมีการใช้งาน AI เพื่อการแข่งขันสูงมากนั้น รู้ว่าตนต้องสานต่อศักยภาพด้านดิจิทัลผ่านการขยายการลงทุน เพิ่มขีดความสามารถในการใช้ AI รวมถึงลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพท้องถิ่น

แม้ว่า เทคโนโลยีจะเป็นส่วนหนึ่งที่ตอบโจทย์การเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ก็นำมาซึ่งความท้าทายในสภาพแวดล้อมทางการค้าที่การเคลื่อนย้ายข้อมูลข้ามพรมแดน (20%) กลายเป็นอุปสรรคใหม่ที่หลายธุรกิจกำลังเผชิญเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ 15%

“ในขณะที่ธุรกิจเอเปกก้าวสู่ดิจิทัลและมีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI เข้ามาประยุกต์ใช้ กระแสของข้อมูลจะยิ่งกลายเป็นเชื้อเพลิงที่ช่วยผลักดันการค้าโลกมากขึ้น ดังนั้นการรับมือกับอุปสรรคที่มากับกระแสของข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจะยังคงเป็นความกังวลสำหรับธุรกิจในระยะต่อไป” นายเรย์มันด์ กล่าวในตอนท้าย

 

[ชมคลิป] ภารกิจส่งต่อองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น : หัวใจทางธุรกิจของ “ปตท.สผ.”

alivesonline.com : “…บงกช เมดอินบงกช จะผลิต จะเจาะ จะเสาะหา ให้ทุกชีวิตได้ยิ้มออก จากเหนือไปจรดแดนใต้ ขวานทองฝั่งซ้ายสุดทิศตะวันออก ทุ่มเทแรงใจ ดูแลบงกชโดยคนไทย และเราจะทำต่อไปเป็นคำสัญญาที่อยากจะบอก….”

ส่วนหนึ่งของเนื้อเพลงในมิวสิกวิดีโอ “Made in Bongkot” ที่เรียกเสียงฮือฮาจากชาวเน็ตได้ไม่น้อย เมื่อ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. จัดทำและเผยแพร่ MV ดังกล่าวออนไลน์ ในโอกาสที่ “แหล่งบงกช” แหล่งก๊าซธรรมชาติที่สำคัญกลางอ่าวไทย ได้ดำเนินการผลิตมาจนครบ 25 ปีเต็มในปี 2561 โดยนอกจากจะมีความแปลกใหม่ในการทำเพลง ด้วยการนำเอาวิธีการแรปที่ฮิตติดลมบนกันทั่วบ้านทั่วเมือง มาผสานเข้ากับการร้องแบบโอเปร่า ที่ได้ “เจ เจตมนต์” และ “สันติ ลุนเผ่” มาฟีเจอริ่งกันแบบลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ เนื้อหาสุดกินใจของเพลงนี้ ยังสร้างมาจากเรื่องจริงแบบ Base On True Story ของชาวแท่นบงกชอีกด้วย

วันนี้เรามีโอกาสได้มาพูดคุยกับ “ชาวบงกช” ตัวจริงเสียงจริงที่เรื่องราวของพวกเขาโลดแล่นอยู่ในเพลง “Made in Bongkot” เชื่อว่าเมื่ออ่านเรื่องราวของพวกเขาแล้วก็จะเข้าใจได้ว่าภารกิจของพวกเขา ไม่ใช่เพียงการส่งต่อพลังงานให้คนไทยได้ใช้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ยังทำให้คนไทยมีองค์ความรู้ในการเสาะหาพลังงานเป็นของตัวเองและส่งต่อองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ประเทศไทยพึ่งพาตนเองทางพลังงานได้อย่างยั่งยืนมาตลอด 25 ปีที่ผ่านมา

  • พกพาความรู้กลับบ้าน ผลิตก๊าซฯ ด้วยมือคนไทย

“แหล่งบงกช” ในยุคบุกเบิกมี “โททาล” บริษัทน้ำมันชั้นนำของโลกจากฝรั่งเศสเป็นผู้ดำเนินการ โดยทีม ปตท.สผ. คนไทย ถูกส่งไปเรียนรู้งานด้านสำรวจและผลิตปิโตรเลียมตามแหล่งต่าง ๆ ของ “โททาล” ทั่วโลก ตั้งแต่เทคนิคทางวิศวกรรม การออกแบบโครงสร้าง การสำรวจ การเงินการบัญชี ทรัพยากรบุคคล เพื่อกลับมาพัฒนา “แหล่งบงกช”

เราเริ่มต้นพูดคุยกับ “วุฒิพล ท้วมภูมิงาม” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานโครงการผลิต ปตท.สผ. ว่าการเรียนรู้งานกับ “ฝรั่ง” เป็นประสบการณ์ที่ท้าทาย โดยมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมเป็นอุปสรรคใหญ่ และเป็นประสบการณ์ที่รุ่นบุกเบิกไม่เคยลืม

“ปี 2532 ผมได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้าให้ไปเรียนรู้งานที่ต่างประเทศเพื่อกลับมาทำงานในโครงการบงกช ตอนนั้นก็รู้สึกภูมิใจ เพราะว่ามีวิศวกรไทยที่ได้รับเลือกอยู่แค่สองคน ผมเป็นหนึ่งในนั้น หลังจากนั้นก็มีเวลาเตรียมตัวเพียง 2 สัปดาห์ก่อนจะบินไปฝรั่งเศส ช่วงนั้นผมรับผิดชอบเรื่องของการออกแบบอุปกรณ์การผลิต หลังจากนั้นก็ย้ายไปเรียนงานต่อที่สิงคโปร์ โดยดูเรื่องของรายละเอียดต่าง ๆ บนแท่น รวม ๆ แล้ว 2 ประเทศ ใช้เวลาประมาณ 2 ปี งานด้านออกแบบก็จบ พร้อมสำหรับการสร้างแท่นและเริ่มปฏิบัติการในแหล่งบงกช”

ทำไมเราต้องเรียนรู้จากต่างชาติ?

“เมื่อก่อนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นวิทยาการค่อนข้างใหม่ เรายังไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ตอนแรกที่รัฐบาลมอบหมายให้ ปตท.สผ. พัฒนาแหล่งบงกช จึงต้องส่งคนไปเรียนรู้กับฝรั่ง เพื่อที่ว่าวันหนึ่งเราคนไทยจะได้ทำงานแทนที่พนักงานต่างชาติเหล่านั้นได้”

นับจากวันแรกที่ “แหล่งบงกช” เริ่มผลิตก๊าซธรรมชาติในปี 2536 ทีมงาน ปตท.สผ.ต้องเร่งเรียนรู้ Know-How จาก “โททาล” ก่อนจะรับโอนการเป็นผู้ดำเนินการ (Operatorship Transfer) ในอีก 5 ปีต่อมาให้ได้ โดย “วุฒิพล” เล่าถึงการทำงานใน 5 ปีแรกนั้นว่า ผู้ปฏิบัติงานในยุคบุกเบิกส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตกกว่า 80% ซึ่งมีวัฒนธรรมการสอนงานที่แตกต่างจากชาวเอเชียคือ เขาจะให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง ด้วยการสังเกตและจดจำ

“เวลาฝรั่งเขาสอนงาน เขาไม่ได้สอนตรง ๆ ก็ต้องอาศัยสังเกตเขา เวลาสั่งงาน บางทีเขาสั่งเลย ไม่ได้มาอธิบายว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือเราสามารถเรียนรู้งานได้ด้วยตัวเอง ข้อเสียคือมันอาจเสียเวลาหน่อยกว่าจะจับได้ถูกทาง บรรยากาศก็กดดันพอสมควร เพราะเรามีเป้าหมายชัดเจนว่าอีก 5 ปี เราต้องเป็นผู้ดำเนินการเอง ต้องพยายามทำให้ได้ มันมีทั้งความทั้งผิดหวัง เสียใจ และก็สมหวัง ผสมกันตลอด 5 ปีนั้น และในที่สุดเราก็ทำได้”

