โอกาสของไทยเมื่อ “พลาสติกชีวภาพ” เปลี่ยนชีวิตผู้คนในญี่ปุ่น

alivesonline.com : ในช่วงที่ผ่านมาปัญหาเกี่ยวกับพลาสติกได้ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งจำนวนที่เพิ่มขึ้นของขยะพลาสติกที่ไม่ย่อยสลาย หรือย่อยสลายยาก น้ำมันที่นำมาใช้ผลิตพลาสติกเป็นทรัพยากรธรรมชาติมีโอกาสหมดไป ภาวะโลกร้อนซึ่งก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติไปทั่วโลก รวมทั้งขยะพลาสติกปนเปื้อนในทะเลซึ่งเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

ญี่ปุ่นเป็นยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมพลาสติกของเอเชียและของโลก และเป็นประเทศที่มีปริมาณพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้ง (Disposable Plastic) ต่อคนเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา หลังจากประเทศจีนได้ประกาศงดการนำเข้าของเสียพลาสติกจากต่างประเทศในปี 2560 ขณะที่ทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสภาพนิเวศน์ทางท้องทะเลที่เกิดจากพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้งลงทะเล ก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องการควบคุมพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้งมากขึ้น หลายประเทศเริ่มงดการนำเข้าขยะพลาสติกจากญี่ปุ่น ส่งผลให้ประเทศญี่ปุ่นจึงพยายามอย่างจริงจังในการหาแนวทางแก้ไขปัญหา มาตรการหนึ่งคือการนำ “พลาสติกชีวภาพ” (Bioplastics) มาใช้ทดแทน

ข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว รายงานว่า ในปี 2562 ญี่ปุ่นได้ออกกลยุทธ์สำหรับการหมุนเวียนของทรัพยากรสำหรับผลิตพลาสติก หรือ Resource Circulation Strategy for Plastics โดยดำเนินการคัดแยกและการรีไซเคิลขยะตามหลักคิด 3R (Reduce, Reuse และ Recycle) ที่มีการตั้งเป้าหมายดำเนินการด้านต่าง ๆ พร้อมกำหนดปีที่จะต้องทำให้สำเร็จ เช่น การลดปริมาณขยะพลาสติกลงร้อยละ 25 ภายในปี 2573 หรือนำขยะพลาสติกมาใช้ใหม่ได้100% ภายในปี 2578 เป็นต้น พร้อมเพิ่มการใช้ทรัพยากรที่ใช้แล้วสามารถทดแทนได้ (Renewable Resource) ในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านค้าเองก็ถูกบังคับใช้ข้อห้ามการให้ถุงพลาสติกฟรีกับลูกค้า และให้เก็บเงินหากลูกค้าที่ต้องการให้ใส่ถุงพลาสติกด้วย

ปัจจุบันมีสินค้าพลาสติกชีวภาพอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วไป ประกอบกับภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลาสติก หรือการผลิตพลาสติกเข้ามามีส่วนร่วมในการนำเสนอนวัตกรรมเพื่อลดปัญหาขยะพลาสติกด้วย ตั้งแต่วัสดุในภาคเกษตร เช่น ตาข่ายกันดิน คลุมพืช ถุงขยะทิ้งเศษเหลืออาหาร บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ไข่ไก่ ถุงชา ถาดใส่อาหาร ขวด PET กล่องอาหารสำหรับรูปแบบเดลิเวอรี หรือซื้อกลับบ้าน ฯลฯ สิ่งทอ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน ชิ้นส่วน-อุปกรณ์ในรถยนต์ ยิ่งเมื่อมี COVID-19 ญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ธุรกิจอาหารและสินค้าเดลิเวอรีเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าส่งผลให้สินค้าในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ก็เติบโตตามไปด้วยเช่นกัน

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า พลาสติกชีวภาพถือเป็นช่องทางทางธุรกิจรูปแบบใหม่สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนทั่วโลก รวมทั้งผู้ประกอบการจากประเทศไทยที่ควรจะใช้ข้อได้เปรียบทางด้านการมีวัตถุดิบสำหรับพลาสติกชีวภาพเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นอ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกและกำลังการผลิตระดับผู้นำโลก จึงมีศักยภาพในการผลิตพลาสติกที่ทำจากพืช (Bio-Based Plastic)

ขณะเดียวกันบริษัทในอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มและอุตสาหกรรมการผลิตที่เกี่ยวข้องของญี่ปุ่นได้ออกนโยบายบริษัทในการควบคุมการใช้พลาสติกให้สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตพลาสติก รวมถึงธุรกิจอาหารเครื่องดื่มของไทยที่ส่งออกไปญี่ปุ่นอาจจะได้รับผลกระทบด้านการส่งออกในระยะยาวเช่นกันหากยังใช้พลาสติกที่ทำจากปิโตรเลียมอยู่ ดังนั้น นอกจากการส่งเสริมของภาครัฐให้ผู้ประกอบหันมาผลิตพลาสติกชีวภาพมากขึ้นแล้ว ผู้ส่งออกในปัจจุบันอาจต้องพิจารณาปรับตัวและวางแผนกลยุทธ์ปรับเปลี่ยนการดำเนินงานในระยะยาว โดยเฉพาะการให้ความสนใจในด้านนวัตกรรมการผลิตที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดีไซน์ที่สวยงาม ตอบสนองความต้องการของประเทศผู้ซื้อและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันรวมทั้งส่วนแบ่งการตลาดในปัจจุบันให้ยั่งยืนต่อไป

“กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศพร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมสินค้าไลฟ์สไตล์ชีวภาพเพื่อการส่งออก ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ในการต่อยอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ปราศจากของเสียและมลพิษในกระบวนการผลิต และมีดีไซน์ที่ทันสมัยตรงกับความต้องการของตลาดโลก” นายสมเด็จ กล่าวในที่สุด

นั่นเป็นเพราะปัจจุบันความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงแค่เทรนด์ แต่เป็นจิตสำนึกของผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนวิถีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และสินค้าในชีวิตประจำวันต่อไปในอนาคตนั่นเอง

 

