ไทยยืนหนึ่งศูนย์กลาง “มาตรฐานไมซ์”

alivesonline.com : “ทีเส็บ” เดินหน้าผลักดันประเทศไทยเป็น “สถาบันองค์ความรู้ไมซ์ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เปิดศักราชปี 2563 มุ่งสร้างมาตรฐานให้อุตสาหกรรมไมซ์ไทยอย่างยั่งยืน สร้างผู้ประกอบการที่มีมาตรฐานสูงทุกสาขา เสริมความสามารถทางการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยในงาน “MICE Standards Day 2020” ว่า นอกเหนือจากการดึงงาน (WIN) ประชาสัมพันธ์ (PROMOTE) ยังมีอีกพันธกิจสำคัญคือ ด้านการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์ (DEVELOP) เพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้แข่งขันได้ในระดับสากล โดยวางเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาไมซ์แห่งอาเซียนและเป็นศูนย์กลางธุรกิจไมซ์ในภูมิภาคเอเชียด้วยมาตรฐานสากล ตลอดจนเป็นผู้นำของการจัดงานอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย

“ทีเส็บ” จึงตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทย จัดตั้ง “สถาบันองค์ความรู้ไมซ์ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (ASEAN MICE Institute) เพื่อเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดรับรองมาตรฐานต่าง ๆ รวมถึงออกแบบหลักสูตรพัฒนาผู้ประกอบการไมซ์ทั้งระดับบุคคลและองค์กรให้มีศักยภาพที่แข่งขันได้ในระดับนานาชาติ โดยบริหารงานและอยู่ภายใต้การกำกับของ “ทีเส็บ” เป็นสถาบันที่ให้องค์ความรู้ไมซ์แบบครบวงจร เพื่อพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยและอาเซียนแก่บุคลากรและองค์กรที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุตสาหกรรมไมซ์

(จากซ้ายไปขวา) พลตรี ธนณัฐ ยังเฟื่องมนต์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวกองทัพบก นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ “อพท.” นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” นายอุปถัมป์ นิสิตสุขเจริญ นายกสมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน และนางศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาและนวัตกรรม “ทีเส็บ”

ปัจจุบัน “ทีเส็บ” พัฒนามาตรฐานต่าง ๆ โดยมีผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย หรือ Thailand MICE Venue Standard (TMVS) รวมทั้งสิ้น 453 แห่ง แบ่งเป็นประเภทห้องประชุม 397 แห่ง มีจำนวน 1,083 ห้อง ประเภทสถานที่จัดงานแสดงสินค้า 25 แห่ง มีจำนวน 29 ฮอลล์ และประเภทสถานที่จัดกิจกรรมพิเศษ 31 แห่ง นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสถานที่จัดงานอาเซียน หรือ ASEAN MICE Venue Standard (AMVS) ประเภทห้องประชุมทั้งสิ้น 53 แห่ง มาตรฐานการบริหารการจัดงานอย่างยั่งยืน หรือ Thailand Sustainable Event Management Standard (TSEMS) ผ่านการรับรองมาตรฐาน จำนวน 20 แห่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านไมซ์อย่างมืออาชีพ (MICE Professionals) จำนวน 941 ท่าน MICE Coach กว่า 900 ท่าน และชมรมเยาวชนไมซ์ (Student Chapter) จำนวน 17 มหาวิทยาลัย 241 ท่าน

นายจิรุตถ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนพัฒนามาตรฐานไมซ์ ระยะ 5 ปี (ระหว่างปี พ.ศ.2563-2567) “ทีเส็บ” มุ่งเป้าสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไมซ์ทั้งในระดับประเทศและระดับอาเซียนและจะเริ่มดำเนินการในปี 2563 คือ มุ่งเน้นการสร้างแบรนด์การสื่อสารมาตรฐานร่วมกับพันธมิตรที่เป็นผู้ใช้บริการในการทำประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บริการและสถานที่จัดงาน ตลอดจนสร้างผู้ประกอบการไมซ์ อาจารย์ นักเรียน นิสิต นักศึกษาให้ผ่านการรับรองมาตรฐานในหลักสูตรต่างๆ เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไมซ์ในอนาคตต่อไป

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า ล่าสุด “ทีเส็บ” ได้รับความร่วมมือจาก สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวกองทัพบก และ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ในการนำสถานที่ที่สามารถให้บริการพื้นที่การจัดงาน หรือชุมชนที่สามารถรองรับการจัดงานไมซ์ได้เข้าร่วมโครงการตรวจประเมินมาตรฐาน TMVS ประเภทสถานที่จัดกิจกรรมพิเศษ (Special Event Venue) ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีในการขยายจำนวนสถานที่จัดงานที่ได้รับมาตรฐานรับรองครอบคลุมในพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวทั้งในเขตทหารและชุมชนท้องถิ่น เป็นการเพิ่มโอกาสในการกระจายการจัดงานไมซ์สู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

ด้าน พลตรี ธนณัฐ ยังเฟื่องมนต์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวกองทัพบก กล่าวว่า การสร้างมาตรฐานสถานที่จัดงานให้เป็นที่ยอมรับในระดับชาติและนานาชาติจะทำให้องค์กรได้มีการพัฒนาสถานที่จัดงานของตนให้มีมาตรฐาน ถือเป็นเกียรติยศชื่อเสียงขององค์กรที่จะได้รับซึ่งนำมาสู่ความภาคภูมิใจของบุคลากรขององค์กรนั้น ๆ

“การเป็นแบบอย่างที่ดีแก่องค์กรอื่น ๆ เกิดความต้องการการพัฒนาอย่างทัดเทียม เมื่อองค์กรมีสถานที่จัดงานที่มีมาตรฐาน สามารถตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ 20 ปี ในด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันได้”

นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. กล่าวว่า มาตรฐานคือสิ่งที่แสดงถึงคุณภาพและความเป็นมืออาชีพ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวในการเลือกจุดหมายปลายทางทางการท่องเที่ยว ในขณะที่ อพท. มีบทบาทภารกิจในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน จึงมีความยินดีที่จะสนับสนุนและผลักดันแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนที่ผ่านกระบวนการพัฒนาและได้รับการยกระดับสู่มาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชนบนฐานอัตลักษณ์ท้องถิ่นให้มีศักยภาพและความพร้อมสามารถรองรับการจัดงานไมซ์ ได้เข้าร่วมรับการตรวจประเมินมาตรฐานสถานที่จัดกิจกรรมพิเศษ (Special Event Venue) ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีที่จะเพิ่มศักยภาพของชุมชนในการรองรับตลาดกลุ่มไมซ์ อันเป็นตลาดคุณภาพที่จะนำมาสู่การกระจายรายได้สู่ชุมชนพัฒนาคุณภาพชีวิตเศรษฐกิจฐานรากและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งตอบโจทย์นโยบายของรัฐบาลต่อไป

นายอุปถัมป์ นิสิตสุขเจริญ นายกสมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดงานไมซ์ระดับโลก (Global MICE Destination) และการมีมาตรฐาน (Standard) ในสถานที่สำหรับการจัดงานจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมาตรฐานเป็นสิ่งที่ผู้จัดงานทั้งในประเทศและต่างประเทศจะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกสถานที่จัดงานได้

 

“แม็คโคร” ลงนามความร่วมมือพัฒนาศักยภาพบุคลากรธุรกิจค้าปลีก

alivesonline.com : “แม็คโคร” ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งสำคัญ ร่วมกับ 22 สถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศ พลิกโฉมการฝึกงานรูปแบบใหม่ เน้นติวเข้มแรงงานคุณภาพ แถมมีรายได้ระหว่างฝึกงาน 70% ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละพื้นที่ ตอบโจทย์ความต้องการภาคธุรกิจ เพิ่มโอกาสต่อยอดสายอาชีพแบบติดจรวด