การถ่ายโอนสิทธิการเป็นผู้ดำเนินการหรือ Operatorship Transfer ของ “แหล่งบงกช” จาก “โททาล” เป็น ปตท.สผ. ที่สำเร็จลุล่วงด้วยดีในปี 2541 จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าคนไทยมีศักยภาพในการเป็นผู้ดำเนินงานด้านสำรวจและผลิต ในฐานะผู้ดำเนินการแหล่งก๊าซฯ ได้ด้วยตนเอง

Greater Bongkot South

  • คนที่เคยเป็นผู้เรียนรู้ จะกลายเป็นครูให้รุ่นน้อง

จากจุดเริ่มต้นที่เรียนรู้จาก “โททาล” เมื่อได้มาเป็นผู้ดำเนินการเอง เราได้มีการพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ ซึ่งตลอด 25 ปี “แหล่งบงกช” ทำหน้าที่เป็นสถาบันแห่งการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของไทยและผลิต “นักเรียน” ไปแล้วหลายรุ่น ผสมผสานความรู้จากคนต่างยุคสมัยเข้าด้วยกัน ดังนั้นนอกจากจะเป็นสถาบันแห่งการเรียนรู้แล้ว ที่แห่งนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการ “ส่งต่อ” องค์ความรู้อีกด้วย

“ประทีป มหาสวัสดิ์” ผู้จัดการแท่นผลิตบงกชเหนือ ปตท.สผ. ใช้เวลา 21 วันไปกับการทำงานเพื่อบริหารจัดการแท่นบงกชให้สามารถเดินหน้าผลิตก๊าซธรรมชาติได้อย่างต่อเนื่อง กับอีก 21 วันที่เขาจะได้กลับบ้านอยู่กับครอบครัวที่เขารัก ในวันนี้ที่คนรุ่นก่อนได้เติบโตก้าวสู่ระดับผู้บริหาร พร้อม ๆ กับการเข้ามาแทนที่ด้วยคนรุ่นใหม่ ๆ คนที่เคยเป็นผู้เรียนรู้ในอดีต วันนี้จึงกลายเป็นผู้ที่สอนงานให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไป ซึ่งดูเหมือนว่า “ประทีป” จะต้องรับมือกับความแตกต่างในจุดนี้เป็นเรื่องสำคัญ

“กว่าจะได้เริ่มทำงานที่แท่นบงกช ผมต้องไปอบรมที่อาบูดาบีอยู่ 12-13 เดือนกับอุปกรณ์จริง ๆ เพื่อจะได้ลงมือทำจริง ตอนนั้นระดับหัวหน้าขึ้นไปเป็นชาวต่างชาติทั้งหมดเลย แรก ๆ ก็มีปัญหาเรื่องภาษาบ้าง เราก็กัดฟันสู้ เพราะเรารู้ว่า เราจะได้กลับบ้าน เราจะได้กลับไปทำงานให้ชาติ” เขาเปิดบทสนทนา

เมื่อเราถามถึงการรับมือกับคนรุ่นใหม่ ๆ เขาตอบว่า

“พอเรากลับมาทำงานกับคนไทยด้วยกันก็มีความสนิทใจกันมากขึ้น การรับมือกับเด็กรุ่นใหม่ ๆ ตอนแรกก็ยาก เพราะเวลาที่เราสั่งงาน น้อง ๆ ก็มักจะมีคำถามกลับมาเสมอว่าทำไปทำไม แต่พอเริ่มจับทางถูก เราก็เข้าใจว่าการที่เขาถามอย่างนั้นก็เพราะว่าตัวเขาเองจะได้ลองคิดหาวิธีการใหม่ ๆ ที่อาจจะได้ประสิทธิภาพมากกว่าเดิม หรือผลลัพธ์ดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นการทำงานกับคนรุ่นใหม่ เราต้องชัดเจนว่าต้องการอะไร เพราะอะไร และให้โอกาสเขาลองผิดลองถูก โดยเราคอยดูอยู่ห่าง ๆ และเป็นที่พึ่งเวลาเขาเจอปัญหา”

มีแนวทางการผสานคนหลายร้อยให้ทำงานร่วมกันอย่างไร

“เราอยู่กันแบบพี่น้อง ไม่แบ่งแยกกัน ต้องยอมรับว่าการทำงานของเรายากขึ้นทุกวัน เพราะเรามีเครื่องไม้เครื่องมือเยอะขึ้น แต่ว่ามีคนเท่าเดิม การบริหารคนให้มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องสำคัญมาก และต้องอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยสูงสุด สิ่งหนึ่งที่ผมสอนทุกคนเสมอ ก็คือต้องเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น”

  • บงกชไม่ใช่แค่ที่ทำงาน แต่มันคือบ้านหลังที่สอง

สุภาพสตรีที่นั่งอยู่ข้างหน้าเราคือสาวแกร่งที่ปฏิบัติงานบนแท่นบงกช ทว่ามีท่าทางกริยาอ่อนหวาน เราจึงเปิดประเด็นกับ “กนกพร สินธวารยัน” วิศวกรกระบวนการผลิต ฝ่ายวิศวกรรมอุปกรณ์การผลิต ปตท.สผ. เรื่องการปรับตัวในบ้านหลังที่สองของเธอว่า

 

GBS Press Trip 2016

“แรกๆ ไม่รู้จักใครเลย ผู้ชายแต่ละคนก็หน้าตาน่ากลัวกันทั้งนั้น (หัวเราะ) ช่วงแรกเขาก็จะทำหน้านิ่ง ๆ แต่พอลองพูดคุยด้วยเรื่องต่าง ๆ นานา สักประมาณ 3 เดือน ก็เริ่มรู้จักกัน และค่อย ๆ ปรับตัวเข้าหากัน”

ผู้หญิงบนแท่นมีน้อย?

“ใช่ค่ะ มีภาวะเกิร์ลแก๊ง ผู้หญิงก็จะนอนห้องเดียวกัน รอบการทำงานบนแท่นฯ ก็มีผู้หญิงสัก 2-3 คน ก็จะเริ่มจับกลุ่มกันบ้าง”

ปกติผู้หญิงทำอะไรบนแท่นยามว่าง

“T25 ค่ะ (หัวเราะ) ก็มีฟิตเนสบ้าง บางทีก็ลงไปวิ่ง แต่ไม่ได้ถึงกับลงไปเตะบอลกับพี่ ๆ เขา บางทีก็มีร้องเพลง เขามีเล่นดนตรี ก็ไปร้องเพลง ซ้อมดนตรีบ้าง”

Greater Bongkot South

เมื่อเราพูดคุยถึงการทำงานบนแท่งบงกช “กนกพร”เล่าว่า

“พี่ ๆ เขาค่อนข้างให้ความใส่ใจดี แต่ที่สำคัญกว่าคือการเปิดใจและรับฟังความคิดเห็นของเรา บางทีเราเห็นในสิ่งที่เขาไม่เห็น เราก็เสนอไอเดียได้ ถ้าสามารถพิสูจน์ว่าไอเดียนั้นสามารถทำได้จริง และเพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลของการทำงานด้วยแล้ว พี่ ๆ เขาก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เรารู้สึกว่าเขาเห็นคุณค่าของพลังเล็ก ๆ อย่างเรา การที่เรามีการส่งต่อองค์ความรู้ มันไม่ใช่แค่เรียนรู้มา แต่มันต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ จุดนี้เป็นจุดที่รู้สึกว่าการทำงานกลายเป็นเรื่องสนุกสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่สำคัญอีกอย่างคือที่ ปตท.สผ. ให้โอกาสได้เรียนรู้งานหลากหลายมาก การได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติงานจริงทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นหน้างานมากขึ้น เวลาจะปรับเปลี่ยนอะไร พัฒนาอะไร ก็จะอิงกับความเป็นจริงว่ามันจะต้องสะดวกต่อคนที่ใช้งานเครื่องมืออุปกรณ์นั้นจริง ๆ”

เมื่อเราถามถึงสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากแท่นบงกชนอกเหนือจากการทำงาน เธอยิ้มแล้วเล่าว่า