20-25 ส.ค.63 “สสว.CONNEXT SMEs Foods Fest” จับคู่ธุรกิจเอสเอ็มอีไทย

alivesonline.com : สสว. ผนึก สถาบันอาหารลุ ยงานใหญ่แห่งปี เตรียมเปิดเวทีจับคู่ธุรกิจให้เอสเอ็มอี (SMEs) ในงาน “สสว.CONNEXT SMEs Foods Fest” พร้อมจัดงานแสดงสินค้าสร้างโอกาสกระตุ้นเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ ตั้งเป้าจับคู่ธุรกิจไม่ต่ำกว่า 400 ราย หรือมูลค่า 400 ล้านบาท วันที่ 20-25 สิงหาคม 2563 ณ ลานสุขสยาม ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ

ดร.วีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว.ร่วมกับ สถาบันอาหาร มีนโยบายเพื่อพัฒนาและเพิ่มโอกาสในการสร้างความเข้มแข็งด้านการขยายตลาดให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารซึ่งถือเป็นสาขาที่มีบทบาทมากที่สุดในภาคการผลิต นอกเหนือจากการจำหน่ายในประเทศ การขยายโอกาสในการเปิดตลาดต่างประเทศเป็นช่องทางที่น่าสนใจ และมีขนาดของตลาดที่กว้างใหญ่กว่ามาก เพื่อเป็นการยอดธุรกิจในรูปแบบใหม่ ๆ จึงได้เตรียมจัดงาน “สสว.CONNEXT SMEs Foods Fest” คุณภาพอาหาร SMEs ไทยสู่ตลาดโลก ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพและช่องทางการตลาดเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีประจำปีงบประมาณ 2563 ตั้งแต่วันที่ 20-25 สิงหาคม 2563 ณ ลานสุขสยาม ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ

“การจัดงานครั้งนี้เพื่อให้สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในกลุ่มอาหาร (Food Service) เครื่องดื่ม หรือแม้แต่อาหารเสริมที่สินค้า หรือผลิตภัณฑ์ต้องได้รับเครื่องหมาย อย.ประเทศไทย และผ่านมาตรฐานการรับรองระบบคุณภาพ GMP หรือ HACCP หรือมาตรฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้พบปะกับคู่ค้า มีการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ต่อยอดธุรกิจในรูปแบบใหม่ ๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ ถือเป็นการจัดงานครั้งใหญ่ของปีนี้ เพื่อนำไปสู่โอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ ได้มากขึ้น คาดว่าจะเกิดการจับคู่ธุรกิจกว่า 400 คู่เจรจา หรือคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 400 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีการจัดงานแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์เพื่อให้ประชาชนได้ชอปสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารจากทั่วประเทศที่ผ่านมาตรฐานการรับรองกว่า 120 บูธ อาทิ เครื่องดื่มจากดอกไม้ เช่น น้ำดอกบัว น้ำดอกกุหลาบ จากบริษัท โฮเคน (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตภัณฑ์จากบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารแมลงสตาร์บั๊ก จำกัด เป็นต้น จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วม ชอป ชิมผลิตภัณฑ์คุณภาพอย่างจุใจตลอด 6 วันของการจัดงาน

DITP ชี้โอกาสธุรกิจสัตว์น้ำแปรรูปไทยบุกตลาดจีน

alivesonline.com : วิกฤติการณ์ COVID-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคจีนหันมาสั่งสินค้าสัตว์น้ำแปรรูปเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ที่ยอดขายสูงขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัว กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ชี้โอกาสให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาคุณภาพสินค้า โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและมาตรฐานที่ผู้บริโภคจีนยอมรับ พร้อมติดตามการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดนำเข้าสินค้าอย่างใกล้ชิด

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำในจีนที่ชะงักตัวส่งผลการบริโภคผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแปรรูปได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตลาดขายสดผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำปิดให้บริการชั่วคราว ประกอบกับเปลี่ยนรูปแบบไปซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยมีปริมาณการขายผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแปรรูป ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำกึ่งสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำพร้อมรับประทานผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซในช่วงที่เกิดวิกฤติการณ์โรค COVID–19 เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า เพราะผู้บริโภคสะดวกสบายจากการขนส่งและบริการลอจิสติกส์ที่รวดเร็ว เป็นสิ่งยืนยันว่าการค้าปลีกรูปแบบใหม่ช่วยส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีคุณภาพสูงและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแปรรูปเข้าถึงผู้บริโภคได้สะดวกขึ้น ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมากขึ้นในอนาคต

ยิ่งไปกว่านั้นผู้บริโภคชาวจีนยังเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแปรรูปได้จากทั่วโลกผ่านมาร์เก็ตเพลสรายใหญ่อย่าง JD.Com และ Tmall Global ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแปรรูปจำหน่ายในแพลตฟอร์มดังกล่าว รวมทั้ง Thaitrade.com ที่ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศด้วย

นายสมเด็จ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงคือรัฐบาลจีนเข้มงวดต่อการตรวจสอบอาหารทะเลนำเข้าอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ในปักกิ่ง โดยต้องได้รับใบอนุญาตการนำเข้าและใบรับรองคุณภาพจากประเทศผู้ส่งออกตามหลักเกณฑ์ที่ศุลกากรจีนกำหนด ผู้ประกอบการไทยควรเฝ้าติดตามหลักเกณฑ์และกฎระเบียบในการนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมและปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์สินค้าให้ได้ตรงตามมาตรฐาน มีความสะอาด สดใหม่อยู่เสมอ และมีคุณภาพตามความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนอย่างแท้จริง

“การติดตามพฤติกรรมการบริโภคและกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสมกับประเภทสินค้า กลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลายในแต่ละมณฑล แต่ละเมือง โดยใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซเพื่อสร้างการรับรู้ ทดสอบความนิยมและความต้องการของผลิตภัณฑ์จะช่วยให้สินค้าไทยสามารถเจาะตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพและจำหน่ายได้อย่างยั่งยืน” นายสมเด็จ กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นางสาวชนิดา อินปา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองชิงต่าว กล่าวว่า ช่วงที่มีการระบาดของโรค COVID-19 อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำในจีนเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยสมาคมผู้ผลิตสินค้าสินค้าสัตว์น้าของจีน หรือ China Aquatic Products Processing and Marketing Alliance (CAPPMA) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำในจีนว่า การส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกสูงสุดในการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมดของจีนได้รับผลกระทบอย่างมากจากการยกเลิกการสั่งซื้อและการปิดท่าเรือระหว่างประเทศ ขณะที่การไหลเวียนสินค้าภายในประเทศก็ได้รับผลกระทบจากการที่ตลาดขายส่งผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำถูกปิด เช่นเดียวกับการบริโภค