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แม็คโคร” ให้ความสำคัญกับ “การพัฒนาบุคลากร” ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้ โดยที่ผ่านมาองค์กรมุ่งเน้นการสรรหาบุคลากรที่มี ศักยภาพที่ใช่ ภายใต้โครงการ “แม็คโครสร้างงาน สร้างอาชีพ” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจค้าส่งค้าปลีกที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งได้มีการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ในโปรแกรมการรับนักศึกษาฝึกงานชั้นปี 3-4 ในด้านโครงสร้างหลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้งานจากประสบการณ์จริงตลอด 16 สัปดาห์ เสมือนเป็นพนักงานทดลองงาน เพื่อให้กลายเป็นแรงงานคุณภาพที่พร้อมทำงานได้ทันที

ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลของ “แม็คโคร” ทำงานเชิงรุกร่วมกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งผลิตบุคลากรป้อนตลาดแรงงาน เพื่อบอกคุณสมบัติที่องค์กรต้องการอย่างชัดเจน จนนำมาซึ่งการลงนามบันทึกความร่วมมือ การส่งเสริมวิชาการและสร้างอาชีพ ร่วมกับ 17 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศในเบื้องต้น และอีก 5 สถาบันการศึกษาในลำดับถัดไป ในการรับนักศึกษาฝึกงานจากภาควิชาเกี่ยวกับการจัดการในห่วงโซ่อาหาร อาทิ วิทยาศาสตร์การอาหาร, เกษตรศาสตร์ (พืชสวน พืชไร่ ประมง สัตวศาสตร์), การจัดการธุรกิจอาหาร  เป็นต้น มาปฏิบัติงาน เรียนรู้ประสบการณ์จริง ในฝ่ายอาหารสด โดยได้รับเบี้ยเลี้ยงเป็นรายวัน คิดเป็นวันละ 70% ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละพื้นที่ อีกทั้งยังมีประกันกลุ่ม คุ้มครองนักศึกษาทุกคนตลอดระยะเวลาการฝึกงานด้วย

นางศิริพร กล่าวอีกว่า โครงการดังกล่าว ยังสร้างโอกาสต่อยอดให้กับนักศึกษาที่ผ่านการฝึกงานทุกคนที่มีศักยภาพพร้อมที่จะเติบโตไปกับธุรกิจของ “แม็คโคร” โดยเมื่อมีตำแหน่งงานว่าง หรือมีความต้องการตำแหน่งงานจะได้รับการติดต่อเชิญเข้าสัมภาษณ์ทันที และยังได้รับโอกาสคัดเลือกเข้าสู่โปรแกรม Operation Trainee ซึ่งเป็นโครงการเฟ้นหาผู้ที่มีความพร้อมเป็นหัวหน้างานระดับต้น (Supervisor) หรือ ผู้จัดการ Section Manager หากมีความโดดเด่น โดยแต่ละปีจะมีอดีตนักศึกษาฝึกงานของ “แม็คโคร” และผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสถาบันต่าง ๆ ทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 600 ราย สมัครเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก ไม่เพียงเท่านั้นหากมีผลงานโดดเด่นยังอาจได้รับเลือกเข้าโครงการพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ของบริษัทอีกด้วย

สำหรับโครงสร้างหลักสูตรพัฒนาศักยภาพนักศึกษาฝึกงานนี้จะแบ่งการเรียนรู้ในฝ่ายอาหารสดเป็น 5 เฟส ประกอบด้วย การเรียนรู้เนื้อหาทั่วไป, เนื้อหาเฉพาะแผนก, หลักการจัดการ, การจัดทำรายงาน, การนำเสนอรายงาน โดยผู้ฝึกงานจะได้เรียนรู้ครอบคลุม ได้รับการอบรม  ทดสอบ เรียนรู้ปัญหาจริงจากการฝึกงานในสาขาต่าง ๆ ทั่วประเทศ พร้อมคิดค้นนวัตกรรมและนำเสนอโครงการ (Project) ตลิดระยะเวลา 16 สัปดาห์ที่ได้ฝึกปฏิบัติจริง โดยเมื่อจบโครงการจะได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองด้วย

นางศิริพร กล่าวในตอนท้ายว่า ในช่วงที่ผ่านมา “แม็คโคร” ได้รับอดีตนักศึกษาที่เคยฝึกงานกับเรา เข้าทำงานต่อไม่น้อยกว่า 70% ซึ่งทุกคนพร้อมลงสนามจริง ทำงานได้ทันที อันเป็นคุณสมบัติสำคัญในการสรรหาพนักงานยุคใหม่ที่ทุกองค์กรต่างก็ต้องการแรงงานคุณภาพที่มีศักยภาพเหมาะสม ตรงกับความต้องการ ซึ่ง “แม็คโคร” เชื่อว่า การให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพพนักงานตั้งแต่เริ่มต้น จะทำให้องค์กรมีความแข็งแกร่ง เติบโตและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

 ทั้งนี้ ปัจจุบัน “แม็คโคร” เป็นธุรกิจค้าส่งระบบสมาชิกที่มีสมาชิกประกอบด้วย ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อย โชห่วย ผู้ประกอบการในธุรกิจอาหาร โรงแรม ธุรกิจจัดเลี้ยง จำนวน 3.3 ล้านราย มีสาขาตั้งอยู่ทั่วประเทศจำนวน 133 แห่ง มีแนวทางธุรกิจที่ชัดเจนในการเป็นศูนย์ค้าส่งครบวงจรเพื่อผู้ประกอบการมืออาชีพที่พร้อมจะสร้างงาน สร้างอาชีพ เติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนไทย

กทปส. ชู “ชุมชนปิล็อก” พื้นที่ต้นแบบพัฒนาโครงการ Digital Literacy

alivesonline.com : “กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ” สานต่อแนวทางการพัฒนาชุมชนภายใต้โครงการ USO Net ชายขอบ มุ่งสร้างโอกาสทางการศึกษาให้คนในชุมชนและส่งเสริมโอกาสทางการค้า รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในพื้นที่ชุมเมือง ต.ปิล็อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

นายนิพนธ์ จงวิชิต ผู้อำนวยการ กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) เปิดเผยว่า การพัฒนาประเทศในยุคปัจจุบันต้องให้ความสำคัญในส่วนของพัฒนาพื้นที่ทั่วประเทศไทยอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะความสำคัญในพื้นที่ชุมชนในต่างจังหวัด หรือพื้นที่ห่างไกล หรืออาจเรียกว่าชุมชนชายขอบของประเทศ ซึ่งการพัฒนาพื้นที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีบทบาทสำคัญ โดยที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้พัฒนาโครงการอินเทอร์เน็ตชายขอบมาแล้วกว่า 3.92 พันหมู่บ้าน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งหวังให้ประชาชนในพื้นที่ชายขอบได้รับการเข้าถึงการบริการด้านโทรคมนาคม เทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้อย่างทั่วถึง อันจะก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ทั้งภาคการศึกษา การสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน และการท่องเที่ยวในพื้นที่

ล่าสุด (กทปส.) ได้จัดตั้งโครงการพัฒนาทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) เพื่อสร้างโอกาสและการค้าให้แก่ชุมชนในพื้นที่ USO Net ชายขอบ ในพื้นที่ชุมชน ต.ปิล็อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ซึ่งถือเป็นการผลักดันศูนย์ต้นแบบ Digital Literacy ของชุมชน พร้อมทั้งออกแบบให้เหมาะสมกับพื้นที่และสังคมในชุมชน เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิต ตลอดจนมุ่งหวังให้เกิดการสร้างโอกาสทางศึกษาให้คนในพื้นที่พร้อมกัน