“อย่างแรกคือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ เราได้เห็นฉลามวาฬมาว่ายน้ำรอบแท่นหลายครั้ง ทำให้รู้สึกว่าเรายิ่งต้องเข้มงวดกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ อย่างที่สองคือเรื่องความรักครอบครัว ส่วนใหญ่คนที่อยู่บนนั้นรักครอบครัวนะ อย่างตอนเย็นก็จะเห็นคนเป็นพ่อเฟสไทม์คุยกับลูก ได้เห็นด้านอ่อนโยนที่ปกติตอนทำงานไม่เห็น ซึ่งถ้าเป็นการทำงานในออฟฟิศ ถ้าเลิกงาน ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ก็คงไม่เห็นด้านอ่อนโยนแบบนี้”

การจัดการความสัมพันธ์กับครอบครัวของจึงเป็นเรื่องสุดท้ายที่เราขอให้ “กนกพร”เล่าถึง

“ที่บ้านค่อนข้างชินกับการที่เราต้องเดินทางบ่อย ๆ เพราะตั้งแต่ทำงานก็เดินทางบ่อยมาตลอด ช่วงแรกที่เข้ามาทำงานก็จะอยู่ที่แหล่งสิริกิติ์ พิษณุโลก ตอนนั้นก็ต้องเดินทางทุกสัปดาห์เลย มีบินไปต่างประเทศเดือนสองเดือน ครอบครัวก็เข้าใจดีค่ะ ถ้าพูดถึงการทำงานบนแท่น เขาก็ห่วงนะ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นไม่ให้ไป เพราะเขาไว้ใจกับมาตรฐานความปลอดภัยของบริษัท”

ภารกิจของพวกเขาทั้งสามคนในวันนี้คือการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่แค่ให้คนไทยมีพลังงานจากปิโตรเลียมใช้ แต่ต้องมีองค์ความรู้ในการแสวงหาพลังงานที่เป็นของคนไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทย อย่างแท้จริง…

DCIM101MEDIA

เกี่ยวกับแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช

“แหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช” เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติสำคัญที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย โดยมี ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการและถือสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 66.6667 และมี “โททาล” บริษัทน้ำมันชั้นนำจากฝรั่งเศสเป็นผู้ร่วมทุนในสัดส่วนร้อยละ 33.3333 โดยก๊าซธรรมชาติจาก “แหล่งบงกช” นำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของประเทศไทย ช่วยทดแทนการนำเข้าและลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ โดยก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้จากแหล่งบงกช คิดเป็นร้อยละ 30 ของการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ภายในประเทศ

“แหล่งบงกช” ยังเป็นแหล่งก๊าซฯ แห่งแรกที่บริษัทคนไทยเป็นผู้ดำเนินการ โดยครบรอบการผลิต 25 ปีในเดือนกรกฎาคม 2561 ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของคนไทยในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมได้อย่างมีประสิทธิภาพทัดเทียมบริษัทน้ำมันนานาชาติ

นอกจากนี้ ก๊าซธรรมชาติจาก “แหล่งบงกช” ยังช่วยผลักดันอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยและเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่สำคัญของปิโตรเคมี รวมถึงก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือนและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของประเทศ

 

[ชมคลิป] ไวรัลล่าสุดจาก “ข้าวหงษ์ทอง” : ทำไม “ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู” ไม่พอขาย ?

เป็นอีกหนึ่งวิธีการสร้างช่องทางสื่อสารไปยังผู้บริโภคเพื่อให้รับรู้ถึงเหตุผลและความจำเป็นอันนำมาซึ่งต้นเหตุ “สินค้าขาดตลาด”

นั่นคือที่มาของไวรัลคลิปเรื่อง “ด่วน ! “ข้าวหงษ์ทอง” แถลงการณ์แสดงความเสียใจ พร้อมขอโทษแม่บ้านทุกคนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” โดย “กัมปนาท มานะธัญญา” กรรมการ บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงภายใต้แบรนด์ “ข้าวหงษ์ทอง” บอกว่า “สร้างจากเรื่องจริง” เพราะลูกค้ามีความต้องการซื้อ “ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู” ที่ผลิตโดย “ข้าวหงษ์ทอง” ในปี 2560 ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า เนื่องจากสามารถผลิตได้เพียงปีละหนึ่งครั้ง โดยในปีที่ผ่านมามีจำหน่ายเพียง 2 แสนถุงและวางจำหน่ายได้เพียงหนึ่งเดือนก็หมดแล้ว

“กัมปนาท มานะธัญญา” กรรมการ บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด

“ข้าวหงษ์ทอง ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู” มีความพิเศษที่ผลิตจาก “เมล็ดข้าวหอมมะลิพันธุ์บริสุทธิ์” ที่ผ่านกรรมวิธีการปลูกข้าวที่ดีที่สุด สู่ข้าวหอมมะลิคุณภาพหนึ่งเดียวในรอบปี ผลผลิตถุงแรกจากโครงการ “หงษ์ทองนาหยอด” ในชื่อว่า “ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู 100% LIMITED EDITION” สุดยอดข้าวจากความภาคภูมิใจของ “ข้าวหงษ์ทอง” ด้วยเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ “ข้าวขาวดอกมะลิ 105” ผ่านกรรมวิธีการปลูกในแปลง “นาหยอด” บนผืนนาในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ใส่ใจดูแลข้าวทุกรวงด้วยเกษตรกรผู้มีประสบการณ์ เติมความพิถีพิถันด้วยเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัยและรวดเร็ว จึงทำให้ข้าวทุกถุงทุกเมล็ดมีมาตรฐาน เกิดเป็นข้าวหอมมะลิที่มีเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม มีกลิ่นหอม และมีรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ จนได้ชื่อว่าเป็น “ข้าวที่อร่อยที่สุด หอมที่สุด และนุ่มที่สุดของข้าวหงส์ทอง”

เขาบอกด้วยว่า ขณะนี้ “ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู” ได้เริ่มวางตลาดแล้วประมาณ 2 สัปดาห์และได้รับการตอบรับเกินคาด โดยในช่วงเทศกาลแคมเปญ 11-11 ที่ผ่านมา สามารถจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ Shopee และ Lasada ในราคาโปรโมชั่นพิเศษ Flash SALE จากราคา 1,160 บาท เหลือเพียง 699 บาท โดยสามารถทำยอดขายได้ 15,000 ถุงภายใน 24 ชั่วโมง และยังมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ

สำหรับปี 2561 บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ได้เร่งผลิต “ข้าวหอมมะลิใหม่ต้นฤดู” เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ถึงหนึ่งเท่า ทั้งยังมีการจัดโปรโมชั่นพิเศษอีกมากมายและไม่ได้ขึ้นราคาแต่อย่างใด โดยตั้งเป้าขายเป็นจำนวน 4 แสนถุง หรือประมาณ 2 ล้านกิโลกรัม ให้หมดภายในเดือนธันวาคม 2561 ส่วนในปี 2562 จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกตามจำนวนชาวนาที่จะมาเข้าร่วม “โครงการนาหยอด” ในการผลิตเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ เพิ่มขึ้น

 

ดำเนินธุรกิจวิศวกรรมก่อสร้างอย่างไรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

บทความโดย นายณัษฐา ประโมจนีย์

รองกรรมการผู้จัดการ

บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด (ITALTHAI Engineering : ITE)