ส่วนผู้ผลิต หรือเจ้าของฟาร์มปลาแซลมอนในประเทศที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นร้านอาหาร โรงแรม ตลาดขายส่งผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ โรงงานแปรรูปและการส่งออก ล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากการผลิตต้องหยุดชะงัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพบว่ารายได้ของบริษัทผู้ผลิตภายในประเทศส่วนใหญ่เท่ากับ 0 ส่วนปูจักรพรรดิ (King Crab) ที่ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้เหลือสินค้าคงคลังในประเทศค่อนข้างน้อย และราคาจำหน่ายภายในประเทศสูงกว่าในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่จีนเป็นตลาดผู้บริโภคปูจักรพรรดิที่ใหญ่ที่สุดของโลก แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากการควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศจีนมีเสถียรภาพมั่นคง ทำให้การผลิต การไหลเวียนของสินค้า และการบริโภคค่อย ๆ กลับมาฟื้นตัวได้ภายในระยะเวลาไม่นาน

มากกว่า “พลาสติก” สู่สินค้าไลฟ์สไตล์รับเทรนด์โลก

alivesonline.com : กระแสการตื่นตัวและให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคทั่วโลก ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการเลิกใช้ถุงพลาสติก หรือเลิกใช้หลอด เป็นต้น

พฤติกรรมเหล่านี้เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญให้ “ธุรกิจพลาสติก” ต้องปรับตัวและปรับมุมคิดเพื่อตามให้ทันความต้องการของผู้บริโภค เพราะกลุ่มสินค้าพลาสติกที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่นั้น คือกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน แบรนด์สินค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมจะถูกเลือกจากผู้บริโภคเป็นอันหนึ่ง ดังนั้น ผู้ประกอบการกลุ่มสินค้าพลาสติกจำเป็นต้องทรานฟอร์เมชั่นสู่พลาสติกทางเลือกเพื่อรับเทรนด์ตลาดโลก

นายธนเดช งามธนวิทย์ นักวิเคราะห์ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล กล่าวถึงแนวโน้มที่เปลี่ยนไปในการผลิตภัณฑ์พลาสติกว่า หลังจากมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ทุกคนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น มีการใช้สินค้าแบบซิงเกิ้ล ยูส (Single Use) ผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคใช้ส่วนใหญ่จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช้ซ้ำ ใช้แล้วทิ้ง แต่ความใส่ใจสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคไม่ได้หมดไปด้วย สินค้าพลาสติกทางเลือก หรือกลุ่มไบโอ-พลาสติก จึงได้รับความนิยมค่อนข้างสูง โดยเฉพาะแพ็คเกจจิ้งซึ่งมีการผลิตเพื่อใช้งานในสัดส่วนร้อยละ 42 ของตลาด ถือเป็นทางเลือกที่ผู้ประกอบการหลายรายใช้ในธุรกิจ เพื่อยืนยันถึงความตั้งใจเรื่องการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์เทรนด์รักษ์โลก

ส่วน นางสาวสุวิชชา ทานะรมณ์ นักวิเคราะห์อาวุโส บมจ.พีทีที โกลบอล เคมีคอล ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ดีไซน์ หรือการออกแบบที่หลากหลายเป็นสิ่งที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มไลฟ์สไตล์ที่จะต้องสอดรับกับการใช้งานและความต้องการ รวมถึงความพึงพอใจของผู้บริโภค หลายคนซื้อสินค้าจากดีไซน์จากคุณค่าและความเป็นมาของสินค้านั้น ๆ เห็นได้ว่าสินค้าที่ผลิตจากวัสดุย่อยสลายได้ หรือจากวัสดุรีไซเคิล แม้จะมีมูลค่าสูงกว่าสินค้าทั่วไปในกลุ่มเดียวกัน แต่ซื้อเพราะคุณค่าทางจิตใจที่ต้องการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยพลาสติกในปัจจุบันได้ถูกนำมาใช้ซ้ำและแปรรูปเพื่อเป็นส่วนประกอบที่ใช้คู่กับวัสดุธรรมชาติเพื่อเพิ่มความคงทุนของการใช้งาน กลุ่มพลาสติกทั่วไปมีการดีไซน์ผลิตภัณฑ์ให้สามารถใช้งานซ้ำได้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอาหารมีการผลิตจากพลาสติกที่ย่อยสลายได้ 100% แต่สิ่งที่สำคัญคือการดีไซน์ ทำอย่างไรให้แตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค

นอกจากภาคเอกชนที่ให้ความสำคัญเรื่องสินค้าพลาสติกที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันแล้ว ภาครัฐเองก็มีการพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการเพื่อให้แข่งขันได้ในตลาดโลกด้วยเช่นกัน โดย นางนิศาบุษป์ วีรบุตร ผู้อำนวยการ สำนักส่งเสริมการค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 2562 ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มพลาสติกไลฟ์สไตล์ประมาณ 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ไปยังตลาดสำคัญคือ สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยไทยมีจุดเด่นในเรื่องของการพัฒนาด้านปิโตรเคมีที่โดดเด่นกว่าประเทศอื่น ๆ ของอาเซียน กรมฯ เองจึงได้จัดโครงการ BEYOND PLASTIC” เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาดขยายโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศของผู้ประกอบการสินค้าไลฟ์สไตล์ไทยและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก เน้นการพัฒนาสินค้าพลาสติกเชิงลึกให้ผู้ประกอบการได้เข้าใจในกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มีการให้คำปรึกษาเชิงลึกเป็นรายบริษัท เพื่อช่วยในการขับเคลื่อนธุรกิจของผู้เข้าร่วมโครงการสู่ตลาดโลกอย่างแท้จริงต่อไป

 