นายนิพนธ์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน ชุมชนปิล็อก ยังถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แห่งใหม่ของประเทศไทย ซึ่ง กทปส. มั่นใจว่าศูนย์ต้นแบบ Digital Literacy ของชุมชนจะสามารถผลักดันให้เทคโนโลยีและระบบอินเทอร์เน็ตสร้างโอกาสให้ชุมชนและประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร โดยมุ่งหวังว่า ศูนย์ฯ ดังกล่าวจะเป็นการเชื่อมสังคมในชุมชนเข้าถึงกัน เกิดการรวมกลุ่มเกิดการฝึกอบรมมีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง และสามารถเดินหน้าในด้านต่าง ๆ ให้ชุมชนได้ด้วยตัวเองผ่านกระบวนการเรียนรู้ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับวัตถุประสงค์หลักของโครงการฯ คือ มุ่งให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) เพื่อเป็นเครื่องมือในการเปิดโอกาสในการเรียนรู้ ขยายศักยภาพในทางเศรษฐกิจของคนให้กับชุมชน ประชาชนในพื้นที่สามารถให้บริการ USO Net อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในการพัฒนาความรู้ เข้าถึงโอกาสในการสร้างรายได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ขยายช่องทางการค้าขายสินค้า สามารถสานต่อธุรกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นแบบอย่างที่สามารถนําไปพัฒนาหมู่บ้านอื่น ๆ ที่อยู่ภายในเขตบริการ USO Net ได้ในอนาคต

นายนิพนธ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ศูนย์ต้นแบบ Digital Literacy ของชุมชน ต.ปิล็อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ได้ส่งเสริมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (ความเร็วอย่างน้อย 30/5 mbs) พร้อมจัดให้มีบุคลากรประจําศูนย์ อย่างน้อย 2 คน วางแผนจัดทำสื่อการเรียนรู้ประกอบการฝึกอบรมในแต่ละเรื่องในรูปแบบสื่อมัลติมีเดีย หรือสื่ออินโฟกราฟฟิก จำนวนอย่างน้อย 20 สื่อ เผยแพร่ในเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ พร้อมทั้งฝึกอบรมผู้นำชุมชน จํานวนไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง เพื่อสร้างการพัฒนาด้าน Digital Literacy ให้เข้าถึงการศึกษาและการค้า ตลอดจนบริการด้านการท่องเที่ยวให้ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นประตูสู่โอกาสในการเดินหน้าพัฒนาชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ และในอนาคตจะเป็นต้นแบบที่สมบูรณ์สู่พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทยในพื้นที่ห่างไกลและเข้าถึงยากอย่างแน่นอน

 

“นันยางเท็กซ์ไทล์” แตกไลน์ธุรกิจเจาะตลาดดีไซเนอร์

alivesonline.com : กลุ่มบริษัทนันยางเท็กซ์ไทล์ เปิดบัญชียอดขาย 1.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 16% มุ่งสร้าง “อีโคซิสเต็ม”อุตสาหกรรมสิ่งทอและแฟชั่นไทย ตั้ง “HATCH Designer Hub” กลางซอยวัดสน แหล่งค้าส่งผ้ายืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มุ่งวางรากฐานองค์ความรู้ให้กลุ่มดีไซเนอร์และคนรุ่นใหม่ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแฟชั่นของเมืองไทยได้มีโอกาสเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ ๆ ตั้งแต่วัตถุดิบ รูปแบบแพทเทิร์น จนถึงการตัดเย็บ

นายวิบูลย์ ตวงสิทธิสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทนันยางเท็กซ์ไทล์ ผู้นำอุตสาหกรรมสิ่งทอและโซลูชั่นการผลิตเครื่องนุ่งห่มแบบครบวงจรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Textile and Apparel Solutions Provider) มากว่า 62 ปี เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการลงทุนในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันมีโรงงานทั้งหมด 6 แห่งในประเทศไทย สปป.ลาว เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีทั้งคลังสินค้า (Warehouse) และศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ (Distribution Centre : DC) ขนาดใหญ่ โดยมีธุรกิจในเครือรวม 14 บริษัทฯ มีพนักงานกว่า 1.6 หมื่นคน

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังผลิตสิ่งทอ 55% เส้นด้าย 45% คิดเป็นเส้นด้าย 38 ล้านปอนด์ต่อปี ผ้าผืน 2.2 หมื่นตันต่อปี และผลิตเสื้อยืดกีฬาและแฟชั่นให้แบรนด์ชั้นนำระดับโลกมากมาย เช่น NIKE, UNUQLO, OAKLEY, MUJI และอื่น ๆ ประมาณ 40 ล้านตัวต่อปี คิดเป็นสัดส่วนเสื้อยืดกีฬา 80% และเสื้อยืดแฟชั่น 20% โดยในปี 2562 มียอดขายทั้งสิ้น 1.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 16% คาดว่าในปี 2563 จะยังคงรักษาอัตราการเติบโตได้เท่ากับปีที่ผ่านมา

ล่าสุด บริษัทฯ ใช้เงินลงทุนประมาณ 80-100 ล้านบาทจัดตั้ง “HATCH Designer Hub” เป็นอาคารโถงสูงขนาด 3 ชั้นครึ่ง บนพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ คิดเป็นพื้นที่ใช้สอยประมาณ 1.5-2 พันตารางเมตร ในซอยสุขสวัสดิ์ 35 (ซอยวัดสน) ซึ่งเป็นแหล่งค้าส่งผ้ายืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยนอกเหนือจากการเป็นอาณาจักรผ้ายืดนวัตกรรมยุคใหม่สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย และ Knitted Fabric Co-Designer Space แห่งแรกในประเทศไทยแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้เป็นศูนย์บริการด้านความรู้ (Knowledge Center) ตั้งแต่วัตถุดิบ หรือผ้าแต่ละชนิด รูปแบบแพทเทิร์น จนถึงการตัดเย็บเพื่อจัดจำหน่าย โดยเฉพาะเรื่องวัตถุดิบซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป

“ในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนของกลุ่มบริษัทนันยางเท็กซ์ไทล์มักเน้นการขยายโรงงานและขยายธุรกิจในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก แต่การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่พลิกรูปแบบอย่างสิ้นเชิง เพราะต้องการวางรากฐานด้านองค์ความรู้ให้กลุ่มดีไซเนอร์และคนรุ่นใหม่ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแฟชั่นของเมืองไทยได้มีโอกาสเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไป โดยในส่วนของกลุ่มบริษัทนันยางเท็กซ์ไทล์มีการใช้งบประมาณในการวิจัยและพัฒนนาวัตกรรมใหม่ ๆ ปีละประมาณ 200 ล้านบาท จนทำให้มีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดเฉลี่ยเดือนละ 150 ชิ้น”

นายวิบูลย์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังคงมีการส่งออกสิ่งทอเป็นสัดส่วนสูงถึง 80-90% มีมูลค่ารวมประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากประเทศไทยและอินโดนีเซียถือเป็นเพียง 2 ชาติในโลกที่มีอุตสาหกรรมสิ่งทอครบวงจรตั้งแต่การปั่นด้าย ทอผ้าผืน จนถึงการตัดเย็บเสื้อผ้า แต่นวัตกรรมการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปของประเทศไทยติดอันดับโลกสูงกว่าอินโดนีเซีย โดยอยู่ในอันดับใกล้เคียงกับอิตาลี ญี่ปุ่น และไต้หวัน ในขณะที่สถานการณ์ของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสิ่งทอในประเทศไทยอาจกล่าวได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงปรับตัวจากการเข้ามาของอี-คอมเมิร์ซ และปัจจัยอื่น ๆ จนส่งผลให้ต้องมีการทยอยปิดโรงงานมากกว่า 30-40% แต่ผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวได้ก็มีผลการดำเนินงานที่เติบโตเช่นกัน