 

alivesonline.com : “ธุรกิจก่อสร้าง” นับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องด้วยการดำเนินธุรกิจขึ้นอยู่กับความสามารถในการส่งมอบงานที่มีคุณภาพภายในกำหนดเวลาตามสัญญา ความสามารถในการลดต้นทุนงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รวมไปถึงประสบการณ์ของเจ้าของกิจการและทีมงานซึ่งมีผลต่อความเสี่ยงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของงานที่ได้รับ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลทำให้ธุรกิจก่อสร้างเกิดความเสี่ยงสูง อาทิ การแข่งขันราคาในการประมูล, การผูกมัดในการทำงานด้วยสัญญาที่อาจไม่เป็นธรรม, เจ้าของงาน หรือลูกค้าเหนียวหนี้ หรือไม่ชำระหนี้, การถ่ายความเสี่ยงของโครงการลงทุนต่าง ๆ ของผู้ลงทุนให้กับผู้รับเหมารับภาระแทน, การถูกปรับเนื่องจากส่งงานล่าช้า หรือไม่ได้ผลงานตามสัญญา (Delay and Performance Liquidated Damages), การปรับราคา หรือเกิดความล่าช้าจากซัปพลายเออร์ หรือผู้รับเหมาช่วง, ทีมงานลุยทำงานอย่างเดียวไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่าย หรือแม้แต่การขาดการบันทึกข้อมูลค่าใช้จ่ายโครงการ ฯลฯ โดยปัจจัยดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์ต่างเคยประสบปัญหาดังกล่าวมาแล้วแทบทุกราย

การแก้ปัญหานั้นโดยส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการและตัวเจ้าของกิจการเป็นสำคัญ อาทิ หากเป็นกิจการขนาดเล็ก เจ้าของกิจการจะลงมาลุยแก้ปัญหาเอง ดูแลเกือบทุกขั้นด้วยตัวเองเพื่อป้องกันความผิดพลาด หากเป็นกิจการขนาดใหญ่ขึ้นมาจะดำเนินการสรรหาผู้จัดการโครงการที่มีฝีมือและประสบการณ์ที่น่าเชื่อถือและไว้ใจได้มาบริหารแทน เพื่อสร้างหลักประกันให้โครงการสำเร็จอย่างมีกำไรได้ซึ่งปัจจุบัน การหาผู้จัดการโครงการที่มีคุณสมบัติดังกล่าวค่อนข้างยาก จึงมีผู้รับเหมาหลายรายที่ต้องการเติบโตอย่างรวดเร็วและพร้อมที่จะเสี่ยงทั้งโดยยอมเสนอราคางานต่ำ ๆ โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงข้างหน้าเพื่อให้ได้งาน ทั้งที่ไม่ยังสามารถหาทีมงานทีมีความสามารถมาเสริมได้ ในขณะเดียวกันการบริหารภายในก็ขาดระบบ ผลก็คือ งานขาดทุน เงินสดหมุนเวียนไม่เพียงพอ ทำให้งานหยุดชะงักเพราะไม่มีเงินจ่ายคนงาน, ผู้รับเหมาช่วง รวมถึงซัปพลายเออร์ก่อให้เกิดความล้มเหลว ส่งงานล่าช้ากว่าสัญญาจนถูกปรับ ถูกฟ้องร้อง บังคับชำระหนี้และล้มละลายในที่สุด บางรายอาจเปลี่ยนชื่อทั้งของกิจการและตนเองเพื่อหลบเหลี่ยงและจัดตั้งกิจการใหม่เปลี่ยนชื่อใหม่ วนเวียนเช่นนี้ในธุรกิจก่อสร้าง

แม้ว่าธุรกิจก่อสร้างจะมีความเสี่ยงดังที่ได้นำเสนอข้างต้น แต่ก็มีกิจการจำนวนไม่น้อยที่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ด้วยการลดการพึ่งพาความสามารถส่วนบุคคลและเพิ่มระบบการบริหารที่มีประสิทธิผล โดยใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานโครงการและความคุมทรัพยากรมาช่วยตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างหลักประกันในการดำเนินโครงการให้เสร็จได้ทันตามกำหนดเวลา ด้วยผลงานที่สอดคล้องตามความต้องการของลูกค้า (Specification) ตามสัญญา

นอกจากนี้ การทำงานอย่างปลอดภัยไร้อุบัติเหตุ ยังสามารถควบคุมต้นทุนและกระแสเงินสดได้ตามเป้าหมาย ทำให้งานไม่หยุดชะงักได้ ทั้งยังมีระบบงานที่สามารถให้รายงานสถานการณ์ค่าใช้จ่ายเทียบกับงบประมาณ และกระแสเงินสดที่เป็นปัจจุบันทันต่อเหตุการณ์ ทำให้มีผลกำไรและกระแสเงินสดที่จะหล่อเลี้ยงกิจการให้เติบโตอย่างมั่นคง พร้อมไปกับการเพิ่มพูนความพึงพอใจให้กับลูกค้า สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทั่วไปในการบริการที่มีคุณภาพ เสร็จทันเวลาอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ โครงการที่ได้รับมา ส่งผลให้มีโอกาสได้รับงานมากขึ้น ซึ่งเรียกว่า “ระบบการบริหารและเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนดังกล่าว” ซึ่งได้แก่

1.ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2015 มีเป้าหมายที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของกิจการในการส่งมอบผลงานให้ลูกค้าได้คุณภาพตามความต้องการตามสัญญาและสอดคล้องกับข้อกำหนด ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามสัญญาอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ สัญญาที่ได้รับ

2.ระบบบริหารอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001: 2007 และ ISO 45001:2018 มุ่งที่จะควบคุมให้การปฏิบัติงานก่อสร้างมีความปลอดภัยไร้อุบัติเหตุโดยที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีสุขภาพอาชีวอนามัยที่ดี พร้อมในการทำงานสู่เป้าหมายทั้งร่างกายและจิตใจในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย

มาตรฐานทั้ง 2 ระบบนี้เป็นระบบบริหารที่เป็นสากลได้รับการรับรองทั่วโลก โดยใช้หลักการการจัดกระบวนการทำงานที่เหมาะสม พร้อมการกำหนดเป้าหมายในแต่ละกระบวนการ (Process Approach) เพื่อการทำงานให้บรรลุเป้าหมายของทั้งโครงการ ด้วยวงจรของ Deming หรือ PDCA คือการกำหนดเป้าหมายและวางแผน (Plan) การซักซ้อมแผนและการนำไปปฏิบัติ (Do) การตรวจสอบผลการทำงานเทียบกับเป้าหมายเป็นระยะ ๆ (Check) และการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงการทำงานในรอบต่อไปให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Action) วงจร PDCA ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยสากลที่จะสามารถสร้างหลักประกันในการจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ และการปรับปรุงพัฒนาการทำงานและผลงานของแต่ละกระบวนการอย่างต่อเนื่อง

ในขณะเดียวกันเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้ผลงานเบี่ยงเบนจากเป้าหมายและเพิ่มโอกาส สร้างหลักประกันในการบรรลุผลงานให้ได้ตามเป้าหมายหรือดีกว่า ด้วยเหตุนี้ มาตรฐานทั้ง 2 จึงได้กำหนดให้มีการคำนึงถึงความเสี่ยงต่อการเบี่ยงเบนจากเป้าหมายในทุก ๆ ครั้ง ที่มีการวางแผนหรือที่เรียกว่า Risk – Based Thinking เหล่านี้คือหลักการสำคัญในการพัฒนาการดำเนินการโครงการสู่คุณภาพและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง อันนำไปสู่การเพิ่มพูนความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ในที่สุด

3.เทคโนโลยีการวางแผนและควบคุมโครงการด้วย PERT / CPM ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ในการวางแผนและควบคุมโครงการเช่นนี้อยู่หลายรายที่เป็นที่ยอมรับในการนำมาใช้บริหารโครงการตามขนาดของโครงการนั้น ๆ ซอฟต์แวร์เหล่านี้จะเป็นแก่นและเครื่องมือสำคัญเพื่อกำหนดทิศทางให้แก่การบริหารงานโครงการตามมาตรฐานการบริหารข้างตน ช่วยทำให้ผู้บริหารโครงการทราบถึงกระบวนการ หรืองานต่าง ๆ ที่จะต้องดำเนินการตามลำดับพร้อมทั้งความสัมพันธ์ในแต่ละงาน และกำหนดเวลาการเริ่มและเสร็จ รวมถึงทรัพยากรที่ใช้ในแต่ละงานของโครงการ สามารถทราบถึงสถานะความก้าวหน้า หรือความล่าช้าในงานต่าง ๆ และผลการทบต่อความสำเร็จของงานทั้งหมด พร้อมทั้งทราบถึงการจัดการเพื่อการเร่งรัดให้โครงการเสร็จตามเป้าหมาย ด้วยการจัดสรรทรัพยากรทั้งแรงงานและเครื่องจักรให้เพียงพอโดยเฉพาะงานที่เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของโครงการ หรือ Critical Path ได้ทันเวลา