COVID-19 สร้าง New Normal ให้ชาวอินเดียนิยมเสริมความงามที่บ้าน

alivesonline.com : นับตั้งแต่โรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 แพร่ระบาดในอินเดีย ตัวเลขยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อและสินค้าจำเป็นสำหรับการป้องกันโรคเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังมีสินค้าอีกประเภทหนึ่งที่มียอดขายเพิ่มขึ้นเช่นกันคือผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลความงาม ตัดแต่งทรงผม หนวด เคราด้วยตัวเอง หรือที่เรียกว่า “กลุ่มผลิตภัณฑ์กรูมมิ่ง” (Grooming) เนื่องจากช่วงล็อกดาวน์และการปิดตัวชั่วคราวของร้านเสริมสวยต่าง ๆ นั้น ชาวอินเดียจึงต้องหัดดูแลตัวเองที่บ้าน จนกลายเป็นอีกหนึ่ง New Normal ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี รายงานว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของอินเดียมียอดซื้อสินค้ากรูมมิ่งเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะสินค้าดูแลผม ผิวหน้า เล็บมือ และเล็บเท้า โดยใน Amazon.in นั้น อุปกรณ์ตัดผมมียอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 7 เท่าในช่วงสถานการณ์ซึ่งแทบจะถือว่าเป็นเรื่องใหม่ของอินเดียที่ผู้คนตัดผมเองที่บ้าน ส่วนใน Flipkart.com เองก็มีแนวโน้มในการซื้อสินค้ากรูมมิ่งเพิ่มขึ้นทั่วอินเดีย ไม่ใช่แค่ในเมืองใหญ่เท่านั้น แต่เมืองรอง เช่น อินดอร์ อาห์มดาบัด และดิสปูร์ ก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน เห็นได้จากการค้นหาสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า ซึ่งผู้บริโภคซื้อสินค้ากรูมมิ่งในทุกระดับราคา และสนใจคุณสมบัติของสินค้ามากกว่าแบรนด์

การเติบโตของยอดจำหน่ายสินค้ากรูมมิ่งไม่ได้เพิ่มขึ้นเฉพาะบนร้านค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ยังเพิ่มขึ้นในร้านค้าออฟไลน์เช่นกัน โดยเฉพาะในระยะแรกของการล็อกดาวน์ที่ร้านค้าอีคอมเมิร์ซได้รับอนุญาตให้จัดส่งเฉพาะสินค้าจำเป็นเท่านั้น ผู้คนจึงต้องหันมาพึ่งพิงร้านค้าทั่วไปเป็นหลัก ดังเช่นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ Havelles India คือในช่วงเวลาปกติได้รับคำสั่งซื้อราวร้อยละ 45 จากบริษัทอีคอมเมิร์ซ แต่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทกลับได้รับความสนใจจากร้านออฟไลน์มากกว่า โดยมียอดขายเครื่องตัดแต่งขน (Trimmer) เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อน COVID-19 ส่วนแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างฟิลิปส์ (Phillips) มียอดขายสินค้ากรูมมิ่งสำหรับผู้หญิงและผู้ชายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 45-50

อีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าสนใจในช่วง COVID-19 คือสินค้าดูแลผิวพรรณ (Skincare) ได้รับความสนใจมากกว่าเครื่องสำอาง โดยพบว่าผู้คนจากอินเดียเหนือ ตะวันตก และใต้ สนใจสินค้าดูแลผิวพรรณมากที่สุด ส่วนผู้บริโภคจากอินเดียตะวันออกนั้นสนใจสินค้าดูแลผมมากกว่า

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ในปี 2562 ประเทศไทยส่งออกเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณไปอินเดียรวมมูลค่า 118.1 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าที่อินเดียนำเข้าจากไทยมากที่สุดคือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าหรือบำรุงผิว หัวน้ำหอมและน้ำหอม ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ผลิตภัณฑ์อาบน้ำดับกลิ่นตัวและที่โกนหนวด สบู่ และผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปาก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดสินค้าความงามและผลิตภัณฑ์กรูมมิ่งในอินเดียมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงวิกฤติการณ์ COVID-19 ที่หลายอุตสาหกรรมประสบปัญหา แต่ยอดขายสินค้าบางประเภทอย่างสินค้าดูแลความงามด้วยตัวเองที่บ้าน ยังมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้น ส่วนสินค้าที่มียอดขายลดลง เช่น ลิปสติก ก็เป็นเพียงแนวโน้มชั่วคราวเท่านั้น ตลาดอินเดียจึงยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับสินค้าความงามและผลิตภัณฑ์กรูมมิ่ง ผู้ประกอบการที่ต้องการขยายตลาดไปอินเดียควรศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคทั้งชายและหญิง เพื่อพัฒนาสินค้าให้เข้ากับการใช้งานมากขึ้น โดยอาจติดตามแนวโน้มสินค้าที่เป็นที่นิยมได้จากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้านสินค้าดูแลตัวเองของอินเดีย อาทิ Nykaa, Purplle และ NewU เป็นต้น

ในแต่ละปีอินเดียจะมีงานแสดงสินค้าสำคัญเกี่ยวกับสินค้าความงามจัดขึ้น อาทิ International Beauty & Spa Expo หรือ Professional Beauty India ซึ่งผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าร่วมงานได้เพื่อขยายตลาดสินค้า สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจ โดยสามารถขอรับการสนับสนุนจากโครงการ SMEs Pro-active ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดขึ้น

ศึกษาข้อมูลและหลักเกณฑ์โครงการเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://smesproactive.ditp.go.th/ หรือ Facebook Page : SMEs Pro-active by DITP สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0 2507 7783 และ 0 2507 7786

ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT 4 รูปแบบใหม่ การันตีรสชาติแบบคนไทยแท้

alivesonline.com : DITP เผยตราสัญลักษณ์ Thai SELECT 4 รูปแบบใหม่ แบ่งประเภทให้ชัดเจนมากขึ้น ช่วยส่งเสริมธุรกิจบริการร้านอาหารไทยและยกระดับร้านอาหารไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล สร้างมูลค่าให้แก่อาหารไทยสู่ผู้บริโภคทั่วโลก ส่งผลต่อการขยายการส่งออกสินค้าวัตถุดิบ สิ่งปรุงรส รวมถึงสินค้าอาหารของไทยและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องสู่ตลาดโลก