ในช่วงที่ผ่านมากลุ่มบริษัทนันยางเท็กซ์ไทล์ดำเนินธุรกิจแบบผลิตตามสั่ง (Made-To-Order) เน้นตลาดหลักเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อจำนวนมาก หรือการสั่งซื้อล็อตใหญ่ แต่ด้วยนโยบายขององค์กรที่ต้องการให้ระบบนิเวศน์ (Ecosystem) ของอุตสาหกรรมสิ่งทอและแฟชั่นในประเทศไทยเติบโตไปด้วยกัน ประกอบกับการเห็นถึงความสามารถของคนไทยเจเนอเรชั่นใหม่ ๆ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ไม่แพ้ต่างประเทศและเข้ามาประกอบธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นมากขึ้น การเปิด “HATCH Designer Hub” เพื่อเข้าถึงกลุ่มดีไซน์เนอร์ที่ต้องการใช้วัตถุดิบคุณภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ต้องการเติบโตในธุรกิจเสื้อผ้าให้สามารถเข้าถึงวัตถุดิบคุณภาพทัดเทียมกับแบรนด์ในต่างประเทศจึงถือเป็นการตอบโจทย์ที่ตรงจุด

นายวิบูลย์ กล่าวอีกว่า “HATCH Designer Hub” ได้คัดสรรผ้านวัตกรรมเดียวกับที่จำหน่ายให้แบรนด์ดังต่าง ๆ และเหมาะสมสำหรับการทำตลาดในประเทศนับ 1 พันรายการ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินลงทุนไม่สูงแต่มีเสื้อผ้าหลายรูปแบบให้ลูกค้าได้เลือกสรร โดยตั้งแต่เปิดให้บริการมาประมาณ 5-6 เดือนนั้น ชนิดผ้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Dry-Tech (ดราย-เทค) เพราะสวมใส่สบาย ระบายอากาศดี เหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย และ Syntrel (ซินเทรล) เพราะไลฟ์สไตล์ คนในปัจจุบันใส่ใจเรื่องสุขภาพ ออกกำลังกายมากขึ้นทำให้เสื้อผ้า Sportswear เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยลูกค้า 80% เป็นลูกค้าที่เคยผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายอยู่แล้ว แต่ต้องการลองผ้าชนิดใหม่ที่มีนวัตกรรม ส่วนอีก 20% เป็นผู้ที่ต้องการเริ่มต้นสร้างแบรนด์ของตัวเอง

นายวิบูลย์ กล่าวในตอนท้ายว่า “HATCH Designer Hub” ถูกตั้งเป้าให้เติบโตในเชิงคุณภาพ โดยเราต้องการใช้สถานที่แห่งนี้พัฒนาศักยภาพและสร้างผู้ประกอบการแฟชั่นรุ่นใหม่ให้สามารถแข่งขันในธุรกิจได้อย่างยั่งยืน สร้างโอกาสและเกิดการต่อยอดทางธุรกิจ โดยปีนี้ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการจะสร้างการรับรู้ในเชิงรุก ควบคู่ไปกับการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือสื่อสารสำคัญ เพื่อให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง อาทิ การจัดเวิร์คชอปให้ความรู้และได้เห็นถึงแนวทางการพัฒนาผ้าผืนให้เป็นเสื้อผ้าแฟชั่น กระตุ้นให้เกิดการเข้ามาใช้พื้นที่เป็นแหล่งการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และรวมถึงการ Collaborate กับแบรนด์แฟชั่นชื่อดังและทรงอิทธิพลในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง แฮมเบอร์เกอร์ สตูดิโอ (HAMBURGER STUDIO) และคิว ดีไซน์ แอนด์ เพลย์ (Q Design and Play) การออกคอลเลกชันพิเศษที่ผลิตจากผ้าของ “HATCH Designer Hub” ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบรุ่นใหม่ได้อย่างแน่นอน

สิทธิพิเศษสำหรับคนไทย ! พักฟรืคืนเดียวกับ “Bangkok Booking Bus”

alivesonline.com : Booking.com ผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการเดินทางระดับโลกที่เชื่อมโยงนักเดินทางเข้ากับตัวเลือกที่พักน่าทึ่งหลากหลายประเภท มอบโอกาสสุดพิเศษแก่คนไทยผู้โชคดี “เข้าพักฟรี” บน “Bangkok Booking Bus รถบัสพักได้ ” ที่พักแปลกใหม่โดดเด่นด้วยดีไซน์แบบไทย ณ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สำหรับผู้เข้าพัก 2 ท่าน เพียงคืนเดียวเท่านั้น! เปิดให้จองตั้งแต่ 20 กุมภาพันธ์ เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป

‘มิเชล เกา’ ผู้จัดการประจำภูมิภาคของ Booking.com กล่าวว่า ด้วยพันธกิจที่ต้องการให้ทุกคนได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่พักที่หลากหลายทั่วโลกได้ง่ายดายขึ้น Booking.com จึงภูมิใจที่นำเสนอ “Bangkok Booking Bus รถบัสพักได้” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความเป็นไทย ณ ใจกลางกรุงเทพฯ โดยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะมอบประสบการณ์ที่พักสุดพิเศษ ท่ามกลางบรรยากาศแหล่งชอปปิงยามค่ำคืน รวมถึงการลองลิ้มชิมรสอาหารต่าง ๆ อันหลากหลาย เพื่อให้นักเดินทางของเราได้พบกับประสบการณ์ที่น่าจดจำอย่างแท้จริง ณ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ โดย “Bangkok Booking Bus” เป็นเพียงหนึ่งในประสบการณ์ที่พักสุดพิเศษอีกมากมายที่ลูกค้าของเราสามารถสัมผัสได้ จากตัวเลือกบ้านพัก อพาร์ตเมนต์ และที่พักน่าทึ่งประเภทอื่น ๆ กว่า 6.2 ล้านรายการ บน Booking.com

จากความนิยมเข้าพักในที่พักแปลกใหม่ต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรายงานล่าสุดของ Booking.com ระบุว่า นักเดินทางจำนวนมากขึ้นกำลังมองหาที่พักแปลกใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยากจะลองประสบการณ์การเข้าพักในที่พักรูปแบบต่าง ๆ โดยนักเดินทางชาวไทยมากกว่า 2 ใน 5 (42%) วางแผนจะเข้าพักในที่พักที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครอย่างน้อยสักครั้งหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นการหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองแล้ว ผู้เดินทางยังต้องการทำให้คนรอบตัวรู้สึกประทับใจไปกับตัวเลือกของที่พักในรูปแบบแปลกใหม่ ที่สามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองของผู้เข้าพักได้

 

“Bangkok Booking Bus” จะเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวไทยจองที่พักบน Booking.com ที่เดียวเท่านั้น และเข้าพักได้เพียง 1 คืนในวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563 สำหรับผู้เข้าพัก 2 ท่าน เพียง 1 คืนเท่านั้น ! นับเป็นประสบการณ์สุดพิเศษครั้งหนึ่งในชีวิต ณ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ แหล่งรวมไลฟ์สไตล์และความบันเทิงยามค่ำคืนที่หลากหลาย ทำให้การเข้าพักครั้งนี้น่าประทับใจไม่มีวันลืม

ผู้ได้เข้าพักที่ Bangkok Booking Bus จะได้รับการต้อนรับด้วยชุดกระเช้าของขวัญ พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับการตกแต่งภายในที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางบรรยากาศแห่งมนต์เสน่ห์ของสถานที่อันโดดเด่นของกรุงเทพฯ มาไว้ในที่เดียว ทำให้ทุกช่วงเวลาของการเข้าพักนี้สมบูรณ์แบบและเหมาะแก่การถ่ายรูปอวดลงโซเชียลมีเดีย พร้อมสรรพไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเพื่อการเข้าพักที่แสนสบาย

Bangkok Booking Bus จะเปิดให้เข้าพักได้ในวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563 สำหรับการเข้าพัก 1 คืน ต่อผู้เข้าพัก 2 ท่าน โดยสามารถทำการสำรองที่พักได้ในวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป โดยจะให้สิทธิ์ในการเข้าพักตามลำดับของผู้ที่จองเข้าพักก่อน สามารถจองที่พักบนรถบัสพักได้ที่ https://www.booking.com/hotel/th/booking-bus.html?lang=xu เท่านั้น!