4.การใช้ระบบงบประมาณ (Budgeting) และระบบการวางแผนทรัพยากร (Enterprise Resource Planning-ERP) ระบบนี้จะทำให้ผู้บริหารโครงการทราบถึงสถานะเงินสดหมุนเวียนและค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในโครงการตลอดเวลา ทำให้สามารถความคุ้มค่าใช้จ่ายและพิจารณาในการเพิ่มทรัพยากร เพื่อแลกกับกับผลลัพธ์ที่ได้ในการเร่งรัดงานให้ได้ตามเป้าหมาย ทำให้สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดในการบริหารโครงการตามสัญญาได้อีกด้วย

ทั้งนี้ ระบบการบริหารดังกล่าว นอกจากจะสามารถใช้ในการบริหารภายในแล้ว เจ้าของงาน, ผู้ลงทุน หรือที่ปรึกษาโครงการในปัจจุบัน โดยเฉพาะที่เป็นเงินลงทุนจากนานาชาติ หรือการลงทุนที่มีธนาคารสนับสนุน ก็มักจะกำหนดให้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้เข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างโครงการ เพื่อเป็นหลักประกันความสำเร็จของงานอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การนำระบบและเทคโนโลยีใหม่มาใช้อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น เจ้าของกิจการอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับใช้ระบบและเทคโนโลยีใหม่ ให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมขององค์กรอย่างแยบยล (Customization) ด้วยความความเชื่อมั่นและศรัทธาในระบบ เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ จากผู้บริหารระดับสูง หรือเจ้าของกิจการเอง ตลอดจนความร่วมมือจากผู้ปฏิบัติงานในองค์กรทุกคน ในขณะเดียวกันก็ต้องอดทนกับการปรับตัวขององค์กรเพื่อให้เข้ากับระบบเทคโนโลยีและวัฒนธรรมใหม่ขององค์กรอีกด้วย

ในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทุกธุรกิจก็ต้องแข่งขันกันมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจก่อสร้าง แม้ว่าจะมีโครงการก่อสร้างในประเทศเราเกิดขึ้นอย่างมากในอนาคต แต่ก็มีผู้แข่งขันหน้าใหม่ที่แข็งแกร่งจากต่างประเทศเข้ามารับงานในประเทศเรามากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นผู้รับเหมาไทยควรจะต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือบริบททางธุรกิจในปัจจุบันจึงสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน

ถึงเวลาตัดสินใจแล้วหรือยังที่จะพัฒนานำระบบและเทคโนโลยีใหม่ที่ให้ประสิทธิผลมากกว่า มาใช้ในการทำงานก่อนที่จะสายเกินไป.

 

 

“โฮมโปร” ปลุกกำลังซื้อปลายปี ขยายมินิสโตร์ “HomePro S” เพิ่ม 2 สาขา

alivesonline.com : “โฮมโปร” บุกตลาดปลายปี 61 ขยายสาขาใหม่ “HomePro S” สาขา SENA fest เจริญนคร และ เกตเวย์ แอท บางซื่อ คอมมูนิตี้มอลล์ใหม่ย่านฝั่งธนบุรี ตอบสนองความต้องการกลุ่มคนรักบ้าน ดันจุดเด่น 3S “Smart – Select – Service” สร้างสรรค์บริการใหม่ เพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า เพิ่มประสบการณ์การชอป 4.0 ทั้ง Shop Online และ Click & Collect เลือกกำหนดช่วงเวลาการรับสินค้า พร้อมเติมทางเลือกเดลิเวรี่ให้ชีวิตง่ายขึ้น จัดเต็มเมนูโปรโมชั่นลดราคาสุด ช็อกสูงสุดกว่า 60% พ่วง 6 โปรแรง หวังต่อยอดกำลังซื้อฝั่งธนฯ มุ่งกวาดรายได้ต่อสาขากว่า 10 ล้านบาทต่อเดือน

น.ส.สิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจรูปแบบใหม่คือ “HomePro S” มินิสโตร์ที่ครบครันไปด้วยสินค้าตกแต่งบ้าน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าได้มีตัวเลือกเพิ่มความสะดวกสบายในการซื้อสินค้ามากขึ้น รวมถึงสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนรักบ้านทุกกลุ่มได้อย่างครบถ้วน โดยเน้นจุดเด่น 3S คือ “SMART” สะดวก ชอปง่าย สบาย ใกล้บ้าน มีเส้นทางขนส่งสาธารณะเข้าถึงง่าย “SELECT” คัดสรรสินค้าตรงใจคุณ ตอบโจทย์ทุกความต้องการเรื่องบ้าน ทั้งซ่อมแซม ต่อเติม ตกแต่ง และ D.I.Y. “SERVICE” ครบครันทุกบริการเพื่อคนรักบ้านเช่นเดียวกับสาขาใหญ่

HomePro S ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่คนรักบ้านให้เสียงตอบรับเป็นอย่างดี โดยในปี 2561 บริษัทฯ ได้ขยายสาขาไปแล้ว 3 สาขาคือ The Paseo Park กาญจนาภิเษก, บิ๊กซี บางนา และ Market Place นางลิ้นจี่ ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยในเดือน พ.ย.ศกนี้ จะยังคงเดินหน้าเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงทุกสินค้าตกแต่งบ้าน พร้อมเปิดรับความสะดวกสบายและบริการรูปแบบใหม่ที่จะมาสร้างสรรค์ให้ทุกการใช้ชีวิตง่ายยิ่งขึ้น

สำหรับ HomePro S สาขา SENA fest เจริญนคร ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ในคอมมูนิตี้มอลล์ใหม่ย่านฝั่งธนบุรี บนทำเลทองติด ถ.เจริญนคร กลางภาพบรรยากาศแสงสีเมืองกรุง สะท้อนความสวยงามไปกับทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าถึงง่ายใกล้กับสถานีขนส่งมวลชนอย่าง รถไฟฟ้า BTS สถานีกรุงธนบุรี เป็นการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ตอบรับการขยายตัวของกำลังซื้อฝั่งธนบุรี

ส่วน HomePro S สาขา เกตเวย์ แอท บางซื่อ ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ในคอมมูนิตี้มอลล์ที่เป็นศูนย์กลางด้านการบริการอย่างครบวงจร เพื่อรองรับกำลังซื้อตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และชีวิตประจำวันของผู้ที่อยู่อาศัยย่านบางซื่อ อีกทั้งยังเปิดให้บริการ “The Power Life” ศูนย์รวมภาพ เสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบอีกด้วย

น.ส.สิริวรรณ กล่าวด้วยว่า HomePro S ทั้ง 2 สาขานี้จะสามารถเติมเต็มทุกความต้องการเรื่องตกแต่งบ้าน ให้ครบจบในที่เดียว ด้วยบริการที่ง่าย สะดวกสบาย เข้าถึงประสบการณ์การชอปแบบ 4.0 เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินค้ารูปแบบออนไลน์อย่าง Shop Online และ Click & Collect บริการออนไลน์ที่สามารถเลือกกำหนดช่วงเวลารับสินค้าและสาขาที่สะดวกใกล้บ้านได้ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือบริการจัดส่งถึงมือแบบเดลิเวรี่

“การขยาย HomePro S ทั้ง 2 สาขาในช่วงปลายปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายต่อสาขาได้กว่า 10 ล้านบาทต่อเดือนและจะเป็นอีกหนึ่งแลนมาร์คใหม่สำหรับคนรักบ้านและสมาชิกครอบครัว “โฮมโปร” ที่ครบครันไปด้วยสินค้าและบริการ เพิ่มความสะดวกสบาย ใกล้บ้าน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพิ่มประสบการณ์ชอปอัดแน่นโปรโมชั่นสุดฮอต โดนใจทั้งปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Call Center หมายเลข 1284 และ www.homepro.co.th FB : homeprothailand” น.ส.สิริวรรณ กล่าวในตอนท้าย