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เป็นระยะเวลากว่า 20 ปีที่มีการมอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT (ไทย ซีเล็คท์) มานั้น ด้วยบริบทแวดล้อมต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป และจำนวนร้านอาหารไทยในต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น กรมฯ จึงมีการปรับรูปแบบตราสัญลักษณ์ใหม่ พร้อมจัดกลุ่มให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายขึ้น โดยกลุ่มที่จะได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1 ร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามเกณฑ์รูปแบบของร้าน การตกแต่งร้าน คุณภาพของอาหารและการบริการ ดังนี้

 1.1 Thai SELECT Signature ร้านอาหารไทยที่ให้บริการอาหารไทยแท้คุณภาพยอดเยี่ยม มีการตกแต่งร้านสวยงาม และมีการบริการที่เป็นเลิศ เป็นร้านที่มีความโดดเด่นในภาพลักษณ์และเอกลักษณ์ของอาหารไทย ปัจจุบันร้าน Thai SELECT Signature ตั้งอยู่ในประเทศต่าง ๆ รวม 299 ร้าน

1.2 Thai SELECT Classic ร้านอาหารไทยในต่างประเทศที่ให้บริการอาหารรสชาติตามมาตรฐานอาหารไทย มีคุณภาพดี มีการตกแต่งร้านและการบริการที่อยู่ในระดับดี มีจำนวน 1,174 ร้านทั่วโลก

1.3 Thai SELECT Casual ตราสัญลักษณ์ใหม่ สำหรับร้านอาหารไทยที่ให้บริการอาหารที่มีรสชาติไทย แต่มีข้อจำกัดในด้านบริการ (Limited Service Restaurant) อาจจะเป็นร้านที่มีขนาดเล็ก มีความเรียบง่าย ให้ความรู้สึกสะดวกสบายในการใช้บริการ เช่น ร้านอาหารไทยในฟู้ดคอร์ท ร้าน Fast Food ร้านอาหารที่มีที่นั่งจำกัดหรือไม่มีที่นั่งหน้าร้าน Food Truck หรือร้านอาหารไทยที่มีเมนูไม่มากแต่ล้วนเป็นอาหารไทยที่มีรสชาติตามต้นตำรับไทย หรือเป็นร้านที่ให้บริการอาหารไทยแนว Street Food เป็นต้น   

ส่วนที่ 2 ผลิตภัณฑ์อาหารไทย DITP จะมอบให้กับผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูป ได้แก่ อาหารไทยสำเร็จรูปพร้อมปรุงหรือพร้อมรับประทาน เครื่องแกง เครื่องปรุงรส ขนมไทย เป็นต้น เพื่อให้ผู้บริโภคหรือร้านอาหารไทย สามารถปรุงอาหารไทยได้สะดวกและมีรสชาติตามตำรับอาหารไทย ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องเป็นสินค้าส่งออกที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล มีจำนวนทั้งสิ้น 553 ผลิตภัณฑ์ จาก 50 บริษัท

นายสมเด็จ กล่าวด้วยว่า ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ทั้ง 4 แบบ จะเป็นภาพลักษณ์ของอาหารไทยและผลิตภัณฑ์อาหารไทยที่ปรากฏตามร้านอาหารไทยในต่างประเทศ จำนวน 1,473 ร้าน หรือบนผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในโมเดิร์น เทรด และร้านจำหน่ายสินค้าอาหารจากเอเชีย โดยนอกจากการมอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT แล้ว กรมฯ ยังได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด การพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการร้านอาหารไทยในต่างประเทศ การประชาสัมพันธ์ร้านอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับตราสัญลักษณ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ การใช้ผู้มีชื่อเสียงในต่างประเทศช่วยโปรโมต รวมถึงสนับสนุนการบริการในรูปแบบเดลิเวอรีโดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งได้มีการปรับแผนแนวทางการดำเนินกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่องให้สอดรับกับสถานการณ์ สภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด “อาหารไทย” ยังคงได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติและคนไทยที่อาศัยในต่างประเทศอยู่เสมอ ด้วยลักษณะเด่นเฉพาะตัวเรื่องของรสชาติ วัตถุดิบปรุงรสที่มีส่วนผสมของสมุนไพร และสีสันน่ารับประทาน ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยในต่างประเทศทั่วโลกมากกว่า 1.2 หมื่นร้าน โดยจะมีร้านอาหารที่อ้างว่าเป็นร้านอาหารไทยแต่ให้บริการอาหารที่มิใช่รสชาติไทยแท้ปะปนอยู่ด้วย ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของอาหารไทยในภาพรวม

ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ที่มอบให้โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ จึงเป็นเครื่องหมายที่ช่วยการันตีและมอบความไว้วางใจให้ผู้ที่ต้องการลิ้มรสชาติไทยแท้แบบคนไทยรับประทานได้เป็นอย่างดี

Tom Yum Kung Thai hot spicy soup shrimp with lemon grass,lemon,galangal and chilli on wooden background Thailand Food

ส่อง 4 โอกาสขาขึ้น “สินค้าแม่และเด็กไทย” ในตลาดจีน

alivesonline.com : จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการพัฒนารูปแบบการค้าปลีกจากแบบเดิมไปสู่รูปแบบใหม่อย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในยุค COVID-19 เช่นนี้

“สินค้าแม่และเด็ก” เป็นหนึ่งในตลาดที่บูมขึ้นมาอย่างมาก สินค้ากลุ่มนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความต้องการของทั้งคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ เด็กที่กำลังจะเติบโต รวมทั้งครอบครัวที่มีเด็กอยู่แล้ว ความต้องการสินค้าและบริการสำหรับบุคคลในครอบครัวมีความสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ แสดงให้เห็นถึงโอกาสต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการไทย จะนำไปเพื่อพิจารณาในการเจาะตลาดกลุ่มดังกล่าว