หลังจากที่แขกผู้โชคดีได้เข้าพักที่รถบัสพักได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว Booking.com จะส่งมอบรถบัสพักได้ดังกล่าวให้กับ Local Alike ซึ่งเป็นกิจการเพื่อสังคมสัญชาติไทยด้านการท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาชุมชน และยังเป็นสตาร์ทอัปในโครงการ Booking Booster ปี 2560 ซึ่ง Local Alike จะนำรถบัสพักได้ไปใช้งานเพื่อสานต่อความยั่งยืนต่อไป

สำหรับวิธีการสำรองที่พัก “Bangkok Booking Bus รถบัสพักได้คันแรก” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความเป็นไทย สามารถเข้าไปที่ Booking.com ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป เพื่อลุ้นเข้าพักใน Bangkok Booking Bus ครั้งเดียวในชีวิตของคุณ

ราคาต่อคืน : 2,020 บาท (รับเงินคืนหลังจากเช็คเอาท์)

สถานที่ตั้ง : เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ลานจอดรถ 2 ตั้งอยู่ที่ซอยเจริญกรุง 72-76 ถนนเจริญกรุง แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร 10120

วิธีการสำรองที่พัก : ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ https://www.booking.com/hotel/th/booking-bus.html?lang=xu

“โอกาส” นำองค์กรประสบผลสำเร็จยุคดิจิทัล

alivesonline.com : Bluebik เผยงาน HR คือส่วนงานแรกขององค์กรที่ต้องพบกับคลื่น Digital Disruption ส่งผลให้หลายองค์กรหันมามุ่งทรานส์ฟอร์ม Digital HR เปิดเทรนด์ประเทศไทยและทั่วโลก พบคนส่วนใหญ่หันหน้าสู่อาชีพฟรีแลนซ์มากกว่าทำงานประจำ เพราะสามารถเลือกไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้ ประกอบกับการมี Digital Platform เกี่ยวกับการทำงานใหม่ ๆ ช่วยให้สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งยังพบคนทำงานมีความภักดีต่อองค์กรน้อยลง เปลี่ยนงานบ่อยขึ้น มีแนวโน้มคนวัยเกษียณกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น ส่งผลงานด้าน HR ต้องตั้งรับการเปลี่ยนแปลงด้วย 3 แนวทาง แนะองค์กรปรับใช้ HR Technology เพื่อก้าวสู่ผู้นำการเปลี่ยนแปลง

นายปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (Bluebik) เปิดเผยว่า ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล งานด้านทรัพยากรบุคคล หรือ HR นับเป็นงานส่วนแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากคลื่น Digital Disruption ส่งผลให้ผู้บริหารด้าน HR หลายองค์กรเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการทำ Transformation สู่ Digital HR เพื่อช่วยนำองค์กรไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำเร็จ และหากสามารถประยุกต์ใช้ Platform Digital เพื่อรองรับความท้าทายคู่ขนานกับการปรับแนวทางการดำเนินงานของ HR ยิ่งจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อธุรกิจและสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อพนักงานได้อย่างมาก

อย่างไรก็ดี เมื่อเจาะลึกข้อมูลแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ HR ทั่วโลกและประเทศไทย พบว่าคนส่วนใหญ่เริ่มให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตมากกว่าการได้เป็นพนักงานประจำ โดยคนจำนวนมากหันมาเลือกทำงานอิสระ หรือที่เรียกกันว่า “ฟรีแลนซ์” มากกว่าเป็นพนักงานประจำเนื่องจากสามารถเลือกไลฟ์สไตล์ที่ต้องการได้ โดย 51% ของคนทำงานฟรีแลนซ์มีแนวโน้มที่จะไม่กลับไปทำงานประจำอีก และกว่า 84% ของฟรีแลนซ์สามารถใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์ที่ตนเองต้องการได้ ในขณะที่พนักงานทำงานประจำสามารถใช้ชีวิตในแบบที่ตนต้องการได้เพียง 54% เท่านั้น (ผลสำรวจจาก upwork.com) ซึ่งเมื่อรวมกับการเกิดขึ้นของ Digital Platform ใหม่ ๆ เกี่ยวกับการหางานและทำงาน จึงส่งผลให้การทำงานฟรีแลนซ์ดูน่าสนใจมากขึ้น เพราะปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้ ผู้คนจะสามารถทำงานผ่าน Digital Platform ได้ทุกที่ทุกเวลาทำให้ประหยัดเวลาการเดินทางโดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วน

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านความภักดีต่อองค์กรน้อยลง มีการย้ายงานถี่ขึ้น และแม้ว่าคนจะมีความผูกพันกับองค์กร หากมีบริษัทอื่นให้ข้อเสนอที่ดีก็พร้อมลาออกทันที นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มผู้เกษียณอายุกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุค Aging Society ส่งผลให้หลายบริษัทยืดอายุงานออก จากเดิม 60 ปีเป็น 65 ปี

นายปกรณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปัจจัยที่กล่าวมาส่งผลให้การทำงานของ HR บนกฎเกณฑ์ถูกเปลี่ยนแปลงไป และเพื่อให้องค์กรปรับตัวได้ทันในยุค Digital HR ควรปรับตัวในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี

1.การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น การนำ AI หรือ โซเชียลมีเดียมาปรับใช้ในงาน ตัวอย่างเช่น บริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศอังกฤษ มีการนำ Digital Tech เข้ามาเพื่อพิจารณาคัดกรองประวัติ (Resume) ของผู้สมัครงาน หรือการใช้ Online Game เพื่อประเมินทักษะและสมาธิที่มีต่องาน ช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรในทีม HR ในขั้นตอนการสรรหาบุคคลากร (Recruitment) ซึ่งผู้ที่ผ่านระบบการคัดกรองดังกล่าวจะมีโอกาสได้ทำงานกับองค์กรมากถึง 80%

2.พิจารณาความเสี่ยงในเชิงการแข่งขัน หากไม่นำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ HR ในด้านต่าง ๆ การสรรหาและพัฒนาทักษะของบุคลากรให้มีศักยภาพของบริษัทคงเกิดขึ้นลำบาก

3.พิจารณานำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสร้างการทำงานให้เป็นทีมภายในองค์กร เนื่องจากการทำงานเป็นทีมคือ สูตรความสำเร็จที่แท้จริงขององค์กร

อย่างไรก็ดี การนำ HR Technology มาใช้ในองค์กร ถือได้ว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการทำ Digital HR Transformation เท่านั้น ซึ่งทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ คือ

ระดับแรก : ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานที่ทำเป็นประจำและต้องใช้เวลานาน เช่น การนำระบบบริหารงานบุคคลมาช่วยให้การทำงานเร็วขึ้นและง่ายขึ้น ในส่วนนี้ HR Technology จะช่วยในหลายด้าน ตั้งแต่การแชร์ข้อมูลข่าวสารภายในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว พนักงานจะสามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น และยังช่วยให้ HR สามารถทำงานและตัดสินใจบนข้อมูลที่มีได้แม่นยำและมีศักยภาพมากขึ้นซึ่งองค์กรสามารถเริ่มทำ Transformation ได้จากระดับนี้ก่อน