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำความพิเศษสุดในช่วงฉลองเปิดสาขาใหม่ให้คนรักบ้านได้ชอปเพลินไปตาม ๆ กัน “โฮมโปร” จึงยกขบวนสินค้าเรื่องบ้านราคาซูเปอร์ช็อก ลดราคาสูงสุดถึง 60% พร้อมจัดโปรแรงสุดโดนมา เสิร์ฟต่อคอมโบความสุขให้ช้อปต่อเนื่องไม่มีสะดุดต่อเนื่องถึง 6 โปรแรง ดังนี้

โปรแรง 1 ลุ้นซื้อสินค้าราคาพิเศษ เล่นใหญ่กว่าใคร ไม่ว่าจะเป็น SAMSUNG LED TV 43 นิ้ว ราคาเพียง 8,900 บาท หรือไมโครเวฟ SAMSUNG 23L เหลือเพียง 1,290 บาท

โปรแรง 2 ช้อปครบ…รับฟรี กับบัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่าสูงสุดถึง 4,000 บาท เมื่อชอปครบ 100,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 1,000 บาท เมื่อชอปครบ 40,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 400 บาท เมื่อชอปครบ 20,000 บาท

โปรแรง 3 สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าบัตรโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ชอปง่ายๆ ได้รับส่วนลดทันที 3% พร้อมฟินกว่าเดิม ด้วยสิทธิ์รับเครดิตเงินคืนเพิ่มอีก 2%

โปรแรง 4 รับเพิ่มคูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จไปชอปต่อเพลิน ๆ มูลค่า 100 บาท เมื่อชอปครบ 3,000 บาทขึ้นไป ต่อใบเสร็จ

โปรแรง 5 สำหรับคนรักบ้านตัวจริง เพียงสมัครสมาชิกบัตรโฮมการ์ดใหม่ รับฟรีทันที 100 คะแนน เติมเต็มความสุขยิ่งขึ้น เมื่อร่วมเป็นครอบครัวโฮมโปร เพียงลงทะเบียนกับ HomePro @Line Connect ก็รับคะแนนเพิ่มทันที 500 คะแนน!!

โปรแรง 6 ชอปสะดวก ผ่อนสบายทั้งร้าน 0% กับบัตรเครดิตชั้นนำ อาทิ บัตรเครดิตธนาคารกรุงศรี, ไทยพาณิชย์, ธนชาต, กสิกรไทย, กรุงเทพ, กรุงศรีเฟิร์สช้อย, KTC, UOB, TMB

นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษอีกมากมายสำหรับลูกค้าบัตรสมาชิกโฮมการ์ด Shop Weekday Fin Verr ชอปวันธรรมดา จันทร์-ศุกร์ รับเลยคะแนนโฮมการ์ด คูณ 3 เท่า Shop Surprise Weekend ชอปสนุกทุกเสาร์-อาทิตย์ ลุ้นรับของรางวัลมากมายเพียงชอปสินค้าทุก 2,000 บาท Happy Point แลกคะแนนสะสมโฮมการ์ดเท่ายอดซื้อลดเพิ่มสูงสุด 15%

 

 

 

9 เดือนแรก “เจ้าพระยามหานคร” ทำกำไรพุ่ง 439 ล้านบาท

alivesonline.com : ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ “เจ้าพระยามหานคร” โชว์ผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรก ปี 61 มีรายได้กว่า 1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผล 7 สตางค์ต่อหุ้น วันที่ 30 พ.ย.ศกนี้ เผยไม่ได้ผลกระทบจากนโยบาย LTV ของแบงก์ชาติ เพราะเน้นลูกค้าพักอาศัยเอง เดินหน้าพัฒนาโครงการต่อ 10 แห่ง มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท

นายแพทย์วิเชียร แพทยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กล่าวภายหลังพิธีเปิดการซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์ MAI เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า การนำหุ้น IPO ของบริษัทฯ ราคา 3.00 บาท เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ MAI เป็นวันแรก เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบสนองที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย โดยบริษัทฯ ได้จำหน่ายหุ้น IPO ประมาณ 30% ให้นักลงทุนสถาบันชั้นนำของไทย อาทิ กองทุน MFC และกองทุน KTAM และกลุ่มผู้บริหารได้นำหุ้นเดิม ติดไซเลนท์พีเรียดเต็มโควตา 55% และยืนยันจะไม่ขายหุ้นในส่วนที่ไม่ติดไซเลนท์พีเรียด โดยบริษัทฯ ได้วางแผนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 10 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมสูงขึ้น และเพื่อให้รายได้มีการเติบโตต่อเนื่อง

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่ 1,058 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้น 633 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึงเท่ากับ 42% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่ 439 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 165% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่ 70 ล้านบาท ยิ่งกว่านั้นอัตรากำไรสุทธิยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะคือ เพิ่มกว่าหนึ่งเท่าตัวเป็น 12.03% จาก 5.83%

บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่า ผลประกอบการในปี 2561 จะเติบโตตามเป้าหมาย และเพื่อเป็นของขวัญต้อนรับผู้ถือหุ้นใหม่ที่ให้ความเชื่อมั่นลงทุนในหุ้น IPO ของ CMC คณะกรรมการบริษัทฯ ได้พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการในรอบ 9 เดือนแรกและกำไรสะสม จำนวน 7 สตางค์ต่อหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกราย โดยวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผล (Record Date) คือวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561

นายแพทย์วิเชียร กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ไม่ได้ผลกระทบจากนโยบาย LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทฯ มุ่งเน้นลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยในราคาขายประมาณ 2-4 ล้านบาท ซึ่งลูกค้ามักจะซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังแรก จึงคาดว่ายอดขายทั้งในปี 2561 และ 2562 จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2562 มั่นใจว่าจะมีผลประกอบการที่เติบโตจากการรับรู้รายได้ของโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอนและโครงการระหว่างก่อสร้างมูลค่ากว่า 5,538 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ กำลังออกโปรโมชั่นกระตุ้นการขาย

ทั้งนี้ CMC ถือว่าประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยมากว่า 24 ปี มีการดำเนินการที่ครบวงจรครอบคลุมถึงงานก่อสร้าง การผลิตวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างต่าง ๆ อาทิ แผ่นอาคารสำเร็จรูปภายนอก เฟรมกระจกและประตูอลูมิเนียม และผนังอาคารภายใน EPS การผลิตเฟอร์นิเจอร์บิลด์อิน และการจัดหาอุปกรณ์เพื่อใช้และสร้างมูลค่าเพิ่มในโครงการ ทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในระดับประมาณ 40% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

 

เปิดตัว “บัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ” เจาะกลุ่มคนรักไลฟ์สไตล์สุดหรูแบบญี่ปุ่น

alivesonlines.com : “กรุงศรี คอนซูมเมอร์” ผู้นำธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล จับมือห้างสรรพสินค้าสุดหรูจากประเทศญี่ปุ่น “สยาม ทาคาชิมายะ” ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจครั้งสำคัญเปิดตัว บัตรเครดิต “สยาม ทาคาชิมายะ” ชูสิทธิประโยชน์สุดพิเศษ ทั้งส่วนลดและคะแนนสะสมจากร้านค้าชั้นนำ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรที่ห้างฯ เจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบแบรนด์ชั้นนำจากญี่ปุ่น ตั้งเป้าบัตรใหม่ 1 ใบ ยอดใช้จ่าย 5 พันล้านบาท ภายใน 5 ปี

นายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ “กรุงศรี คอนซูมเมอร์” เปิดเผยว่า บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในฐานะสมาชิกของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ( MUFG) กลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก ได้รับความไว้วางใจ ห้างสรรพสินค้า “สยาม ทาคาชิมายะ” ห้างสรรพสินค้าชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ให้เป็นผู้ให้บริการทางการเงินด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตร่วม (Co-branded Card) บัตรเครดิต “สยาม ทาคาชิมายะ”

การออกบัตรเครดิตร่วมในครั้งนี้จะช่วยตอบโจทย์ให้กับผู้ที่ชื่นชอบแบรนด์สินค้าจากญี่ปุ่นและไลฟ์สไตล์แบบญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี เนื่องจากจะมอบอิสระในการใช้จ่ายแบบสุดคุ้มกับสิทธิประโยชน์หลากหลาย อาทิ รับส่วนลดสูงสุด 10% ที่ห้างสรรพสินค้า “สยาม ทาคาชิมายะ” ในประเทศไทย, รับคะแนนสะสม “สยาม ทาคาชิมายะ พอยท์” สูงสุด 10 เท่า เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร ณ ร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำที่ร่วมรายการในห้างฯ โดยคะแนน “สยาม ทาคาชิมายะ พอยท์” ทุก ๆ 800 คะแนนสามารถนำไปแลกรับส่วนลด 100 บาทที่ห้างสรรพสินค้า “สยาม ทาคาชิมายะ” และรับส่วนลดสูงสุด 5% ที่ “ห้างสรรพสินค้า ทาคาชิมายะ” ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เวียดนาม และจีน โดยตั้งเป้าจะเจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์สุดหรูแบบญี่ปุ่น ทั้งการชอปปิ้งสินค้าแฟชั่น ร้านอาหาร และซูเปอร์มาร์เก็ต โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และบริเวณฝั่งธนบุรี

บัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ มี 3 ประเภท ได้แก่ บัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ วีซ่า/เจซีบี (Siam Takashimaya Credit Card VISA/JCB), บัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ ไฟน์เนส (Siam Takashimaya Credit Card Finest), และบัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ ไฟน์เนส – อินวิเทชั่น โอนลี่ (Siam Takashimaya Credit Card Finest – Invitation Only) โดยนอกจากส่วนลดที่ห้างฯ ทั้งในและต่างประเทศ และคะแนนสะสม “สยาม ทาคาชิมายะ พอยท์” จากการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ที่ห้างฯ แล้ว สมาชิกบัตรฯ ยังจะได้รับสิทธิพิเศษในฐานะ สมาชิกบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี สำหรับการใช้จ่ายนอกห้าง เช่น ทุกการใช้จ่าย 25 บาท รับคะแนนสะสม กรุงศรี โบนัส 1 คะแนน ซึ่งสามารถใช้แลกรับของกำนัลในรายการกรุงศรี โบนัส , รับเครดิตเงินคืน 1-3% เมื่อเติมน้ำมันครบทุก ๆ 800 บาท/เซลล์สลิปตามเงื่อนไขที่กำหนด ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากที่ร่วมรายการ

สำหรับสมาชิกบัตรเครดิต “สยาม ทาคาชิมายะ ไฟน์เนส – อินวิเทชั่น โอนลี่” ยังได้รับสิทธิพิเศษบริการห้องรับรองพิเศษ “สยาม ทาคาชิมายะ วีไอพี เลานจ์” และบริการที่จอดรถสำรองพิเศษที่ห้างสรรพสินค้า “สยาม ทาคาชิมายะ” อีกด้วย รายละเอียด สอบถามได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าบัตรเครดิตกรุงศรี โทร.0 2646 3555 หรือ www.krungsricard.com/stkcard

ด้าน นายสมหวัง โตรักตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวเสริมถึงการส่งเสริมการตลาดในช่วงเปิดตัวบัตรเครดิต “สยาม ทาคาชิมายะ” ว่า บัตรเครดิต “สยาม ทาคาชิมายะ” มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมาย อายุตั้งแต่ 30 – 49 ปี ผู้ชื่นชอบแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงร้านอาหารระดับพรีเมียมจากประเทศญี่ปุ่น สำหรับในช่วงเปิดตัวบัตร บริษัทฯ จะเน้นช่องทางสาขาในห้างสรรพสินค้า “สยาม ทาคาชิมายะ” ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสมัครและทราบผลการอนุมัติบัตรได้ใน 30 นาที รวมถึงช่องทางอื่น ๆ เช่น สาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และช่องทางออนไลน์

“ในช่วงเปิดตัวบัตร บริษัทฯ ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ เช่น มอบส่วนลดพิเศษ 10% สำหรับทุกหน้าบัตร ตั้งแต่วันที่ 10–18 พ.ย.61 และรับส่วนลดรวมสูงสุด 22% เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไขที่กำหนด ตั้งแต่ 8 พ.ย.61 ถึงวันที่ 31 ม.ค.62 และเมื่อสมัครและใช้จ่ายผ่านบัตรครบ 5,000 บาทใน 30 วัน รับกระเป๋าเป้ Anello มูลค่า 1,990 บาท  ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่า จะมียอดบัตรใหม่ 1 แสนใบ และยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 5 พันล้านบาท ภายใน 5 ปี”

 

“ชิค รีพับบลิค” ผนึกพันธมิตรอเมริกันขยายฐานลูกค้าเฟอร์นิเจอร์ระดับบน

alivesonline.com : ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ แบรนด์หรู “ชิค รีพับบลิค” จับมือพันธมิตรแบรนด์ดังระดับโลก “แอชลีย์” ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่จากสหรัฐอเมริกา โชว์จุดเด่นสินค้าอเมริกันสไตล์ดีไซน์เรียบหรูมีเอกลักษณ์ ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่น ใช้งบเกือบ 10 ล้านบาทปรับพื้นที่ร้านทั้ง 4 สาขาโซนจัดแสดงสินค้า “แอชลี่ย์” โดยเฉพาะ พร้อมเตรียมขยายสาขาภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรฯ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ “แอชลี่ย์” ในวงกว้าง

นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ CHIC ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้านและของใช้ในบ้านในรูปแบบร้านค้าเดี่ยวภายใต้แบรนด์ “ชิค รีพับบลิค” (CHIC) และ“ริน่า เฮย์” (RINA HEY) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ร่วมมือกับพันธมิตรจากสหรัฐอเมริกา “แอชลีย์” (Ashley) แบรนด์ชั้นนำระดับโลก ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ที่สุดที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในสหรัฐอเมริกา โดยสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของ “แอชลีย์” ที่นำเข้ามาจำหน่ายภายในร้าน “ชิค รีพับบลิค” จะอยู่ภายใต้แนวคิด “Ashley Furniture Home Store” สะท้อนไลฟ์สไตล์ที่มีความทันสมัยแบบอเมริกันสไตล์ ประกอบไปด้วยสไตล์ต่าง ๆ อาทิ Vintage Casual, Mane+Mason, Urbanology, Contemporary Living, New Traditions, Family Space เป็นต้น

เฟอร์นิเจอร์ “แอชลีย์” เน้นการดีไซน์สวยหรูมีเอกลักษณ์แบบอเมริกันสไตล์ ด้วยกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานสูง จึงสามารถมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย อีกทั้งมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทั้งยังสามารถตอบโจทย์การตบแต่งและการใช้งานภายในบ้านได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น โฮมออฟฟิศ ห้องอเนกประสงค์ ห้องเด็ก ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องน้ำ ลานกลางแจ้ง เป็นต้น โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์มากกว่า 10 กลุ่ม อาทิ เตียง ตู้ ชั้นวาง โต๊ะทำงาน โต๊ะรับประทานอาหาร โซฟา ลิ้นชัก ชั้นวางทีวี เป็นต้น

เบื้องต้น “ชิค รีพับบลิค” จะนำผลิตภัณฑ์เข้ามาวางจำหน่ายใน 2 ช่องทางคือเว็บไซต์ www.chicrepublicthai.com และร้านค้าทั้ง 4 สาขาคือ บางนา ประดิษฐ์มนูธรรม ราชพฤกษ์ และพัทยา ซึ่ง “ชิค รีพับบลิค” ได้ปรับพื้นที่ของทุกสาขาประมาณ 1 พันตารางเมตรให้เป็นโซนแสดงสินค้าเฉพาะของ “แอชลีย์” โดยใช้งบประมาณในการปรับปรุงสาขาละประมาณ 1.5-2 ล้านบาท