1.New Retail จะต่อชีวิตธุรกิจ

ทุกวันนี้ธุรกิจค้าปลีกสินค้าแม่และเด็ก ได้นำแนวคิด New Retail หรือการค้าปลีกรูปแบบใหม่ที่นำอีคอมเมิร์ซมาใช้ควบคู่กับการพัฒนาร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์เพื่อพัฒนารูปแบบการให้บริการ โดยร้านค้าออฟไลน์มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มเติมประสบการณ์การทดลองสินค้า การเพิ่มพื้นที่ร้านค้า การเพิ่มพื้นที่ชั้นวางสินค้า การเพิ่มความหลากหลายของสินค้า ตลอดจนการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงระบบออนไลน์ให้มากขึ้น ส่วนร้านค้าออนไลน์มุ่งเน้นไปที่การให้บริการที่มีความสะดวกรวดเร็วของการสั่งซื้อ การจัดส่ง ตลอดจนบริการรับคืนสินค้าต่าง ๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่อยู่ห่างไกลจากร้านค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำเข้ารายใหญ่ ๆ ต่างพัฒนาธุรกิจให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ใหม่ของผู้คน พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการได้ทันท่วงที พร้อมทั้งมีการนำ Big Data เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น

2.มีลูกอีกคน..แต่ไม่จนไป 7 ปี

จากการคาดการณ์ของศาสตราจารย์ Liang Jianzhang ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ชี้ว่า นโยบายลูกคนที่สองจะทำให้อัตราการเกิดของประชากรจีนเพิ่มขึ้นปีละ 2.5 ล้านคน ซึ่งจะทำให้อัตราการบริโภคภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นประมาณปีละ 7.5 หมื่นล้านหยวน หรือประมาณ 1.18 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยในหนึ่งปีเด็กเกิดใหม่หนึ่งคนจะใช้จ่ายเป็นเงินประมาณ 3 หมื่นหยวน ซึ่งจากนโยบายนี้ทำให้จีนเข้าสู่ยุคเบบี้บูมในทศวรรษหน้า ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการเติบโตของตลาดสินค้าแม่และเด็ก การศึกษา และอาหารเด็กในจีน เช่นกัน

3.การยกระดับของผู้บริโภคชนบท

ข้อมูลสำรวจจากบริษัท iiMedia Research แสดงให้เห็นว่าครึ่งปีแรกของปี 2562 จีนมีประชากรชาวชนบทที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากถึง 225 ล้านคน และมีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตร้อยละ 39.8 แสดงให้เห็นถึงความนิยมอินเตอร์เน็ตของชาวชนบทจีน ทำให้ความสามารถในการบริโภคของเมืองในชนบทมีการขยายตัวซึ่งการยกระดับการบริโภคของผู้บริโภคชาวชนบทอาจกลายเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันการพัฒนาการค้าปลีกรูปแบบใหม่ให้เติบโตได้มากขึ้นในอนาคต

4.อี-คอมเมิร์ซแบบข้ามพรมแดน

สินค้าแม่และเด็ก ถือเป็นหนึ่งใน “กลุ่มสินค้าซูเปอร์สตาร์ในปี 2563” โดยการสำรวจของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน (Cross-border E-commerce) รายใหญ่อย่าง Tmall Global ซึ่งเป็นการพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ การเติบโตของยอดขายในปีที่ผ่านมา และการเติบโตของยอดขายในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กระชับสัดส่วนหลังคลอด ผลิตภัณฑ์ลดรอยผิวแตกลาย นมแพะผง น้ำมันนวดสำหรับเด็ก ลิปสติกสำหรับหญิงตั้งครรภ์ รถเข็นเด็กแฝด และกระเป๋าเด็กเล็ก

ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังให้การสนับสนุน ประกาศจัดตั้งเขตนำร่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดนแบบครบวงจร 46 แห่ง เพื่อกระตุ้นการค้าระหว่างประเทศ จึงเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการไทยในการศึกษาข้อมูลแนวโน้มตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคจีนในการซื้อสินค้าผ่าน Cross-border E-commerce

กลุ่มสินค้าแม่และเด็กถือเป็นกลุ่มสินค้าที่อยู่ยงคงกระพันในแง่ของการเติบโต เพราะในหลายประเทศให้ความสำคัญกับการมีบุตร ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จึงถูกคิดค้นออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการตั้งแต่คุณแม่ไปจนถึงลูกน้อยในแต่ละช่วงวัย หากผู้ประกอบการไทยได้ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีนในเชิงลึกมากขึ้นก็จะมีโอกาสครองใจคุณแม่นักชอป ซึ่ง กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดโครงการพัฒนาผู้ประกอบการสินค้าสำหรับแม่และเด็ก (Mom & Kids Project) ช่วยติดอาวุธทางความคิด เติมเต็มทักษะและพัฒนาวิธีคิดใหม่ให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะการปรับเกมธุรกิจให้สอดคล้องกับตลาดสินค้าแม่และเด็กที่กำลังเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์โลกปัจจุบัน อย่าง New Normal ที่เกิดขึ้นและทัศนคติการบริโภคที่มุ่งหน้าสู่ความยั่งยืนในทุกมุมโลก

Bowers & Wilkins ลำโพงไฮเอนด์ดีไซน์พรีเมียมจากแบรนด์ผู้ดีอังกฤษ

alivesonline.com : บริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในเครือโซนิค วิชั่น กรุ๊ป ผู้นำเข้าเครื่องเสียงระดับไฮเอนด์มากว่า 20 ปี ประกาศนำเข้าลำโพงระดับพรีเมียม 2 รุ่นใหม่จากพรีเมียมแบรนด์เครื่องเสียงไฮคลาสสัญชาติอังกฤษ “โบเวอร์ แอนด์ วิลกินส์” (Bowers & Wilkins) ซึ่งเป็นลำโพงในตระกูล Signature ได้แก่ ลำโพงวางขาตั้งรุ่น 705 Signature และลำโพงตั้งพื้นรุ่น 702 Signature ซึ่งทั้งสองรุ่นเป็นลำโพงที่พัฒนามาจากรุ่นท็อปที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกอย่างรุ่น 700 Series เปิดตัวมาตั้งแต่ปีค.ศ.2017