ระดับที่ 2 : เปลี่ยนวิธีการทำงานและสร้างนวัตกรรมในการปฏิบัติงาน HR หากองค์กรได้เริ่มทำ Digital HR transformation ไปแล้วระดับหนึ่ง ควรจะมองในก้าวถัดไปคือการนำ Innovative Application มาใช้ในการทำงานส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องการสรรหาบุคลากร การสื่อสารภายในองค์กร จนไปถึงการประเมินผลงาน เช่น การใช้ LinkedIn เพื่อค้นหาผู้สมัครงานที่มีศักยภาพ การสัมภาษณ์งานผ่าน Video Call การใช้แพลตฟอร์มเชื่อมต่อระหว่างผู้หางานและองค์กร สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุก ๆ ขั้นตอน นอกจากนั้น HR ควรทำงานร่วมกับแผนกต่าง ๆ เพื่อเข้าใจความต้องการเกี่ยวกับทักษะของบุคลากรจากแผนกนั้น ๆ มากขึ้น HR ควรเปลี่ยนกระบวนการคิดผลตอบแทนแบบ Inside-Out เป็นการประยุกต์ใช้ Design Thinking เพื่อลงไปเข้าใจปัญหา (Empathize) ที่แท้จริงของพนักงานเพื่อคิดหารูปแบบ Incentive ใหม่ ๆ ที่ได้ผลมากกว่า หรือเพื่อดึงดูดให้ Talent อยู่กับองค์กร รวมทั้งนำ Gamification ที่ผูกกับ Performance Management เข้ามาปรับใช้งาน

ระดับที่ 3 : เข้าถึงและใช้ข้อมูลในการตัดสินใจที่สำคัญ องค์กรสามารถร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลในการรวบรวมข้อมูลที่สำคัญทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมทั้งข้อมูลเชิงสถิติและเชิงคุณภาพมาช่วยประเมินผลการปฏิบัติงานแทนการใช้ความรู้สึก อีกทั้งยังช่วยประเมินความสามารถและพัฒนาทักษะบุคลากรได้อย่างตรงจุดและเห็นผลรวดเร็ว เมื่อข้อมูลสามารถเชื่อมโยงกันแล้ว HR จะสามารถเห็นมุมมองใหม่ ๆ เช่น รูปแบบของพนักงานที่เป็น High-Performer หรือเหมาะสมกับองค์กร (Culture Fit) จาก Dashboard รวมทั้งสามารถติดตามคุณค่าตามอายุงาน (Employee Lifetime Value) ของพนักงานได้

ระดับที่ 4 : มี Digital Platform ที่เชื่อมโยงกันเพื่อยกระดับประสิทธิภาพของพนักงานและองค์กร เมื่อระบบและกระบวนการต่าง ๆ เชื่อมโยงกันผ่านการทำ Digitalization แล้ว HR สามารถที่จะเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานได้ตั้งแต่ระดับบุคคล เช่น หาก HR สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อให้พนักงานใช้งานซึ่งสามารถประมวลผลแล้วพบว่า พนักงานคนหนึ่งจะชอบมาสายวันจันทร์เช้าบ่อยครั้ง ระบบจะส่งข้อความเตือนอัตโนมัติผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าว หรือแม้กระทั่งการใช้ข้อมูลย้อนหลังของพนักงานทั้งบริษัท เพื่อประเมินว่าผลการทำข้อสอบของผู้สมัครงานที่อยู่ในช่วงการต่อรองจ้างงานนั้นมีคุณลักษณะเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กรหรือไม่ ผู้สมัครรายนั้นจัดอยู่ในบุคลากรประเภทใดและสมควรที่จะเสนองานหรือไม่ เป็นต้น

“การทำ Digital HR Transformation เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้เวลานาน ฉะนั้นการเริ่มทำทรานส์ฟอร์เมชั่นในส่วนเล็ก ๆ เพื่อให้เห็นผลจะช่วยเพิ่มโอกาสให้องค์กรสามารถทำ Transformation ได้สำเร็จ” นายปกรณ์ กล่าวในที่สุด

ซูเปอร์บอสคนขยันแห่ง “เสี่ยวหมี่”

เรียกว่า หายเหนื่อยยิ้มปลื้มสุดๆ สำหรับ ‘โจนาธาน คัง’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เสียวหมี่ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่ทุ่มสุดตัวในงาน TME2020 ซึ่งออกบูธจัดงานเป็นครั้งแรกก็ขนสมาร์ทโฟนและ AIoT ตัวเด็ดไปเพียบ ได้ข่าวแว่วมาว่า “คิวยาว คนแน่น” ลูกค้าหอบของแถมกลับบ้านกันเป็นว่าเล่น ส่วนเจ้าตัวก็ทุ่มเทเต็มที่ไม่ใช่แค่มาให้กำลังใจทีม แต่ลงแรงลงงานตั้งแต่เช้ายันดึกทุกวัน จนลูกค้าชมว่า “เสียวหมี่ทีม” ทำงานแบบได้ใจสุด ๆ ไปเลย…งานนี้ต้องยกรางวัลให้ “ซูเปอร์บอสคนขยัน” ได้ทั้งยอดได้ทั้งคำชมเลย

จุฬาฯ เปิดพรมแดนท่องเที่ยว “ไทย-อาเซียน”

alivesonline.com : จุฬาฯ จัดประชุมนานาชาติ “Creative Tourism and Development” จับมือนักวิชาการไทย-ต่างประเทศ ดึงผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ร่วมเปิดมุมมองเสริมความแข็งแกร่ง แสวงหาแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์ ยกระดับและต่อยอดการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน

ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสถาบันเอเชียศึกษา ภายใต้โครงการการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ กำหนดจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ “Creative Tourism and Development” ภายใต้แนวคิด Creativity & Connectivity &  Sustainability in ASEAN ระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้องประชุมชั้น 7 อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา เพื่อเป็นเวทีสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัยด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่มีความหลากหลายจากภาคีเครือข่ายทั้งภายในและต่างประเทศ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 200 คน

ในการประชุมวิชาการระดับนานาชาติครั้งนี้มีการนำเสนอการพัฒนาแนวคิดใหม่ด้าน “การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์” (Creative Tourism) ผ่านโครงการวิจัย โดยมีการเสนอบทความวิชาการ กรณีศึกษาทั้งในและต่างประเทศ พร้อมการจัดแสดงนิทรรศการที่เป็นผลผลิตขั้นต้นของโครงการวิจัย รวมถึงเวทีเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับชุมชนท้องถิ่นในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมในชุมชน ตลอดจนการสร้างภาคีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศและนานาชาติที่ทำงานพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับและต่อยอดการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของประเทศ

“กิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ในงานคือ Keynote Speaker ซึ่งโครงการได้รับเกียรติจาก Professor Greg Richards, The Pioneer of World Creative Tourism Idea ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้บุกเบิกแนวคิดด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์คนแรกของโลกที่มาให้ความรู้ในหัวข้อ “Creating Creative Tourism and the Big Dream of Creative Placemaking” ในมุมมองเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ รวมถึงปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ การส่งเสริมการวิจัย พัฒนาและการออกแบบการสร้างนวัตกรรม การสร้างเครือข่ายวิสาหกิจการท่องเที่ยว การสื่อสารและการคมนาคม การพัฒนาระบบฐานข้อมูล การส่งเสริมการตลาด และการสร้างเรื่องราวเพื่อบอกเล่านักท่องเที่ยว เป็นต้น”

Professor Greg Richards

นอกจากนี้ ตลอดการประชุมทั้ง 2 วัน ยังจัดให้มีการเสวนากลุ่มย่อยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในมุมมองด้านวิชาการและการมีส่วนร่วมของชุมชน ถอดบทเรียนการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์โดยชุมชน ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การแบ่งปันความรู้ และนวัตกรรมด้านการท่องเที่ยวที่จะเข้ามามีบทบาทต่อชุมชน จากคณาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์จากหน่วยงานรัฐบาลและภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และตัวแทนโครงการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์จากชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ

ภายในงาน ยังจัดให้มีกิจกรรมเวิร์คชอปโดยชุมชน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์และผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์และมีอัตลักษณ์ เช่น โคมมะเต้า, ตุงค่าคิง, จักสานความสุข, เขียนตั๋วเมือง, ผ้าลายตาโก้ง, ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ข้าว อาหารทะเล เป็นต้น รวมถึงชมนิทรรศการภาพถ่ายและงานหัตถกรรม ภาพยนตร์ และการแสดงของชุมชนจากฝั่งทะเลอันดามัน และจังหวัดน่าน