สำหรับแผนการตลาดเบื้องต้นบริษัทฯ จะนำเข้าสินค้าของแบรนด์ “แอชลีย์” ประมาณ 300-400 รายการสินค้าจากโรงงานที่ได้มาตรฐานการผลิตในเวียดนาม และจีน ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ตั้งงบประมาณการตลาด 3-5% ของยอดขายทั้งหมดเพื่อสร้างการรับรู้ให้กลุ่มลูกค้า โดยจะเน้นสร้างแบรนด์ผ่านการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ได้แก่ การขายผ่านเว็บไซต์ และการขยายร้านค้าไปยังหัวเมืองต่าง ๆ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ และอุดรธานี ใช้งบลงทุนราว 220-250 ล้านบาทต่อสาขา

“ภาพรวมธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในช่วงที่เหลือของปี 61 จนถึงปี 62 คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน เนื่องจากผู้บริโภคในกลุ่มนี้มีความมั่นใจในการใช้จ่ายมากขึ้น ขณะที่โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับบนทั้งแนวราบและแนวสูงคาดว่าจะเปิดตัวมากขึ้น ปัจจัยดังกล่าวจึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการเลือกซื้อของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ”

ด้าน นาย Todd Wanek ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “แอชลีย์” กล่าวว่า “แอชลีย์” มีประสบการณ์ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์และได้รับการยอมรับของประเทศทั่วโลกมายาวนานกว่า 70 ปี ปัจจุบันมีสาขาครอบคลุมกว่า 850 สาขาทั่วโลก การตัดสินใจร่วมมือกับ “ชิค รีพับบลิค” เพราะเห็นว่าเป็นพันธมิตรที่มีศักยภาพ ด้วยรูปแบบของสาขาที่เป็นโฮมแฟชั่นสโตร์ที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ และมีฐานลูกค้าตรงกัน จึงเท่ากับเป็นการช่วยส่งเสริมการขยายตลาดใหม่ให้เกิดการตอบรับที่ดี เพราะบริษัทฯ มองเห็นโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของตลาดในประเทศไทยที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มความต้องการใช้งานเฟอร์นิเจอร์สูง ทั้งยังมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงในรูปแบบอเมริกันสไตล์จะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บนในตลาดประเทศไทยจนสามารถเพิ่มยอดขายให้เติบโตได้อย่างแน่นอน

JD CENTRAL โชว์สถิติความสำเร็จแคมเปญ 11.11

alivesonline.com : แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ JD CENTRAL ประกาศความสำเร็จหลังจากเปิดตัวไปเพียงแค่ 1 เดือน ด้วยสถิติที่น่าสนใจจากแคมเปญสุดยิ่งใหญ่แห่งปี 11.11 CRAZY HOT SALE ด้วยยอดสั่งซื้อรวมพุ่งสูงถึง 1,100% ในวันที่ 11 พ.ย.61 พร้อมตัวเลขยอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 850% นับตั้งแต่วันเปิดตัว

น.ส.รวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด JD CENTRAL ผู้ดำเนินธุรกิจอี-คอมเมิร์ซโดยการร่วมมือของ บริษัท เซ็นทรัลกรุ๊ป จำกัด และ JD.com ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เปิดเผยว่า จากการจัดแคมเปญ 11.11 CRAZY HOT SALE เมื่อวันที่ 1-11 พ.ย.ที่ผ่านมา ถือว่ามีได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดีมากมาก ทั้งยังถือเป็นแคมเปญใหญ่ครั้งแรกหลังจากที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา

“เราไม่ได้เพียงแค่ทำโปรโมชั่นและโปรโมตแบรนด์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังสร้างคอนเทนต์ที่ไม่ได้เน้นการขายสินค้าเพียงอย่างเดียว ทำให้แบรนด์ JD Central เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น ในขณะที่สินค้าจากประเทศไทยที่นำไปจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม JD.com ยังได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อชาวจีนอย่างมาก แคมเปญนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่ทำให้สามารถได้สื่อสารกับผู้บริโภคอย่างจริงจัง และทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าสินค้าทุกชิ้นบนแพลตฟอร์มของเราคือสินค้าดัมีคุณภาพ”

สำหรับสถิติต่าง ๆ ที่น่าสนใจของแคมเปญ 11.11 CRAZY HOT SALE ตั้งแต่วันที่ 1-11 พ.ย.ที่ผ่านมา มีดังนี้

1.ยอดรวมมูลค่าสินค้าที่ซื้อขาย (GMV) ในวันที่ 11 พ.ย.61 พุ่งสูงขึ้นถึง 1100% นับตั้งแต่วันเปิดตัว

2.ตัวเลขยอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 850% นับตั้งแต่วันเปิดตัว

3.ใช้เวลาเพียงแค่ 39 นาทีในการทุบสถิติคำสั่งซื้อเฉลี่ยต่อวันนับตั้งแต่วันเปิดตัว

4.กว่า 92.5% ของผู้ใช้ทั้งหมด สั่งซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือ

5.JD CENTRAL Global Official Flagship Store หรือร้านจำหน่ายสินค้าไทยคุณภาพที่เป็นที่นิยมที่สุดบนเว็บไซต์ JD.com มียอดการสั่งซื้อพุ่งสูงขึ้นถึง 600% นับตั้งแต่วันเปิดตัว

6.สินค้ายอดนิยมบน JD CENTRAL Global Official Flagship Store 5 อันดับแรก ได้แก่ มาสก์บำรุงหน้า, รังนก ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า และหมอนยางพารา

7.คำสั่งซื้อที่ดำเนินการรวดเร็วที่สุดใช้เวลาเพียงแค่ 37 นาที นับตั้งแต่กดสั่งซื้อจนสินค้าถึงมือลูกค้า โดยลูกค้าสั่งซื้อสินค้าเวลา 13.44 น. สินค้าออกจากคลังสินค้าเวลา 14.00 น. และลูกค้าได้รับสินค้า 14.21 น.

8.หมวดหมู่สินค้ายอดนิยม 5 อันดับแรกของผู้ซื้อชาวไทย ได้แก่ โทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต ผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าในบ้านและของใช้ในบ้าน และสินค้าแฟชั่น

9.กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มียอดคำสั่งซื้อมากที่สุด โดยคิดเป็น 40% ของยอดคำสั่งซื้อทั้งหมดในประเทศ

10.5 จังหวัดแรกที่มียอดสั่งซื้อมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ นครปฐม สมุทรปราการ นนทบุรี และปทุมธานี ตามลำดับ

11.เขตที่มียอดสั่งซื้อเยอะที่สุดในกรุงเทพฯ ได้แก่ บึงกุ่ม จตุจักร และดินแดง ตามลำดับ

 

น.ส.รวิศรา กล่าวด้วยว่า JD CENTRAL มีนโยบายนำเสนอสินค้าคุณภาพของแท้ 100% จากแบรนด์ชั้นนำทั้งของไทยและระดับโลกในราคาที่ดีที่สุด รวมไปถึงระบบจัดการสินค้าและการจัดส่งระดับโลกที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเชื่อถือได้ พร้อมกับการผสานธุรกิจจากออนไลน์ไปยังออฟไลน์อย่างยอดเยี่ยม โดยมีวิสัยทัศน์ในการมุ่งสู่การเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจออนไลน์และเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในประเทศไทย

“JD CENTRAL พร้อมสร้างสรรค์ประสบการณ์ชอปปิ้งที่สนุกสนานและมั่นใจไร้กังวลให้ทุกคน ทั้งยังมุ่งที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีไทยในตลาดโลก และจะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับโครงสร้างด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมมาตรฐานโลก พร้อมส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคตอันใกล้อีกด้วย”