ลำโพง 702 Signature และ 705 Signature มีความโดดเด่นด้วยการผสานมิติแห่งการดีไซน์ที่เน้นความเป็นคราฟท์ ดีไซน์เนื้อไม้สุดเนี้ยบเข้ากับเทคโนโลยีคุณภาพเสียงระดับพรีเมียม ดึงเอาลายเซ็นของแบรนด์ “โบเวอร์ แอนด์ วิลกินส์” อย่างการออกแบบติดตั้งทวีตเตอร์ให้แยกออกจากตัวตู้ลำโพงไปเป็นหัวจุกอยู่ด้านบน (tweeter-on-top) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ “โบเวอร์ แอนด์ วิลกินส์” ที่โด่งดังมาตั้งแต่การเปิดตัวรุ่น 800 Series Diamond ประกอบกับครั้งนี้ลำโพง 702 และ 705 Signature ยังได้ปรับปรุงการออกแบบวงจรตัดแบ่งความถี่เสียง อัปเกรดชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนงานตกแต่งตัวตู้ลำโพงให้มีความพรีเมียม เรียบหรูมากขึ้น

ลำโพง 702 Signature

สำหรับลำโพงรุ่น 702 Signature และ 705 Signature มาพร้อมทวีตเตอร์โดมคาร์บอนขนาด 25 มิลลิเมตร ติดตั้งอยู่ในห้องอากาศดีไซน์เฉพาะเป็นรูปทรงกระสุนมีน้ำหนักเบาและมีความแกร่งในตัวเอง ตัวขับเสียงกลางขนาด 15 ซม. และตัวขับเสียงทุ้ม (Aerofoil-profile) ขนาด 16.5 เซนติเมตร อีก 3 ตัว ซึ่งตัวขับเสียงทุ้มที่มีกรวยทำจากวัสดุชนิดใหม่นี้มีโครงสร้างชั้นในทำจากวัสดุคอมโพสิตและผิวด้านนอกเสริมด้วยวัสดุโพสีสไตรีน ดีไซน์เป็นลายไม้อีโบนีสีเข้ม เคลือบผิวเงาแบบ Datuk Gloss ทำให้ลำโพงแต่ละคู่จะมีรูปแบบของลายไม้ที่ไม่ซ้ำกัน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไปในลำโพงแต่ละคู่ นอกจากนี้ยังมีแผ่นป้ายบ่งบอกความเป็นรุ่น Signature กำกับมาบนตัวตู้ลำโพง เสริมความหรูหรา พรีเมียม ที่บ่งบอกความเป็นรุ่น Signature ที่ไม่ซ้ำใคร

ลำโพง 705 Signature

“โบเวอร์ แอนด์ วิลกินส์” ลำโพงพรีเมียมรุ่น 702 Signature สนนราคาอยู่ที่คู่ละ 239,900บาท และ 705 Signature ราคาคู่ละ 119,900 บาท มีวางจำหน่ายแล้วที่โชว์รูม Bowers & Wilkins ทั้ง 3 สาขา ได้แก่ โซนิค วิชั่น ถนนพระราม 3, เซ็นทรัลเวิล์ด, คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (Crystal Design Center) ,ร้านปิยะนัสทุกสาขา, ดีลเลอร์ในเครือของมิวสิคพลัสซีนีม่า และพาวเวอร์มอลล์ (Power mall) ทุกสาขา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร.0 2681 7500-5 หรือ โทร.08 5200 2820

6-12 ส.ค.63 “ครัวคุณต๋อย ยกทัพเพื่อแม่” @เซ็นทรัลชิดลม

alivesonline.com : สุดยอดมหกรรมอาหาร “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ยังไม่หยุดเดินสายเสิร์ฟความอร่อย ล่าสุดยกขบวนร้านอาหารกว่า 70 ร้านชื่อดังทั่วประเทศไทยทั้งคาว-หวาน-ว่าง บุกใจกลางเมือง เอาใจนักชิม และร่วมฉลองเทศกาลวันแม่ จัดงาน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ระหว่างวันที่ 6-12 สิงหาคม 2563 ณ ดิ อีเว้นต์ ฮอลล์ 3 ห้างเซ็นทรัลชิดลม เชิญคุณลูก-คุณพ่อ จับมือคุณแม่ มาชิม ชอปฯ เมนูจานเด็ดกว่า 300 เมนู และสินค้าคุณภาพ ภายใต้แนวคิด “อยู่ดีกินดี” พร้อมร่วมกิจกรรมพิเศษกับกระบวนทัพ “ครัวคุณต๋อย” ที่เตรียมไว้อย่างมากมาย ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 อย่างรัดกุมแบบการ์ดไม่ตกเช่นเคย

สำหรับงาน “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ที่สุดแห่งมหกรรมอาหาร ศูนย์รวมความอร่อยจากทั่วประเทศแบบ One Stop Service อร่อยครบจบในพื้นที่เดียว “ต๋อย-ไตรภพ ลิมปพัทธ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอร์น  โปรเจค จำกัด และประธานกรรมการ บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด ผู้ผลิตและดำเนินรายการโทรทัศน์ “ครัวคุณต๋อย” ในฐานะผู้จัดงาน ได้ต่อยอดความอร่อย เดินสายเสิร์ฟอาหารจานเด่นจากทุกทิศทั่วไทย และเป็นครั้งแรกกับการยกทัพบุกใจกลางเมือง จึงเพิ่มความพิเศษ ปรับเปลี่ยนสไตล์รูปแบบการจัดงานตามคำเรียกร้องของเหล่านักชิมด้วยการเพิ่มสีสันและลูกเล่นในการจัดงานภายใต้พื้นที่ที่ทุกคนสามารถเดินเลือกสรรความอร่อยทุกรูปแบบได้อย่างทั่วถึง โดยมีร้านอาหารที่ได้รับการคัดเลือกความเป็นที่สุดมากว่า 70 ร้านดัง อาทิ หมูแดงกรอบ ร้านเจ๊แมวหมูย่างแดงกรอบ, ร้านเจ๊นิดแกงเขียวหวาน ร้านขาหมูกรอบ บายเชฟเดย์, ซาลาปู    ปูม้าแกะ ร้านชาวเลซีฟู้ดส์ วิยะเครป, ขนมครกข้าวไรซ์เบอร์รี่หน้าธัญพืช ร้านขนมครกเศรษฐี 9 หน้า, ปลาช่อนต้มเกี่ยมไฉ่ ถั่วต้มขาหมู ร้านข้าวต้มแปลงนาม,  เส้นหมี่ผัดกระเฉดกุ้ง/หมูกรอบ ร้านครัวเจ๊ง้อ, หอยจ๊อปูก้อน ร้านหอยจ๊อปูทอง เยาวราช, กระท้อนทรงเครื่อง ร้านเด็กบ้านบ้านกระท้อนทรงเครื่อง, ขนมหวานเม็ดขนุนถั่ว/เผือก ร้านนงลักษณ์ขนมไทยของดีเมืองแปดริ้ว ฯลฯ