ศ.ดร.พิรงรอง กล่าวอีกว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ริเริ่ม “โครงการการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์” ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 และจะสิ้นสุดโครงการในเดือนมกราคม 2565 โดยคณาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญ 90 คน และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาจาก 11 คณะ โดยสถาบันในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนักวิจัยชาวต่างประเทศได้ร่วมกันจัดทำโครงการวิจัยภายใต้การบูรณาการศาสตร์ความรู้แขนงต่าง ๆ สร้างมิติเชื่อมโยงวิถีชีวิตชุมชนกับการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชน ภายใต้ทรัพยากรทางการท่องเที่ยว ทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ผนวกเข้ากับนวัตกรรมที่เชื่อมโยงองค์ความรู้จากงานวิจัย สู่การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ ทีมุ่งเน้นให้มีการพัฒนาการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืนเพื่อเพิ่มรายได้และกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น ประกอบด้วย

โครงการชุดที่ 1 “การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ : จังหวัดน่าน” คณะวิจัยทำงานเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการพัฒนาเส้นทางการขนส่งและผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติ สุขภาพ วัฒนธรรม การเกษตร การประชาสัมพันธ์ ภูมิศาสตร์ และการจัดการการท่องเที่ยวในกรณีที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้น ขณะที่โครงการชุดที่ 2 “การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เพื่อสังคมพหุวัฒนธรรม : ภูมิภาคอันดามัน”จะเป็นการศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชาวเล คนไทยพลัดถิ่นในเมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ใน Myeik (เมืองมะริด) ระบบลอจิสติกส์เพื่อการท่องเที่ยวในภูมิภาคอันดามันไทย-เมียนมา และการสื่อสารระหว่างชุมชนกับนักท่องเที่ยว

สำหรับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมดคาดว่าจะมีเส้นทางการท่องเที่ยวที่แนะนำเกี่ยวกับธรรมชาติ วัฒนธรรม สุขภาพ สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงปรับปรุงการสื่อสารและความเข้าใจระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในและภายนอกท้องถิ่นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ตลอดจนโปรแกรมการฝึกอบรมที่มีคุณภาพสูงในการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

“การประชุมนานาชาติครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ โดยเป้าหมายหลักคือต้องการที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนผ่านกระบวนการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และมีประสบการณ์ร่วมกับชุมชน เพื่อค้นหาแนวทางและประสบการณ์ใหม่ ๆ จากนักวิชาการและการพบปะพูดคุยกับชุมชนในพื้นที่เป้าหมายรวมถึงผลงานวิจัยที่นำเสนอในที่ประชุมในหัวข้อที่เป็นกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในและภายนอกระดับนานาชาติ โดยจะมีการจัดทำเป็น E-Proceedings เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ให้กับพื้นที่อื่นในประเทศไทย หรือเป็นองค์ความรู้ที่จะถ่ายทอดสู่สาธารณะแก่ผู้ที่สนใจต่อไป” ศ.ดร.พิรงรอง กล่าวในที่สุด

 

ผู้นำพลังงานระดับโลกพร้อมเยือนไทย 12-14 ก.พ.63

alivesonline.com : เหล่าผู้นำและนักลงทุนด้านพลังงานชั้นนำระดับโลกกว่า 200 ราย เตรียมตบเท้าเข้าร่วมถกประเด็นความต้องการพลังงานอนาคตของเอเชียในงาน “FUTURE ENERGY ASIA 2000” ระหว่างวันที่ 12-14 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ไบเทค บางนา ผู้จัดมั่นใจเป็นงานประชุมที่จะกำหนดวาระการเปลี่ยนผ่านและการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานของภูมิภาคเอเชีย ด้าน “ทีเส็บ” คาดผู้ร่วมงานเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% จากการขยายพื้นที่จัดงานเพิ่มขึ้น 15%

นายคริสโตเฟอร์ ฮัดสัน ประธานบริษัท ดีเอ็มจี อีเว้นท์ ผู้จัดงาน “FUTURE ENERGY ASIA 2000” เปิดเผยว่า งาน “FUTURE ENERGY ASIA 2000” ถือเป็นงานที่ได้รับการออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มที่มอบโอกาสที่ดีเลิศเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างผู้จำหน่ายพลังงานรายใหม่ ผู้ผลิตไฟฟ้า และห่วงโซ่อุปทานของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน พร้อมทั้งการสร้างแนวร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อการช่วยเหลือในด้านอนาคตพลังงานสะอาดในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ ยังจะสามารถดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อและผู้ขายจากทั่วโลกจำนวนมากซึ่งจะมาร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ บริการ สร้างพันธมิตร และสาธิตนวัตกรรมต่าง ๆ

การจัดงาน “FUTURE ENERGY ASIA 2000” จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมนานาชาติไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจาก นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งจะร่วมเป็นประธานและกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยมีผู้นำด้านพลังงานระดับโลกร่วม 200 ราย เตรียมร่วมงานนิทรรศการและงานประชุมครั้งนี้เพื่อถกประเด็นสำคัญด้านการปฏิรูปพลังงานผสมผสานและจัดแสดงกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่สามารถนำไปใช้เพื่อเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่อนาคตพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน

ภายในงานผู้เข้าร่วมงานจะได้รับฟังวิสัยทัศน์จากผู้บริหารระดับสูงขององค์กรด้านพลังงานชั้นนำของประเทศไทย อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กระทรวงพลังงาน รวมทั้งผู้นำด้านพลังงานจากกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ที่ตอบรับเข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภาครัฐและเอกชนทั่วภูมิภาคที่จะมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ว่าพวกเขาเหล่านั้นทำอะไรบ้างในระดับนโยบายและแผนงานเพื่อให้ตอบรับกับการเติบโตด้านความต้องการพลังงาน

ความโดดเด่นของการจัดงาน FUTURE ENERGY ASIA 2000 คือ ศูนย์ความเลิศทางเทคนิค (COTES) ซึ่งสามารถเข้าร่วมฟังข้อมูลเชิงเทคนิคและด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจในสไตล์ “Ted Talk” การพูดคุยที่ครอบคลุมเนื้อหาหลากหลาย ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน อาทิ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและดิจิทัลไลเซชั่น พร้อมทั้งการจัดแสดงโครงการพลังงานใหม่ที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคด้วย โดยการประชุมซึ่งจัดขึ้นรวม 3 วันนั้นมีการกำหนดธีมของงานในแต่ละวัน ซึ่งทั้งหมดเมื่อนำมาประกอบเข้าด้วยกันจะเป็นแรงผลักดันที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในเอเชีย โดยในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 จะเน้นในเรื่อง “การบูรณาการ” เสนอแง่มุมความคิดเชิงลึกว่า พลังงานทดแทนและก๊าซธรรมชาติสามารถนำมาใช้ร่วมกันเพื่อเป็นอนาคตพลังงานสะอาดที่ยั่งยืนได้

ส่วนในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 จะให้ความสำคัญในเรื่อง “ความร่วมมือ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือด้านพลังงานระดับภูมิภาคในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่นเดียวกับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่จะช่วยผลักดันการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จากนั้นในวันสุดท้ายคือ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 จะเน้นในเรื่อง “การปฏิรูป” และการพิจารณาว่า นวัตกรรมที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสามารถก่อให้เกิดผลต่อการผสมผสานพลังงานอนาคตของภูมิภาคอย่างไร

ด้าน นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” ในฐานะผู้สนับสนุนการจัดงาน “FUTURE ENERGY ASIA 2020” กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยส่งเสริมและสนับสนุนการจัดงานที่มุ่งเน้นการเผยแพร่นวัตกรรมเพื่อตอบรับกลยุทธ์การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ โดยคาดว่าการจัดงานครั้งนี้จะเสริมสร้างเครือข่ายของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านพลังงานระดับสากลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากการจัดงานระดับนานาชาติที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าครั้งที่ผ่านมาถึง 15% ทำให้คาดการณ์ถึงจำนวนผู้เข้าชมงานภาคธุรกิจว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 20%