นอกจากความอร่อยของอาหารจานเด่นจากร้านดังกว่า 300 เมนู งานนี้ยังมีสินค้าคุณภาพ จาก “ครัวคุณต๋อยช็อป” ที่ยกทัพเพื่อแม่มาพร้อมกับแนวคิด “อยู่ดีกินดี” คัดสรรของดี การันตีคุณภาพภายใต้เครื่องหมาย “ครัวคุณต๋อย Selected” มาให้เหล่าคุณลูก-คุณแม่เลือกชอปเป็นของขวัญวันแม่ หรือให้คุณแม่มาเลือกชอปสินค้าคุณภาพด้วยตัวเอง

“งานนี้เรียกได้ว่ายกทัพมาเพื่อแม่ และเรายังคงต้องการให้เหล่านักชิมผู้ชื่นชอบอาหารทั้งหลายได้สัมผัสกับสุดยอดอาหารหลากหลายรูปแบบที่มีทั้งอาหารคาว อาหารหวาน อาหารว่าง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของครัวคุณต๋อยได้อย่างทั่วถึงทุกร้าน เราจึงคัดสรรร้านที่เป็นที่สุดของที่สุดมาแล้วจริง ๆ เพราะวัตถุประสงค์สำคัญของครัวคุณต๋อย ยกทัพคือการกระจายการจัดงานไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคและผู้ชื่นชอบการรับประทานให้มากขึ้นในรูปแบบงานที่เล็กลงแต่เพิ่มสีสันใหม่ ขณะเดียวกันยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านค้าที่มีความพร้อมในการร่วมออกบูทได้มีโอกาสเพิ่มช่องทางทางการตลาดในการสร้างยอดขายเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่มีข้อจำกัดในเรื่องของสถานการณ์ไวรัส COVID-19 ที่ทำให้คนส่วนใหญ่อาจรู้สึกหวั่นเกรงเรื่องความปลอดภัยของสุขภาวะ โดยงานนี้ทั้งครัวคุณต๋อยและห้างเซ็นทรัล ร่วมกันเตรียมพร้อมเรื่องมาตรการการป้องกันอย่างสูงสุด ทั้งจุดตรวจอุณหภูมิ แอลกอฮอล์เจลฆ่าเชื้อที่จะมีบริการแก่ผู้ร่วมงานตามจุดต่างๆ  ทุกท่านที่มาร่วมงานสามารถวางใจเรื่องความสะอาดได้อย่างแน่นอน” ไตรภพ ลิมปพัทธ์ หัวเรือใหญ่การจัดงานกล่าว

สุดยอดมหกรรมอาหาร  “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” ยังคงการันตีความสนุกให้แก่ผู้ที่มาร่วมงานด้วย 4 พิธีกรประจำ นำทีมโดย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ พร้อมด้วย ณวัฒน์ อิสรไกรศีล, กีรติ เทพธัญญ์ และโก๊ะตี๋ อารามบอย เช่นเคย โดยเน้นสีสันและลูกเล่นสร้างบรรยากาศให้กับงานที่ยังคงเต็มไปด้วยเรื่องราวความอร่อยของอาหารจานเด็ดจากสุดยอดร้านอาหารหลากหลายประเภทกว่า 70 ร้านดังที่คัดสรรมาจากทั่วประเทศไทยครบทั้งอาหารคาว-หวาน-ว่างพร้อมตอบรับวิถีชีวิตแนวใหม่ “นิว นอร์มอล” กับบริการเสิร์ฟความอร่อยสุดทันสมัย

พบกับสุดยอดแห่งมหกรรมอาหาร “ครัวคุณต๋อย ยกทัพ” การันตีความอร่อยจากจานเด็ดของสุดยอดร้านอาหารจากทุกทิศทั่วไทย และสินค้าคุณภาพภายใต้แนวคิด “กินดีอยู่ดี” การันตีโดย “ครัวคุณต๋อย Selected” ได้ระหว่างวันที่ 6-12 สิงหาคม 2563 ณ ดิ อีเว้นต์ ฮอลล์ ชั้น 3 ห้างเซ็นทรัลชิดลม ติดตามรายละเอียดได้ที่ FACEBOOK : ครัวคุณต๋อย

 

14-17 ส.ค.63 ชวนชอป ชวนชิม ในงาน “ข้าวไทย…หัวใจร้อยเอ็ด”

alivesonline.com : สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมกับ สถาบันอาหาร จัดงาน “ข้าวไทย…หัวใจร้อยเอ็ด” ระหว่างวันที่ 14–17 สิงหาคม 2563 เวลา 10.00 -21.00 น. ณ ลานเมือง 1 สุขสยามณ ไอคอนสยาม ชั้น G  กรุงเทพฯ ยกขบวนสุดยอดผลิตภัณฑ์แปรรูปข้าวหอมมะลิคุณภาพจากเกษตรกรจังหวัดร้อยเอ็ด ในโครงการพัฒนาคุณภาพการผลิตและเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพสูงครบวงจร ประจำปีงบประมาณ 2560 แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้าจากข้าวหอมมะลิ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำในรูปแบบคลัสเตอร์ข้าวร้อยเอ็ด มาให้ประชาชนได้ชอป ชิม กันอย่างจุใจ อาทิ ขนมแครกเกอร์อบกรอบสอดไส้ไวท์ช็อคโกแลต ข้าวพองกรอบอัดแท่งรสลาบ เครื่องดื่มจากข้าวหอมมะลิคั่วผสมใบเตย วุ้นข้าวหอมมะลิผสมบุกในน้ำเชื่อม เครื่องดื่มผงสำเร็จรูปจากข้าวหอมมะลิผสมจิ้งหรีด เครื่องดื่มผงสำเร็จรูปจากข้าวหอมมะลิ ข้าวพองหอมมะลิผสมถั่วและเวย์โปรตีน แป้งเค้กกึ่งสำเร็จรูป (บราวนี่) ซุปครีมข้าวหอมมะลิผสมฝักทองและผัก และธัญพืชผสมข้าวตอกเคลือบเนยถั่ว เป็นต้น