งาน FUTURE ENERGY ASIA 2000 2020 จะจัดขึ้น ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมนานาชาติไบเทค บางนา กรุงเทพฯ  ระหว่างวันที่ 12–14 กุมภาพันธ์ 2563 ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถชมได้ที่เว็บไซต์ www.futureenergyasia.com ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการประชุมเชิงเทคนิคและนิทรรศการฟรีผ่านเว็บไซต์ www.FutureEnergyAsia.com/Visreg ส่วนผู้ประสงค์จะเข้าร่วมงานประชุมเชิงกลยุทธ์ สามารถลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ www.FutureEnergyAsia.com/Delreg

 

“BEAUTY BUFFET” ยกระดับสู่โกลบอลแบรนด์

alivesonline.com : “บิวตี้ คอมมูนิตี้” กางแผนธุรกิจปี 2563 ยกระดับสู่การเป็น International Beauty & Health Business ชู 3 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจ เพิ่มความสามารถการทำกำไร ขยายตลาด 15 ประเทศ พร้อมเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในจีน ด้านตลาดในประเทศมุ่งขยายช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 20% รักษาอัตรากำไรสุทธิ 15 %

นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวภายใต้แนวคิด “Live a Beautiful Life” เปิดเผยว่า ในปี 2563 บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจด้วยนโยบาย “International Beauty & Health Business” เพื่อยกระดับแบรนด์สินค้าภายใต้การจำหน่ายของบริษัทฯ เข้าสู่การเป็นแบรนด์ด้านความงามและสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจและแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ จะมุ่งเน้นใน 3 ด้านหลัก ประกอบด้วย แนวทางแรกคือเพิ่มความสามารถการทำกำไร (Strengthening Profitability Both Domestic And Overseas Business) โดยมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนกำไรจากช่องทางจัดจำหน่ายต่างประเทศและบริหารจัดการต้นทุนช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศให้มีประสิทธิภาพ

แนวทางที่สองคือ การขยายตลาดต่างประเทศเชิงรุก (Overseas : Cultivating And Expanding Overseas Business) จำนวน 16 ประเทศ โดยมี 13 ประเทศที่เป็นตัวแทนจำหน่ายในปี 2562 ซึ่งจะเน้นการทำการตลาดร่วมกันและเพิ่มจำนวนหน่วยสินค้า โดยมีอีก 5 ประเทศหลักที่เน้นการทำการตลาดเฉพาะในปี 2563 ทั้งยังมีแผนจะพัฒนาช่องทางการตลาดและการขายเข้มข้นในประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย พม่า อินเดีย ฟิลิปปินส์ ในรูปแบบของตัวแทนจำหน่าย Product Distributor, Shop Licence, Shop in Shop หรือ Counter Sales

นายแพทย์สุวิน กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ยังจะเน้นการรุกตลาดสาธารณรัฐประชาชนจีน (Mainland China) อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนศึกษาการสร้างฐานธุรกิจในประเทศจีน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขยายตลาดและเพื่อความสะดวกในการพัฒนาสินค้าใหม่และการบริหารจัดการตลาดในประเทศจีน เพราะเล็งเห็นว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่มีโอกาสทางธุรกิจสูง อีกทั้งยังมีแผนเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดจากช่องทางจำหน่ายร้านค้าทั่วไป (General Trade) เช่น ร้านสะดวกซื้อ โมเดิร์นเทรดต่าง ๆ และช่องทางออนไลน์ที่เป็นอี-คอมเมิร์ซ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการขาย นอกจากนั้น ยังได้ขยายจำนวนสินค้าใหม่ ๆ เข้าไปจำหน่ายในช่องทาง Cross Border e-Commerce อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 บริษัทฯ มีสินค้าวางจำหน่ายแล้วจำนวน 10 แพลตฟอร์มและมีแผนเจรจาเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่องในปี 2563

สำหรับแนวทางที่สามคือ การขยายตลาดในประเทศโดยมุ่งเน้นขยายตลาดกลุ่มสินค้าอุปโภคและสร้างความเข้มแข็งช่องทางร้านค้าปลีก (Domestic : Expanding Distribution Channels For Consumer Products And Improving Retail Business) ด้วยการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ ๆ ที่มีโอกาสเติบโตสูงและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นที่ไม่จำกัดเฉพาะร้านสาขา พร้อมขยายกลุ่มสินค้าอุปโภค (Consumer Product) และสินค้าสุขภาพเพิ่มขึ้น โดยมีแผนจะพัฒนาสินค้าด้านสุขภาพร่วมกับผู้ผลิตสินค้าชั้นนำด้านนี้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมุ่งเน้นเพิ่มช่องทางการตลาดที่หลากหลายเพื่อเปิดช่องทางจัดจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

นายแพทย์สุวิน กล่าวอีกว่า ในส่วนของช่องทางร้านค้าปลีก (Retail Business Models) จะมุ่งเน้นการเพิ่มอัตราการเติบโตสาขาที่มีศักยภาพ พัฒนาปรับปรุงและสร้างความเข้มแข็งให้ช่องทางร้านค้าปลีก พร้อมทั้งบริหารจัดการต้นทุนในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการบริหารร้านค้าปลีกเน้นการทำการตลาดได้ด้วยตัวร้านค้าปลีกเอง (Local Store Marketing) พร้อมทั้งสร้างโมเดลการขายสินค้าที่เป็นสินค้า Multi-Brand เข้ามาจำหน่ายในร้าน “BEAUTY BUFFET” เพื่อจำหน่ายสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ครอบคลุมสาขาในปัจจุบันที่มีทั้งสิ้น 311 สาขา

“ขณะที่ช่องทางอี-คอมเมิร์ซจะเน้นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงพัฒนาและบริหารจัดการโครงสร้างระบบอี-คอมเมิร์ซให้มีประสิทธิภาพ โดยวางเป้าหมายรุกตลาดออนไลน์ ด้วยกลยุทธ์ O2O และพันธมิตร รวมถึงพัฒนาระบบรองรับพฤติกรรมการจับจ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือของบริษัทฯ ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยผลักดันให้บริษัทมีรายได้เติบโตก้าวกระโดด โดยยังจะมุ่งเน้นพัฒนาสินค้าหลัก หรือ Product Driven โดยขับเคลื่อนยอดขายให้เติบโตโดยการสร้าง Product Heros ที่มีกระแสดึงดูดลูกค้าทั้งสินค้าเดิมที่มีอยู่แล้วและสินค้าใหม่ เน้นสินค้าที่เป็นนวัตกรรมตามเทรนด์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

นายแพทย์สุวิน กล่าวในตอนท้ายว่า จากการดำเนินงานในปี 2562 ถือเป็นการปรับธุรกิจตามยุทธศาสตร์ใหม่ซึ่งบริษัทฯ ได้พัฒนาตลาด พร้อมวางรากฐานช่องทางในตลาดต่างประเทศ สินค้ากลุ่มอุปโภค รวมถึงการวางแนวทางอี-คอมเมิร์ซชัดเจนเพื่อเป็นฐานการขยายตลาดในปี 2563 ส่วนภาพรวมธุรกิจเครื่องสำอางปี 2563 คาดว่ายังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกที่ให้ความใส่ใจเกี่ยวกับความงาม สุขภาพและผิวพรรณต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านความงามและสุขภาพมีความหลากหลายเพิ่มขึ้นตาม โดยการขยายตัวดังกล่าวเป็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่จะสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงผู้บริโภคทั้งในประเทศและในระดับนานาชาติ โดยในปี 2563 บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้เติบโต 20% พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิ 15%